น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย


น้ำส้มคั้น


น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

          "น้ำ ผลไม้คั้นสด" ควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่องให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่ายกว่าอีกด้วย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน ควรค่อย ๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบ ๆ ปากเพื่อเพิ่มเอมไซน์ในอาหารช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น

          หากคุณเริ่มต้นวันด้วยกาแฟรสชาติเข้มข้น มื้อกลางวันดับกระหายด้วยน้ำอัดลม เติมพลังช่วงบ่ายด้วยการจิบชาฝรั่ง ตกเย็นกลับบ้านดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ ให้ชื่นใจหายเหนื่อย ถ้าตลอดทั้งวันคุณมีพฤติกรรมการดื่มลักษณะเช่นนี้ จริงอยู่อาจไม่กระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเปลี่ยนให้ 1 แก้วใน 1 วันเป็นตัวช่วยสะสมความแข็งแรงให้กับอวัยวะภายในได้

          จาก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Medicines กล่าวถึงเรื่องการดื่มน้ำผลไม้คั้นสดช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ซึ่งมีผลสรุปทางการวิจัยว่าผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากกว่า 3 แก้วใน 1 สัปดาห์มีแนวโน้มความเสี่ยง 76% ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ถือว่าอยู่ในอัตราเสี่ยงระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น สดเพียงอาทิตย์ละ 1 แก้ว หรือไม่ดื่มเลย

          นับว่างานวิจัยนี้มีเหตุผลที่ดีพอในการโน้มน้าวใจให้คนหันมาสนใจเรื่องการ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากขึ้น เรามีทางเลือกน้ำผลไม้ใกล้ตัว ที่จะช่วยดูแลอวัยวะภายในของเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอมาฝากคุณค่ะ

น้ำบีทรูท


1.น้ำบีทรูทกระตุ้นสมอง

          สารประกอบไนโตรเจนในเนื้อสีแดงของผลบีทรูท จะช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น จากผลการวิจัยล่าสุดของออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดทุกเช้ามีระดับความดันโลหิตในสมองที่สดต่ำลง และมีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย


น้ำเกรปฟรุต

2.น้ำเกรปฟรุตช่วยเผาผลาญไขมัน

          เกรปฟรุตหมายถึงผลไม้รสเปรี้ยว มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นฤทธิ์ร้อนจึงช่วยเผาผลาญไขมัน และลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ในผลการวิจัยของสหรัฐพบว่าผู้ที่จิบน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนเมื้ออาหารทุกมื้อ โดยที่ไม่ได้ลดอาหารหรือไดเอ็ทนั้นมีน้ำหนักตัวที่ลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน


น้ำมะเขือเทศ


3.บำรุงกระดูกด้วยน้ำมะเขือเทศ

          นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนนาเดียน พบว่า ไลโคปีนในน้ำมะเขือเทศสดเปรียบเสมือนธนาคารกระดูกที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและ ฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดังนั้นหากดื่มน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละแก้วก็จะได้รับแคลเซียมซึ่งเทียบได้ กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยสูงอายุ ควรบริโภคน้ำมะเขือเทศคั้นสด 2 แก้วต่อวันในระยะเวลา 4 เดือนขึ้นไป เพื่อช่วยลดอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน


น้ำส้มคั้น


4.บำรุงหัวใจด้วยน้ำส้มคั้น

          สารฟลาโวนอยในผลส้มจะช่วยลดอัตราไขมันเลว (LDL) และเพิ่มอัตราไขมันดี (HDL) ซึ่งส่งผลต่อระดับคอเลสตอรอลในร่างกายลดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลได้ ทำการวิจัยพบว่าในน้ำส้มคั้นสด ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย


น้ำเลมอน


5.น้ำเลมอนบำรุงตับ ป้องกันนิ่ว

          การดื่มน้ำเลมอนคั้นสดปริมาณ 8 ออนซ์ผสมกับน้ำเปล่าในแต่ละมื้อ ช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยของศูนย์โรคไตในซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้ำเลมอนผสมกับน้ำเปล่าในอัตรา 4.2 เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่วในไตได้ โดยมีฤทธิ์เข้าไปละลายก้อนนิ่วในถุงน้ำดีและไตแล้วขับออกมาทางปัสสาวะ รวมทั้งช่วยฆ่าแบคทีเรีย และยังช่วยให้อัตราของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะลดลงจาก 1% เหลือเพียง 0.13% ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย


น้ำสับปะรด


6.น้ำสับปะรดบำรุงข้อต่อ

          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เป็นบทความในหัวข้อ "Cellular and Molecular Life Sciences" กล่าวไว้ว่า เอนไซม์บรอมิเลน (Bromelain) ช่วยบำรุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ และมีฤทธิ์บรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคไขข้ออักเสบ (Rheumatoid arthritis) และลดอาการเบอร์ไซติส (Bursitis) หรืออาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ได้ โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทำให้อาการไม่เรื้อรัง

          นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวิตามินซีที่มีในสับปะรด ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โรคปริทันต์ หรือรำมะนาด (Periodontal disease) อันเป็นโรคที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และโรคลมอัมพาต หรืออาการเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) ได้อีกด้วย

          น้ำ ผลไม้คั้นสด นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าสารอาหารสูงกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

          ข้อแนะนำเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภคคือ ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4 ถึง 8 ออนซ์) โดยไม่เพิ่มความหวานใด ๆ อีก เพราะในผลไม้มีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งให้แคลอรีเพียง 60-80 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเหมาะที่จะเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพของเราในทุก ๆ วัน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้...เดี๋ยวนี้เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือสุขกายสบายใจ ฉบับ 07 กันยายน 2554

น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย


น้ำส้มคั้น


น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

          "น้ำ ผลไม้คั้นสด" ควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่องให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่ายกว่าอีกด้วย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน ควรค่อย ๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบ ๆ ปากเพื่อเพิ่มเอมไซน์ในอาหารช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น

          หากคุณเริ่มต้นวันด้วยกาแฟรสชาติเข้มข้น มื้อกลางวันดับกระหายด้วยน้ำอัดลม เติมพลังช่วงบ่ายด้วยการจิบชาฝรั่ง ตกเย็นกลับบ้านดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ ให้ชื่นใจหายเหนื่อย ถ้าตลอดทั้งวันคุณมีพฤติกรรมการดื่มลักษณะเช่นนี้ จริงอยู่อาจไม่กระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเปลี่ยนให้ 1 แก้วใน 1 วันเป็นตัวช่วยสะสมความแข็งแรงให้กับอวัยวะภายในได้

          จาก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Medicines กล่าวถึงเรื่องการดื่มน้ำผลไม้คั้นสดช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ซึ่งมีผลสรุปทางการวิจัยว่าผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากกว่า 3 แก้วใน 1 สัปดาห์มีแนวโน้มความเสี่ยง 76% ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ถือว่าอยู่ในอัตราเสี่ยงระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น สดเพียงอาทิตย์ละ 1 แก้ว หรือไม่ดื่มเลย

          นับว่างานวิจัยนี้มีเหตุผลที่ดีพอในการโน้มน้าวใจให้คนหันมาสนใจเรื่องการ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากขึ้น เรามีทางเลือกน้ำผลไม้ใกล้ตัว ที่จะช่วยดูแลอวัยวะภายในของเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอมาฝากคุณค่ะ

น้ำบีทรูท


1.น้ำบีทรูทกระตุ้นสมอง

          สารประกอบไนโตรเจนในเนื้อสีแดงของผลบีทรูท จะช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น จากผลการวิจัยล่าสุดของออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดทุกเช้ามีระดับความดันโลหิตในสมองที่สดต่ำลง และมีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย


น้ำเกรปฟรุต

2.น้ำเกรปฟรุตช่วยเผาผลาญไขมัน

          เกรปฟรุตหมายถึงผลไม้รสเปรี้ยว มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นฤทธิ์ร้อนจึงช่วยเผาผลาญไขมัน และลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ในผลการวิจัยของสหรัฐพบว่าผู้ที่จิบน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนเมื้ออาหารทุกมื้อ โดยที่ไม่ได้ลดอาหารหรือไดเอ็ทนั้นมีน้ำหนักตัวที่ลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน


น้ำมะเขือเทศ


3.บำรุงกระดูกด้วยน้ำมะเขือเทศ

          นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนนาเดียน พบว่า ไลโคปีนในน้ำมะเขือเทศสดเปรียบเสมือนธนาคารกระดูกที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและ ฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดังนั้นหากดื่มน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละแก้วก็จะได้รับแคลเซียมซึ่งเทียบได้ กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยสูงอายุ ควรบริโภคน้ำมะเขือเทศคั้นสด 2 แก้วต่อวันในระยะเวลา 4 เดือนขึ้นไป เพื่อช่วยลดอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน


น้ำส้มคั้น


4.บำรุงหัวใจด้วยน้ำส้มคั้น

          สารฟลาโวนอยในผลส้มจะช่วยลดอัตราไขมันเลว (LDL) และเพิ่มอัตราไขมันดี (HDL) ซึ่งส่งผลต่อระดับคอเลสตอรอลในร่างกายลดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลได้ ทำการวิจัยพบว่าในน้ำส้มคั้นสด ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย


น้ำเลมอน


5.น้ำเลมอนบำรุงตับ ป้องกันนิ่ว

          การดื่มน้ำเลมอนคั้นสดปริมาณ 8 ออนซ์ผสมกับน้ำเปล่าในแต่ละมื้อ ช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยของศูนย์โรคไตในซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้ำเลมอนผสมกับน้ำเปล่าในอัตรา 4.2 เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่วในไตได้ โดยมีฤทธิ์เข้าไปละลายก้อนนิ่วในถุงน้ำดีและไตแล้วขับออกมาทางปัสสาวะ รวมทั้งช่วยฆ่าแบคทีเรีย และยังช่วยให้อัตราของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะลดลงจาก 1% เหลือเพียง 0.13% ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย


น้ำสับปะรด


6.น้ำสับปะรดบำรุงข้อต่อ

          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เป็นบทความในหัวข้อ "Cellular and Molecular Life Sciences" กล่าวไว้ว่า เอนไซม์บรอมิเลน (Bromelain) ช่วยบำรุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ และมีฤทธิ์บรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคไขข้ออักเสบ (Rheumatoid arthritis) และลดอาการเบอร์ไซติส (Bursitis) หรืออาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ได้ โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทำให้อาการไม่เรื้อรัง

          นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวิตามินซีที่มีในสับปะรด ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โรคปริทันต์ หรือรำมะนาด (Periodontal disease) อันเป็นโรคที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และโรคลมอัมพาต หรืออาการเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) ได้อีกด้วย

          น้ำ ผลไม้คั้นสด นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าสารอาหารสูงกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

          ข้อแนะนำเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภคคือ ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4 ถึง 8 ออนซ์) โดยไม่เพิ่มความหวานใด ๆ อีก เพราะในผลไม้มีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งให้แคลอรีเพียง 60-80 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเหมาะที่จะเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพของเราในทุก ๆ วัน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้...เดี๋ยวนี้เลย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM

หนังสือสุขกายสบายใจ ฉบับ 07 กันยายน 2554



เมนูเด็ด...บอกลาปัญหาเรื่องเท้า


อาหารเพื่อสุขภาพ


เมนูเด็ด...บอกลาปัญหาเรื่องเท้า (Modernmom)
เรื่อง : โอบา

          "You are what you eat" สุขภาพดีเริ่มต้นจากการกิน เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็รู้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่กินแล้ว จะทำให้เท้าแข็งแรงและมีสุขภาพดี และอาหารชนิดใดบ้างที่กินแล้วจะส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพเท้าของตัวเอง...มาค้นหาคำตอบจากเมนูเหล่านี้กันค่ะ

8 อาหารบำรุงสุขภาพเท้า

          มาเริ่มต้นดูกันสิว่า อาหารที่กินแล้วบำรุงสุขภาพเท้าให้แข็งแรงมีอะไรกันบ้าง...

          นม : อุดม ด้วยแคลเซียมที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด เพราะมีน้ำตาลแล็กโทส ซึ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียม จึงเสริมความแข็งแรงของกระดูกบริเวณเท้า

          โยเกิร์ต : นอกจากเป็นอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนมที่ให้แคลเซียมแล้ว ในโยเกิร์ตยังมีจุลินทรีย์ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำ งานอย่างสมบูรณ์ แต่ที่สำคัญคือจะต้องเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่เติมผลไม้เชื่อมหรือ น้ำตาลลงไป เพราะความหวานจะไปทำลายจุลินทรีย์และแคลเซียมเสียหมดคุณค่าที่ต้องการเลยหาย วับไป

          ปลาเล็กปลาน้อย : สำหรับคนแพ้ผลิตภัณฑ์นม อาจเลือกกินปลาเล็กปลาน้อย เช่น ปลาไส้ตัน ปลาซิว ปลาข้าวสาร ปลาสร้อย ฯลฯ ซึ่งเราสามารถกินได้ตั้งแต่กระดูก เกล็ด ครีบ หาง ทำให้อาหรประเภทนี้มีธาตุแคลเซียมอยู่สูงมาก แต่ถ้าใครไม่ชอบกินปลา อาจจะเปลี่ยนเมนูไปเป็นกินกุ้งฝอยที่มีเปลือกอยู่ หรือกุ้งแห้งแทนก็ได้ เพราะเปลือกกุ้งจะอุดมไปด้วยธาตุแคลเซียมเหมือน ๆ กับการกินปลาเล็กปลาน้อยเช่นเดียวกัน

          อาหารทะเล : ตับ เนื้อแดง มีธาตุเหล็กสูง และร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด ช่วยส่งเสริมโครงสร้างการทำงานของเยื่อบุผิวและกระดูก หากขาดธาตุเหล็กอาจทำให้กระดูกเปราะบางได้

          ผักใบเขียว : บำรุงกระดูกให้แข็งแรง นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ผักใบเขียวยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก และแคลเซียมไม่แพ้กัน ซึ่งมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูกเล็บ ไม่ให้เปราะหรือหักง่าย

          เต้าหู้ : แหล่งโปรตีนสำคัญจากพืชที่มีไขมันต่ำ แต่กลับให้แคลเซียมสูง แถมราคาก็ไม่แพงกินแล้วดีกับกระดูก ระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ในเต้าหู้ยังมีสารที่ช่วยปรับระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ให้สมดุลและมีสุขภาพดีอีกด้วย

          งา : อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับนม แต่งาอบมีแคลเซียมสูงกว่านมถึง 10 เท่า และสูงกว่าพืชผักทั่วไปถึง 40 เท่า เพราะงาอบมีทั้งแคลเซียม โปรตีน เหล็กไอโอดีน และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างกระดูกเท้าและบำรุงข้อเท้าให้แข็งแรง

