ปรับไลฟ์สไตล์ต้านมะเร็ง



ออกกำลังกาย

ปรับไลฟ์สไตล์ต้านมะเร็ง (Healthplus)

          ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราแปรปรวน เปลี่ยนแปลง และแตกต่างไปจากคนสมัยก่อนมาก ไหนจะชั่วโมงทำงานที่ยาวนานจนดึกดื่น ความเครียด ความเร่งรีบ ทำให้กิน-นอนไม่เป็นเวลา อาหารหลักที่กินคืออาหารสำเร็จรูป การอยู่ท่ามกลางมลพิษ และสารเคมีต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเกือบทุกกิจกรรม ทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญทำให้สุขภาพเราย่ำแย่ โรคภัยพากันถามหามากมาย

          หนึ่งในนั้น คือ มะเร็งร้าย ที่เชื่อกันว่า รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้น แม้วิทยาการทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้สองในสามของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกมี ชีวิตอยู่ต่ออย่างน้อยอีก 5 ปี แต่ขั้นตอนการรักษามะเร็งก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อยด้วยเหตุนี้ จึงมีคนจำนวนมากปฏิเสธการแพทย์สมัยใหม่ แล้วหันไปพึ่งการแพทย์ทางเลือกแทน

          โดยทั่วไปผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง จะต้องพบเจอกับปัญหาสุขภาพต่างจากคนทั่วไป มีภูมิต้านทานต่ำ หลังจากการรักษามะเร็งพวกเขามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีก มากพอ ๆ กับโอกาสเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน กระดูกพรุนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ จากผลการวิจัยทำให้ทราบว่าการกินดีอยู่ดีและมีชีวิตเรียบง่ายนั้นช่วยให้ ปลอดภัยจากมะเร็งได้ โดยวิถีสีเขียวช่วยป้องกันโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นได้

          สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกาและสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา ได้ออกคำแนะนำแก่ผู้ป่วยมะเร็งว่า ให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เหมาะสมต่อสุขภาพในระยะยาว รวมทั้งปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม หากไม่อยากเจ็บปวดจากมะเร็ง ลองนำแนวทางการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อไปนี้ไปปฏิบัติดู

โภชนาการ

          กินอาหารที่อุดมไปด้วยพืชผักหลากสี ทั้งผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว อาหารทุกมื้อจะต้องมีผักมากถึงสองในสาม และโปรตีนเพียงหนึ่งในสาม (จากทั้งเนื้อ สัตว์ปีก ปลา นม และไข่)

          เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและเกลือต่ำ เลือกใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนเครื่องปรุงรส เช่น กระเทียม ขมิ้น และกระเพรา เลือกไขมันดีจากน้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคาร์โนลา และกรดไขมันโอเมก้า 3 จากปลา วอลนัท และแฟล็กซ์สีด

          กินอาหารปลอดเนื้อสัตว์สองถึงสามมื้อต่อสัปดาห์ อาจเป็นผัดเต้าหู้ ลาซานญาเห็ด ผัดมะเขือยาว ซุปเห็ดหรือซุปถั่ว

          มะเขือเทศ มีไลโคปีนหรือสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ไลโคปีนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งจากมะเขือเทศดิบและสุกทั้งยังช่วย ป้องกันโรคหัวใจและลดระดับคอเลสเตอรอลได้

การควบคุมน้ำหนัก

          รักษาน้ำหนักให้คงที่เสมอ ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังการรักษามะเร็ง ให้รีบลดน้ำหนักทันที แต่ต้องไม่เกินสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ควรกินเมื่อหิว และกินแค่พอใช้พลังงานทำกิจกรรม แต่ละวัน ถ้าเบื่อหรือเหงาก็จะหันไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการกิน เช่น คุยกับเพื่อนหรือเดินเล่น ไม่อดอาหาร เพราะยิ่งจะทำให้กินจุมากขึ้นในมื้อถัดไป

การออกกำลังกาย

          ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ก่อนจะเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายแต่ละครั้งต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ก่อน

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          ดื่มแต่พอประมาณ นั่นหมายถึงตามมาตรฐานที่ว่า วันละแก้วสำหรับผู้หญิง สองแก้วสำหรับผู้ชาย


อาหารเพื่อสุขภาพ

การเตรียมอาหารและความปลอดภัย

          หลีกเลี่ยงอาหารขยะเท่าที่จะเลี่ยงได้เพื่อป้องกันโรคภัยที่อาจมากับการกิน เพราะผู้ป่วยมะเร็งนั้นมีความเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนได้สูง

          แยกเขียงสำหรับเนื้อสด ปลา หรือสัตว์ปีก เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน

          ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิอาหารเพื่อดูว่ามันสุกดีหรือยัง

          ไม่กินอาหารที่ไหม้หรือเกรียม เมื่อจะปิ้งย่างให้นำเนื้อไปหมักกับซอสเสียก่อนและไม่ให้อาหารสัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง

การพบแพทย์

          ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อหาความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำ รวมทั้งความเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ

          ปรึกษาแพทย์ถึงรูปแบบการดูแลตนเองที่เหมาะสม

          ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก : สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกา www.cancer.org


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


 

โรคผิวหนัง จากน้ำท่วม อันตรายถึงชีวิต หากไม่ใส่ใจ


น้ำท่วม

เตือน โรคผิวหนัง จากน้ำท่วม อันตรายถึงชีวิตหากไม่ใส่ใจ (ไทยโพสต์)

          "วิตก กับภัยพิบัติน้ำท่วมได้ แต่ต้องหันมาใส่ใจกับโรคผิวหนังที่เกิดจากน้ำท่วมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นอันตรายอาจถึงชีวิต หากปล่อยให้แผลอักเสบจนติดเชื้อในกระแสเลือด" ถ้อยคำเตือนภัยจาก นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งตรงถึงประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาอุทุกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบ ปี

          เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ที่หลายจังหวัดของประเทศไทยจมอยู่ใต้น้ำ นอกจากการเอาชีวิตรอด และตรวจตราดูแลทรัพย์สินไม่ให้เสียหายแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงไม่แพ้กันก็คือโรคผิวหนัง ภัยอันตรายที่มักมาพร้อมกับน้ำท่วมทุกคราว

          "เวลา เกิดน้ำท่วม ปัญหาที่พบบ่อยมีอยู่ 2 เคส คือ ความชื้นของน้ำทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย ถ้าร่างกายต้องแช่อยู่ในน้ำเพียง 1-2 ชั่วโมงผิวหนังก็เปื่อยแล้ว และเมื่อถูกเสียดสีก็จะเกิดบาดแผลได้ง่าย เช่น ตามง่ามนิ้วเท้า ข้อพับ หรือแม้บริเวณต้นขาด้านในที่มักเสียดสีกับกางเกงเวลาเดิน และกรณีเกิดบาดแผลลึกจากการถูกของมีคมที่พัดมากับกระแสน้ำบาดผิวหนัง ซึ่งเมื่อแผลเปื่อยหรือบาดแผลลึกเกิดการติดเชื้อ ในที่นี้มีทั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต" ผอ.สถาบันโรคผิวหนังระบุ

          นพ.จิโรจกล่าวต่อว่า วิธี การรักษาในเบื้องต้นถ้าผิวหนังเปื่อยยุ่ย หรือเกิดอาการแพ้ระคายเคืองมีผื่นแดงคัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า "น้ำกัดเท้า" ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้ง และซื้อยาในกลุ่มแก้แพ้มาทาน ยาแก้อักเสบมาทา อาการจะดีขึ้นในเร็ววัน แต่หากมีอาการบวมแดงบริเวณที่เกิดแผลหรือตามทางเดินของเส้นน้ำเหลือง มีหนอง และมีไข้ร่วม ให้สันนิษฐานว่าเกิดการอักเสบติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และควรรีบไปหาแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะโดยเร็ว

          "ถ้าติดเชื้ออย่างเชื้อราไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะอย่างมากแค่มีอาการคัน ผิวถลอก และตุ่มน้ำพองเกิดขึ้น แต่เชื้อพวกนี้จะไม่หายขาด เป็น ๆ หาย ๆ ถ้าป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้จะดีกว่า ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียที่มีสาเหตุจากสิ่งปฏิกูล ซากพืช ซากสัตว์ เชื้อโรคจากใต้ดินชั้นลึก หรือสารเคมีอันตรายจากการเกษตรในครัวเรือน ซึ่งไม่ใช่แบคทีเรียปกติที่อยู่ตามผิวหนัง การรักษาจะทำได้ยากเพราะเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดอันตราย บางครั้งทั้งกินและฉีดยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดยังไม่หายก็มี"

          "อย่าง กรณีโรคเลปโตสไปโรซิสหรือโรคฉี่หนู ก็เกิดจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะ เมื่อน้ำท่วมก็จะชะล้างฉี่ปนเปื้อนมากับน้ำ ยิ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมขังด้วยแล้วเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี ผู้ที่ได้รับเชื้อพวกนี้เข้าสู่กระแสเลือดและรักษาไม่ทัน กล้ามเนื้อและพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อของร่างกาย จะอักเสบรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิต" ผอ.สถาบันโรคผิวหนังย้ำอีกครั้งถึงอันตรายจากโรคผิวหนังที่มากับน้ำท่วม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


จิตตก ระวัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ถามหา


เครียด 

แพทย์เตือน "จิตตก" เสี่ยงมะเร็งถามหา (ไทยโพสต์)

          ความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายคนเรานั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ร่างกายจะมีกระบวนการจัดการความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวันใดเกิดจิตตก เครียด วิตกกังวล ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้กลไกทางภูมิคุ้มกันลดลง เซลล์ที่ผิดปกติก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

          ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล ผู้อำนวยการอาวุโสศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีการสำรวจอุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำ เหลืองไว้ชัดเจน แต่ข้อมูลจากโรงพยาบาลศิริราชชี้ให้เห็นว่า มีคนไข้ใหม่โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ราว 200-300 รายต่อปี ประมาณการว่าทั้งประเทศน่าจะมีประมาณ 1,000-1,500 รายต่อปี

          สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์สันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น Epstein-Barr virus ซึ่งได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

          คุณ หมอบอกว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกำเนิดมาจากเซลล์ในต่อมน้ำเหลือง โรคนี้แบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามลักษณะของชิ้นเนื้อ ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin lymphoma (NHL) และชนิด Hodgkin disease (HD) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งสองชนิดจะมีอาการคล้ายกัน คือ มีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นหลัก แต่ NHL อาจมีก้อนโตที่อวัยวะอื่น ๆ พบได้บ่อยกว่า เช่น ที่ลำไส้ ปอด สมอง เป็นต้น

          "มะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรง (High Grade) ที่มีอาการปรากฏชัดเจน ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตเร็วร่วมกับมีอาการอื่น เช่น มีไข้ น้ำหนักลด และมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ในขณะที่มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Low Grade) อาการของต่อมน้ำเหลืองจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ และอาจไม่มีอาการอื่นเลย" คุณหมอ บอก

          สำหรับในประเทศไทย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบส่วนใหญ่จะเป็นชนิด NHL ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นชนิดย่อย ๆ อีกหลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันบ้าง จึงมีความจำเป็นต้องตรวจชิ้นเนื้อและตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงชนิดที่แท้จริงของมะเร็ง อันจะนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสมต่อไป

          ทั้งนี้ อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ อาการที่เกิดขึ้นจากต่อมน้ำเหลืองโต สามารถเห็นและคลำได้ชัดเจน โดย ตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ และขาหนีบ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นกับต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ช่องทรวงอก ช่องท้อง ความรุนแรงของโรคมีความแตกต่างกัน โดยต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งจะโตเร็วมาก อาจแตกเป็นแผลและมีเลือดออกได้ และหากไม่ได้รับการรักษาแต่ต้น มะเร็งอาจแพร่กระจายไปสู่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และมีผลทำให้การทำงานของร่างกายล้มเหลวถึงแก่ชีวิต

          คุณหมอย้ำว่า คนเรามีเซลล์ผิดปกติที่พร้อมจะกลายเป็นมะเร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยร่างกายมีกระบวนการในการจัดการเซลล์ที่ผิดปกติอยู่แล้ว แต่ ถ้าเกิดมีจิตตก อาการเครียด กลไกทางภูมิคุ้มกันที่มีอยู่จะลดลง จนทำให้เซลล์ที่ผิดปกติเพิ่มจำนวนมากขึ้นและกลายเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด

          ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง คือ พยายามปรับอารมณ์ไม่ให้เครียด วิตกกังวลจนเกินไป และหมั่นตรวจร่างกายสม่ำเสมอเป็นประจำ เพราะหากพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะทำได้ดี แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ การรักษาอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

          สำหรับเป้าหมายในการรักษาโรคมะเร็งที่ดีที่สุดก็คือ การรักษาให้หายขาด แต่ถ้ารักษาให้หายขาดไม่ได้ก็พยายามรักษาไม่ให้โรคลุกลามต่อไป

          ความ เข้าใจผิดที่ว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งควรงดอาหารประเภทโปรตีน เนื่องจากโปรตีนมีส่วนทำให้เซลล์มะเร็งให้โตนั้น คุณหมอยืนยันว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อีกทั้งร่างกายจำเป็นต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซมความสึกหรอต่าง ๆ ของร่างกาย คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าเซลล์ปกติจะต้องขาดโปรตีนไปด้วย

          ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีความซับซ้อนและแบ่งเป็นหลายชนิด รวมทั้งมีอาการหลายลักษณะ ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องแม่นยำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก




มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากเจอ


ปวดท้อง


มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากเจอ (Momypedia)

          ข่าว การเสียชีวิตของ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple และผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งโลกยุคใหม่ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ทำให้คนทั้งโลกตกใจไม่น้อยค่ะ เพราะเราได้สูญเสียคนเก่ง ๆ ไปอีกคน และเมื่อมองย้อนกลับมาที่โรคซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเขา ก็น่าตกใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตเพราะมะเร็งตับอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ

          ก่อนหน้านี้มีคนดังที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับมะเร็งตับอ่อนไปแล้ว อย่าง Patrick Swayze พระเอกจากหนังเรื่อง Ghost รวมถึง Randy Pausch อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Carnegie Mellon University เจ้าของเรื่องราวในหนังสือชื่อดัง The Last Lecture ที่ทำให้หลายคนร้องไห้มาแล้ว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับมะเร็งตับอ่อนกันค่ะว่าร้ายแรงอย่างไร

ตับอ่อนคืออะไร

          ตับอ่อนเป็นอวัยวะภายในที่อยู่บริเวณท้องส่วนบนและอยู่หลังกระเพาะอาหาร ตับอ่อนประกอบไปด้วย 2 ต่อมหลักคือ

          1. ต่อมมีท่อ ทำหน้าที่สร้างเอ็นไซม์ เพื่อย่อยไขมันและโปรตีนในอาหาร

          2. ต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน เช่น อินซูลิน กลูคากอน เป็นต้น

มะเร็งตับอ่อนเกิดได้อย่างไร

          มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) เป็นมะเร็งที่ยังหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่กระตุ้น ได้แก่

          1. ในคนที่สูบบุหรี่จัด มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งตับอ่อน

          2. ในคนที่มีครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน มีโอกาสเป็นมะเร็งตับอ่อนได้สูง

          3. ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีปัจจัยเสี่ยงสูง

          4. โรคตับอ่อน อักเสบเรื้อรัง หรือกินอาหารไขมันสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์

          5. เนื้องอกที่เกิดจากต่อมมีท่อและไร้ท่อ


มะเร็งตับอ่อน

อาการ

          มะเร็งตับอ่อนมักเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า และจะพบมากในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 40-70 ปี ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อน และมักจะตรวจพบเมื่อมะเร็งลุกลามหรือรุนแรงมากแล้ว แต่อาการสังเกตเบื้องต้นมีดังนี้

          ดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลือง

          อาการปวดบริเวณส่วนบนของช่องท้องและร้าวไปหลัง ปวดท้องรวมกับปวดหลัง

          เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

          อ่อนเพลียกว่าปกติ

          ผู้ป่วยบางคนอุจจาระลักษณะมีไขมันปนมาก

การตรวจและระยะของมะเร็ง

          การตรวจหามะเร็งตับอ่อนค่อนข้างยาก ซึ่งมักจะพบเมื่อมะเร็งเริ่มลุกลามมากแล้ว วิธีที่สามารถตรวจได้ดีที่สุดคือ การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหามะเร็ง แต่นั้นก็ต้องอยู่ในการพิจารณาของแพทย์และอาการที่เกิดขึ้น มะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

          ระยะที่ 1  ก้อนมะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในตับอ่อน

          ระยะที่ 2  ก้อนมะเร็งลุกลามออกนอกตับอ่อน หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ติดกับตับอ่อน

          ระยะที่ 3  ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าเส้นเลือดใหญ่ในส่วนของตับอ่อน

          ระยะที่ 4  โรคมะเร็งแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด (มักแพร่กระจายเข้าตับ ปอด และกระดูก) หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง นอกช่องท้องซึ่งอยู่ไกลจากตัวตับอ่อน

การรักษา

          อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนจนกว่าจะได้รับการ วินิจฉัยที่ชัดเจน และก็มักจะพบเมื่อลุกลามมากเกินกว่าจะป้องกันหรือรักษาให้หายได้ แต่สำหรับผู้ที่สามารถตรวจพบได้ไวก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด วิธีรักษามะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

          1. กลุ่มที่ผ่าตัด ใช้ได้ในกรณีที่ตรวจพบในระยะแรกของโรค และแพทย์ลงความเห็นว่าสามารถผ่าตัดได้ ซึ่งนอกจากตัดตับอ่อนบางส่วนออก หรือตัดออกทิ้งทั้งหมดแล้ว อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนอื่นออกด้วย เพื่อป้องกันเชื้อที่อาจจะยังมีและลุมลาม เช่น ลำไส้เล็กส่วนต้น ท่อน้ำดี กระเพาะอาหารบางส่วน

          2. กลุ่มที่ผ่าตัดไม่ได้ ใช้ ในกรณีที่มะเร็งลุกลามมากแล้วซึ่งจะเป็นการรักษาและประคองอาการเท่านั้น เช่น การให้เคมีบำบัด และการฉายรังสีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง หรือการผ่าตัดเพื่อทำทางเบี่ยงน้ำดีเพื่อ ลดอาการดีซ่าน หรือทางเบี่ยงให้กระเพาะอาหารเพื่อลดการอุดตันของทางเดินอาหารยังเป็น วิธีการที่บรรเทาอาการผู้ป่วยได้ดีที่สุด

          มะเร็ง ตับอ่อนเป็นโรคที่พบได้น้อยค่ะ แต่เมื่อพบแล้วก็มักจะรุนแรงมากและเสียชีวิตแทบทุกราย ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพให้พบโรคมะเร็งตับอ่อน ตั้งแต่ระยะเริ่มเป็นโรค ซึ่งเราเองนี่ ล่ะค่ะที่ต้องสำรวจอาการเริ่มแรกที่เกิดกับตัวเอง และเมื่อสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิฉัย จะได้ป้องกันและเตรียมตัวรักษากันได้ทันนะคะ 
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 


หุ่นงาม ไร้เซลลูไลท์



หุ่นงาม ไร้เซลลูไลท์
(นิตยสาร Appeal)

          สาว ๆ ที่อยากหุ่นสวยกระชับไร้เซลลูไลท์ฟังทางนี้ เพราะเรามี 16 วิธี บอกลา เซลลูไลท์ มาแนะนำกัน

          1.ทำไมผู้หญิงมีเซลลูไลท์ : เหตุที่ผู้หญิงมีเซลลูไลท์ก็เพราะว่าเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของผู้หญิงมีความ ยืดหยุ่นกว่าของผู้ชาย แถมธรรมชาติยังสร้างเนื้อเยื่อของผู้หญิงให้เหมาะกับการตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามเซลลูไลท์ที่ได้มาก็ทำให้ผู้หญิงเสียสวยเพราะมองดูไม่สวยงาม เป็นรอยตะปุ่มตะป่ำเหมือนผิวส้ม

          2.เซลลูไลท์เป็นพันธุกรรมหรือไม่ : แม้ว่าตอนนี้คุณมีเซลลูไลท์ไม่มากนัก แต่ให้ดูต้นขาของคุณแม่เป็นตัวอย่าง ถ้าคุณแม่มีเซลลูไลท์ละก็ เป็นไปได้ว่าคุณจะมีเซลลูไลท์ 80% ในอนาคต ถ้าคุณไม่หาวิธีป้องกันตั้งแต่วันนี้

          3.อายุมีบทบาทกับเซลลูไลท์ : ยิ่งอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อจะลดลง ซึ่งจะทำให้เซลล์ไขมันขยายมากขึ้น เปิดโอกาสให้เซลลูไลท์มาพอกพูนตามร่างกาย หากใครที่ยังไม่มีปัญหาเซลลูไลท์ในขณะที่อายุยังน้อย แต่ในอนาคตคงได้เจอกับเซลลูไลท์แน่นอน

          4.บทบาทของฮอร์โมนกับเซลลูไลท์ : เซลล์ ไขมันจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนของผู้หญิง ทั้งนี้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีอยู่ในยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมีปริมาณเอสโตรเจนสูงและอาจก่อให้เกิดเซลลูไลท์เพิ่มขึ้น คุณจึงควรปรึกษาสูติ-นรีแพทย์เกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดที่หลีกเลี่ยงฮอร์โมน เอสโตรเจน

          5.การอาบน้ำที่ผสมเกลือหรือสาหร่าย : การ อาบน้ำที่ผสมเกลือและสารสกัดจากสาหร่าย สามารถช่วยลดเซลลูไลท์ แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้สาหร่ายให้ประโยชน์ในการช่วยเผาผลาญไขมัน ส่วนการอาบน้ำที่ผสมเกลือ จะได้ผลมากถ้าเซลลูไลท์เกิดจากการมีน้ำขังอยู่

          6.ควรขัดผิวไหม : ควรขัดผิวเป็นอย่างยิ่งที่ดีที่สุดคือการขัดผิวทุกวันขณะอาบน้ำ เพราะการขัดผิวจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีทั่วร่างกาย ช่วยขจัดเซลลูผิวเก่าๆ รวมทั้งช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มและเรียบเนียนขึ้น

          7.การนวด ควรนวดบริเวณที่มีเซลลูไลท์ : เพราะ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญไขมัน และยังช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานดี ซึ่งจะช่วยขจัดเซลลูไลท์ที่เกิดจากากรที่มีน้ำขับอยู่

          8.มือนวดและอุปกรณ์นวด : การนวดเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือต่อมน้ำเหลือง จะช่วยลดเซลลูไลท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อุปกรณ์นวด หรือการนวดดึงผิวก็ได้ผลเร็ว เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี และช่วยขัดเซลล์ไขมัน

          9.การอาบน้ำอุ่นสลับน้ำเย็น : การ อาบน้ำอุ่นสลับกับการอาบน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยกระชับผิวและขจัดของเสียออกจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่ดีที่สุดควรอาบน้ำอุ่นก่อนแล้วตามด้วยน้ำเย็น

          10.ครีมต้านเซลลูไลท์ : ควรนวดผิว ด้วยครีมต้านเซลลูไลท์ทุกเช้าเย็น เพื่อเป็นการช่วยบำรุงผิวและช่วยกระตุ้นการเผาผลาญเซลล์ไขมันใต้ผิว

          11.ผลลัพธ์ที่ได้จากครีมต้านเซลลูไลท์ : ครีมต้านเซลลูไลท์ ส่วนใหญ่มักบอกประสิทธิภาพว่าจะเห็นผลหลัง 10 วัน สามารถลดน้ำที่ขังอยู่ตามเซลล์ได้ประมาณ 25% และประมาณหนึ่งเดือนจะสามารถลดผิวเปลือกส้มได้ประมาณ 30%

          12.ครีมต้านเซลลูไลท์มีประสิทธิภาพนานแค่ไหน : ถ้าคุณใช้ครีมต้านเซลลูไลท์ ออกกำลังกาย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน จะได้ผลนาน แต่ถ้าคุณยังมีพฤติกรรมเดิม ๆ เซลลูไลท์ก็จะกลับมาเยี่ยมคุณเหมือนเดิม

          13.ส่วนผสมใดในครีมได้ผลกับการขจัดเซลลูไลท์ : ส่วนผสมที่มีบทบาทสำคัญในการขจัดเซลลูไลท์คือ คาเฟอีน guarana, viniferin จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการขจัดไขมันในเซลล์ นอกจากนี้ ruscus ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองและป้องกันการสะสมเซลลูไลท์ตามขา ส่วนสารสกัดจากแปะก๊วยและโสมจะช่วยกระตุ้นการขจัดไขมัน ทั้งนี้โสมมีแอนโดรเจนจากพืชซึ่งจะช่วยป้องกันการสร้างเซลลูไลท์ที่เกิดจาก เอสโตรเจน ส่วนสารสกัดจาก horse chestnut จะช่วยขจัดสารพิษ ช่วยให้เซลล์แข็งแรงและช่วยขจัดน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย

          14.ทำไมต้องดื่มน้ำมาก ๆ : การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญพลังงาน ซึ่งจะช่วยขจัดไขมันด้วย นอกจากนี้น้ำยังช่วยให้ผิวสวยจากภายใน ดังนั้น คุณจึงควรดื่มน้ำวันละประมาณ 1-1.5 ลิตร

          15.ความเครียดทำให้สะสมเซลลูไลท์ : จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น adrenalin และ noradrenalin ทำให้เกิดเซลล์ไขมัน วิธีผ่อนคลายความเครียดก็คือ การเล่นโยคะ หรือนั่งสมาธิ จะช่วยลดความเครียด แต่ต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอ

          16.เลเซอร์ขจัดเซลลูไลท์ : ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกเสริมความงามเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ช่วยขจัดเซลลูไลท์

         Tip : การทำทรีตเม้นท์หรือ Boby Wrapping สามารถช่วยกำจัดเซลลูไลท์ได้ดี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สิงหาคม 2554 ISSUE 04


แตงโม ผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด


แตงโม


แตงโม ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Woman Plus)

          สำหรับ สาวคนใดที่ชื่นชอบการรับประทานผลไม้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ในประเทศหรือต่างประเทศ แต่มีผลไม้ชนิดหนึ่งที่สาว ๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด นั่นก็คือ…แตงโม

          เนื่องจากในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งในเนื้อแตงโมยังมี "เบตาแคโรทีน" (Beta-Carotene) ซึ่ง เป็นสารที่ร่างกายนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย


แตงโม


          นอกจากนี้เปลือกแตงโมยังมีสาร "ซิทรูไลน์" (Citruline) ที่มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดซึ่งเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสารนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานด้วย

          สำหรับ ผู้หญิงคนใดที่ต้องการลดความอ้วน แตงโมอาจกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของคุณได้ เนื่องจากแตงโมมีแคลอรี่ต่ำ และยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่ช่วยป้องกันไข้หวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือจะเป็นโพแทสเซียมที่มีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย

          ใครที่เคยเมินเชิดใส่แตงโม ควรรีบเปลี่ยนทัศนคติแล้วหันกลับมาให้ความสนใจในคุณประโยชน์และรสชาติ หวานอร่อยของแตงโมอย่างเต็มที่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


ร้องไห้ ช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือ?


ร้องไห้

สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใคร กันนะ? ที่บอกว่า การร้องไห้เป็นการใช้พลังงานอย่างมาก จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้ เรื่องนี้จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม Womanplus มาไขข้อสงสัยให้แล้ว

          คำตอบสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ไม่จริงค่ะ สำหรับใครที่คิดว่าการร้องไห้เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงช่วยลดความอ้วนได้ คุณควรเปลี่ยนความเชื่อเสียใหม่ได้แล้ว

          เพราะ ในความเป็นจริงแล้วการหัวเราะต่างหากที่จะช่วยลดความอ้วนได้ ซึ่งการหัวเราะจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 20% และถ้าในแต่ละวันคุณหัวเราะเป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที คุณก็จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 50 แคลอรีเลยทีเดียว ว้าว!!!

          เพราะ ฉะนั้น ก็เปลี่ยนจากการ "ร้องไห้" มาเป็น "หัวเราะ" ดีกว่านะคะ เพราะนอกจากจะทำให้อารมณ์เบิกบาน แจ่มใส ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังมีผลพลอยได้คือช่วยลดความอ้วนได้แถมท้ายด้วยนะเออ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เคล็ดลับ...การลดน้ำหนักของสาวออฟฟิศ


สูตรลดน้ำหนัก

เคล็ดลับ...การลดน้ำหนักของสาวออฟฟิศ (Woman's Story)

          วันนี้ มาเอาใจสาว ๆ ออฟฟิศทั้งหลายที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวกันค่ะ ไปดูกันว่ามีเคล็ดลับในการลดน้ำหนักสำหรับสาวออฟฟิศอย่างบ้างดีกว่าค่ะ...

          การควบคุมน้ำหนักตัวเป็นสิ่งที่ต้องทำไประยะยาว โดยการลดน้ำหนัก จะต้องมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ก่อนจะเริ่มโปรแกรมลดน้ำหนัก ลองพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้การควบคุมน้ำหนักได้ผลมากยิ่งขึ้น...

          ตั้งเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จุดที่ควรเปลี่ยนในการลดน้ำหนักควรมุ่งไปที่การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร และการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่จะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักตัวไปได้ตลอด

          เป้าหมายที่มีประสิทธิภาพคือเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งสามารถทำได้และมีความยืดหยุ่น

          ให้รางวัลกับตนเองเมื่อประสบผลสำเร็จ การให้รางวัลกับการประสบผลสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นแรงกระตุ้นให้มุ่งทำต่อไป แต่อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการกิน

          จดบันทึกรายรับและรายจ่าย คุณควรสังเกตและจดบันทึกว่าคุณกินและดื่มอะไรบ้าง เพื่อดูลักษณะพฤติกรรมการกินของคุณอย่างแท้จริง

          หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ลูกโซ่ เหตุการณ์ หรือสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้คุณกิน อาจทำให้คุณรับแคลอรีเกินได้โดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นควรหาทางควบคุม

          ฝึกตัวเองหรือหันเหไปทำอย่างอื่นแทน เมื่อทราบว่ามีสิ่งใดที่กระตุ้นให้คุณอยากกิน ก็ควรหลีกเลี่ยง ลองหันไปทำอย่างอื่นแทนดูบ้าง ไปทำเล็บ ฝึกเล่นเครื่องดนตรี เขียนจดหมาย หรือไปออกกำลังกายเมื่อรู้สึกเบื่อ

          รับรู้ถึงสัญญาณความอิ่ม การเปลี่ยนวิธีการกินอาจช่วยให้คุณกินอาหารน้อยลงได้ โดยไม่รู้สึกว่าอด ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นคนที่กินอาหารเร็ว ควรฝึกให้กินช้าลง เคี้ยวทุกคำให้ละเอียด ใช้เวลาระหว่างคำ จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มพอดี



ลดน้ำหนัก

          นอกจากนี้ การลดน้ำหนักให้ได้ผลต้องรวมไปถึงการควบคุมปริมาณอาหารที่กินด้วย โดยมีวิธีลดแคลอรีง่าย ๆ คือ

          เลือกกินผักให้มากขึ้น ครึ่งหนึ่งของจานข้าว ควรเป็นผัก จะเป็นในรูปของผัดผัก ผักสลัด แกงจืดผัก ซุปผัก หรือแกงอื่น ๆ ที่ใส่ผัก

          เลี่ยงน้ำผลไม้ เปลี่ยนตัวเอง โดยหันมากินผลไม้สดแทน จะทำให้ได้รับเส้นใยไฟเบอร์มากกว่า

          เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังติดมัน ปลา เต้าหู้ ไข่ขาว ซึ่งมีแคลอรีต่ำกว่าเนื้อสัตว์ติดมัน และเนื้อสัตว์หรือเต้าหู้ที่ควรกินต่อมื้อ มีขนาดเท่า ๆ ฝ่ามือ หรือสำรับไพ่

          เลือกแป้งไม่ขัดสี เมล็ดถั่ว ธัญพืชที่มีเส้นใยอาหารสูง แทนแป้งขัดสีต่าง ๆ เพราะเส้นใยอาหารจะช่วยให้อิ่มเร็ว

          เลือกนมและผลิตภัณฑ์นมรสจืดพร่องไขมัน หรือนมถั่วเหลืองไม่เติมน้ำตาล ควรดื่มนมหรือนมถั่วเหลืองวันละ 1-2 กล่อง เพื่อให้ได้รับแคลเซียมที่จำเป็นต่อกระดูก และกระบวนการเผาผลาญอาหาร

          อย่าอดมื้ออาหาร เพราะเมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ระบบเผาผลาญลดลง การอดมื้อกินมื้อ มักทำให้กินมากภายหลัง ทำให้อ้วนได้ง่าย

          หาของว่างที่มีประโยชน์มาตุนไว้ เช่น ผลไม้ ถั่วแระ ถั่วเปลือกแข็ง นมหรือนมถั่วเหลือง หามาตุนไว้เผื่อรู้สึกหิวระหว่างมื้อ แต่พยายาม อย่ากินตลอดเวลา

          เมื่อออกไปกินอาหารนอกบ้าน ให้สั่งจานผักมาด้วย ไม่ว่าจะไปทานอาหารที่ไหน ก็ไม่ควรขาดเมนูผักเด็ดขาด


          รู้แบบนี้แล้ว สาว ๆ ออฟฟิศที่รักสวยรักงามก็อย่าลืมนำคำแนะนำดี ๆ นี้ไปทำตามนะคะ..

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


มาสร้างแรงจูงใจในการลดน้ำหนักกันเถอะ!

 มาสร้างแรงจูงใจในการลดน้ำหนักกันเถอะ! (Woman's Story)

          การ มีรูปร่างที่ดูดี และมีสุขภาพที่แข็งแรง นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สาว ๆ หลายคนปรารถนา แต่การลดน้ำหนัก หรือการดูแลรูปร่างสำหรับสาว ๆ บางคนนั้น ก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน จนทำให้เกิดความท้อแท้ สุดท้ายการลดน้ำหนักก็ล่มลงกลางคัน ทำให้ไม่มีรูปร่างที่ใฝ่ฝันเอาไว้ได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาสร้างแรงจูงใจในการลดน้ำหนักไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ...

          ไม่ควรอดข้าวเช้าในช่วงแรกของการลดน้ำหนัก เพราะการจำกัดปริมาณอาหารทำให้แคลอรีที่รับเข้าไปน้อยเกิน จึงส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน Ghrelin (ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิว) ออกมามากเกินไป วิธีที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจโดยการลดระดับฮอร์โมน Ghrelin แถมยังควบคุมแคลอรีได้ด้วยก็คือ การทานมื้อเช้าค่ะ

          ในช่วง 14 วันสุดท้ายของประจำเดือนจะอยู่ในช่วงที่เรียกว่า Luteal Phase ซึ่ง เป็นช่วงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น แต่ฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์ดีอย่างเซโรโทนินหรือฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์ดีอย่าง เซโรโทนิน หรือฮอร์โมนเอนดอร์ฟินและ Dopamine ที่ช่วยต่อสู้กับความเครียดจะลดลง ทำให้คุณรู้สึกเศร้าเหงาหงอย หงุดหงิด และอยากกินนั่นกินนี่ตลอดเวลา นอกจากนี้ฮอร์โมนอินซูลินที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจะยิ่งไปช่วยกระตุ้นความอยาก ของคุณให้มีมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วยค่ะ ดังนั้นในช่วงนี้ลองเปลี่ยนมื้อปกติ 3 มื้อใหญ่ ๆ ที่เคยกินตอน 9 โมงเช้า เที่ยง และ 6 โมงเย็น แบ่งไปเป็นมื้อเล็ก ๆ ตลอดทั้งวัน เพราะการที่คุณกินมื้อเล็ก ๆ 4-6 มื้อต่อวันนั้น จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่สามารถป้องกันอาการพองบวม และช่วยไม่ให้เกิดการง่วงซึมและขี้เกียจค่ะ

          น้ำหนักจะลดช้าลง และคงที่ในเดือนที่ 6 ถ้าช่วงนี้คุณโหมออกกำลังกายมากไป เพื่อที่จะให้น้ำหนักลดมันอาจจะลดไม่ได้ดั่งใจกลับยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อย ล้ามากขึ้น ทางที่ดีควรงดออกกำลังกายหนัก ๆ สักระยะแล้วเปลี่ยนมาวิ่งจ๊อกกิ้งเบา ๆ ในตอนเช้า รวมถึงเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกลับมาสู่ช่วงไดเอทได้อีก ครั้งค่ะ

          ทราบข้อมูลดี ๆ แบบนี้แล้ว สาว ๆ อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อนนะคะ เพื่อรูปร่างที่สวยงาม และสุขภาพที่แข็งแรงของคุณเองค่ะ..



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ที่ 12 ฉบับที่ 271 กันยายน 2554


ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม



ใบเตย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          "กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ)

          สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ


ขนมเปียกปูน

          โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

          น้ำ 85.3 กรัม
          คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
          โปรตีน 1.9 กรัม
          ไขมัน 0.8 กรัม
          กาก 5.2 กรัม
          แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
          เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
          เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
          วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
          ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 8 มิลลิกรัม


ใบเตย


          มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ

          ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

          ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม

          รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น

          ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น

          ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม

          นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
 

สูตรเด็ด เคล็ดลับลดน้ำหนักอย่างได้ผล



ลดน้ำหนัก

Diet Success! Stop sabotaging, start succeeding สูตรเด็ดเคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างได้ผล (Health Plus)

          หลายคนกำลังมุมานะกับการลดน้ำหนักอย่างไม่ลดละ ซึ่ง Health Plus วันนี้มีทีเด็ดควบคุมน้ำหนักอย่างได้ผลมาฝากเช่นเคย มาดูสิว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถกำจัดน้ำหนักส่วนเกินเหล่านั้น และต่อไปนี้คือคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการไดเอต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักจะมาไขคำตอบให้ได้ทราบกัน

Q อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low-Gl diet) ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ

          A : "ยัง ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low-glycaemic index-(GI) diet จะช่วยลดน้ำหนักได้ ถึงแม้ว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้กลูโคสซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัญญาณความหิว จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานก็ตาม" ดร.โทนี่ สเตียร์ แห่งสถาบันวิจัยโภชนาการมนุษย์ในเคมบริดจ์ กล่าว

          "แต่การพึ่งค่าดัชนีน้ำตาลเพียงอย่างเดียวอาจสร้างความสับสนได้ ไขมันมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ดังนั้น ช็อกโกแลตบาร์ 1 แท่งมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าขนมปังขาว 1 แผ่น แต่เราไม่อาจนับช็อกโกแลตเป็นอาหารลดน้ำหนัก ทางที่ดีควรเน้นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปดีกว่าเช่น โฮลเกรนและอาหารที่มีไฟเบอร์สูง หันไปทานอาหารเช้าที่ทำจากข้าวโอ๊ตแทนคอร์นเฟล็กซ์ทานขนมปังธัญพืชแทนขนมปัง ขาว ทานมันฝรั่งอบแท่นมันฝรั่งบดเติมถั่วต่าง ๆ ในสตูว์ อาหารเหล่านี้มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ทานแล้วรู้สึกอิ่มท้อง แถมให้แคลอรีต่ำ"

Q ดิฉันลองลดน้ำหนักมาสารพัดวิธีแล้ว แต่ล้มเหลวหมดเป็นเพราะอะไรคะ

          A : "ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ความจริงน้ำหนักทุกกิโลที่หายไปควรนับเป็นชัยชนะแห่งความสำเร็จ เวลาที่เราพยายามลดน้ำหนัก หมายถึงเรากำลังทำสงครามกับสัญชาตญาณดิบที่สุดของเรา" ดร.เดวิด แอชตัน ผู้อำนวยการด้านการแพทย์แห่งสถาบัน The Healthier Weight Centre กล่าว

          วิวัฒนาการของมนุษย์ทำให้เราเก็บสะสมไขมันในร่างกาย กินจุและกินบ่อยเท่าที่จะทำได้ เห็นได้ชัดจากการที่เราต้องออกไปหาอาหาร แต่ก็มีผลเสีย เพราะในปัจจุบันอาหารเข้าถึงและหาได้ง่าย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเราถูกตั้งโปรแกรมมาให้กิน ทางแก้คือฝึกนิสัยการกินเสียใหม่ เช่น ควบคุมสัดส่วนของอาหารที่กิน ตรวจสอบอาหารและปริมาณที่กิน ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงแรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการของร่างกาย

Q อะไรคือวิธีลดไขมันหน้าท้องที่ได้ผลที่สุด

          A : ไขมัน ส่วนเกินรอบเอวเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจและเบาหวานเพิ่มสูง ขึ้น และมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูกมากขึ้น การลดน้ำหนักช่วยได้ ทุกกิโลที่หายไปเท่ากับรอบเอวเล็กลง 1 เซนติเมตร ซึ่งการออกกำลังกายก็มีประโยชน์เช่นกัน ขณะที่คุณไม่สามารถลดน้ำหนักได้ฉับพลันทันที แต่การออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยสลายไขมันที่เอวได้โดยตรง

          "เวลาออกกำลังกาย ไขมันที่รอบเอวจะสลายออกไปได้มากกว่าไขมันบริเวณอื่น ทำให้สามารถทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคสได้ (glucose tolerance) จึงลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน" ดร.ไซมอน วิลเลียมแห่ง The Association for Study of Obesity กล่าว

Q ทุกคนในครอบครัวดิฉันอ้วนกันหมด ฉันก็ต้องอ้วนเหมือนกันใช่ไหมคะ

          A : คนแทบทุกคนสามารถมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมได้ เพียงแต่บางคนอาจต้องใช้ความเพียรพยายามในการลดน้ำหนักมากกว่าคนอื่น ประมาณ 30% ของน้ำหนักมีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด ที่เหลือขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่งก็ตรงกับคำพูดของดร.จอร์จ เบรย์ ผู้เชี่ยวชาญของโรคอ้วนของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า "พันธุกรรมก็เหมือนกับปืนที่บรรจุกระสุน ขณะที่สิ่งแวดล้อมคือการเหนี่ยวไกปืน"

          อย่างไรก็ตาม ศจ.เจน วอร์เดิล ผู้อำนวยการหน่วยพฤติกรรมสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนย้ำว่า แต่ 30% ดังกล่าวก็ยังเป็นส่วนที่มีความสำคัญ และยังเป็นตัวชี้วัดความยากในการลดน้ำหนัก

          เป็นที่ทราบกันว่าสำหรับคนบางคนแล้วกลไกควบคุมอย่างพันธุกรรมเป็นตัวบอกว่า พวกเขาจะรู้สึกหิวเมื่อไหร่ และแม้จะหันมากินอย่างพอเหมาะแล้วก็ไม่ได้ผล นั่นเพราะพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดและอธิบายว่าทำไมบางคนถึงห้ามใจตัวเองใน เรื่องอาหารได้ยากกว่าคนอื่น

Q จะมีวิธีควบคุมความอยากอาหารได้อย่างไร

          A : "ทั้งหลายทั้งปวงต้องควบคุมสภาพแวดล้อม" ดร.เดวิด แอชตัน บอก "การห้ามตัวเองไม่ให้กินช็อกโกแลตหรือโดนัท คงไม่มีวิธีได้ดีไปกว่า การพาตัวเองอยู่ห่างไกลจากของกินเหล่านี้ หากมีอาหารเหล่านี้อยู่ใกล้มือ คุณก็จะนึกว่าคุณจำเป็นต้องกินมัน แต่แท้จริงนั่นคือความต้องการไม่ใช่ความจำเป็น พยายามทำให้ของกินเหล่านี้เป็นของหายากสำหรับคุณ อย่าให้มีอาหารชวนอ้วนอยู่ในบ้าน หาของว่างเพื่อสุขภาพติดตัวไว้เวลานึกอยากกินช็อกโกแลตหรือขนมหวาน เวลานึกอยาก ให้ดึงความสนใจตัวเองไปหาสิ่งอื่น เช่น โทรหาเพื่อน ฟังเพลง หรือไปเดินเล่น" ดร.แอชตันแนะนำ

          "เราพบว่าเมื่อคนเราพ่ายแพ้ต่อความอยากแล้ว มักจะมานั่งนึกเสียใจในภายหลังว่าสิ่งที่ทำลงไปไม่คุ้มค่า ฉะนั้นควรกันไว้ดีกว่าแก้"

Q สุดท้ายฉันก็ลดน้ำหนักสำเร็จ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้กลับมาอ้วนอีก

          A : ก่อนอื่นต้องจำไว้ว่า การรักษาน้ำหนักให้คงที่ต้องอาศัยความมานะพยายามพอ ๆ กับการลดน้ำหนัก

          "เราต้องระมัดระวังตลอดเวลา" ดร.เดวิด แอชตันกล่าว "อย่าชะล่าใจว่าคุณแก้ปัญหาเรื่องความอ้วนได้สำเร็จ หากคิดว่าการลดน้ำหนัก 8 สัปดาห์จะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณได้ตลอดไปเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้"

          นักวิจัยสหรัฐฯ ของสถาบัน The Weight Control Registry พบว่าการกินอาหารที่มีไขมันต่ำ การออกกำลังกายเป็นประจำ และหมั่นจับตาเรื่องน้ำหนักตัว ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ไม่หวนกลับไปกินตามใจปาก ชั่งน้ำหนักทุกวัน

          "ข้อดีของการชั่งน้ำหนักทุกวัน ทำให้สามารถจับตาดูความเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตั้งแต่เมื่อวาน"  ศจ.เจน วอร์เดิลกล่าว "ในแต่ละวันน้ำหนักตัวจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน แต่หากสังเกต พบว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นมานานกว่า 2-3 วัน ให้ควบคุมอาหารจนกว่าน้ำหนักจะลดลงตามเดิม"

Q จะมีวิธีการหยุดคนที่มาทำลายความพยายามในการลดน้ำหนักของดิฉันได้อย่างไร

          A : ตัวก่อกวนที่ทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลมีมากมายเช่น ถ้าสามีบอกว่าเขาชอบที่คุณมีหุ่นแบบนี้ หรือมีเพื่อนคอยเตะถ่วงการไดเอตของคุณให้ช้าออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ หรือผู้เป็นแม่คอยพูดกรอกหูว่าคุณอ้วนมา แต่เกิดแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางผอม

          "ถึงแม้จะมีปัจจัยบวกมากมายในการลดน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันปัจจัยบวกเหล่านั้นก็อาจถูกคุกคามโดยคนรอบข้าง" ดร.เดวิด แอชตันกล่าว

          "พยายามทำให้พวกเขาเข้าใจความคิดของคุณ โดยชี้ให้เห็นว่าการลดน้ำหนักมีความสำคัญต่อคุณมาก รวมถึงขอความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมจากพวกเขาเช่น เลิกไปช้อปปิ้งทุกอาทิตย์ ระวังการกระทำที่คอยบ่อนทำลาย เช่น การชักชวนให้กินอาหารมัน ๆ หรือคำแนะนำอย่างเช่น ลดน้ำหนักแค่นี้พอแล้ว หรือคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวคุณ แต่อย่าทำเพียงแค่เพิกเฉยต่อการกระทำเหล่านั้นของคนรอบข้าง แต่จงยืนยันให้พวกเขาเห็นว่าคุณต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวคุณและต่อคนที่อยู่รอบข้าง"


ลดน้ำหนัก


เคล็ดลับลดน้ำหนักอย่างได้ผล

ทำอะไรให้เป็นกิจวัตรประจำวัน

          "พยายามกินอาหารชนิดเดียวกันให้ตรงเวลาทุกวัน อย่ากินจุบจิบตามใจปาก" ศจ.เจน วอร์เดิลกล่าว "อย่าซื้ออาหารตามความอยากชั่ววูบ หรือซื้อคราวละมาก ๆ จำไว้คุณต้องกินเพียงครึ่งเดียว"

วางแผนล่วงหน้า

          จดรายการของที่คุณต้องซื้อและซื้อให้ได้ตามนั้น ซื้ออาหารตามความจำเป็นเท่านั้น และอย่าซื้อเพราะมีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หากต้องออกไปงานเลี้ยงนอกบ้าน ให้ชดเชยล่วงหน้าโดยกินอาหารให้น้อยลงก่อนหน้าวันงานสัก 1 วันหรือมากกว่านั้น

ควบคุมปริมาณอาหารที่กิน

          โดยตักอาหารใส่จานใบเล็กลง เพิ่มปริมาณผักในจานอาหารให้มากขึ้น ทำอาหารเท่าที่พอกิน อาหารส่วนที่เหลือให้นำไปแช่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง ผลวิจัยชี้ว่ายิ่งอาหารมีปริมาณมาก ก็จะยิ่งกินมาก และเผลอ ๆ อาจต้องกินมากเหมือนเดิมในมื้อถัดไป เพราะร่างกายไม่รู้ว่านี่คือแคลอรีส่วนเกินและจะปรับตัวเองไปตามความอยาก อาหารของคุณ

ระวังแคลอรีที่ซ่อนอยู่

          "อาหารไดเอต" หรือ "อาหารไขมันต่ำ" อาจมีแคลอรีสูง เช่นเดียวกับน้ำอัดลม คาปูชิโน และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก็อัดแน่นไปด้วยแคลอรีเช่นกัน

เพลิดเพลินกับอาหารที่กิน

          จำไว้ให้กินช้า ๆ เพื่อให้เวลากับร่างกายได้จดจำรสชาติอาหาร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

No.67 กันยายน 2554

อาหารบำรุงเล็บ

 อาหารบำรุงเล็บ (Hairworld)
เรื่อง : HW Team

          เล็บ ของคนเราไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการปกคลุมและป้องกันอันตรายให้แก่นิ้วส่วนปลาย เล็บที่มีสุขภาพดีต้องเป็นเล็บที่แข็งแรง มีสีชมพูระเรื่อตามปกติแล้วเล็บมือจะยาวเร็วกว่าเล็บเท้า และจะยาวเร็วในช่วงอายุ 20-35 ปี หลังจากนั้นเล็บจะยาวช้าลง นอกจากนี้เล็บยังบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ดีนอกจากจะบำรุงสุขภาพแล้ว ยังบำรุงเล็บสวย ๆ ของคุณไปพร้อมกันด้วย

          การ ทานอาหารควรทานให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ โดยเลือกทานให้แตกต่างกันในแต่ละมื้อ วิตามินบี 2 เป็นวิตามินที่ช่วยให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย มักพบมากในตับสัตว์ นม เนย ถั่ว ผักใบเขียว ปลาและไข่ อาหารประเภทธัญพืช เมล็ดทานตะวัน ฟักทอง สามารถป้องกันจุดด่างขาวที่เกิดขึ้นบริเวณเล็บมือ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ อุดมไปด้วย แร่สังกะสี ช่วยป้องกันการติดเชื้อของเล็บ

          สำหรับคนที่เล็บบาง แบน เล็บงอน เป็นลักษณะเล็บที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งหาได้จากการทานเนื้อสัตว์ปีก ปลา และผักใบเขียว ซีลีเนียมช่วยป้องกันไม่ให้เล็บเป็นคลื่นและเป็นริ้ว สามารถหาทานได้จากหอย ซีเรียล ธัญพืชต่าง ๆ

          อาหาร ที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้เล็บสวยอยู่คู่กับคุณไปนานแสนนาน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะสารแทนนินในชาจะขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก ลดการทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง อาทิ แป้งและน้ำตาล รวมถึงลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำลายการดูดซึมของวิตามินบี 2 ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบำรุงเล็บ

           เพียงคุณหันมาใส่ใจในการทานอาหารเพิ่มขึ้นอีกนิด นอกจากสุขภาพร่างกายจะแข็งแรงพร้อมทำงานแล้ว เล็บของคุณก็แข็งแรงตามไปด้วย พร้อมที่จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้นิ้วมือของคุณได้รับอันตราย


เล็บ

Tips

          1.ควรดูแลทำความสะอาดเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เล็บดำสกปรก
          2.หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาเล็บบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เล็บเหลือง
          3.หากทานอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการไม่จำเป็นต้องทานอาหารเสริม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ฉบับที่ 36 No.1 กันยายน-ตุลาคม

ใช้ชีวิตอย่างไร ไม่ให้มีเรื่องเสียใจภายหลัง


ความสุข


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          เคย คิดเสียใจกับเรื่องบางเรื่องแบบเจ็บใจสุด ๆ กันบ้างไหมเอ่ย พอนึก ๆ แล้วก็ต้องมีอารมณ์ประมาณว่าวันนั้น เหตุการณ์นั้น น่าจะทำอย่างโน้น อย่างนี้ เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แต่ต่อจากนี้ไปคุณอาจจะไม่ต้องมีความรู้สึกแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะเราได้นำคำแนะนำดี ๆ จากคุณเทส มาร์แชล จากเว็บไซต์ Goodlifezen.com มาบอกกัน

          ฮันแน่! อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าข้อควรปฏิบัติดี ๆ ที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง จะช้าอยู่ทำไมล่ะ ตามมาดูกันโลดดด...

ดูแลตัวเอง

          การดูแลตัวเองถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพร่างกาย การแต่งกาย รวมถึงการนึกคิด ตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ฝึกดูแลตัวเองเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เข้าไว้ แล้วจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองอย่างแน่นอน


รู้จักตนเอง

          อีก หนึ่งข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน คือคุณต้องรู้จักข้อดี - ข้อเสียของตัวคุณเอง เพราะถ้าคุณไม่รู้สิ่งเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับคุณโดยตรงแล้วล่ะก็ เห็นทีคุณคงจะต้องมีเรื่องให้ต้องเสียใจอยู่เรื่อย ๆ ทีเดียวเชียวแหละ


เปิดโอกาสให้ตัวเอง

          อย่า ได้ปิดตัวเองให้จบปลักอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนไม่เป็นอันทำอะไรโดยเด็ดขาด มีฝันก็ขอให้ทำตามฝัน เพราะโลกใบนี้ยังมีสิ่งต่าง ๆ มากมายรอให้คุณได้ไปเจอ ไปสัมผัส อยู่เต็มไปหมด ฉะนั้น ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ลองเปิดใจกับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อประสบการณ์ที่ดีของชีวิต


รู้จักแบ่งปัน


          ถัด มาก็คือการรู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ผู้อื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรี่องราวที่คุณได้พอเจอมา ข้อมูลเด็ด ๆ และเรื่องดี ๆ โดน ๆ มากมายสารพัด เหล่านี้ลองไปบอกกล่าวคนรอบข้างดูบ้าง จะสร้างความสุขให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ


พูดจาไพเราะ

          คิดเอาง่าย ๆ เวลาที่มีใครมาพูดกับคุณด้วยคำพูดที่ไพเราะ เสนาะหู คุณก็จะรู้สึกดีและอยากจะคุยกับคน ๆ นั้นต่อไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมล่ะ ฉะนั้นแล้ว ก็ลองนำวิธีนี้ไปใช้ให้ติดเป็นนิสัยเลยก็ได้ เป็นอะไรที่ดูเข้าท่าอยู่ไม่น้อยเลยนะ จะบอกให้..


ใช้ชีวิตอย่างง่าย ๆ

          อย่าผูกมัดตัวเองกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป พูดง่าย ๆ ก็ชิล ๆ เข้าไว้ ทำแต่ละวันให้ดีที่สุด เรื่องอะไรที่แย่ ๆ เช่น การเป็นคนชอบนินทาคนอื่น ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือจะอะไรก็ตามแต่ที่เป็นแง่ลบ เลิกคิดเลิกทำซะ ทำตัวสบาย ๆ แล้วทุกอย่างก็จะชิลตามมาเอง


ทำจิตใจให้สงบเข้าไว้

          โลกเราทุกวันนี้มีเรื่องให้ได้วุ่นวายมากพอแล้ว อย่าได้เอาจิตใจของเราไปวุ่นวายให้เปล่าประโยชน์ตามเลย ลองฝึกสมาธิ สวดมนต์หรือใด ๆ ก็ได้ให้จิตใจได้สงบ ๆ ลงบ้าง จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ


สัมผัสธรรมชาติบ้างก็ดีนะ

          ไป ว่ายน้ำ ปลูกต้นไม้ ปีนเขา เดินเท้าเปล่าผืนบนหญ้า พาร่างกายไปเจอและรับแสงแดด หรือลองทำกิจกรรมกลางแจ้งดูบ้าง อยากจะบอกว่าเป็นอะไรทื่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวย แบบเต็ม ๆ เน้น ๆ มากมายเลยนะเออ


รู้จักการให้อภัย

          เคยมีคนบอกไว้ว่า "จะโกรธจะงอนกันทำไม กว่าจะรักกันได้ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ยังไงก็ต้องกลับมาดีกัน เสียดายเวลาที่ทุกข์ใจ เอาเวลานั้นมาบอกรักกันดีกว่า" คำพูดนี้บอกได้เลยว่าจริงสุด ๆ โกรธเคืองหรือแง่งอนกันไปก็เท่านั้น เสียเวลาเปล่า ๆ ให้อภัยกันได้ก็ให้กันไป ยอม ๆ กันบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง


ยอมรับในความเป็นตัวตนของแต่ละคน

          คน เราเกิดมาต่างก็มีลักษณะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป จะผิดหรือแปลกแยกกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติ ดังนั้นแล้ว ยอมรับในสิ่งที่คนรอบข้างเป็น เข้าใจในตัวตนของแต่ละฝ่ายซึ่งกันและกัน จะเข้าท่ากว่ากันเยอะเลยล่ะ


ออกกำลังกายก็สำคัญนะ

          อย่า คิดว่าการออกกกำลังกายไม่สำคัญ ลองคิดดูสิว่า หากสภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีเรื่องที่อยากจะทำมากมายแต่ทำไม่ไหว มันจะทำให้คุณต้องเสียใจขนาดไหน ฉะนั้น ออกกำลังกายเข้าไว้ เพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรง จะได้พร้อมที่จะทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างฟิตพร้อมสมบูรณ์


แบ่งเวลาไปสังสรรค์บ้าง

          ชีวิตคนเราจะมัวแต่หลังขดหลังแข็งทำงานเก็บเงินอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้ ขืนทำแบบนั้นอย่างเดียวมีหวังได้ลาจากโลกนี้ไปก่อนใช้เงินที่หามาแน่ ๆ หาเวลาไปเอ็นเตอร์เทนตัวเอง เอาความสุขใส่ตัวบ้าง จะไปสังสรรค์กับเพื่อนหรือทำในสิ่งที่ชอบก็ทำไป ชีวิตจะได้สมดุลขึ้นมาหน่อยไงล่ะ


ทำอะไรสนุก ๆ แผลง ๆ ในหมู่เพื่อน

          ลองหาเวลานั่งคุยกับเพื่อนแล้วนึกอะไรสนุก ๆ หรืออะไรที่แผลง ๆ ดู นอกจากจะเป็นเรื่องสนุกในหมู่เพื่อนแล้ว ไม่แน่นะ แรงบันดาลใจหรือไอเดียอื่น ๆ ที่มีความน่าสนใจอาจจะเข้ามาหาคุณโดยไม่ทันตั้งตัวเลยก็ได้นะ


ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง

          เพลงของ เสก โลโซ เคยบอกไว้ว่า "ขอ เพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคนอย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้นผู้ชนะ" (มาเป็นเพลง!) จริงอย่างที่เขาว่าไว้นะจ๊ะ แน่แน่วและแน่วแน่เข้าไว้ ไม่ผิดที่จะทำตามฝัน แต่จะผิดหากทิ้งความฝันนั้นไปอย่างง่าย ๆ ในเมื่อกล้าที่จะฝันแล้ว ต้องทำให้ได้ จำไว้!!


ลองเรื่องเสี่ยง ๆ ดูบ้าง

          กีฬาท้าชีวิต หรือเรื่องไหนที่คุณกลัว ลองรวบรวมความกล้าแล้วไปเผชิญหน้ากับมันให้เต็มที่ แล้วความกลัวหรือเรื่องเสี่ยงใด ๆ ก็จะไม่สามารถทำให้คุณกลัวหรือไม่กล้าได้อย่างแน่นอน ฟันธง!!


ติดตามข่าวสารบ้านเมืองและอัพเดตเรื่องใหม่ ๆ

          ทุก วันนี้โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แถมยังมีข่าวสารจากหลากหลายแวดวงให้ได้รับรู้อีกมากมาย ฉะนั้นแล้ว คิดตามข่าวสารไว้บ้าง จะได้รู้ว่าโลกได้ก้าวไปถึงไหนแล้ว อีกทั้งเรื่องไหนที่ฮอตฮิตก็ดู ๆ ไว้บ้าง เผื่อใครมาถามจะได้มีเรื่องให้ได้พูดกันไปเยอะ ๆ


ประหยัด อดออม

          เศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน บางประเทศยังประสบปัญหาทางการเงินให้วุ่นวายปวดหัวกันเป็นแถว ณ ตอนนี้อะไรที่ประหยัดได้ก็ช่วย ๆ กันประหยัด อย่าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เพราะหากในวันข้างหน้าคุณมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินและไม่มีให้ใช้ล่ะก็ เดือดร้อนหนักแน่นอน


รู้จักแก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผล

          เมื่อ ไหร่ก็ตามที่คุณต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่ได้รับเชิญ ขอให้ตั้งสติให้ดี ๆ อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ค่อย ๆ แก้ปัญหานั้น ๆ ไปอย่างมีเหตุมีผล และทำให้ดีที่สุด เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอมา แล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้กับเรื่องนั้น ๆ ขอให้จำไว้เสมอว่าทุกปัญหา มีทางออกของมันอยู่เสมอ


เลิกบ่นหรือตัดพ้อตัวเอง


          แน่ นอนว่าคนเราย่อมเจอกับเรื่องราว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และการโดนนินทาว่าร้ายกันอยู่ทุกคน จะโดนมาก โดนน้อย ก็แตกต่างกันไป แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าจะมัวมานั่งบ่นโน่น ตินี่ หรือกล่าวโทษตัวเองให้ช้ำจิตช้ำใจเล่น เอาเวลาส่วนนั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่าเนอะ จะได้ไม่เครียด


เลือกที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ

          อย่าง ที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยได้ยินกันมาว่า "การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน" นี่ถือเป็นข้อที่ควรปฏิบัติมาก ๆ การได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ให้หายเดือดร้อนหรือละได้ซึ่งความทุกข์ ถือเป็นการทำบุญ ได้กุศลอย่างมากมายเลยทีเดียว


ใช้เรื่องที่เคยเสียใจ มาสอนให้คุณแข็งแกร่งขึ้น

          ไม่ว่าคุณจะเคยเจอะเจอกับเรื่องเสียใจมามากน้อยขนาดไหน อย่าได้ไปจมปลักกับมัน แต่จงใช้มันเป็นบทเรียนชีวิต เพื่อสอนให้คุณได้ก้าวไปสู่วันข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่งมากขึ้น และหากวันใดที่คุณต้องเจอกับเรื่องเสียใจอีก คุณจะผ่านมันไปได้อย่างง่าย ๆ สบาย ๆ


          ได้รู้ข้อ ปฏิบัติในการใช้ชีวิตดี ๆ แบบนี้แล้ว ก็ลองนำไปปรับใช้กันดูนะจ๊ะ อย่างน้อยก็เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจของเราให้ดียิ่งขึ้นนะ^^