โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 21 กันยายน 2547 15:55 น. |
“แม่ช้อยนางรำ” (SANTI_MAECHOICE@HOTMAIL.COM) | |||||
แต่นี่เป็นอาหารสำหรับมุนีนักบวช ผู้สละแล้วซึ่งรูป เหลือเพียงรสเท่านั้น ร้านนี้อยู่เชิงภูเขาหิมาลัย” นี่เป็นร้านที่สูงที่สุด เท่าที่อีชั้นเคยเปิบมาเจ้าค่ะ...เจ้านาย ก็จะไม่สูงได้อย่างไร ร้าน “ชวาติ วาลา” อยู่ที่เมืองฤษีเกศ ที่แปลได้ว่าศีรษะพระฤษี ยิ่งกว่านี้ ร้านนี้อยู่เชิงภูเขาหิมาลัยในรัฐอุตตรขัณฑ์ ประเทศอินเดีย สูงกว่านี้ไม่มีที่ไหน เว้นไว้แต่ว่า จะมีใครพิเรนทร์ไปตั้งร้านอาหารอยู่บนยอดเขาเอฟเวอร์เรส ประเทศเนปาลโน้นนั้น ค่อยว่ากันใหม่ เจ้านายขา การเดินทางเพื่อแสวงหาอาหารอร่อย (ขอโทษ เส้นทางนี้ตรงกันข้ามกับการเดินทางเพื่อแสวงหาบุญของสาธุชนทั้งหลาย) คราวนี้อีชั้นมาไกลถึงเชิงภูเขาหิมาลัย ในดินแดนที่คนอินตะระเดียเรียกว่า “ปากประตูเข้าสู่สวรรค์” | |||||
เขาเล่าว่า เดินด้วยเท้าขึ้นไปบนภูเขาสักวันหนึ่ง ก็จะพบธารน้ำแข็งที่ผุดขึ้นกลางเขา แล้วละลายลงมาสู่อินเดียผ่านเมือง “ฤษีเกศ” ที่ว่านี้ แล้วไหลลงอ่าวเบงกอลที่เมืองกัลกัตตา อีชั้นมาอินเดียเป็นสิบๆ ปี หมายมั่นปั้นมือว่า สักวันหนึ่งเถิดน่า อีชั้นจะต้องมาเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้ให้ได้ อยากจะไปดูต้นน้ำคงคา อยากจะพบฤษีชีไพร ที่มีมากมายเป็นล้านคนอยู่ตามโคนต้นไม้ในป่าเขา ถ้ำของมหาไศลหิมาลัย แต่ไม่ได้ไปสักที เพื่อนคนอินเดียบอกว่าอีชั้นยังไม่มีบุญ ไว้หมดบาปเมื่อไหร่ จะต้องได้ไปอย่างปาฏิหาริย์ อีชั้นรอความอัศจรรย์มาเป็นปีๆ จนกระทั่งจู่ๆ ก็ได้รับเชิญจากบริษัท “ท็อปทัวร์” ประเทศอินเดีย กับสายการบิน “แอร์อินเดียน” ให้ไปเยี่ยมเยียนอนุทวีปแห่งนี้ อีชั้นบอกว่า ถ้าไม่มีหริวาร กับฤษีเกศ และเดห์ราดูน จ้างอีชั้นก็ไม่ไปให้เมื่อย อีชั้นไปอินเดียเรื่อย ไปมากกว่าบางจังหวัดในเมืองไทยเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอีชั้นต้องเล่นตัวเป็นธรรมดา เป็นอันว่าทริปคราวนั้นอีชั้นได้ไปทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เชิงภูเขาหิมาลัย แล้วยังได้ไป “ขชุราโห” เมืองกามสูตร แถมพาราณสีอีกต่างหาก เว้นดินแดน “พุทธภูมิ” แล้ว ในอินเดียสามเมือง...หรือห้าเมือง (รวมหริวารกับเดห์ราดูน) เป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวที่สุดในอินเดีย ยิ่งเมืองฤษีเกศนั้น ใครที่ชอบเปิบพิสดาร จะต้องไปให้ได้ เพราะเมืองนี้มีอาหารชีวจิตที่ขึ้นชื่อไปทั่วโลก พวกฤษีชีไพร มุนีนักบวชทั้งหลายเขาทำกินกันมาเป็นพันปี ทุกวันนี้ มีคนขมองใสทำเป็นอาหารสำเร็จรูปใส่กล่อง ใส่ซองขาย ใครสนใจอีชั้นจะพาไป ซื้อกลับมาขายบ้านเรา รับรองว่าไม่รวยก็ซวย เป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย พวกอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู (ขอโทษนะเจ้าคะ ฮินดูไม่ใช่พราหมณ์ เป็นศาสนาเกิดใหม่หลังพุทธศาสนาเป็นพันปี โดยเอาหลักพุทธศาสนากับพราหมณ์และไชน ที่บางคนเรียกเป็น “เชน” เหมือนหนังคาวบอยฝรั่งเข้ามาดัดแปลงให้กลมกลืนกัน) พวกฮินดูเขามีสูตร “เปิบพิสดาร” ใครไปถึงเมืองนี้ ให้ไปหุงข้าวต้มมันกันที่ริมน้ำพุบาดาลที่เทวาลัยชื่อ “หนุมานฉัตตี” หุงแล้วตัวเองไม่ได้กินนะเจ้าคะ จะต้องไปโยนลงแม่น้ำเพื่อถวายกับ “ยมโนตรีเทวี” | |||||
ไปถึงเมืองฤษีเกศ จะมีร้านขายอาหารมังสวิรัติชื่อดัง ไปถึงที่นั่นใครก็รู้จักกันทั้งนั้นชื่อว่าร้าน “ชวาติ วาลา” ถ้าคนบ้านเราได้เห็นจะต้องตกใจ เพราะมีพระนั่งอยู่หน้าร้าน ป่าวประกาศเคาะระฆังเรียกให้คนเข้าร้าน แต่ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ของศาสนาเราหร๊อก... พวกนี้เป็นสาธุมุนี นักบวชของพวกฮินดูเขา ทำหน้าที่เป็นนางกวักควักมือเรียกคน เจ้านายมาเห็นคงจะชอบใจ เพราะเห็นรูปร่างของมุนีแต่ละรูปแล้วก็คงจะยืนยันได้ว่า อาหารร้านนี้ต้องอร่อย พุงของมุนีละก็ย้อยย้วยลงมา เห็นแล้วน่าลูบขอหวย คนอินเดียเชื่อว่า การได้มากินอาหารมังสวิรัติที่เมืองฤษีเกศนี้ นอกจากจะเป็นอาหารบริสุทธิ์อร่อยกว่าเมืองอื่นๆ แล้ว ใครได้มากินก็เหมือนจะล้างบาปที่ติดอยู่ในท้องออกได้ด้วย เพราะฉะนั้นใครมีบาป หากมีโอกาสสักครั้งในชีวิตต้องมากินอาหารมังสวิรัติที่นี่ ซึ่งน่าจะจริงเช่นนั้น เพราะเมืองนี้มีแต่ฤษี มุนีนักบวชมากมาย คนบาปทั้งหลายจะไม่มีโอกาสได้มา เขาว่าเทพเจ้าปิดประตูไม่ให้เข้า เพราะฉะนั้น เจ้านายอยากจะรู้ว่ามีบาปติดตัวหรือเปล่า ลองไปเที่ยวเมืองหริทวารซึ่งแปลว่า “ประตูของพระเจ้า” กับเมือง “ฤษีเกศ” แปลว่า ศีรษะของพระฤษีดูซี ...ใครมีเงินมากล้วนบาปหนา ไม่มีโอกาสได้มาที่นี่หร๊อก จะบอกให้... |