"ฮานาย่า" อาหารญี่ปุ่นเจ้าแรกในเมืองไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มิถุนายน 2549 15:23 น. 

บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้าน"ฮานาย่า"โปร่งโล่งนั่งสบาย
       หากพูดถึงอาหารต่างชาติในเมืองไทย"อาหารญี่ปุ่น"ถือ เป็นอีกหนึ่งในรสชาติที่นักกินคนไทยพิสมัยกันไม่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้ร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรามีเปิดให้บริการกันอยู่มากมายเป็น ดอกเห็ด
      
       แต่หากพูดถึงร้านอาหารญี่ปุ่นยุคแรกๆแล้วละก้อ ร้าน"ฮานาย่า"ตรงถนนสี่พระยาถือเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นรุ่นแรกๆของเมืองไทย เพราะร้านนี้เปิดบริการมากว่า 68 ปีแล้ว
มุมซูชิบาร์ลูกค้าจะได้เพลิดเพลินไปกับการกินและดูเชฟทำอาหาร
       ปัจจุบันร้านฮานาย่ามีคุณโยชิโอะ วาตานูกิ เป็นทายาทสืบต่อกิจการและเป็นพ่อครัวมือหนึ่งในการปรุงอาหารให้ลิ้มลอง และด้วยความอยู่ยงคงกระพันระดับคลาสสิคที่รักษามาตรฐานมาโดยตลอด มื้อนี้ "ผู้จัดการตระเวนกิน" จึงมุ่งหน้าสู่ร้านฮานาย่า เพื่อลิ้มลองอาหรญี่ปุ่นในระดับตำนานอีกร้านหนึ่งในเมืองไทย
      
       ครั้นเมื่อมาถึงร้าน เราได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นทันที โดยที่ชั้นล่างจะมีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายมุม มีมุมซูซิบาร์ที่ให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปกับการกินและสามารถดูวิธีการทำอา หารของเชฟได้ไปในตัว ส่วนที่ชั้น 2 จะมีห้องส่วนตัวไว้คอยบริการ
ข้าวปั้นหน้าปลาไหล
       สำหรับอาหารญี่ปุ่นของที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ แบบต้นตำรับ แต่ก็มีบางเมนูที่ทางร้านประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการของลิ้นนักกินชาวไทย ซึ่งแต่ละเมนูล้วนแล้วแต่น่ากินๆ ทั้งนั้น
      
       อย่างที่ "ผู้จัดการตระเวนกิน" เลือกสั่งมาลองลิ้มก็มีอยู่หลายเมนู เริ่มกันที่เมนูแรกเป็น ข้าวปั้นหน้าปลาไหล (200 บาท)ที่ไม่เหมือนร้านอื่น ตรงที่เป็นปลาไหลทั้งตัวตัวยาวเหยียดบนข้าวปั้นก้อนเดียว ความพิเศษของข้าวปั้นนี้อยู่ตรงที่ข้าวปั้นเนื้อนุ่มเพราะเป็นข้าวหอมมะลิ กินเข้ากับปลาไหลที่ผ่านการอบปรุงรสจนหอม ราดด้วยน้ำซอสอีกที ส่งให้ทั้งเนื้อและหนังของปลาไหลนั้นนุ่มหวานละมุนลิ้น
      
       ต่อด้วย ข้าวหน้าเนื้อ (120 บาท) เนื้ออบเต็มชามโปะอยู่บนข้าวหอมมะลิเนื้อนุ่ม ลิ้มรสชาติแล้วต้องบอกว่าเด็ดตรงที่เนื้ออบเคี้ยวหวานนุ่มหนึบปาก เพราะทางร้านนำเนื้อที่คัดมาอย่างดีหมักกับซีอิ้วปรุงรส ใส่หอมหัวใหญ่และขิงดองแดงอบมาด้วย แถมยังมีซุปเต้าเจี้ยวที่หอมหวานให้ซดกินแก้ฝืดคออีกด้วย
ยำหอยมือเสือ
       สลับรสชาติมากันที่ ยำหอยมือเสือ (230 บาท) ทางร้านใช้หอยมือเสือที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วคลุกกับไข่ปลาซิซาโมะ ยำรวมกับสาหร่ายทะเลปรุงรสด้วยน้ำยำสูตรพิเศษ ออกมาเป็นยำหอยมือเสือที่เนื้อหอยหวานสด เคี้ยวนุ่มเด้งหนึบปาก ได้รสเปรี้ยวของเลมอนผสมอยู่
      
       ตามมาด้วย เนื้อฉลามลวก (350 บาท) เป็นเมนูน้องใหม่ที่ชวนกินเอามากๆ เนื้อฉลามขาวๆ ลวกจนสุก ลิ้มชิมรสสัมผัสได้ถึงความนุ่มยุ่ยของเนื้อฉลาม ที่ไม่คาวอย่างที่คิด เพราะตอนลวกเนื้อฉลามทางร้านจะใส่สาเกลงไปเพื่อดับกลิ่นคาว ยิ่งกินคู่กับสาหร่ายทะเลหลากชนิด และขิงดองที่เสิร์ฟมาให้กินแกล้มกัน พร้อมกับจิ้มเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นที่มีส่วนผสมของมัสตาส และน้ำส้มออกรสเปรี้ยวนิดๆ ถูกปากดีแท้
เนื้อฉลามลวก
       ส่งท้ายมื้อกับ ชุดอาหารกล่องพิเศษ (ธรรมดา150 บาท พิเศษ200 บาท) ภายในชุดประกอบไปด้วย ข้าวปั้น ปลาซาบะย่างซีอิ้ว และกับข้าวมีทั้งไข่หวาน ลูกชิ้นปลากราย กุ้งทอด ไก่ทอด ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นไก่ ปลาหมึก ขนมจีบไส้หมูและกุ้ง ลูกชิ้นห่อสาหร่าย และที่ขาดไม่ได้คือปลาดิบ มีปลาโอและปลากะพงขาว และยังมีเครื่องเคียงกินแก้เลี่ยนอย่างผักต้มรวม แมงกะพรุนดองน้ำส้ม แถมด้วยน้ำซุปใสให้ซดกินอีก เรียกว่าสั่งชุดนี้มากินอิ่มคุ้มราคาจริงๆ
ชุดอาหารกล่องพิเศษ
       นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเมนูปลาดิบสดๆ ที่น่ากิน อาทิ ชุดปลาโทโร(2,200 บาท) ชุดปลาญี่ปุ่นล้วน(1,380 บาท) ปลาญี่ปุ่นและปลาไทยเกรดเอ (820 บาท) เกรดบี (560 บาท) ปลาไทย (140 บาท) ข้าวปั้นก็มีหน้าปลาดิบญี่ปุ่น (1,300 บาท) ข้าวซูซิรวมมิตร (200 บาท) หอยนางรมย่างมายองเนส (90 บาท) ปลาซาบะย่าง (110 บาท) ปลาซาบะสเต็ก (190 บาท) พุดดิ้งชาเขียว(80 บาท) ถั่วแดงร้อนใส่ข้าวเหนียว (60 บาท) และอีกสารพัดเมนูที่รอให้มิตรรักนักชิมอาหารญี่ปุ่นมาลิ้มลองรสชาติกันด้วยตัวเองที่ร้าน “ฮานาย่า” แห่งนี้