และแล้ว ในที่สุดผมก็มีเวลามาอัพเดทบล็อกจนได้
ขณะนี้ผมเหมาว่าทุกคนคงจะได้อ่านมาถึง6บทแล้ว และถ้าคุณสังเกต ผมจะเน้นให้ค่อยๆฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งบางคนก็อาจจะเชื่อผม แต่บางคนคงจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นแล้วก็รีบๆข้ามไป ถ้าแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอกครับ นี่เป็นเรื่องปกติของสัญชาติญานมนุษย์ ที่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ในกรณีของจิตและพลังจิต ผมต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งก่อนเพื่อให้คุณรู้ว่าทำไมเราต้องค่อยเป็นค่อยไปอยู่ดี และนั่นคือสิ่งที่ผมจะพูดถึงในบทนี้เรื่องของโครงสร้าง
ก่อนอื่น บางสิ่งบางอย่างสามารถใช้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวในการจัดการได้ เช่น โจทย์คณิตศาสตร์ การทายปริศนา การสอบข้อเขียน แต่บางอย่างแม้จะเข้าใจแต่เราต้องอาศัยโครงสร้างที่เหมาะสมถึงจะจัดการได้ครับ
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติหากเราพบคุณยายคนหนึ่งแกเดินได้ช้ามากๆจนน่าสงสาร เราอยากช่วยคุณยาย ก็เลยเรียกคุณยายมานั่งแล้วบอกวิธีเดินเร็วๆหรือวิ่งเร็วๆของนักกีฬาให้คุณยายฟัง คุณยายเข้าใจได้ไม่ยากครับ แต่พอเข้าใจแล้วแกก็เดินช้าเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะอะไรครับ เพราะโครงสร้างแกวิ่งเร็วไม่ได้!!
ไม่เพียงการเดิน แต่กิจกรรมทางกายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือการเคลื่อนไหวทุกอย่างต้องอาศัยโครงสร้างทางกายทั้งหมด นี่ใครๆก็คงเข้าใจ
แต่ในส่วนของจิตนี่สิครับ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านอกจากกายเราแล้ว ส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่กายเนื้อมันมีโครงสร้าง สำหรับคนทั่วไปไม่มีโครงสร้างทิพย์ -- เมื่อไม่รู้ว่ามีโครงสร้างย่อมไม่คิดว่าต้องอาศัยโครงสร้าง ซึ่งนั่นนำพาไปสู่ความเข้าใจผิดมากมาย
เราอาจพบ(หรือเราอาจเป็นซะเอง..อย่าไปบอกใครนะครับ)คนที่คิดว่าพลังจิตเป็นเพียงเรื่องของข้อมูล คือหากเรารู้สูตรลับของการอ่านใจ เราก็จะอ่านใจได้ทันที หรือหากเรารู้คาถาที่ถูกเราก็จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ทันที แต่จริงๆแล้ว นอกจากมิติหยาบ นอกจากกายเนื้อ มนุษย์เรายังมีโครงสร้างทิพย์ของแต่ละคน ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการใช้พลังจิตด้วยครับ ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ตามหลักเท่านั้น แต่เคยทำการทดลอง โดยเชิญคนที่ไม่เคยฝึกพลังจิตมาแล้วบอกสิ่งที่ผมทำเวลาใช้พลังจิต พวกเขาทำไม่ได้เลยครับ ในขณะที่ผมบอกวิธีเดิมให้กับคนที่โครงสร้างพร้อมแต่ไม่เคยใช้พลังจิต ก็พบว่าได้ผลในระดับหนึ่ง
และผมบอกต่อคุณไว้ ณ ที่นี้ ว่าต่อไปคุณจะพบว่าพลังจิตหลายๆประเภทไม่ต้องอาศัยเทคนิคอะไรเลย แค่โครงสร้างเราทำได้ เราก็ทำได้แล้วครับ
และด้วยลักษณะนี้เอง ที่ทำให้เกิดนักพลังจิตประเภทที่เป็นมาแต่กำเนิด คือไม่มีใครสอนวิชาเหล่านี้ให้เขา และถ้าถามพวกเขา เขาอาจไม่สามารถตอบได้ว่าเขาทำยังไง แต่เท่าที่เขารู้ เขาทำได้มาตั้งนานแล้ว
แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณเป็นเหมือนผมคือไม่ได้ใช้พลังจิตได้มาแต่แรก แต่คุณอยากทำได้ คุณต้องทำให้โครงสร้างคุณสามารถใช้พลังจิตได้ คุณต้องฝึกโครงสร้างของคุณครับ
เอาล่ะ ถ้าคุณตัดสินใจฝึกโครงสร้างจริงๆแล้วล่ะก็ ตรงนี้มีคำถามเกิดขึ้นสองประการครับ
1.โครงสร้างทิพย์เป็นยังไง
2.แล้วจะฝึกยังไง
1.รูปแบบโครงสร้างทิพย์
น่าเสียดาย ในโลกยุคปัจจุบันความรู้เรื่องเหล่านี้ยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ทำให้เรายังไม่มีระบบความรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างทิพย์ที่เป็นมาตรฐานสากล พูดง่ายๆ ต่างแนวทางก็แบ่งโครงสร้งทิพย์ไว้ไม่เหมือนกันครับ แต่ก็ยังดีที่ทันมีบางส่วนตรงกัน ซึ่งผมจะบอกคุณไว้ที่นี่ ได้แก่
1.กายเนื้อ อันนี้ผมจะไม่พูดมาก เพราะปัจจุบันมีข้อมูลเยอะเกินไปแล้ว
2.ปราณ/ออร่า ประกอบด้วยจักระหลัก,จักระรอง,เส้นทางเดินหลัก,เส้นลมปราณและจุดฝังเข็มมากมาย
3.อารมณ์ ซึ่งมีโครงสร้างที่แยกต่างหากจากโครงสร้างอื่น ทำให้เรามีการป่วยและการรักษาของอารมณ์ที่แยกจากกายระดับอื่นๆอีก และหากเราฝึกดีๆ เราสามารถรับรู้ถึงพลังงานทางอารมณ์และสลายพลังงานทางอารมณ์ที่เราไม่ต้องการได้ด้วยครับ
4.ความคิด ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมอง แต่มีโครงสร้างของมันอีกครับ ผมเคยศึกษาพบเคสหลายเคสที่บุคคลที่ทางการแพทย์ลงความเห็นว่าพิการทางสมอง(คือโครงสร้างทางสมองเสียหาย) แต่กลับมีความเชี่ยวชาญในเชิงวิชาการจนไม่มีคนปกติเทียบเท่าได้ อย่างไรก็ตาม สมองเป็นกลไกของการใช้ความคิด-- แต่ไม่ใช่ที่อยู่ของความคิด และไม่ใช่ตัวตนของโครงสร้างความคิดครับ
5.กายอื่นๆ เช่น วิญญาณ อัตตา ปรมัตถ์ฯลฯ ซึ่งผมเองยังไม่พบวิธีอธิบายที่เป็นหลักการและเข้าท่าจริงๆจนผมเริ่มสงสัยว่ามันอาจไม่มีทางอธิบายได้เลย(?) หากใครมีแนวคิดดีๆ บอกผมหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างสูง
2.แล้วจะฝึกยังไง
หลักการง่ายๆ คือฝึกให้ครบทุกโครงสร้างครับ เราต้องออกกำลัง/เหยียด/และผ่อนคลายร่างกายเพื่อฝึกกายเนื้อ เราควรฝึกหายใจด้วยวิธีการต่างๆและชำระล้างเพื่อฝึกออร่า เราต้องฝึกอารมณ์ เราต้องบริหารความสามารถในการคิด เราต้องแสวงหาความจริงและความบริสุทธิ์ ฯลฯ ซึ่งมีวิธีเยอะแยะเกินจะสาธยายได้หมดครับ คุณสามรรถที่จะไปหาวิธีเองได้ โดยผมจะให้หลักการคึอต้องสมดุลย์ วิธีที่ฝึกควรมีการเพิ่มและลด หรือการรวมเข้าและระบายออก หรือการทำงานและการพักผ่อน อย่างสมดุลย์กัน เปรียบเสมือนการหายใจ ควรหายใจเข้าและออกเท่ากันครับ พยายามหลีกเลี่ยงการฝึกที่เน้นทำงานโดยไม่พักผ่อน หลีกเลี่ยงเน้นการเพิ่มโดยไม่ลด หลีกเลี่ยงการเก็บสะสมพลังงานโดยไม่ระบาย หรือหากคุณมีวิธีเก็บพลังงานเยอะๆ คุณควรหาวิธีปล่อยพลังงานที่เยอะพอๆกันด้วย นอกจากนั้น ทุกๆระดับกายของเราควรจะได้รับการพัฒนาไปด้วยกัน ผมคงไม่ต้องเตือนว่าอย่าเอาแต่พัฒนากายเนื้ออย่างเดียว และเช่นกันสำหรับกายอื่นๆ ควรฝึกไปด้วยกันด้วยครับ
สำหรับผมเอง ผมใช้วิชาชี่กง โดยเฉพาะอี้จินจิง(คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น) ซึ่งผมชอบตรงที่มันฝึกทั้งกาย ปราณ และจิต ไปพร้อมๆกัน หรือหากใครจะชอบโยคะ ผมก็ว่าดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นสุริยะนมัสการ ปราณยามะรวมถึงพันธะ พวกนี้ดีมากๆต่อการพัฒนาโครงสร้างของเราครับ
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าถ้าจะสอนอี้จินจิงตอนนี้ มันซับซ้อนและคงใช้เวลาอีกหลายอัพมากๆกว่าจะจบ ดังนั้นผมจะสอนชี่กงพื้นฐานที่ง่ายแต่ทรงพลังมากๆ และยังสามารถฝึกจนเห็นความก้าวหน้าไปเรื่อยๆเป็นปีเลยครับ
มันคือ ท่านั่งม้า
1.ยืนตรง ผ่อนคลาย(คุณรู้ใช่ใหมว่าผมหมายถึงอะไร) ไม่ต้องใช้เวลามาก สบายๆ
2.แยกเท้าออกให้กว้างเท่าช่วงไหล่ เท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ขนานกัน
3.ย่อเข่าลงเล็กน้อย เมื่อได้ระดับแล้ว เวลาเรามองลงไป ปลายเข่าจะบังปลายเท้าไว้พอดี นิ้วเท้าต้องกางออก เท้า(และนิ้วเท้า)กดพื้นให้สนิท ไม่มีการเผยอขึ้น ผ่อนคลายช่วงขา อย่าเกร็ง
4.ตั้งตัวตรง อย่าแอ่นก้นไปด้านหลัง จริงๆมันควรจะงัดมาด้านหน้านิดๆ(นิดจริงๆ)
5.ค่อยๆยกแขนขึ้นข้างหน้า มือหันเข้าหาตัว) อย่ายกศอก หรือถ้าทำได้ให้กางไหล่ออกด้านข้าง(โดยห้ามยกไหล่ขึ้นเด็ดขาด)ผ่อนคลายไหล่กับศอก ห้ามออกแรงที่ไหล่เป็นอันขาด เมื่อทำสำเร็จ จะเป็นดังรูป(คุณผู้หญิงชุดขาวด้านล่าง)
6.ถ้าแน่ใจว่าถูกแล้ว ตามองที่ระหว่างมือทั้งสองข้าง
7.หายใจเข้านุ่มๆลึกๆยาวๆ จินตนาการแสงสีขาวแล่นตามลมหายใจเข้า ผ่านจมูก โพรงจมูก หลอดลม ปอด ผ่านปอดลงไปยังท้อง แล้วไปหยุดที่ท้องน้อยใต้สะดือเล้กน้อย ในท้อง ต่อไปจะเรียกจุดนี้ว่าจุด ตันเถียน(จุดSEA OF CHI ในภาพ(อยู่ในตัวนะ ไม่ได้อยู่บนผิวหนัง)
8.ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ นุ่มๆ ยาวๆ นึกถึงพลังเสียๆสีดำๆจากรอบๆร่างกายไหลออกไปทางลมหายใจออก
9.ทำซ้ำข้อ 7 กับ 8 ไปเรื่อยๆ จนพอใจ
นี่คือการฝึกหายใจพื้นฐานแบบเต๋า หรืออาจเรียกว่าชี่กงท่านั่งม้า แต่อย่างไรก็ตาม วิชาการฝึกพลังปราณยังมีอีกมาก ซึ่งเราจะค่อยๆสอบแบบอื่นๆให้ในคราวต่อไป ซึ่ง...ยากกว่านี้
สรุป
1.พลังจิตไม่ได้อาศัยเพียงความเข้าใจและเทคนิค แต่ต้องมีโครงสร้างที่เอื้ออำนวยด้วย
2.เราสามารถฝึกโครงสร้างให้เอื้อต่อการใช้พลังจิตได้
3.โครงสร้างมีหลายระดับ ที่คนทั่วๆไปไม่เคยรู้เลยว่ามีด้วย เราควรฝึกให้พัฒนาไปด้วยกันทุกระดับ
4.การฝึกโครงสร้าง มีหลักสำคัญคือความสมดุลย์