โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2547 14:20 น.
| ||
หากยังนึกไม่ออก "108 เคล็ดกิน" จะเฉลยให้ก็ได้ว่าใบที่ว่านั่นก็คือ "ใบเตย" พืชพื้นบ้านของไทยเรานั่นเอง
ใบเตย ถูกนำมาใส่เพื่อเพิ่มสีเพิ่มกลิ่นให้ขนมไทยหลายๆ อย่าง ถูกนำมาเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย แถมบางครั้ง ก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำหอมดับกลิ่นในรถยนต์อย่างที่เห็นในรถแท็กซี่ บ่อยๆ
แต่ถึงอย่างนั้น บางคนก็อาจยังไม่ทราบถึงประโยชน์จริงๆ ของใบเตย ซึ่งจะขอนำมาบอกเล่าให้ทราบกันว่า ในใบเตยนั้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย และคลอโรฟิลด์ ใบของต้นเตยนั้น เมื่อนำมาชงเป็นเครื่องดื่มนอกจากจะช่วยให้ชุ่มคอ ชื่นใจ สามารถลดการกระหายน้ำได้แล้ว ก็ยังช่วยบำรุงหัวใจได้อีกด้วย และถ้านำใบสดมาตำก็สามารถรักษาโรคผิวหนัง และโรคหัดได้ ส่วนรากของใบเตยก็สามารถช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวานได้ หากเอามาชงเป็นชาก็จะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้ป่วยสามารถนำใบเตยมาทำเป็นชาไว้ดื่มเอง เพียงนำใบเตยมาล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มได้เลย หรือหากจะเก็บไว้ชงได้นานๆ ก็ให้นำไปเตยที่หั่นแล้วนั้นไปคั่วไฟอ่อนๆ จนแห้งดี และเก็บใส่ภาชนะปิดฝาให้เรียบร้อย หากอยากดื่มขึ้นมาเมื่อไรก็นำมาชงได้ทันที
คราวนี้ก็ได้รู้กันแล้วว่า ใบเตย พืชธรรมดาแต่คุณค่าไม่ธรรมดาที่เราได้เคยพบเคยเห็นกันจนชาชินจนดูเหมือนไม่ มีความสำคัญนั้น จริงๆ แล้ว มีดีมากกว่าที่ใครๆ คิดไว้เสียอีก ว่าแล้วก็คอแห้ง ต้องขอตัวไปหาน้ำใบเตยหอมๆ มาดื่มหน่อยดีกว่า
ใบบัวบก...ประโยชน์ที่มากกว่าแก้ช้ำใน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2547 16:44 น.
แต่นอกจากการแก้ช้ำในแล้ว ใบบัวบกยังมีประโยชน์มากกว่านั้น การ บริโภคใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมอง ทั้งช่วยซ่อมแซมสมองส่วนที่ถูกทำลายไปแล้ว และช่วยป้องกันไม่ให้สมองส่วนที่ยังปกติดีอยู่นั้นถูกทำลายลง แถมยังช่วยให้ความทรงจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเครียดได้ด้วย ใบบัวบกยังช่วยกระตุ้นระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ (Reflex Reaction) หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน และยังช่วยควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมันได้อีกด้วย
นอกจากนั้น ในใบบัวบกยังมีสารไกลโคไซด์ (Glycosides) ซึ่งจะช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ที่จะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเราเสื่อมเร็ว และสารที่ว่านั้นก็ยังช่วยสร้างคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้แผลสมานตัวกันเร็วขึ้น สำหรับผู้ที่มีแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือฟกช้ำตามร่างกาย ให้ใช้ใบบัวบกตำละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำมาทาหรือเอากากมาพอกไว้ที่แผล ก็จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และยังช่วยเร่งการสร้างเนื้อเยื้อ ลดการติดเชื้อ ช่วยห้ามเลือด ลดการอักเสบ ทั้งยังลดการเกิดแผลเป็นชนิดนูนได้ด้วย ประโยชน์เยอะขนาดนี้ ปลูกเอาไว้ใช้ที่บ้านก็คงไม่เสียหลาย แถมยังคุ้มค่าเสียอีก
ถอนพิษน้ำเมา...ด้วยผักบุ้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 10 มกราคม 2548 18:30 น. | |
เราสามารถพบเห็นเจ้าผักบุ้งชูยอดแตกใบได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำหรือที่ ชื้นแฉะ ไม่ว่าจะเป็นลำคลอง หนอง บึง ทุ่งนา ร่องน้ำต่าง ๆซึ่งชาวบ้านมักอาศัยเก็บจากแหล่งน้ำทั่วไปโดยไม่ต้องปลูก และไม่ต้องซื้อหาจากตลาด ยิ่งเด็ดมากยอดใหม่ก็ยิ่งแตกเพิ่มมากขึ้น และทุกวันนี้เราอาจจะพบเจ้าผักตาหวานได้ง่ายๆ ในเมนูอย่างก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ แกงเทโพ แกงส้ม แกงคั่ว เกาเหลา แม้แต่ยอดอ่อนสด ๆ ก็นิยมนำมารับประทานกับส้มตำ น้ำพริก ขนมจีนน้ำยา ลาบก้อย ยำต่างๆ หรือถ้าไม่ชอบรับประทานสดจะลวก และราดกะทิเพื่อให้น่ากินยิ่งขึ้นก็ทำได้
ประโยชน์อย่างหนึ่งของผักบุ้งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ผักบุ้งเป็นหนึ่งในตำรายาไทย คือถือเป็นยาเย็นแก้ถอนพิษเมื่อเมาอีกด้วย นอกจากนั้นคุณค่าของผักบุ้งอยู่ที่สารเบต้าแคโรทีนอันเป็นแหล่งวิตามินเอ ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม ไม่แสบ หรือรู้สึกแห้งในตาแล้ว ผักบุ้งไทยโดยเฉพาะชนิดต้นขาวจะมีวิตามินซีสูงกว่าชนิดอื่น ๆ ช่วยบำรุงรักษาเหงือก ฟัน ให้แข็งแรง ช่วยทำให้ผิวสวย เลือดดี และเพิ่มความต้านทานโรค ไม่เกิดอาการ แพ้ ต่าง ๆ ง่าย เคล็ดลับอยู่ที่ต้องกินสด ๆ คุณค่าทางวิตามินจะได้ไม่สูญเสียไป
นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งมีเส้นใย อาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผักบุ้งยังมีสารชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน และการเอาน้ำผักบุ้งผสมเกลืออมไว้ในปากประมาณ 2 นาที ทำวันละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยรักษาแผลร้อนในในปากได้ด้วย
“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
หลากคุณค่าจากแมงลัก…ผักสวนครัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 21 กุมภาพันธ์ 2548 17:20 น. |
| ||
ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน
อร่อยหน้าร้อนแบบปลอดภัยกับ “ทุเรียน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 18 เมษายน 2548 17:51 น. | |
หลายๆ คนก็รู้ว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แถมยังให้พลังงานสูงกว่าผลไม้ทั่วๆ ไปถึง 3-4 เท่า แต่ก็อดใจไม่ค่อยไหวทุกทีเวลาที่ได้กิน มักจะต้องมีอันที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ แต่ดูเหมือนทุเรียนจะมีคนรักกับคนชังเท่าๆ กัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบนั้นบางคนถึงกับกับทนกลิ่นของทุเรียนไม่ได้เลย
สำหรับคนที่ชอบกินทุเรียนมากๆ ก็ต้องระวังให้ดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวแล้วว่ามีคนกินทุเรียนมากเกินไปจนตาย เนื่องจากว่าทุเรียนนั้นให้พลังงานมาก เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสูงกว่าปกติ สังเกตได้จากอาการร้อนในที่มักเกิดขึ้นหลังการกินทุเรียน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความร้อนที่เกิดจากการกินทุเรียนมากๆ นั้นก็จะทำให้โรคกำเริบได้ ถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินทุเรียนกับเหล้าหรือเบียร์นั้นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสารซัลเฟอร์ในทุเรียนจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แต่ทุเรียนนั้นนอกจากจะกินอร่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันก็ยังมีประโยชน์ทางยาอีกมาก เช่นใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้โรคดีซ่านได้ รากต้นทุเรียนก็ยังนำมาต้มดื่มแก้ไข้แก้ท้องร่วงได้ด้วย รวมทั้งเนื้อที่แสนจะอร่อย ก็ยังช่วยแก้โรคผิวหนังและขับพยาธิได้ เปลือกทุเรียนก็เอามาจุดไฟสุมไล่ยุงก็ได้ ฝากอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นร้อนใน โบราณเขาว่าให้กินมังคุดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเย็นตามเข้าไป แค่นี้ก็กินทุเรียนได้อย่างมีความสุขแล้ว
"มะระ" ขม แต่ดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 31 พฤษภาคม 2548 16:49 น. | |
ข้อความนี้เชื่อวาหลายๆคนคงคุ้นกันดี เพราะขึ้นชื่อว่าของขมๆ แล้ว ใครก็คงไม่อยากกิน แต่ก็มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่ขมแสนขม แต่เราก็ยังนำมาทำอาหารได้ แถมอร่อยเสียด้วย นั่นก็คือ "มะระ" นั่นเอง ที่เมืองไทยเรามีมะระให้เลือกกินถึงสองชนิด คือมะระจีน เป็นมะระลูกใหญ่ที่นิยมนำมาทำแกงจืดมะระหมูสับ หรือกินกับกุ้งแช่น้ำปลา และมะระขี้นกลูกเล็กๆ สีเขียวเข้ม รสขมจัด นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก
รสขมๆ ของมะระนั้น มีประโยชน์ตรงที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร เพราะรสขมจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น และให้แร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซิน และเบต้าแคโรทีน แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้ รวมทั้งเชื่อว่ามะระช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับม้ามอักเสบ ขับพยาธิ แก้อักเสบจากพิษต่างๆ ที่สำคัญมะระขี้นกนั้น
นอกจากผลแล้ว มะระก็ยังมีประโยชน์ทั้งใบ เมล็ดและราก ใบมีรสขม คั้นเอาแต่น้ำดื่มแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้าใช้มากอาจทำให้อาเจียนได้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษร้อน แก้อักเสบฟกช้ำ ส่วนเมล็ดรสขมมีฤทธิ์ขับพยาธิตัวกลม รากต้มน้ำดื่ม รักษาโรคริดสีดวงทวารได้
ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แม้ขมก็ต้องยอมกิน แต่ "108 เคล็ดกิน" มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ไม่อยากให้มะระขมจนเกินไป ลองนำมะระไปคลุกกับเกลือป่นก่อนสักครู่ก่อนปรุง ต้มมะระแบบไม่ต้องปิดฝาหม้อ หรือต้มแล้วจะเทน้ำทิ้งความขมไปก่อนสักหนึ่งครั้งแล้วต้มใหม่อีกรอบ ก็จะช่วยลดความขมลงได้
หญ้าหนวดแมว...หญ้ารักษาโรค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 30 สิงหาคม 2548 16:58 น. | |
แต่รู้ไหมว่ามีสมุนไพรไทยอยู่ตัวหนึ่ง ที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ นั่นก็คือ “หญ้าหนวดแมว” พืชล้มลุกที่หน้าตาคล้ายกับกะเพราหรือโหระพา มีดอกสีขาวหรือสีม่วง และเกสรตัวผู้จะมีลักษณะเป็นเส้นยาวออกมาคล้ายหนวดแมว จนเป็นที่มาของชื่อมันนั่นเอง
ในหญ้าหนวดแมวนั้น จะมีธาตุโพแทสเซียมมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการขับกรดยูริค หรือช่วยขับปัสสาวะ และช่วยให้เกลือยูเรตไม่จับตัวกันเป็นก้อนนิ่ว รวมทั้งหญ้าหนวดแมวยังช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ลดการเกิดนิ่วได้ แถมยังช่วยขยายท่อไตทำให้อาการปวดลดลง นอกจากนั้นการที่เราปัสสาวะถี่ขึ้น ก็จะทำให้นิ่วก้อนเล็กๆเคลื่อนลงมาได้ ส่วนวิธีบริโภคหญ้าหนวดแมวก็คือ นำใบและดอกที่ตากแห้งประมาณหยิบมือหนึ่งมาต้มกับน้ำ 1 ขวด ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่หญ้าหนวดแมวลงไป ปิดฝาหม้อไว้สัก 20 นาทีเป็นอันใช้ได้
มีข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ ในหญ้าหนวดแมวนั้นมีโพแทสเซียมมาก จึงไม่ควรให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่ม เพราะจะทำให้กระตุ้นหัวใจ เป็นอันตรายได้
สอนลูกกินผักให้เป็น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 6 กันยายน 2548 15:41 น. | |
| ||
เด็กจะสามารถเริ่มกินผักได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนขึ้นไป ในช่วงนี้ต้องเริ่มให้เด็กกินผักนิ่มๆ อย่างใบตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง เป็นต้น ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุนอย่างผักชี ต้นหอมนั้น สามารถให้ลูกกินได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 8-9 เดือน เพราะในช่วงนี้เด็กจะยังไม่รู้จักกลิ่นและรส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะหัดให้กินผัก
การทำรูปลักษณ์ของผักให้น่ากินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ อยากกินผักมากขึ้น เช่น ผักที่แกะสลักเป็นรูปต่างๆ หรือผักชุบแป้งทอด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ พ่อและแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วยการกินผักให้ลูกเห็น หรือกล่าวชมเชยเวลาที่ลูกกินผักได้เอง และอย่าใช้วิธีบังคับให้กินให้ได้ เพราะเด็กจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน
อย่าลืมว่าผักเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากใครกำลังมีลูกเล็กๆ ก็มาหัดให้ลูกกินผักให้เป็นกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดูเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมากอีกด้วย
จะทำยังไง...เมื่อคนผอมอยากอ้วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 13 กันยายน 2548 17:00 น. |
ผู้ที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเพราะว่าเป็นคนที่ใช้พลังงานมาก แต่พักผ่อนน้อย กินน้อย แถมเลือกกินอีกต่างหาก หรือสำหรับบางคนอาจเกิดจากปัญหาทางร่างกาย เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหารถูกเผาผลาญมาก หรือลำไส้ดูดซึมอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น อันนี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันไปตามอาการ
แต่ถ้าอยากอ้วนขึ้นด้วยการกินละก็ กองโภชนาการ กรมอนามัย เขาแนะนำมาว่า จะต้องกินอาหารให้ได้แคลอรี่วันละ 3,000-3,500 โดยกินอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง เนย ไอศกรีม ขนมหวาน ผลไม้ที่ให้พลังงานสูงๆ และต้องกินอาหารจำพวกโปรตีน เช่น นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ให้มากกว่าปกติ อย่ากินอาหารที่มันจัด หรือหวานจัด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง แล้วถ้าใครยังเบื่ออาหารอยู่อีกละก็ ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ได้อย่างนี้แล้วน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นได้