ข้อเพลงมักเกิดจากการได้รับบาด เจ็บเล็กน้อย เช่น เดินข้อพลิก ข้อบิด หรือสะดุด หกล้ม เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง สามารถให้การดูแลรักษาด้วยตนเอง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 3-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ถ้าดูแล 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา หรือมีอาการปวดรุนแรงหรือสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น ก็ควรรีบไปปรึกษาหมอที่อยู่ใกล้บ้าน
ชื่อภาษาไทย : ข้อเพลง ข้อเคล็ด
ชื่อภาษาอังกฤษ : Sprains, Strains
สาเหตุ
เกิดจากเส้นเอ็น และ/หรือ กล้ามเนื้อที่ยึดอยู่รอบ ๆ ข้อต่อกระดูกมีการฉีก เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม ข้อบิด ข้อพลิก ถูกกระแทก หรือยกของหนัก
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บที่ข้อหลังได้รับบาดเจ็บทันที โดยจะเจ็บมากเวลาเคลื่อนไหวข้อ
ข้อจะมีลักษณะบวม และใช้นิ้วกดถูกเจ็บ อาจพบรอยเขียวคล้ำ หรือฟกช้ำ เนื่องจากหลอดเลือดฝอยแตกร่วมด้วย
อาการจะรุนแรงมากน้อยขึ้นกับปริมาณของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด
ข้อเพลงมักเกิดขึ้นเพียง 1 ข้อ ที่พบบ่อยได้แก่ ข้อเท้า (ทำให้เดินกะเผลก) นอกจากนี้ อาจเกิดที่ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อมือ หรือข้อนิ้ว
การแยกโรค
อาการปวดข้อ ข้อบวม ที่เกิดขึ้นฉับพลันอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่สำคัญ ได้แก่
ข้อกระดูกแตกร้าว
มักเกิดหลังได้รับบาดเจ็บและมีอาการคล้ายข้อแพลง แต่มักมีอาการรุนแรงและหายช้ากว่าข้อแพลง ในกรณีที่คิดว่าเป็นข้อแพลง ถ้าให้การดูแล 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา ก็อาจเกิดจากข้อกระดูกแตกร้าว
เกาต์
ผู้ป่วยจะมีอาการข้ออักเสบ (ข้อปวด บวม แดง ร้อน) ฉับพลัน ส่วนใหญ่เป็นที่ข้อหัวแม่เท้าเพียง 1 ข้อ บางรายอาจเป็นที่ข้อเท้าหรือข้ออื่น ๆ มักกำเริบหลังกินเลี้ยง ดื่มเหล้า หรือกินเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ผักยอดอ่อน หรือพืชหน่ออ่อนปริมาณมาก บางครั้งการบาดเจ็บที่ข้อ (เช่น เดินสะดุด หกล้ม) ก็อาจทำให้โรคเกาต์กำเริบได้ ซึ่งอาจทำให้คิดว่าเป็นเพียงข้อแพลง ผู้ป่วยโรคเกาต์บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
ไข้รูมาติก
มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จะมีอาการข้ออักเสบรุนแรง เกิดขึ้นฉับพลันที่ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ หรือข้อศอกเพียงข้อเดียว โดยไม่มีประวัติได้รับบาดเจ็บที่ข้อบางรายอาจมีประวัติเป็นไข้ เจ็บคอ หรือทอนซิลอักเสบมาก่อนปวดข้อ 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักมีไข้ร่วมด้วย
ก้อนฝีที่ข้อ
ระยะแรกที่เริ่มมีอาการบวมแดงร้อนและปวด อาจทำให้คิดว่าเป็นข้อแพลง ต่อมาฝีจะบวมเป่งเป็นก้อนชัดเจนขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีใช้ร่วมด้วย
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติได้รับบาดเจ็บที่ข้อ (เช่น ข้อพลิก เดินสะดุด หกล้ม) แล้วเกิดอาการข้อบวมและปวด เคลื่อนไหวข้อลำบาก (เช่น ข้อเท้าพลิก ทำให้เดินไม่ถนัด หรือเดินกะเผลก)
ในรายที่สงสัยข้อกระดูกแตกร้าวหรือหักแพทย์จะทำการเอกซเรย์
ในรายที่สงสัยเป็นข้ออักเสบจากสาเหตุอื่น อาจต้องทำการตรวจเลือด หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม
การดูแลตนเอง
1.พักการใช้ข้อที่แพลง กล่าวคือ ให้ข้อนั้นอยู่นิ่ง ๆ ขยับเขยื้อนให้น้อยที่สุด
- ถ้าข้อเท้าแพลงก็พยายามหลีกเลี่ยงการเดินหรือยืนด้วยเท้าข้างที่บาดเจ็บ และยกให้สูง (เวลานอนก็ใช้หมอนรองให้สูง หรือเวลานั่งควรยกเท้าวางบนโต๊ะ หรือเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง อย่าห้อยเท้าลง
- ถ้าข้อมือแพลง ควรยกข้อมือให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ โดยใช้ผ้าคล้องคอ และอย่าใช้ข้อมือข้างนั้น
2.ในกรณีที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บในระยะ 48 ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็น (ถ้าเป็นที่ข้อเท้า อาจใช้เท้าแช่ในน้ำเย็น) นาน 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมและปวด
3.ถ้าปวดมาก ให้กินยาพาราเซตามอลบรรเทา
4.ในระยะหลังบาดเจ็บ 48 ชั่วโมงไปแล้วหรือ เมื่อข้อบวมเต็มที่แล้ว ให้ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ นาน 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการอักเสบ อาจใช้ขี้ผึ้ง น้ำมันระกำ ยาหม่องหรือเจลทาแก้ข้ออักเสบ ทานวด
5.ถ้าเป็นมากจนเคลื่อนไหวข้อนั้นไม่ได้เลย หรือสงสัยกระดูกแตกร้าว หรือเส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อขาด หรือดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นให้รีบไปหาหมอ
การรักษา
นอกจากแนะนำให้ดูแลตนเองดังกล่าวแล้ว บางรายแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) และอาจใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันรอบข้อที่แพลงพอแน่น เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อและลดบวม
ในรายที่พบว่ามีข้อแพลงรุนแรง อาจต้องเข้าเฝือกหรือพบว่ามีการขาดของเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ก็อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดซ่อมแซม
ภาวะแทรกซ้อน
มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ยกเว้นในรายที่ดูแลตนเองไม่ถูกต้อง (เช่น ไม่ค่อยได้พักข้อที่แพลง) อาจมีอาการบวมเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ หรือทำให้ข้อเสื่อมเร็ว
การดำเนินโรค
เมื่อได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาการปวดจะทุเลาขึ้นภายใน 2-3 วัน และอาการปวดและบวมจะลดน้อยลงชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์ และหายขาดภายใน 3-4 สัปดาห์
ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องหรือยังฝืนใช้งานข้อที่แพลงต่อไป ก็อาจเรื้อรังเป็นเวลา 2-3 เดือนขึ้นไป
การป้องกัน
1.หมั่นบริหารข้อต่าง ๆ ด้วยวิธียืดเหยียดข้อต่าง ๆ เป็นประจำ
2.ป้องกัน ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ เช่น อย่าเดินบนพื้นผิวขรุขระ หรือในที่มืดสลัว หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ควรสวมใส่รองเท้าที่กระชับพอเหมาะ
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก