เปิดเคล็ดลับชะลอชรา ผู้เชี่ยวชาญแนะสูตรฟื้นสุขภาพทุกช่วงวัย (ไทยโพสต์)
เมื่อ อายุเริ่มล่วงเข้าสู่วัยกลางคน หลายคนเริ่มปรากฏอาการของความชราภาพให้เห็น กระทั่งลุกจากเก้าอี้ก็ยังยาก ขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็ยืนพักหายใจหอบ บางคนเกรงว่าตัวเองกำลังแก่เร็วเกินอายุจริง บางคนตัวยังไม่แก่แต่สังขารบางส่วนของร่างกายเริ่มส่อวี่แววของความสึกหรอ แม้ร่างกายยังดูเป็นปกติดี แต่ความจำและความสามารถในการคิดทำท่าเสื่อมลงตั้งแต่อายุแค่ 45
หลายคนอยากรู้ว่า อาการของตัวเองเมื่อเทียบกับวัย ถือว่าเข้าใกล้ความแก่แล้วหรือไม่ อาการอย่างไหนถือว่าปกติ แบบไหนถือว่าไม่ปกติ
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ในแต่ละช่วงวัยของคนเรานั้น สิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่ปกติ จะผันแปรแตกต่างกันไป อวัยวะบางส่วนอาจเข้าสู่ภาวะชราภาพเร็วกว่าอายุจริงราว 5-10 ปี แต่ทั้งหมดนี้มีเคล็ดลับที่จะฟื้นฟูสภาพให้กลับคืนมาได้
ช่วงอายุ 30-50 ปี
ทิม อัลลาร์ไดซ์ แห่งสมาคมโรคกระดูกอังกฤษ บอกว่า อาการเหล่านี้แสดงว่าข้อต่อหรือหลังเริ่มเสื่อมสภาพ อาจเกิดจากการบาดเจ็บ หรือขาดการออกกำลังกาย หรือนั่งผิดท่า รวมทั้งโรคอ้วน
คำแนะนำ : อย่านั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน หรือนั่งตัวงองุ้มขณะใช้โน้ตบุ๊ก, เมื่อไปออกกำลังกายควรสวมรองเท้าที่ออกแบบโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดที่ข้อ, หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวในท่าเดิมซ้ำ ๆ มากเกินไป เช่น วิ่งระยะทางไกล ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาที่ข้อ
ช่วงอายุ 50-70 ปี
ทิม อัลลาร์ไดซ์ บอกว่า เมื่ออายุเลย 50 ปีขึ้นไป กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะไม่แข็งแรง เริ่มเสื่อมสภาพ แต่นั่นก็ไม่เป็นเหตุให้ใช้ชีวิตประจำวันยากลำบากขึ้น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าข้อต่อได้เสื่อมสภาพก่อนวัย
คำแนะนำ : ออกกำลังกายในลักษณะเพิ่มความยืดหยุ่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน, กินน้ำมันปลา ซึ่งช่วยลดการอักเสบและอาการปวดข้อได้
อายุ 70 ปีขึ้นไป
อัลลาร์ไดซ์บอกว่า คนในวัยนี้มักมีอาการข้อเข่าเสื่อม ปวดเข่าเมื่อขึ้นลงบันไดหรือถือสิ่งของ และอาการหายใจไม่ทันก็ควรระวัง เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจ
คำแนะนำ : ออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา, คนในวัยนี้จะรู้สึกอยากอาหารน้อยลง ทำให้ดื่มน้ำน้อยและกินน้อย ร่างกายขาดน้ำ ควรดื่มน้ำและกินให้มากขึ้นเพื่อให้มีแรง
ช่วงอายุ 30-50 ปี
ดร.แคทริโอนา มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความจำของมหาวิทยาลัยลีดส์ บอกว่า ปัญหาเรื่องความจำเป็นส่วนหนึ่งของภาวะชราภาพ จึงไม่ต้องกังวลเมื่อเริ่มหลงลืม สมองจะหดตัวเมื่อแก่ลงจนถึงอายุ 80 ปี น้ำหนักของสมองจะลดลง 15% หากมีปัญหาเรื่องความจำอย่างรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อม