          บร็อกโคลี่ : นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังเป็นผักที่ให้วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ซึ่งล้วนมีประโยชน์กับกระดูกและเล็บทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังมีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่ปรุงให้สุกมากเกินไป เพราะความร้อนจะทำให้คุณค่าวิตามินต่าง ๆ หายไปหมด

กาแฟ

5 อาหารต้องห้าม

          น้ำตาล : เป็นอาหารของเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเท้าเหม็น หากกินน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินความพอดีก็อาจจะกระตุ้นให้โรคทวีความรุนแรง มากขึ้นได้

          อาหารหมักดอง : ในอาหารหมักดองจะพบยีสต์และเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะกระตุ้นให้โรคเกี่ยวกับเชื้อราที่เท้าทวีความ รุนแรงมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยง

          อาหารที่มีกลิ่นฉุน : เช่น หัวหอม กระเทียม ฯลฯ แม้จะมีสรรพคุณเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากกินมากเกินพอดี ก็อาจส่งผลให้เท้ามีกลิ่น เพราะในกระเทียมมีสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยขับออกมาทางปัสสาวะ ลมหายใจ และเหงื่อด้วย ทำให้ตัวเหม็นได้มากกว่าปกติเช่นกัน

          ดื่มกาแฟเกินวันละ 2 ถ้วย : มีงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากกาเฟอีนในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ทำให้กระดูกเท้าเสื่อมเร็วกว่าปกติ

          น้ำอัดลม : เครื่องดื่มเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักได้ง่าย โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียว ถ้าเราอยากให้กระดูกและเท้าแข็งแรง ก็ควรจะดื่มให้น้อยลง

          ลองปรับเปลี่ยนวิถีการกินเพียงเล็กน้อย สุขภาพเท้าก็ดูแลได้ง่ายนิดเดียว



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



กินแบบมือโปรยังไงก็ไม่อ้วน


สูตรลดน้ำหนัก


กินแบบมือโปรยังไงก็ไม่อ้วน (E-magazine)

          สำหรับ บางคนที่รักการกินแต่ไม่ชอบออกกำลังกาย บรรดาอาหารที่เข้าสู่ร่างกายก็อาจกลายร่างมาเป็นไขมัน ขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่ชอบออกกำลังกายและชอบกิน ๆๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องลงเอยกับความอ้วน ซึ่งจะมีหนทางใดบ้าง ที่จะทำให้เราได้อิ่มเอมไปกับอาหารโดยไม่ต้องกลัวหุ่นพะโล้ถามหา

          วันนี้ เรามีสูตรลดน้ำหนักที่ไม่ว่าจะคุณจะทานมากแค่ไหน แต่ก็ยังดูดีเพียวระหงอยู่เสมอกับ 3 วิธีไดเอท ด้วยอาหารที่ทั้งอิ่มแถมยังเฟิร์มได้ไม่ยาก

ลดน้ำหนักด้วยอาหารไฟเบอร์สูง

          ไฟเบอร์ (Fiber) คือเส้นใยอาหาร ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ และไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ภายใน 1 วัน ผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัม ขณะที่ผู้ชายควรได้รับ 30 กรัม โดยไฟเบอร์ที่ปัจจุบันนี้หลายคนนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหาร เป็นสิ่งที่ไม่ให้พลังงานแต่ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นจึงมีการดูดซึมน้อย อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณอาหารที่ต้องการรับประทาน จึงสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

          นอกจากนี้ ไฟเบอร์สามารถช่วยขจัดสิ่งตกค้างในร่างกายและระบบทางเดินอาหาร แม้จะเห็นข้อดีมากมายขนาดนี้ เจ้าไฟเบอร์ก็มีข้อควรระวังคือ การทานไฟเบอร์ในปริมาณมาก จำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก ๆ อย่างน้อยวัน 6-8 แก้วขึ้นไป เนื่องจากไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ จะดูดซึมน้ำในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้มีปัญหาท้องผูก ส่วนในระยะยาวอาจส่งผลให้เป็นโรคริดสีดวงทวารได้


สูตรลดน้ำหนัก


ลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย

          การบริโภคสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้ชื่นชอบรับประทานรสหวานแต่ไม่อยากมีน้ำหนัก เกิน สำหรับคนปกติควรได้น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ใน 1 วัน ซึ่งหมายถึงทานให้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ เนื่องจากคนเราได้รับน้ำตาลทางอ้อมจากอาหารประเภท แป้ง ผักผลไม้ อยู่แล้ว การบริโภคน้ำตาลมาก ๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ และความดัน

          ดังนั้นหลายคนจึง พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลแล้วหันมาทานอาหารที่ใส่สารให้ความหวานแทน ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แต่คุณควรศึกษาส่วนประกอบแต่ละชนิด อย่างชนิดของสารให้ความหวานที่นิยมใช้ เช่น

          แซคคาริน ที่มีค่าปริมาณซึ่งได้รับต่อวันโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ 0-5 มก.ต่อน้ำหนักตัวต่อวัน

