สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง?
จากคราวที่แล้ว ผมเกริ่นไว้ว่า นอกจากกายเนื้อที่เราบริหารด้วยการออกกำลังกายนั้น เรายังมีโครงสร้างอื่นๆอีกมากมายในมิติต่างๆ ซึ่งคนทั่วๆไปในยุคนี้ยังไม่สามารถรับรู้และเข้าใจได้ ซึ่งตัวโครงสร้างเองนั้น มีความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ
และในครั้งนี้ ผมอยากให้เราลองศึกษาความรู้ทางด้านโครงสร้างพลังชีวิต ตามหลักของชาวโรมาเนียโบราณครับ
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของผม พบว่าไม่ว่าความรู้หรือวิชาอะไร หากเราศึกษาไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจะมาถึงความจริงเดียวกัน ดังนั้น ผมสนับสนุนให้ผู้ศึกษาพลังจิตทุกคน เรียนรู้ความรู้ของศาสตร์ต่างๆ ให้กว้างๆ แล้วหาจุดร่วม จะให้ผลดีมากกว่าที่เราจะปิดตัวเองอยู่กับระบบความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งแล้วตัดสินว่าความเชื่ออื่นด้อยกว่าหรือผิดเสมอ นั่นทำให้วิญญานเราคับแคบครับ
และก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณคุณเดชจากร้านANGELS MAGICAL SHOP จรัญสนิทวงศ์ 8 ที่เอื้อเฟื้อบทความในLESSONนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน
พร้อมแล้ว? งั้นลุยเลย...
ชาวโรมาเนียแต่โบราณ มีความเชื่อเกี่ยวกับพลังชีวิต ว่าเป็นพลังงานของพระเจ้าองค์แรกในยุคดึกดำบรรพ์ ผู้ทรงแยกกลางวันกลางคืนและสร้างฤดูกาล พลังนี้ มีชื่อเรียกเป็นภาษาโรมาเนียนว่า Mi Douvals Zee หมายความว่า หัวใจแห่งพระเจ้า หรือ ชีวิตแห่งพระเจ้า (The heart, or the life of god) แต่โดยทั่วไปมักเรียกเพียง Zee หรือ ซี มนุษย์ทุกคนจะมีพลังเหล่านี้ซึมซาบอยู่ในทุกอนุภาคของร่างกาย โดยเฉพาะจะรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นในเส้นเลือดดำ และเส้นชีพจร รอวันที่จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน การฝึกฝนจะช่วยให้ได้รับพลังงานเหล่านี้จากธรรมชาติมากขึ้น และสามารถนำพลังออกมาใช้ได้ พลังซีนี้ ถือเป็นหลักการเดียวกันกับพลังชีวิตอื่นๆที่มีชื่อเรียกต่างๆกันไปในแต่ละอาณาเขต เช่น Chi (พลังชีวิต), Prana (พลังปราณ), Viril(พลังทางเพศ หรือพลังแห่งการให้กำเนิด), Telluric energy (พลังแห่งฐานพิภพ) , Earth energy (พลังแห่งโลก) ฯลฯ
The Zee Energy # 1: The First Step of Zee
พลังแห่งชีวิตขั้นที่ 1 : ก้าวแรกแห่งพลังชีวิต
ก้าวแรกแห่งการมุ่งสู่การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อใช้พลังต่างๆนั้น คือการตระหนัก รับรู้ และยอมรับการมีอยู่ของพลังประเภทนั้นๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ฝึกมากกว่าที่คิด แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไป เนื่องจาก มักคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึก และจุดมุ่งหมายของการฝึกจนเกินไปนั่นเอง แต่หากผู้ใดได้ตระหนักและยอมรับการมีอยู่ของพลังนั้นๆแล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงวิถีแห่งการใช้พลังอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ การผ่อนคลาย (Relaxation)
ชาวยิปซีส่วนใหญ่ทำงานหนักมาก (หมายถึงงานทางโลก) แต่เมื่อมีโอกาส พวกเขากลับสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ไม่มีติดขัด เนื่องเพราะพวกเขาได้ตระหนักถึงการคงอยู่ของพลังชีวิตในตัวและพลังชีวิตจากธรรมชาติรอบด้านมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขายอมรับพลังดังกล่าวอย่างเต็มที่นั่นเอง
