ขออัพเดทการเสียบยอดมะเขือยาวบนต้นมะเขือพวงเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมาให้ดูครับ
ผ่านไป 10 วัน รอดแล้วครับ เริ่มแตกยอดเล็กๆออกมา 1 ยอด ยอดด้านบนเหี่ยว ต้องตัดทิ้งไป
รอวันเจริญเติบโตครับ
ป่าวประกาศนิดหนึ่ง...
ช่วง นี้ผมมีงานล้นมือ จะว่างเฉพาะกลางคืน บางครั้งอาจไม่ได้เข้าไปชมบล็อกเพื่อนๆได้ทั่วถึง ก็ขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วย แต่จะพยายามหาเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์ สร้างบล็อกใหม่ตุนไว้ให้ได้ดูกันเป็นระยะๆอีกต่อไป
ช่วงที่ฝนฟ้าตกชุก ส่งผลให้ผืนดินที่ค่อนข้างแข็งและแห้งหลังบ้านผมมีสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งค่อยๆแทงหน่อขึ้นมามากมาย
เจ้าสิ่งที่ว่านี้มันคือ ต้นกระทือ
ซึ่งจัดเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยาหลายขนาน
ต้นอ่อนๆแบบนี้ละ จะได้หัวอ่อนๆ น่ากินมาก
ส่วนตรงนี้..ไม่ค่อยงามเท่าไหร่ เนื่องจากพื้นดินค่อนข้างแข็ง มีลูกกรวดผสม
เท่าที่ผมรู้จัก กระทือ มีอยู่ 2 สายพันธุ์ ที่เห็นอยู่นี่แถวบ้านผมจะเรียกว่า
"หัวทือพร้าว" ลำต้นแกมเขียว นิยมกินมากกว่าอีกชนิดที่เรียกว่า "หัวทือแมว" ที่บริเวณโคนต้นค่อนข้างไปทางสีม่วงอ่อนๆคล้ายต้นข่า (ดูรายละเอียด "หัวทือแมว" ที่ท้ายบล็อก)
เช้าวันนี้..ผืนดินชุ่มฉ่ำ ได้เวลาที่ผมจะถอนหน่อกระทือขึ้นมาแล้ว
หน่อ กระทือถอนง่าย ได้มาแล้วเราจะเอาแต่หัวที่อ่อนๆ ส่วนที่เป็นเหง้าเดิมก็ทิ้งไป ไม่ต้องฝังเพิ่ม เพราะเหง้าแก่ใต้ดินยังเหลืออยู่อีกเยอะแยะ
นี่ไงครับ เหง้าที่โผล่พ้นดินขึ้นมา ถ้าได้ฝนชุกหน่อย ก็จะแตกหน่ออ่อนออกมาภายหลัง
เมื่อถอนมาแล้ว เอาน้ำฉีดดินที่ติดมากับหัวกระทือออกให้หมด
จากนั้นก็มาปอกลำต้น และใช้มีดบางคมๆปอกเปลือกที่หัวมันออก
ได้ทั้งหน่ออ่อนๆ และหัวอ่อนๆ หน่ออ่อนๆ นำไปลวกจิ้มน้ำพริกอร่อยมาก
บ้านเก่าที่ตะกั่วป่า ดินจะอุดมสมบูรณ์กว่าที่ภูเก็ต ต้นกระทือต้นจะใหญ่มาก นิยมเอาต้นอ่อนมาต้มกะทิกิน อร่อยอย่าบอกใคร
จับกระทือสมุนไพรไทยมาเฉิดไฉไลบนโต๊ะอาหาร แสดงว่าวันนี้ผมจะทำอาหารที่ประกอบไปด้วยหัวกระทืองั้นสิ!!