          ซูคราโลส ค่าปริมาณที่ได้รับกำหนดไว้ที่ 0-15 มก.ต่อกก.น้ำหนักตัวต่อวัน

          แอสพาร์เทม สำหรับสารให้ความหวานชนิดนี้มีข้อควรระวังของการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารคือ ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) จะไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีสารนี้ประกอบได้ จึงต้องระบุคำเตือนบนฉลาก ค่าปริมาณที่ได้รับต่อวันกำหนดไว้ที่ 0-40 มก.ต่อ กก.น้ำหนักตัวต่อวัน

          อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ซึ่งการค่อย ๆ ลดน้ำตาลโดยไม่ใช้ความหวานทดแทนในอาหาร จึงเป็นวิธีการบริโภคที่ถูกต้องที่สุด


ถั่วเหลือง

ลดน้ำหนักด้วยการกินผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

          สาว ๆ หลายคนมักมองข้ามถั่วเหลืองเพราะเวลากินจะรู้สึกอิ่ม จนทำให้คิดไปเองว่าตนเองจะอ้วนหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "ถั่วเหลือง" เป็นแหล่งรวมโปรตีนที่มีคุณภาพสูง มีไขมันไม่อิ่มตัว และไม่มีโคเลสเตอรอล

สารสำคัญในถั่วเหลืองประกอบด้วย

          สารไอโซฟลาโวนส์ ช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ จากการทำกิจวัตรประจำวัน

          สารซาโพนินในถั่วเหลือง มีคุณสมบัติไม่ละลายในเลือด ไม่เป็นสารพิษต่อร่างกาย ช่วยป้องกันน้ำตาลที่ร่างกายดูดซึม ไม่ให้แปรสภาพเป็นไขมันทำให้เยื่อบุลำไส้ทำงานดีขึ้น และการดูดซึมอาหารสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

          เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ สามารถย่อยได้โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนเรา และเกิดเป็นพลังงานที่ไม่สามารถรวมตัวกับไขมัน ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว

          ในถั่วเหลืองมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน B1, B6, B12 วิตามิน C, D, E โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสมาก ถั่ว 100 กรัม มีโปรตีน 38 กรัม ไขมัน 18 กรัม และให้พลังงาน 355 แคลอรี ในขณะที่เนื้อ 100 กรัม ให้โปรตีนเพียง 9 กรัม ไขมัน 13 กรัม และพลังงาน 195 แคลอรี

          ดังนั้นในกรณีที่น้ำหนักเท่ากัน เนื้อสัตว์ให้โปรตีนน้อยกว่าถั่วเหลืองมาก จึงให้แคลอรีที่น้อยกว่า การกินถั่วเหลืองจะทำให้ไม่อ้วน โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง 200 มิลลิลิตร ให้โปรตีนเท่ากับนมวัว แต่ให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี ดังนั้นคนที่ต้องการลดน้ำหนักสามารถใช้วิธีดื่มนมถั่วเหลืองได้ แต่การดื่มแต่นมถั่วเหลืองอาจจะไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะแคลเซียมซึ่งพบน้อยกว่าในนมวัว ควรจะรับประทานกับอาหารที่เสริมกันอย่างผักคะน้า ที่ให้พลังงานต่ำเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

          นอก จากนี้ ควรระวังในการเลือกทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ให้รสหวานด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การควบคุมน้ำหนักที่ถูกต้อง ก็ควรรับประทานอาหารสลับกันบ้างเป็นบางมื้อ และให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรทานอาหารซ้ำ ๆ กันบ่อย ๆ เพราะจะได้รับสารอาหารเหมือนเดิม และมากเกินความต้องการของร่างกายสุดท้ายก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพอย่างอื่นตาม มา



ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

5 วิธีเติมพลังให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น



ออกกำลังกาย



5 วิธีเติมพลังให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น (Lisa)

          รถ ที่ปราศจากน้ำมันไม่อาจวิ่งไปไหนได้ และคุณก็ไม่อาจออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม ถ้าปราศจากพลังงาน และนี่คือเคล็ดลับการกินที่จะช่วยให้คุณมีพลังวังชาเสมอ สำหรับการออกกำลัง

1.อย่าปล่อยให้หิว

          มันเป็นเรื่องยากที่จะออกกำลังในเวลาที่คุณกินไม่พอ ดังนั้น เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ต่ำ คุณต้องกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตปริมาณเล็กน้อยตลอดทั้งวัน

2.อย่าให้ปล่อยให้กระหายน้ำ

          ถ้าคุณดื่มน้ำไม่พอ คุณก็สามารถรู้สึกเวียนหัวและสับสนมึนงงได้ แม้แต่การขาดน้ำเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ความสามารถของร่างกายลดลงได้ และเวลาออกกำลังกายก็อย่ารอให้ร่างกายกระหายน้ำ ดื่มน้ำ 6-8 ออนซ์ ก่อนและหลังออกกำลัง และดื่มน้ำทุก 15 นาทีในขณะออกกำลัง

