เผยโรคหัวใจ-หลอดเลือด คร่าชีวิตคนไทยพุ่งเป็นอันดับ 3

สธ.จัดโครงการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 10,000 ราย ถวายในหลวง หลังพบคนไทยตายด้วย "โรคหัวใจและหลอดเลือด" เป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุจราจร ขณะที่อัตราการตายพุ่งถึงร้อยละ 17 สูงกว่าต่างประเทศเกิน 2 เท่า...

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยหลังประชุมวิชาการและชี้แจงนโยบายการพัฒนาระบบการรักษาผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในประเทศ แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป แพทย์และพยาบาลทั่วประเทศ จำนวนรวม 900 คน เพื่อให้ผู้ป่วยรอดชีวิตสูงขึ้น ซึ่งโรคนี้ไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าต่างประเทศ 2 เท่าตัว

นายวิทยา กล่าวว่า ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการ "10,000 ดวงใจ ปลอดภัยด้วยพระบารมี” เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ประชาชนชาวไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ในการเข้ารับบริการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โครงการดังกล่าวเป็นโครงการนำร่อง การพัฒนาระบบการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดครั้งใหญ่ในประเทศ ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม 2555–28 กุมภาพันธ์ 2556 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4.8 ล้านบาท

เนื่องจากปัจจุบันโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตของคนไทย สูงเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุจราจร โดยมีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 18,000 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 เกิดมาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากปัญหาหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน พบผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 22,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น


ด้านการศึกษาของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสถาบันโรคทรวงอก และหน่วยงานอื่นๆ ทั่วประเทศ 17 หน่วยงาน ยังพบว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง มีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 17 ซึ่งสูงกว่าต่างประเทศที่พบร้อยละ 7 หรือกว่า 2 เท่าตัว กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายเร่งพัฒนาระบบริการผู้ป่วยประเภทนี้ให้กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าจะลดอัตราการเสียชีวิตให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10

ส่วนการพัฒนาระบบการรักษาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลในสังกัด คือสถาบันโรคทรวงอก โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ รวม 244 แห่ง ให้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มเกิดอาการ โดยให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อช่วยชีวิตในระยะวิกฤติให้ปลอดภัย จนถึงขั้นการรักษาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และให้มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อในโรงพยาบาลภาครัฐอื่น ที่มีศูนย์รักษาผู้ป่วยโรคนี้ ได้แก่ โรงเรียนแพทย์ 10 แห่ง รพ.ทหารและตำรวจ 3 แห่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการต่อเนื่อง รวดเร็ว โอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น

ขณะที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า "ฮาร์ท แอทแท็ค" (Heart Attack) เป็นภาวะวิกฤติฉุกเฉิน ต้องได้รับบริการอย่างเร็วที่สุด โดยสาเหตุที่หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน เกิดจากมีไขมันหรือเนื้อเยื่อ ไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบลง พร้อมกับมีการร่อนหลุดของตะกรันดังกล่าวพร้อมกับมีลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้นอกคล้ายถูกของแหลมแทง ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลม หมดสติ อาการจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และมีโอกาสเสียชีวิตทันทีประมาณร้อยละ 30-40

ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นโรคที่รุนแรงที่ต้องได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว เพื่อให้การรักษาโดยเร็วที่สุด โดยมี 3 วิธี ได้แก่ 1. การให้ยาละลายหรือสลายลิ่มเลือด 2. การขยายหลอดเลือดแดงหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดค้ำยัน และ 3. การผ่าตัดเบี่ยงทางเดินหลอดเลือด ซึ่งจะได้ผลดีถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาภายใน 12 ชั่วโมง หลังมีอาการเจ็บหน้าอก โดยขณะนี้ ได้จัดทำคู่มือการดูแลรักษาผู้ป่วยส่งให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศ เพื่อให้การปฏิบัติมีมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง


อย่างไรก็ตาม จากรายงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พบว่า ในปี 2554 มีผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จำนวน 33,307 ราย ในจำนวนนี้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง 11,024 ราย ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องคือ การเปิดหลอดเลือดด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดร้อยละ 32 และขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนร้อยละ 14 รวม 4,700 ราย

สำหรับระบบการบริการตามโครงการนี้ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บหน้าอก ให้เรียกใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งต่อไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทุกจังหวัด เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยขั้นต้น โดยการตรวจร่างกายและคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อวินิจฉัยโรคภายใน 10 นาที หากพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง ให้ยารักษาขั้นต้นด้วยยาแอสไพรินเพื่อป้องกันเลือดแข็งตัว และส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลทั่วไปในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อให้การรักษาตามความเหมาะสมต่อไป โดยถือเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารักษาได้ในโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยไม่ต้องถามสิทธิ์ ไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า.


credit :http://www.thairath.co.th/