หากคุณคาดหวังว่า เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสอนให้คุณรู้จักใช้พลังเวทย์ หรือเป็นการทำให้คุณมีเวทมนต์แล้วล่ะก็ หยุดอ่านแค่ย่อหน้านี้เถอะครับ เพื่อไม่ต้องเป็นการเสียเวลาการค้นหาพลังเวทของคุณ เพราะเนื้อหาในบทความชิ้นนี้ เป็นแค่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากจิตใต้สำนึก ที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับ เมื่อได้นั่งปฏิบัติอย่างสงบเพียงสิบหรือยี่สิบนาที ผ่อนคลายทุกส่วนสัด โดยปราศจากการรบกวนจากสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การจราจร ชีวิตประจำวัน หรือ โทรทัศน์
The Zee Energy # 2: Quietening the Mind
พลังชีวิตขั้นที่ 2 : การสงบจิตใจ
ในขั้นนี้ จะเริ่มเป็นขั้นตอนแห่งการฝึกฝน มิใช่พื้นฐานทางจิตใจดังเช่นขั้นแรกอีก ดังนั้น จะเขียนแยกเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และสามารถทำตามได้โดยไม่ข้ามขั้น
1. สถานที่ที่เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ หาที่ไหนสักแห่ง ที่คุณจะรู้สึกสบาย และผ่อนคลายเมื่อได้ไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่ซึ่งกายและจิตของคุณได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี สถานที่ๆเหมาะต่อการปฏิบัติที่สุดมิใช่ภายในอาคาร แต่ควรเป็นสถานที่สักแห่งภายนอก จะดีมากหากเราสามารถนอนบนพื้นหญ้านุ่มๆ หรือนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ ปูผ้าหรือเบาะนุ่มๆที่นั่งสบายลงไป เพื่อให้เราสามารถนั่งได้อย่างสบายที่สุดเป็นระยะเวลานานๆ และมั่นใจว่าจะต้องไม่มีใครหรือสิ่งใดจากโลกภายนอกมารบกวนเรา ณ ที่แห่งนั้น
2. ในห้องส่วนตัวก็ไม่ใช่จะใช้ไม่ได้ หากเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่ในธรรมชาติ เช่น อยู่ในเมืองใหญ่ หรือมีอันตรายข้างนอก หรือสะดวกสบายมากกว่า หากจะปฏิบัติในอาคาร ห้องที่เลือกนั้น ควรมีแสงจากธรรมชาติเข้ามาได้บ้าง และมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ควรปลูกพืชในห้องนั้นบ้าง ให้เลือกพรรณไม้ที่คุณชอบและเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตค่อนข้างสมบูรณ์ ควรเป็นห้องที่สงบ คุณสามารถอยู่ได้นานๆโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงต่างๆในชีวิตคนเมือง เช่น เสียงโทรศัพท์ เสียงจากการจราจร เสียงวิทยุ ทีวี ฯลฯ (เสียงนก เสียงลม เสียงน้ำไม่เป็นไร) ที่สำคัญคือต้องเป็นห้องที่ต้อนรับคุณ (คุณจะรู้สึกได้เองว่าห้องนั้นต้อนรับหรือไม่จากความรู้สึกชอบหรืออึดอัด) คืออยู่แล้วรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากๆ (ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน เพราะคนส่วนใหญ่ฝึกแล้วมักจะหลับไปในช่วงที่สองนี้) ไม่ควรใช้แสงจากไฟฟ้า แต่คุณสามารถจุดเทียนได้ตามต้องการ และอาจจุดกำยาน หรือธูปหรือน้ำมันหอมได้เช่นกัน ซึ่งควรเลือกกลิ่นที่ชอบและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย คุณสามารถเปิดเพลงเบาๆได้ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายและดีขึ้น แต่ต้องเปิดเบาๆแค่พอได้ยินผ่านๆนะครับ และควรเป็นเพลงสำหรับทำสมาธิ หรือสำหรับการผ่อนคลาย หรือบำบัด (อย่างที่ตามสปาชอบใช้)
3. กายสบายจิตก็สบาย คุณสามารถนั่งหรือนอนฝึกก็ได้ หากจะนั่งพื้น ควรมีเบาะนุ่มๆรองรับและมีที่พิง สามารถเหยียดแขนเหยียดขาได้ตามสบาย หรือถ้าจะนั่งเก้าอี้ ควรเป็นโซฟานุ่มๆที่มีพนักพิง และที่เท้าแขน รวมถึงมีเก้าอี้นุ่มๆสำหรับพาดขาด้วย แต่ท่าที่ผมแนะนำคือท่านอน ให้คุณนอนหงายบนฟูกหรือเบาะที่สบายที่สุด จะหนุนหมอนหรือไม่ก็ได้ตามสบาย (เอาที่สบายที่สุด เพราะการฝึกแบบนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยา) วางแขนไว้ข้างตัว เหยียดขาตรงโดยแยกขาเล็กน้อยพอสบาย ปล่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เราจะรู้สึกได้เองว่าเราเกร็งส่วนใดอยู่หรือไม่ ให้คลายให้หมด (ไม่ต้องห่วงว่าจะตกหรือล้ม เพราะเรานอนอยู่แล้ว มันไม่มีทางล้มไปกว่านี้หรอกครับ)เสื้อผ้าที่ใส่ก็พยายามเลือกที่หลวมๆและเป็นผ้าที่ใส่แล้วไม่เกิดความรำคาญ (จะไม่ใส่เลยก็ได้หากมันจะทำให้คุณรู้สึกสบายมากขึ้นไปอีก เพราะเราอยู่คนเดียวอยู่แล้ว)
4. จิตว่างไม่จำเป็นสำหรับการฝึกพลังชีวิต หลังจากคุณอยู่ในท่าที่สบายที่สุดแล้ว ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆและปล่อยออกยาวๆอย่างช้าๆเช่นกัน (หลังจากนี้ ทุกๆสิ่งที่คุณจะทำ จะทำอย่างช้าๆทั้งหมด ยิ่งช้ายิ่งดี) หายใจเข้าและออกอย่างนี้จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าเพียงพอ ไม่ต้องห่วงว่าจะเร็วหรือนานกว่าจะพอ แค่ทำไปเรื่อยๆ เวลาเป็นของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ คือ คุณไม่ต้องพยายามเคลียร์จิตใจหรือห้วงความคิดให้โล่ง ใจคุณอยากจะคิดถึงอะไรก็ปล่อยใจไป ปล่อยให้คิดเรื่องนั้นไปเรื่องเดียว ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เช่น ถ้าคุณฝึกในธรรมชาติ คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังมองไปรอบๆ ก็มองไปเถอะ รับรู้ถึงสิ่งที่เห็น ดอกไม้ ต้นหญ้าพลิ้วไสวตามสายลม เสียงนกร้อง เสียงแมลงที่บินไปบินมา หรือถ้าทำในห้องก็จะได้ยินเสียงเพลง และได้กลิ่นต่างๆที่เราจุดขึ้น เป็นต้น
5. เชื่อมต่อตัวเรากับธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตใจของคุณจะเริ่มสงบ และสงัด(หมายถึงเงียบ)ลงอย่างช้าๆ การหายใจก็จะถูกปรับระดับลงจนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องหายใจเข้าหายใจออก เพราะนี่ไม่ใช่อาณาปานสติ) ให้ค่อยๆเปลี่ยนเรื่องที่คิด (การแทรกเรื่องที่กำลังจะบอกนี้เข้าไปในความคิดเดิมก็เป็นอีกไอเดียหนึ่งที่ค่อนข้างดี) ใช้จินตนาการของคุณให้เป็นประโยชน์ ให้จินตนาการและรู้สึกตามไปด้วยอย่างช้าๆ ว่าร่างกายของคุณเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ใช่ของแข็งอย่างที่เป็น มันค่อยๆละลายลงจนคล้ายเป็นของเหลว กำแพงที่กั้นระหว่างจิตของคุณกับธรรมชาติก็ค่อยๆละลายลงด้วย (ลองนึกถึงไอศกรีมหรือเยลลี่ที่ใส่จานไว้ในห้องและค่อยๆละลายอย่างช้าๆ เรากำลังละลายแบบนั้นแหละครับ) ให้รู้สึกว่าเรากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบข้างอย่างช้าๆ(ในช่วงนี้หลายๆคนจะมีปัญหาละลายไม่ได้ อย่าท้อครับ วันนี้ไม่ได้ วันหลังก็ได้ ปกติกำแพงอันนี้มักจะหนามากน่ะครับ สำหรับการหลอมครั้งแรกอาจจะยากหน่อย)
6. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อหลอมรวมกับธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตและร่างกายของคุณจะผ่อนคลายมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากนั้นนึกภาพพลังชีวิตในธรรมชาติกำลังส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับแวววาว ซึมซาบอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศและในพื้นดินใต้ตัวคุณ ให้รู้สึกถึงพลังงานเหล่านี้ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในธรรมชาติรอบๆตัวคุณ พลังเหล่านี้ ไหลเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ากับพลังจากร่างกายและจิตของคุณ โดยพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองเหล่านั้น จะถูกสูดเข้าไปตามลมหายใจ ลงสู่ปอด เข้าสู่ท้อง และซึมซาบกระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลผ่านออกมาทางรูขุมขนทั่วร่าง จุดหลักๆที่จะสามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังชีวิตเหล่านี้ได้ดีคือ ที่จักรที่ 7 (บนกระหม่อม) ฝ่ามือ และฝ่าเท้า (พลังชีวิตจะไหลเวียนนะครับ เข้าและออก ไม่ใช่หยุดนิ่งสะสมอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือจุดเหล่านี้) คุณจะรู้สึกว่ากายและจิตของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นเมื่อมาถึงจุดนี้ (หลายๆคนมักจะหลับสนิทไปในช่วงนี้แหละครับ ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ ถึงอย่างไร เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คุณก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้วล่ะครับ)
7. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อกายและจิต ทำต่อเนื่องจากข้อที่ 6 นะครับ แต่หลังจากนี้ ให้จินตนาการและรู้สึกว่า พลังชีวิตยังคงไหลเข้ามาในร่างกายของเราตลอดเวลา แต่ซึมออกนอกร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่ซึมออกอีกต่อไป ไหลเข้าอย่างเดียวจนเติมเต็มทุกส่วนสัดของกายและจิต ซึมซาบไปทั่วทุกอณูของร่าง เต็มปริ่มอยู่ที่รูขุมขนโดยไปรั่วไหลออกไปไหน ในช่วงนี้ เราจะรู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณของเรากำลังเปล่งแสงเรืองรอง เนื่องจากมีพลังชีวิตจากธรรมชาติไหลซ่านมาหล่อเลี้ยงจนอิ่มเอิบไปทั่ว
8. เก็บกักพลังชีวิต หลังจากร่างกายของคุณเริ่มส่องสว่างจากแสงแห่งพลังชีวิตแล้ว ให้คุณค่อยๆจินตนาการถึงเกราะหรือกำแพงที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นกำแพงที่บางและงดงามกว่าตอนแรกมาก ซึ่งเราจะสามารถเปิดกำแพงนี้ออกเมื่อไรก็ตามที่ต้องการติดต่อกับธรรมชาติอีกครั้ง ในช่วงนี้ ร่างกายที่อ่อนเหลว ก็ให้จินตนาการว่ามันค่อยๆกลับเป็นของแข็ง เป็นตัวตนของคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยเก็บกักพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองไว้ภายใน หลังจากนั้น ให้จินตนาการว่า แสงเหล่านั้น ค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน เป็นลูกบอลแห่งแสงที่เจิดจ้าอยู่ในร่างกายบริเวณจักรที่4 หรือ Solar plexus (อยู่ที่ท้อง บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะดือและลิ้นปี่)
ค่อยๆเก็บมันไว้ในร่างกายของคุณโดยจินตนาการว่าบอลนี้ค่อยๆมืดลงจากการถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยร่างกายที่เป็นของแข็งของคุณ นับแต่นี้ไป บอลแห่งแสงนี้จะถูกเก็บอย่างดีและปลอดภัยภายในร่างกายของคุณจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องการใช้มันอีกครั้ง
9. รวมพลัง สำหรับการฝึกครั้งต่อๆไป ในช่วงที่ 5 ช่วงที่เรากำลังละลายนั้น ให้เราเห็นและรู้สึกถึงบอลแห่งแสงที่ค่อยๆถูกเผยออก และกระจายออกสู่ทุกส่วนสัดของร่างกาย ก่อนจะหลอมรวมและกลมกลืนกับพลังชีวิตในธรรมชาติในช่วงที่ 6
ให้ฝึกตามแบบฝึกนี้เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลา และสามารถฝึกได้ คุณสามารถฝึกได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลเสีย (ดีด้วย) ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่สามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์ทุกครั้ง เพราะคุณอาจจะเผลอหลับไปซะก่อน คุณจะไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เพราะอย่างน้อย คุณก็จะสามารถหลับได้อย่างสนิทและลึก ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก คุณจะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นเมื่อตื่นขึ้นหลังจากนั้น เพราะคุณได้พักผ่อนร่างกายและจิตอย่างเต็มที่นั่นเอง ผมขอแนะนำให้ผู้ที่ต้องการฝึก ปรินท์รายละเอียดออกไปอ่านและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียดก่อน ไม่ใช่ทำๆอยู่แล้วต้องตื่นขึ้นมาอ่าน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตได้
เป็นอย่างไรบ้างครับ แนวทางความรู้ของชาวโรมาเนีย บางคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยิน แน่นอน ผมเองก็เคย"เพิ่งเคยได้ยิน"เหมือนคุณนั่นแหละ
....และตอนนี้ผมจะบอกคุณว่า โลกนี้กว้างใหญ่นัก