| โดย Uncle fat | 7 มกราคม 2550 14:37 น. | |
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรรักษาโรค โดยเฉพาะผลมะเกลือ ว่า ในอดีตมีการใช้สมุนไพรตัวนี้มาใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด พยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย และพยาธิไส้เดือนตัวกลม เนื่องจากผลมะเกลือมีสารไดโอสปีโรล ไดกลูโคไซด์ (Diospyrol-diglucoside) ซึ่งละลายน้ำได้ดี และไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ของคน แต่ตัวยาจะอยู่ในพยาธิ ทำให้พยาธิตาย ทั้งนี้ สารไดโอสปีโรล ไดกลูโคไซด์ จะสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสง หรือโดนความร้อน หรือแม้แต่ทิ้งไว้ในอากาศจะเปลี่ยนเป็นสารสีเทา และเป็นสีดำในที่สุด ซึ่งสารดังกล่าวจะหมดฤทธิ์ในการถ่ายพยาธิและกลายเป็นสารมีพิษ จึงต้องใช้ดื่มทันทีภายหลังเตรียมยา ห้ามทิ้งไว้ค้างคืนอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นการใช้ผลมะเกลือถ่ายพยาธิ จึงเป็นความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขไม่กำหนดให้มะเกลือเป็น สมุนไพรในงานสาธารณสุขเพื่อใช้ในครัวเรือนแล้ว เนื่องจากมีอันตราย ที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้ตาบอดได้
นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า เมื่อปีที่แล้ว มีรายงานชาวบ้านจากตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ได้นำผลมะเกลือจำนวน 10 ผล นำมาบดผสมน้ำกะทิให้ลูกชาย อายุ 12 ปี และน้องชายดื่มเพื่อถ่ายพยาธิ หลังกินแล้วในวันรุ่งขึ้นเด็กมีอาการเวียนศีรษะ อาเจียนจนหมดสติ 1 ราย ญาติต้องรีบนำส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลศรีสังวร อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย แพทย์ระบุว่า แพ้ผลมะเกลืออย่างรุนแรง ทำให้สมองบวมและทำลายเนื้อเยื่อประสาทตา จนทำให้ตาบอดในที่สุด
ด้านแพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ เลขานุการมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาและสาธารณสุขนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การ ใช้ผลมะเกลือเพื่อถ่ายพยาธิ ต้องใช้โดยผู้ที่รู้จริงเท่านั้น เช่นหมอแผนโบราณ ไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปใช้เองโดยพลการ เนื่องจากผลมะเกลือมีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย มีอาการมึนงง ตามัวได้ โดยผลมะเกลือที่นำมาใช้ จะใช้ผลดิบสด มีสีเขียว ผลต้องไม่ช้ำ ไม่ดำ ในการใช้จะใช้จำนวนเท่ากับอายุคนป่วย คือ 1 ผล ต่ออายุ 1 ปี แต่ไม่เกิน 25 ผล ไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม นำมาโขลกในครกหิน พอแหลก แล้วคั้นเอาน้ำผสมกับหัวกะทิสดในปริมาณ 2 ช้อนชา ต่อมะเกลือ 1 ผล ดื่มทันทีครั้งเดียวให้หมด
อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลมะเกลือจะมีสรรพคุณถ่ายพยาธิได้ก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้ปัญหาโรคพยาธิลดน้อยลงมาก กระทรวงสาธารณสุข จึงไม่แนะนำให้ประชาชนนำผลมะเกลือมาใช้ถ่ายพยาธิโดยพลการ และสมุนไพร ตัวนี้ไม่มีการใช้มานานนับสิบ ๆ ปีแล้ว เนื่องจากการใช้ต้องใช้โดยผู้ที่รู้จริงและใช้อย่างระมัดระวัง โดยการใช้มีข้อห้ามหลายอย่าง เช่นห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ หญิงมีครรภ์หญิงหลังคลอดบุตรใหม่ๆ ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร หรือถ่ายผิดปกติบ่อย ๆ มีอาการไข้ และบางคนอาจแพ้ยานี้ ทำให้เกิดอาการท้องเดินบ่อยครั้ง ใจสั่น แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ อาเจียน ตามัว ถ้ารุนแรงอาจตาบอดได้ โดยมีรายงานว่าผู้ป่วยที่ได้รับพิษเกิน 24 ชั่วโมง อาจตาบอดถาวรได้
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000001595