คำแนะนำ : ถ้าเราไม่ใช้งานสมองก็จะฝ่อ ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมอง และควรทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง เช่น เข้าร้านอาหารที่ไม่เคยเข้า เพราะใยประสาทจะสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ เมื่อเรากำลังเรียนรู้หรือทำอะไรใหม่ ๆ
ช่วงอายุ 50-70 ปี
ดร.โอลิเวอร์ ค็อกเคอเรล นักประสาทวิทยาแห่งเดอะลอนดอนคลินิก บอกว่า เรามักสูญเสียความจำระยะสั้นได้ง่าย แต่ถ้ามีปัญหาความจำอย่างหนักก็อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อม ซึ่งพบมากในคนวัย 65 ขึ้นไป
คำแนะนำ : การออกกำลังกายช่วยเก็บรักษาความทรงจำ และลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมได้
อายุ 70 ปีขึ้นไป
ดร.มอร์ริสัน บอกว่า ปัญหาความจำจะมีลักษณะไม่ต่างกันในคนต่างช่วงอายุ เพียงแต่จะรุนแรงขึ้น คนอายุ 65 มีอัตราของโรคสมองเสื่อม 5% เมื่ออายุ 80 อัตรานี้จะเพิ่มเป็น 20%
คำแนะนำ : ใช้หัวคิดบ่อย ๆ เช่น พูดคุย หรือเล่นปริศนาอักษรไขว้
หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด เพราะผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสองเท่าที่จะมีปัญหาความจำ น้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังจะทำลายเซลล์สมอง
ช่วงอายุ 30-50 ปี
ดร.ไนเจล คาร์เตอร์ แห่งมูลนิธิสุขภาพฟันอังกฤษ บอกว่า เมื่ออายุมากขึ้นฟันของเราจะเกิดคราบเปื้อนโดยธรรมชาติ เพราะผลึกในเคลือบฟันได้แตกหลุดไป ทำให้ชาหรือไวน์แทรกซึมได้
แต่การสูญเสียฟันในช่วงวัยนี้ถือเป็นภาวะชราก่อนวัย ซึ่งมักเกิดเพราะโรคเหงือก การบดหรือขบฟันเพราะความเครียดจะทำให้ฟันสึกก่อนวัย
คำแนะนำ : การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะช่วยลดโอกาสของการเป็นโรคเหงือกได้ และควรใช้ไหมขัดฟัน
ช่วงอายุ 50-70 ปี
ดร.คาร์เตอร์บอกว่า อาการเหงือกร่นทำให้ฟันดูยาวขึ้น ถ้าเหงือกร่นจนถึงคอฟันหรือเกือบถึงรากฟันในบริเวณเหนือเคลือบฟัน ฟันอาจหลุดได้ เพราะรากไม่ได้รับการปกป้อง
คำแนะนำ : คำแนะนำ : ต้องใช้วิธีการป้องกันตามหลักอนามัยช่องปากก่อนที่จะมาถึงจุดนี้
อายุ 70 ปีขึ้นไป
คำแนะนำ : ใช้เจลหรือสเปรย์ช่วยลดอาการปากแห้ง
ช่วงอายุ 30-50 ปี
กล้ามเนื้อหัวใจจะหดตัวเฉลี่ย 0.3 กรัมต่อปีเมื่อล่วงเข้าวัยกลางคน ส่งผลต่อการสูบฉีดโลหิต ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และมีอาการหอบฮัก
การออกกำลังกายส่งผลดีต่อหัวใจ การไม่ออกกำลังกายเป็นเหตุให้ผู้คนราว 1 ใน 5 เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
คำแนะนำ : ควรออกกำลังกายหนักปานกลางวันละ 30 นาที เช่น เดินจนรู้สึกเหนื่อย สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน การออกกำลังควรทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที
ช่วงอายุ 50-70 ปี
ดร.ทอม คริสป์ แพทย์ด้านการกีฬาแห่งคลินิกบูปา บอกว่า อาการหน้ามืดตาลายบ่งบอกว่า หัวใจและการหมุนเวียนโลหิตไม่สามารถปรับสภาพได้ และคนคนนั้นอาจเป็นโรคหัวใจร่วมหลอดเลือด ถ้าเส้นเลือดหัวใจตีบร่างกายก็จะใช้เวลาปรับสภาพนานขึ้น
คำแนะนำ : เดินจ้ำ, ทำสวน, เดินสายพาน, ไม่นั่งนานเกิน 30 นาที ไม่ว่าเป็นการนั่งหน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์ หรือนั่งขับรถ
อายุ 70 ปีขึ้นไป
คำแนะนำ : ทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย
ช่วงอายุ 30-50 ปี
การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากอายุ เกิดจากเซลล์ "ขน" ในหูชั้นในได้ตายไป แต่การมีคนในครอบครัวมีอาการนี้ หรือการได้ยินเสียงดังตลอดเวลา หรือการสูบบุหรี่ ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาก่อนอายุ 55 ปี
คำแนะนำ : การสูญเสียการได้ยินก่อนวัย มักเกิดจากการฟังเพลงเสียงดัง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้หูฟังเพื่อลดเสียงดังรอบข้าง เราจะได้ไม่ต้องเปิดเพลงดังลั่น
ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุเกิน 55 ปี เป็นเรื่องธรรมดาที่จะสูญเสียการได้ยินเนื่องจากความสูงวัย และเมื่อมีอายุถึง 70 ปี ผู้คนราว 70% จะมีอาการนี้ แต่ในบางกรณีซึ่งพบได้ยากนั้น การสูญเสียการได้ยินของหูข้างหนึ่ง พร้อมมีอาการหูอื้อ คลื่นไส้ ตาลาย อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกในหูชั้นใน
คำแนะนำ : ใช้เครื่องช่วยฟัง
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ผู้คนมักไม่ยอมใช้เครื่องช่วยฟังจนกระทั่งวัยล่วงเข้า 70 ตอนกลาง แต่ถ้าเราใช้แต่เนิ่น ๆ สมองจะปรับตัว ถ้ามัวแต่รอจนแก่ เซลล์สมองจะตีความเสียงด้วยความยากลำบาก
ช่วงอายุ 30-50 ปี
โซนัล รูกานี แพทย์วัดสายตา สถาบันคนตาบอดแห่งชาติ อังกฤษ บอกว่า การอ่านตัวหนังสือขนาดเล็กได้ยาก เป็นสัญญาณของการสูญเสียการมองเห็น เนื่องจากเลนส์ตามีความยืดหยุ่นน้อยลง
การมองเห็นภาพพร่ามัวอาจเป็นสัญญาณของโรคต้อ มักเกิดกับคนในวัย 70 แต่บางคนเริ่มมีอาการตั้งแต่วัย 50 เนื่องจากโรคเบาหวาน ขณะที่โรคต้อหินมักเกิดในวัย 70
คำแนะนำ : การสูบบุหรี่เร่งให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับดวงตา จึงควรเลิกสูบเสีย
ช่วงอายุ 50-70 ปี
ในช่วงวัยนี้มักเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เห็นภาพเบลอ เนื่องจากความผันผวนของระดับน้ำตาล
การมองเห็นเส้นตรงเป็นเส้นหยักเป็นสัญญาณของอาการกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการตาบอด
กล้ามเนื้อเสื่อมสภาพมักเกิดขึ้นในวัย 70 การสูบบุหรี่ หรือการมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ อาจทำให้กล้ามเนื้อเสื่อมเร็วขึ้น
คำแนะนำ : ตรวจสอบดวงตาคราวละหนึ่งข้าง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถมองเห็นเส้นตรงในแนวดิ่งได้ หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ จะสามารถป้องกันโรคกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพได้ ระวังการกินไขมัน และพยายามกินกรดไขมันโอเมกา-ทรี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพได้
อายุ 70 ปีขึ้นไป
คำแนะนำ : ควรตรวจวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ตาบอด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก