| โดย Uncle fat | 4 มกราคม 2550 09:29 น. | |
...นี่คือคำบอกเล่าเพื่อเปิดฉากปูมหลังชีวิตของพ.อ.(พิเศษ)หญิงวาสุ ณี อนันตรพีระ หรือ “พี่ตุ่ม” ของน้องๆ เธอเป็นทหารหญิงผู้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งจ.ราชบุรีว่าเป็นคนธรรมะธัมโม พอๆ กับเป็นคนสมถะ และเป็นอีกหนึ่งชีวิตพอเพียงเคียงธรรมะที่น่าสนใจยิ่ง
**พ่อ : จุดเริ่มต้นที่รู้จักความพอเพียง
“แต่เล็กเราซึมซับแนวทางชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงจากพ่อ พ่อเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากๆ เราไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวย พ่อหาเงินคนเดียว เราก็ปลูกผัก เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา ลดรายจ่ายไปได้มาก แม่ทำกับข้าวกิน ทำเองทุกมื้อ ทำอร่อยด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเขากิน พอลูกๆ ถึงคราวต้องเข้าโรงเรียน ก็ขายหมู พอจ่ายค่าเทอม พวกเสื้อผ้า พ่อจะซื้อที่ดีๆ ให้ พ่อให้เหตุผลว่าเพราะมันจะได้ทน ใช้ได้นานๆ ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อบ่อย เราก็ใช้แบบถนอม พอพี่ใส่ไม่ได้ ก็โละให้น้องต่อได้ พวกสมุดดินสอ พ่อจะเอาสมุดที่เราใช้ไม่หมด มาฉีกหน้าที่ยังว่างๆ อยู่ แล้วเอาเชือกว่าวเย็บ ใช้เป็นสมุดได้ใหม่ ดินสอ ถ้าไม่สั้นกุดจนเขียนไม่ได้ ก็จะไม่ทิ้ง ก็ใช้ไปจนกว่าจะใช้ไม่ได้ ”
เมื่ออายุได้ 16 ปี พี่ตุ่มก็เข้าเรียนที่โรงเรียนพยาบาลทหารบก เมื่อจบการศึกษาก็ประจำอยู่ที่ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และนั่นยิ่งทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีความพยายามที่จะเป็นคนสมบูรณ์แบบให้ได้ มากขึ้น และด้วยเหตุผลของวิชาชีพพยาบาลที่ทำงานเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ ต้องรับผิดชอบชีวิตคน ยิ่งทวีความเครียด ความกดดัน ความเข้มงวดต่อหน้าที่และต่อตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว
“เราถูกสั่งสอนมาในวิชาชีพพยาบาลว่าให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้ดูแลผู้ป่วยเหมือนดูแลญาติพี่น้อง ทำให้เรารู้สึกเป็นห่วง กังวล และเข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนไข้รวมไปถึงญาติคนไข้ ทำให้เราต้องพยายามดูแลเขาเป็นอย่างดี ทำให้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งก็ทำให้เครียดไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ยิ่งอยู่ในห้องผ่าตัด บางครั้งมีพยาบาลเวร 3 คน แต่มีกรณีคนไข้หนัก 2 เคสพร้อมๆ กัน ต้องวิ่งรอกสองห้อง เพื่อเป็นผู้ช่วยหมอ เพื่อจะช่วยยื้อชีวิตคนไข้”
หลังจากนั้น 1 ปี เธอก็ตัดสินใจย้ายจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กลับมาที่โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี เนื่องจากต้องการอยู่กับครอบครัวที่มีภูมิลำเนาซึ่งอยู่ที่จ.ราชบุรี พี่ตุ่มทำงานในตำแหน่งพยาบาลอยู่เป็นเวลา 14 ปีเต็ม และนอกจากงานการรักษาพยาบาลในหน้าที่แล้ว พี่ตุ่มก็ได้สร้างสรรค์ผลงานเพื่อคนไข้และสังคมเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ลำตัดคณะแม่ตุ่ม” ที่เจ้าตัวคิดขึ้นทั้งเนื้อหาและคำร้อง โดยมุ่งเน้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคเอดส์ให้แก่ทหารเกณฑ์รวมทั้งบุคคล ทั่วไป หลังจากใช้เวลาส่วนตัวหลังเลิกงานตระเวนบรรยายเชิงวิชาการตลอด 1 ปีแล้วเห็นว่าควรจะเปลี่ยนรูปแบบการให้ความรู้เพื่อดึงดูดความสนใจ
นอกจากนี้เธอยังมีโครงการให้ความรู้ทางวิชาการในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาเสพติด สุขภาพ โรคในชุมชน และการดูแลสุขภาพตนเองอื่นๆ รวมทั้งการอบรมเชิงวิชาการเรื่องการรักษาพยาบาลให้พยาบาลรุ่นน้องอีกด้วย
**พบว่าเป็นมะเร็ง ถามตัวเอง... “ทำไมต้องเป็นเรา”
จนเมื่อปีพ.ศ.2539 พี่ตุ่มเข้าศึกษา ณ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก เพื่อศึกษาในหลักสูตรนายทหารบกอาวุโส ซึ่งจำเป็นจะต้องเดินทางมาเช่าที่พักในกรุงเทพฯ เพื่อให้ใกล้กับสถานที่เรียน แต่เมื่อเริ่มเรียนไปได้เพียงเล็กน้อย ก็ได้รับข่าวร้ายว่า โรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองของผู้เป็นบิดาที่ป่วยเป็นโรคนี้มากว่า 20 ปี เกิดกำเริบขึ้นมา ทำให้ต้องทำภารกิจอันหนักหน่วงสองอย่าง ทั้งการเรียนและการพยาบาลคุณพ่อไปพร้อมๆ กัน
“พี่พบว่าตัวเองป่วยเมื่อประมาณเดือนกันยายนปี42 เพราะว่าพี่สาวจองคิวตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งเอาไว้ พอถึงวันตรวจพี่เขยไม่ว่าง จึงไปตรวจแทนเพราะปกติเวลาจองคิว คิวจะยาวมาก ไม่อยากให้เสียคิวไป แต่ปรากฏว่า พี่ๆ น้องๆ ที่ไปตรวจด้วยไม่เป็นไรเลย ส่วนของพี่พบก้อนที่ปอดขวา หมอสั่งทำซีทีสแกน แล้วพอทำซีทีปุ๊บ เครื่องมันเลื่อนลงไปที่เอว ก็พบก้อนเลือดที่ไตซ้ายอีก”
จากการตรวจพบในครั้งนั้น แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็งที่ไตและมะเร็งที่ปอด จำต้องได้รับการผ่าตัด แต่ที่ไตวิกฤติกว่า แพทย์ตัดสินใจผ่าตัดไตก่อน และผ่าตัดปอดภายหลังผ่าตัดไต 45 วัน
**รักษากายไปพร้อมกับรักษาจิตวิญญาณ
“ตอนแรกพอหมอบอกว่าเป็นเนื้อร้าย เราเป็นมะเร็ง ก็เสียใจ ใจเสีย กลับไปบ้าน ยืนมองตัวเองในกระจก ถามว่า “ทำไมต้องเป็นเรา” แล้วก็น้ำตาไหล ร้องไห้ ความกลัวตายมีทุกคน ตอนแรกกลัวมาก แต่โชคดีว่าตั้งแต่ก่อนคุณพ่อเสีย ได้เข้าหาธรรมะบ้าง ได้สวดมนต์ให้คุณพ่อ เราเห็นเลยว่าช่วงที่ถอดเครื่องช่วยหายใจและเครื่องช่วยชีวิตทุกๆ อย่างในตัวพ่อ พ่อยิ้ม แล้วก็จากไปด้วยสีหน้าแจ่มใส เชื่อว่าพ่อได้ยินเราสวดมนต์ ทีนี้เราก็หันมาดูตัวเอง ถ้าเราใกล้ตาย ใครจะสวดมนต์ให้เรา ลูกก็ไม่มี ก็เลยคิดว่า เวลาที่เหลืออยู่น่าจะหันมาหาธรรมะ”
พี่ตุ่มเล่าถึงเรื่องราวความเจ็บป่วยที่หนักหนาสาหัส รวมถึงความทรมานจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนพูดถึงดิน ฟ้าอากาศต่อไปอีกว่า ภายหลังเริ่มทำใจได้ว่าเป็นมะเร็งและอยู่กับมันได้ เธอก็เริ่มหาที่ยึดเหนี่ยวทางใจด้วยธรรมะ และพร้อมๆ กับดูแลร่างกายด้วยการหันมากินอาหารชีวจิต รำกระบองทุกเช้า ดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสด สวดมนต์ไหว้พระ และบ่อยครั้งที่เดินทางไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดอัมพวัน (จ.สิงห์บุรี) ส่วนสำหรับงานที่โรงพยาบาล ได้ย้ายจากงานพยาบาลมาประจำที่กองวิทยาการ ดูแลงานด้านบรรณาธิการนิตยสาร “กรมการทหารช่าง”
“ช่วงที่ต้องทำเคโมทรมานเหมือนฝันร้าย แต่ก็พยายามใช้หลักศาสนาที่ฝึกมา กำหนดรู้และพยายามอดทนให้ได้ หลังจากให้ยาก็ลงมาเดินจงกรมข้างเตียงคนไข้ แล้วก็นั่งสมาธิกำหนดจิตนิ่ง เพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่านและไม่ทรมานจากอาการข้างเคียง พี่ค่อนข้างจะเชื่อในศาสนาและธรรมะ เพราะประสบกับตัวเองหลายต่อหลายอย่าง ที่ป่วยหนักจนเรียกว่า เฉียดความตาย ก็ยังดีขึ้น หลังจากที่หัดนั่งกรรมฐาน สวดมนต์ ทำให้พี่ตั้งใจว่า ชีวิตที่เหลือจะทำเพื่อพุทธศาสนา เพื่อความดีงาม และช่วยผู้อื่นเท่าที่เราจะทำได้”
**ชีวิตหลังเฉียดตายกับสัจธรรมความพอเพียง
ภายหลังต้องผ่านความทรมานจากโรคภัยที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และรวมไปถึงการรักษาที่มีผลข้างเคียงมากมาย ผมที่เคยเข้าร้านเสริมสวยก็จำต้องโกนเนื่องจากผลของเคมีบำบัดที่ทำให้ผมร่วง ทำให้พี่ตุ่มปลงและเข้าถึงความ “ไม่เที่ยง” ของทุกสิ่งบนโลกใบนี้
“โดยส่วนตัวคิดว่าธรรมะทางพุทธศาสนาคือเรื่อง เดียวกันกับแนวพระราชดำริ คนเราตีความคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไปในรูปของการปลูกพืชผักสวนครัว เรื่องการทำมาหากิน แต่จริงๆ เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงนั่นแหละคือธรรมะ”
พี่ตุ่มกล่าวถึงแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงว่า การจะทำชีวิตให้พอเพียงได้นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพียงแค่คิดตามหลักมรรค 8 มีธรรมะในใจ มีศีล มีสติ ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง มีความเพียรในการทำความดี อย่าเบียดเบียนตัวเอง คนอื่นไม่เดือดร้อน ใช้ชีวิตให้มีความสุขพอประมาณ สุขในที่นี้เป็นความสุขทางใจ ไม่ใช่ความสุขทางโลกหรือเห่อเหิมทะเยอทะยาน
“เมื่อก่อนนี้คิดมาตลอดว่าจะทำงานเพื่อ 3 อย่าง คืออยากได้เงินเดือน อยากได้บุญ เพราะอาชีพเราเมื่อทำแล้วจะได้กุศล ได้ช่วยเหลือคนไข้ และอยากทำงานถวายในหลวง แต่มาเดี๋ยวนี้ รับราชการมา 33 ปีเต็ม ทุกวันนี้เมื่อผ่านจุดเปลี่ยนที่ทำให้เฉียดความตายมาได้ ทำให้คิดว่าทั้งหมดที่ทำหรือสะสมมาก็เท่านั้น อย่างเดียวที่ตั้งใจในตอนนี้ก็คือเราถือว่าเราเป็นข้าราชการ เป็นคนงานของในหลวง ตั้งใจทำถวายในหลวงอย่างเดียว ยึดพระองค์เป็นแบบอย่าง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจโดยไม่คำนึงถึงอะไรนอกจากประโยชน์สุขของประชาชน ไม่ทรงคำนึงแม้กระทั่งความสุขสบายส่วนพระองค์ เราเป็นข้าราชการ กินเงินเดือนแผ่นดิน ก็ตั้งใจจะรับราชการและตั้งมั่นอยู่ในความดี ไปตลอดชีวิตเพื่อถวายในหลวง” ทหารหญิงเจ้าของรูปร่างบอบบางแต่มีหัวใจมุ่งมั่นเกินร้อยกล่าวทิ้งท้าย...
ส่วนชีวิตในปัจจุบัน พี่ตุ่มในวันนี้ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับสามีนายทหารนอกราชการ (พล.ท.ปราโมทย์ อนันตรพีระ) ที่ใช้เวลาหลังเกษียณกับงานเพื่อสังคมมากมาย ทั้งประธานชมรมผู้สูงอายุ เป็นประธานพุทธสมาคมประจำจังหวัดราชบุรี โดยมีภรรยาผู้หันหน้าเข้าหาทางธรรมและดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงเป็นเลขานุการ ส่วนตัว โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ตามประสาคนไม่ค่อยพูดว่า มีความสุขดีกับชีวิตพอเพียงแต่สมถะ และพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาเพื่อช่วยเหลือสังคมเท่าที่จะทำได้เช่น กัน
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000000316