ใช่ แล้ว! งั้นมาหั่นหัวกระทือกับผมดีกว่า (เห็นภาพ ถ้าไม่บอก คิดว่าเป็นหั่นขิงไปทำไก่ผัดขิง หมูผัดขิง ใช่ไหมละนี่) แต่..อย่านะ ถ้าไม่เคยชิม ขอบอกว่ามันขม(พอประมาณ) ซึ่งของขมทุกอย่างเป็นของโปรดของผม ยกเว้นรักขม 555
อ้อ..แว่นข้างๆที่เหลือนะเอาไว้จิ้มน้ำพริกกะปิ มันขมก็จริงนะ แต่เมื่อเจอกับน้ำพริกกะปิรสแซ่บจากฝีมือการตำของผม ความขมขื่นก็จะหายไปเหมือนเอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง ให้มันไหลลง ไหลลง ไหลลงทะเล
อ้าว..เผลอเป็นเพลงได้ไงเนี่ย คนเขียนบล็อกอารมณ์ดีก็งี้แหละ ไปได้เรื่อยเปื่อยนิ
หั่นเสร็จแล้ว..ต้องเอาความขม ไปพบกับความเค็มของเกลือ
ขยำ หัวกระทือกับเกลือให้มันเข้ากัน ขยำแรงๆ จนน้ำในหัวกระทือไหลออกมาแบบนี้ จากนั้นก็นำไปล้างหลายๆน้ำ เพื่อให้ความเค็มหมดไป ก่อนจะแช่น้ำทิ้งไว้พักหนึ่ง
ระหว่างนั้นก็หันมาตำน้ำพริกกะปิพลางๆ พร้อมทั้งลวกต้นกระทือไปด้วย
เสร็จไปแล้ว 1 เมนู น้ำพริกกะปิ กินกับหัวกระทืออ่อน และต้นกระทืออ่อนลวก
ลำดับต่อไป เตรียมทำแกงกะทิหัวกระทือกับหมูสามชั้น
เครื่องเคราพร้อมเพรียง
รวน หมูกับเครื่องแกงผสมน้ำให้สุกก่อน ชิมรสได้ที่กลมกล่อมดีแล้วก็เติมหัวกระทือลงไปพร้อมกับหัวกะทิก้อนและใบ มะกรูด คนให้เข้ากันจนเดือดอีกครั้ง
สุด ท้ายได้แกงกะทิหมูด้วยหัวกระทือหน้าตาประมาณนี้ ด้วยรสชาติ..หอมหัวกระทือ เผ็ดนิดหน่อย หวานมันน้ำแกงจากหัวกะทิ หัวกระทือมีรสขมเพียงนิดเดียว เนื่องจากได้บีบน้ำขมของมันทิ้งไปเกือบหมดแล้ว
อยากจะบอกว่า..ไม่ใช่ หากินกันได้ง่ายๆนะครับ ต่อให้คุณควานหาจนทั่วเกาะภูเก็ต รับรองหาไม่เจอหรอก ไม่ค่อยมีใครแกงขายกัน เพราะหัวกระทือหายากกว่าขี้เหล็กเสียอีก (เนื่องจากพื้นดินที่หัวกระทือเคยขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปปลูกบ้านจัดสรร สร้างสนามกอล์ฟ ปลูกรีสอร์ท หรือปลูกอย่างอื่นกันหมดแล้ว ถ้าเป็นสวนยาง สวนปาล์ม ก็มักจะโดนยาฆ่าหญ้าตายเกลี้ยง)
และถ้าไม่ใช่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือรุ่นประมาณผม (ที่ผ่านชีวิตมาพอสมควร) ก็ทำกินกันไม่เป็นหรอก หรือไม่กิน..เพราะว่ามันมีรสขมเจือปนอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าหากอยากกิน หน้าฝนนี้ มาภูเก็ต ผมแว่วๆว่ามีร้านอาหารร้านหนึ่งในซอยน้ำตกกะทู้ (จำชื่อร้านไม่ได้ซะแล้ว) เขามีเมนูนี้อยู่เป็นประจำนะ
(คห.ที่ 8 แจ้งมาแล้วครับ ว่าชื่อ "ครัวไพลิน") ขอบคุณครับ
อ๊ะๆ ทำครั้งแรก พ่อตาบอกว่าหรอยมาก กินข้าวได้ 3 ชาม อีกไม่กี่วันต่อมา ผมเลยจัดแจงอีกครั้ง
รู้สึกว่าคราวก่อน หั่นหัวกระทือละเอียดไปหน่อย มันไม่ค่อยขมเท่าไหร่ คราวนี้จึงขอหั่นแบบชิ้นใหญ่ๆ
มื้อนี้ผมจะทำแกงคั่วไก่หัวกระทือบ้างนะ
ผมคั่วจนเหลือแต่น้ำขลุกขลิก
ตักใส่สำรับ เพื่อเอาไปเฉิดไ