“ต้องกินยาลดความดันโลหิต สูงถึงเมื่อไหร่?” คำถามนี้เป็นคำถามที่ดิฉันได้รับฟังอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ที่เข้ารับการรักษาจนกระทั่งควบคุมความดันได้อยู่ในระดับปกติแล้วมักไม่มี อาการใดๆ หรือแม้แต่ผู้ที่ยังไม่สามารถคุมความดันโลหิตได้ในระดับปกติหลายรายก็ไม่มี อาการแสดงทางคลินิกใดๆ ให้เห็น จึงไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดคำถามนี้จึงเป็นคำถามยอดฮิตสำหรับคนกลุ่มนี้ และก่อนที่จะตอบคำถามนี้ดิฉันจะอธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงโรคนี้คร่าวๆ ก่อนนะคะ
ความดันโลหิตคืออะไร ?
ลองจินตนาการถึงภาพสายยางรดน้ำต้นไม้ ที่มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อก เมื่อเปิดน้ำเต็มที่ น้ำไหลผ่านสายยาง ย่อมทำให้เกิดแรงดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อก น้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด ก็เป็นระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายที่มีหัวใจทำหน้าที่คล้ายก๊อก หรือปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง นอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของหลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีก็จะปรับความดันได้ดีไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือแข็งตัวก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ลองจินตนาการถึงภาพสายยางรดน้ำต้นไม้ ที่มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อก เมื่อเปิดน้ำเต็มที่ น้ำไหลผ่านสายยาง ย่อมทำให้เกิดแรงดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อก น้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด ก็เป็นระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายที่มีหัวใจทำหน้าที่คล้ายก๊อก หรือปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง นอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของหลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีก็จะปรับความดันได้ดีไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือแข็งตัวก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ค่าความดันโลหิตจะมีสองค่าเสมอ เรียกว่า “ตัวบน” และ “ตัวล่าง” ค่าแรกเป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวไล่เลือดออก จากหัวใจ ส่วนตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้เพราะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไป กว่ากัน
ความดันโลหิตเท่าไรเรียกว่าปกติ? ปัจจุบันความดันโลหิตที่เรียกว่า “เหมาะสม” ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน 120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอท เรียกสั้นๆว่า 120/80 ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย ควรติดตามอย่างใกล้ชิด คือ 120-139/80-89 มม.ปรอท จะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเรียกว่ามีความดันโลหิตสูงได้นั้น แพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆ ครั้ง หลังจากให้ผู้นั้นพักแล้ว วัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และที่สำคัญเทคนิคการวัดต้องถูกต้องด้วย
การจำแนก | ความดันโลหิต "ตัวบน" | ความดันโลหิต "ตัวล่าง" | |
(มม.ปรอท) | (มม.ปรอท) | ||
ความดันโลหิตที่เหมาะสม | < 120 | และ | < 80 |
ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย | 120-139 | หรือ | 80-89 |
ความดันโลหิตสูง | |||
ระดับที่ 1 | 140-159 | หรือ | 90-99 |
ระดับที่ 2 | >160 | หรือ | >100 |
ความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร? มีอาการอย่างไร? จนถึงปัจจุบันนี้ความดัน โลหิตสูงก็ยังเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารรสเค็ม เชื้อชาติ มีเพียงส่วนน้อย (ต่ำกว่าร้อยละ 5) ที่ทราบสาเหตุ ได้แก่ ความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย หรือ เนื้องอกบางชนิด ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็น “ฆาตกรเงียบ” เนื่องจากผู้ที่เป็นส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง บางรายแม้จะทราบดีว่าตัวเองเป็นความดันโลหิตสูงแต่กลับละเลยไม่ใส่ใจรักษา อย่างต่อเนื่องเพราะรู้สึกปกติ สบายดี ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆ ตามมาภายหลัง มีส่วนน้อยที่มีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ
ทำไมต้องลดความดันโลหิต ? การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของ หลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดเลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต จึงทำให้หลอดเลือดสมองแตก หรือตีบตัน เป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โรคหัวใจขาดเลือด ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วความดันโลหิตสูงยังทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น นานเข้าก็จะเกิดภาวะหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา ซึ่งอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายตามมาได้ ดังนี้แล้วจะเห็นได้ว่าการละเลยไม่สนใจรักษาโรคนี้ก็จะมีโทษต่อตนเองในอนาคต ได้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแต่เป็นภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมความดันโลหิต
ทำไมต้องกินยาลดความดันหลายตัว? มีหลายท่านสงสัยว่าทำไมบางคนกินยาลดความดันชนิดเดียว บางคนกินตั้งหลายชนิด บ้างก็ 2 บ้างก็ 3 บ้างก็ 4 คุณหมอพิจารณาจากอะไร อันนี้มีคำตอบ คุณหมอไม่ได้ให้แบบไร้เหตุผลหรอกนะคะ ดิฉันจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงหลักการให้ยาลดความดันโลหิต ดังนี้
การเลือกชนิดของยาความดันโลหิตสำหรับแต่ละรายขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่ ระดับความดันโลหิตของคนผู้นั้นขณะได้รับการวินิฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง โรคที่เป็นร่วมด้วยในขณะนั้น ความทนได้ต่อยา สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ป่วย
เลือกให้ยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมได้ 24 ชั่วโมง จะได้กินยาเพียงวันละครั้ง ไม่ลืมกินยา และควบคุมความดันได้สม่ำเสมอทั้งวัน
เริ่มให้ยาขนาดต่ำเพียง 1 ชนิด และถ้าผู้นั้นสามารถทนต่อยาได้ดีจึงจะเพิ่มขนาดยาเป็นขนาดกลาง และให้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะปรับขนาดยาขึ้น เพื่อรอให้ผลลดความดันโลหิตจากยาแต่ละขนาดเกิดขึ้นอย่างเต็มที่เสียก่อน
กรณีที่ความดันโลหิตของคนๆ นั้นยังไม่ลดลงตามต้องการ อาจเปลี่ยนกลุ่มยา หรือเพิ่มขนาดยา หรือเสริมยาตัวที่สองในขนาดต่ำเข้าไปอีก โดยการเลือกยาตัวที่สองจะต้องช่วยเสริมฤทธิ์ยาตัวแรก โดยที่ไม่เกิดอาการข้างเคียงจากยาเพิ่มขึ้น หรือเกิดน้อยที่สุด
จะเห็นได้ว่าการให้ยาสำหรับผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงแต่ละรายอาจเหมือนหรือ ต่างกันไปตามความเหมาะสม และการตอบสนองต่อยาของผู้นั้นเอง ดังนั้นคุณไม่ควรเปรียบเทียบว่าทำไมได้รับยาไม่เท่าเทียมกัน และไม่ควรนำยาของตนไปให้คนอื่นกินโดยเด็ดขาด
จากรายละเอียดทั้งหมดที่ได้กล่าวไปคงเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “ต้องกินยาลดความดันโลหิตสูงถึงเมื่อไหร่?” ได้แล้วนะคะ หากท่านรู้สึกไม่อยากกินยา เบื่อหน่ายกับการกินยาตลอดชีวิต ให้จำไว้ว่า การรักษาความดันโลหิตสูงในวันนี้ คือการซื้อประกันสุขภาพ เพื่อที่จะลดโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตลงให้มากที่สุดนั่นเอง
credit เหมียว CHANEL Bloggang.com