หญิงต่ำกว่า30 "ไมเกรน"ขึ้นอื้อ เหตุเครียดจัด (ไทยโพสต์)
พบ หญิงไทยอายุต่ำกว่า 30 เป็น "โรคไมเกรน" มากขึ้น เหตุเครียดจัด แพทย์แนะเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง หากเป็นแล้วควรตรวจวิเคราะห์สาเหตุให้ชัดเจน เร่งรักษาให้หายขาด
นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล แพทย์ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า จากสถิติพบว่าร้อยละ 30 ของคนไทยในปัจจุบันป่วยเป็นโรคไมเกรน และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นโรคไมเกรนก่อนอายุ 30 ปี ทั้งนี้สาเหตุของการเกิดไมเกรนมาจากความเครียด ความกังวล จากภายในส่งผลให้เส้นประสาทรอบสมองเกิดอาการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียว นอนไม่หลับ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ อาทิ การกินอาหารที่มีส่วนผสมของอาหารเป็นผงชูรสหรือสารถนอมอาหารมากไป การนอนหรือการพักผ่อนที่ไม่ดีพอ หรือแม้กระทั่งสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เช่น กลิ่นควันรถจากท่อไอเสียรถยนต์ กลิ่นควันบุหรี่ และมลภาวะทางเสียง เป็นปัจจัยที่กระตุ้นอาการปวดไมเกรน
นพ.ดิตถพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอดอาหาร การพักผ่อนไม่เพียงพอ สถานที่เสียงดัง และสถานที่มีมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมไม่ดี ซึ่งการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ อาจจะทำให้อาการไมเกรนดีขึ้น หรือไม่รุนแรงมาก และจะหายไปเองในที่สุด แต่หากมีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบสมองและประสาท เพื่อให้ตรวจวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด นำไปสู่การรักษาผู้ป่วยในแต่ละราย
อย่างไรก็ตามควรสังเกตลักษณะของอาการที่ปวดหัวดังนี้
1. ปวดร้าวรุนแรงเฉียบพลัน และมักรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
2. ปวดหัวขณะออกกำลังกาย ไอ หรือมีเพศสัมพันธ์
3. ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อ
4. ตาพร่า อาเจียนไม่หยุด เสียการทรงตัว หมดสติ
5. มีอาการอื่นร่วมกับปวดหัวด้วย เช่น เป็นไข้สูง ความดันสูง ซึม หลับ หมดสติ ม่านตาขยายไม่เท่ากัน และไม่ตอบสนองต่อแสงเมื่อส่องไฟ ประสาทตาบวม หรือมีเลือดออกในจอประสาทตา คอแข็ง แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ยืนไม่อยู่ เมื่อจับที่หนังศีรษะแล้วรู้สึกเจ็บ มีผื่น หรือตุ่มขึ้นตามหนังศีรษะ
เนื่องจากอาการเหล่านี้ส่งผลถึงการเป็นเนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือด โรคสมองอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ควรได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) และการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดสมองโดยอาศัยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (TCD) เพื่อช่วยค้นหาปัญหาให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
http://health.kapook.com/view14204.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