3.เก็บเครื่องดื่มให้พลังงานไว้โอกาสพิเศษ

          น้ำเปล่าดีที่สุด แต่ถ้าคุณอ่อนแรงเร็วเวลาออกกำลัง หรือเหงื่อออกมาก เครื่องดื่มให้พลังงานก็จะช่วยได้มาก เพราะมันมีกลูโคสที่ร่างกายต้องการเพื่อพลังงาน

4.เลือกโปรตีนที่ดี

          โปรตีนไม่ได้ให้พลังงานแก่คุณเหมือนกับที่คุณได้จากคาร์โบไฮเดรต แต่มันให้ความอืดแก่คุณมากกว่า แนะนำให้ผสมโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตเข้าด้วยกันในทุกมื้ออาหาร และของว่าง และการกินโปรตีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังออกกำลัง ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี

5.อาหารเสริม

          กินวิตามินรวมหรือแร่ธาตุเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหารเพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่จำเป็นสำหรับการมีพลังวังชา และสังกะสี ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 200 ชนิดในร่างกายของเรา ซึ่งเรามักจะไม่ค่อยได้แร่ธาตุตัวนี้เพียงพอในอาหารของเราเท่าไหร่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM





หุ่นสวยด้วยพลังไฟเบอร์


เคล็ดลับหุ่นสวย


หุ่นสวยด้วยพลังไฟเบอร์ (Lisa)

           Dietary Fiber หรือเส้นใยอาหาร คือตัวช่วยสำคัญในการลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะมันช่วยในการย่อยอาหารและการขับถ่าย ลดระดับคอเลสเตอรอล เสริมสร้างการควบคุมน้ำหนักและคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งต้านการก่อตัวของมะเร็งและลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เพื่อการควบคุมน้ำหนักอย่างได้ผล และทำให้เรามีสุขภาพดี มาลองกินอาหารที่มีไฟเบอร์ให้เป็นนิสัยกันดีกว่าค่ะ

อาหารที่มีไฟเบอร์ขั้นเทพ

           ผลไม้ ได้แก่ แอปเปิ้ล อะโวคาโด มะละกอ ส้ม แคนตาลูป ฝรั่ง มะม่วง กีวี กล้วย รวมทั้งเบอร์รี่บางชนิด เช่น สตรอวเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ (กำลังอินเทรนด์เชียว)

           ผัก ได้แก่ บร็อกโคลี่ แครอต ผิวมะเขือเทศ ผิวมันฝรั่ง ผักโขม และข้าวโพด

           ธัญพืช ได้แก่ ข้าวโอ๊ต คอร์นเฟล็ก ขนมปังโฮลวีท ขนมปังขาว (มีบ้างแต่น้อยกว่าโฮลวีท) พาสต้า มักกะโรนีโฮลวีต และตัวแม่เลยก็คือข้าวกล้องที่มีถึง 5.5 กรัม ซึ่งข้าวขาวก็มีไฟเบอร์แต่เทียบไม่ติด เพราะมีแค่ 2 กรัมเท่านั้น

           ถั่ว ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วลิสง อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เฮเซลนัต พิสตาชโอ เป็นต้น


อาหารเพื่อสุขภาพ


กินอย่างไรให้ได้ไฟเบอร์

           กินซีเรียล หากกินเป็นอาหารเช้าทุกวันได้ยิ่งดี และถ้าเป็นรสธรรมชาติ ไม่หวาน ก็จะดีมากเพราะมีใยอาหารถึง 4 กรัม ผสมผลไม้ เช่น กล้วย หรือมะละกอลงไปด้วยก็ได้

           กินโยเกิร์ตมิกซ์ตอนเช้าสัปดาห์ละครั้ง ผสมโยเกิร์ตเข้ากับซีเรียลและสตรอวเบอร์รี่ช่วยเพิ่มพูนไฟเบอร์ได้อย่างดี

           กินแครอตหรือเบบี้แครอตและบร็อกโคลี่เป็นของว่าง ช่วยเติมเต็มท้องว่างในยามบ่ายก็ได้ แถมยังได้ไฟเบอร์มากถึง 15 กรัม

           แครกเกอร์โฮลวีตทาเนยถั่ว ก็ช่วยเสริมสร้างใยอาหารเช่นกัน แทนที่จะกินขนมปังหรือคุกกี้

           เปลี่ยนของว่างติดรถ หรือโต๊ะทำงานเป็นพวกของขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เช่น ถั่วต่าง ๆ ลูกเกด หรือถั่วเคลือบช็อกโกแลตก็ยังได้

           แอปเปิ้ลคือขั้นเทพของไฟเบอร์ การกินแอปเปิ้ลวันละ 1-2 ผล ช่วยให้คุณแข็งแรงและห่างไกลหมอ นอกจากนี้ ในแอปเปิ้ลยังมีเพ็กตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มและการย่อยเป็นไปอย่างช้า ๆ คุณจะรู้สึกอิ่มท้องได้หลายชั่วโมงเชียวล่ะ

           ท่องคำว่า "Whole" ไว้ เมื่อพบอาหารที่ระบุข้างกล่อง ว่า Whole Wheat หรือ Whole Grain นั่นย่อมมีไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ

           เติมถั่วแดงลงในสลัดด้วย แค่ครึ่งถ้วยก็ได้ไฟเบอร์ถึง 5 กรัมแล้ง

           ผักโขมก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีไฟเบอร์ คุณอาจเสริมเส้นพาสต้าด้วยผักโขม เมื่อทำอาหารฝรั่งก็ได้

           และแน่นอนว่าสำหรับข้าวที่เรากินอยู่ทุกวัน เมื่อต้องหุงข้าวที่บ้าน ก็ลองเปลี่ยนมาหุงข้าวกล้องแทนสิค่ะ

          อาหาร ที่อุดมด้วยไฟเบอร์อาจไม่ใช่สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อถูกความหิวเข้า โจมตี แต่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกรับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีเลยล่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



ว้าย!!! อาหารรสเผ็ดทำขาใหญ่ไม่รู้ตัว


ต้นขา


ภัยร้ายจากอาหารรสเผ็ด (Woman Plus)

          คุณ รู้หรือไม่ว่า ยำ ส้มตำ และเมนูอาหารรสเผ็ดจัดจ้านจานอื่น ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นเมนูที่จะทำให้คุณผู้หญิงต้องกลับมานั่งกลุ้มใจกับปัญหาขาใหญ่อย่าง ไม่ทันตั้งตัว

          เนื่อง จากอาหารรสเผ็ดมีทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว หวานซึ่งช่วยกันกลบรสเค็มไว้ ทำให้ความเค็มที่มาจากโซเดียมซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ในเนื้อเยื่อไหลลง สู่ที่ต่ำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ ที่ชอบกินอาหารรสเผ็ดต้องนั่งกลุ้มกุมขมับกับปัญหาขาใหญ่อย่างไม่รู้สาเหตุ

          ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ ไม่ควรกินอาหารรสเค็มและเผ็ดบ่อยจนเกินไป แต่ควรเลือกกินอาหารที่มีผักและผลไม้ ทั้งยังต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรูปร่างที่สวยงามและสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากนี้อาจแก้ปัญหาขาใหญ่ได้ด้วยการนวดกดจุด โดยการนวดเอาน้ำที่บวมคั่งในกล้ามเนื้อขาออกไปทางระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ แล้วขาของคุณผู้หญิงก็จะค่อย ๆ เล็กลง กลับมาเรียวสวยเหมือนเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



ช็อกโกแลตก็มีดีต่อสุขภาพเหมือนกันนะ






ช็อกโกแลตก็มีดีต่อสุขภาพเหมือนกันนะ (Lisa)

          ช็อกโกแลต อาหารโปรดของสาว ๆ อาจมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเลย และนี่คือข้อดีของช็อกโกแลตต่อสุขภาพของคุณ

รักษาความอ่อนเยาว์

          ตอนนี้ช็อกโกแลตถือว่าเทียบได้กับถั่วเหลืองและชาเขียวในเรื่องการเป็นอาหาร ที่อุดมด้วยแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะ ยาฆ่าแมลง การสูบบุหรี่ ความเครียด และอาหารสำเร็จรูป

เรื่องของหัวใจ

          แมกนีเซียมที่มีอยู่ในช็อกโกแลตในปริมาณสูง มีประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตสูง ถึงแม้ในทางเทคนิคมันจะเป็นไขมันแบบอิ่มตัว แต่เนื่องจากกรดสเตียริกที่มีในช็อกโกแลตมีคุณภาพดี จะทำให้มันไม่อุดตันเส้นเลือด หรือทำให้เกิดระดับคอเลสเตอรอลสูง

สู้อาการก่อนมีประจำเดือน

          ระดับโปรเจสเตอโรนที่ลดลงก่อนมีประจำเดือน ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากเกิดอารมณ์แปรปรวนในช่วงเวลานั้นของเดือน แมกนีเซียมได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถเพิ่มระดับโปรเจนเตอโรนในช่วงก่อนมีประจำเดือนที่ช่วยลดปัญหานี้ได้

คลายเครียด

          ถ้าคุณเครียด เซโรโทนินสามารถช่วยได้ วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างเซโรโทนินก็คือ การออกกำลัง อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีกรดอะมิโนทริปโตฟานสามารถเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินในร่างกายได้ เดาซิว่าอะไรที่มีทริปโตฟานมาก ใช่แล้ว ช็อกโกแลตไงล่ะ

ผิวสวย

          ช็อกโกแลตทำให้เกิดสิวหรือเปล่า? งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ที่มหาวิทยาลัยเพนซิเวเนียในสหรัฐฯ ซึ่งให้คนไข้ที่เป็นสิวอักเสบจำนวน 65 คน กินช็อกโกแลตในปริมาณมาก ๆ และพบว่า 46 คนไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในเรื่องสิว 10 คนดีขึ้น และ 9 คนแย่ลง บ่งชี้ว่าช็อกโกแลตไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการเป็นสิว

ตื่นตัว

          ช็อกโกแลตอุดมไปด้วยพลังงานและมีกาเฟอีน จึงสามารถทำให้คุณตื่นตัวได้ในยามที่ต้องการ นอกจากนี้ ถ้าคุณเลือกช็อกโกแลตที่มีกาเฟอีนสูง ๆ มันจะมีน้ำตาลน้อยกว่าและดีกว่าสำหรับคุณ

บรรเทาอาการไอ

          นักวิจัยพบว่าสารประกอบที่ชื่อ ธีโอโบรไมน์ ในช็อกโกแลตมีประสิทธิภาพมากกว่ายาโคดีอีนในการกดอาการไอโดยไม่มีผลข้าง เคียง อย่างเช่น ง่วงนอน หรือท้องผูก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


7 งานบ้านทำเพลินเบิร์นแคลอรี่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทั้งหลาย (ถ้าคุณเป็นหนุ่มที่ทำงานบ้านเองล่ะก็ คุณก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยค่ะ) ที่ทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ กลับบ้านก็ต้องจัดการงานบ้านให้เรียบร้อยสะอาดตาเข้าที่เข้าทาง จนไม่มีเวลาปลีกตัวไปออกกำลังกายจริง ๆ จัง ๆ หากกลัวว่าปล่อยไว้แบบนี้แล้วเดี๋ยวจะอวบตันหุ่นไม่สวยก็โล่งใจได้ค่ะ

          เพราะว่างานบ้านทั้งหลายที่คุณได้หยิบได้จับอยู่ทุกวันก็นับเป็นการออกกำลังกายทางหนึ่งด้วยเช่นกัน แถมยังได้ประโยชน์สองเด้ง ทั้งบ้านก็เรียบร้อยน่าอยู่และคุณก็ได้เบิร์นพลังงานนำสารอาหารตาง ๆ ที่ทานเข้าไปออกมาเผาผลาญได้ด้วย งานบ้านทำเพลิน ๆ แต่ได้ออกกำลังกายไปด้วยจะมีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ 

1. กวาดบ้าน/ถูบ้าน

          การกวาดและถูบ้านรวมถึงการดูดฝุ่น (สำหรับคุณพ่อบ้านแม่บ้านสมัยใหม่) เป็นการเคลื่อนไหวออกกำลังกายทั้งท่อนบนและท่อนล่าง หากคุณใช้เวลาดูดฝุ่นหรือกวาดทุกซอกทุกมุมในบ้านสักครึ่งชั่วโมง คุณสามารถเบิร์นพลังงานได้ราว 376-752 แคลอรี่เลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว น้ำหนักของเครื่องดูดฝุ่น และการออกแรงของคุณ หลังจากกวาดกำจัดฝุ่นผงเสร็จไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว ขั้นต่อมาก็คือการถูพื้น ยิ่งถ้าคุณถูด้วยมือโดยการคุกเข่าลงไปถู แม้จะดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปสักนิดแต่วิธีนี้จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีเชียวค่ะ โดยการถูบ้านครึ่งชั่วโมงจะใช้พลังงานราว 111-222 แคลอรี่เลยทีเดียว

2. ล้างจาน

          งานเก็บกวาดจานชามมาล้างให้สะอาดช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน แม้จะไม่มีการขยับเคลื่อนไหวของร่างกายมากมายนัก แต่อย่างน้อยมันก็ใช้พลังงานราว 63 แคลอรี่ต่อครึ่งชั่วโมง และอาจเพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัวเป็น 126 แคลอรี่ หากคุณหยิบจานที่สกปรกมาก ๆ มาล้างซ้ำอีกครั้ง หรือต้องออกแรงในการล้างมากกว่าปกติ อย่างการล้างกระทะหรือขัดหม้อค่ะ

ซักผ้า

3. ซักผ้า

          แม้การซักผ้าเดี๋ยวนี้จะเปลี่ยนรูปแบบจากการซักมือไปเป็นซักด้วยเครื่องซัก ผ้าที่แสนสะดวกสบาย แต่อย่างน้อยขั้นตอนในการแยกเสื้อผ้า กลับผ้าก่อนซัก รวมถึงการคลี่สะบัดและตากผ้า ก็ช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้สัก 75-100 แคลอรี่แล้วล่ะ


ทำงานบ้าน

4. เช็ดหน้าต่าง/เช็ดกระจก

          หน้าต่างเป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่บ้านไหน ๆ ก็ต้องมี บางบ้านที่เป็นหน้าต่างโปร่ง ๆ อันเป็นทางผ่านของลมยิ่งต้องเช็ดให้สะอาด ลมจะได้ไม่หอบฝุ่นที่จับตัวอยู่เข้ามาในบ้าน ส่วนบ้านไหนเป็นหน้าต่างกระจกก็ต้องเช็ดขัดถูให้สะอาดใสเพื่อความสวยงาม ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงที่คุณเช็ดหน้าต่างนี้สามารถเบิร์นพลังงานได้ 150 แคลอรี่ ยิ่งในกรณีที่ต้องมีการปีนป่ายหรือต่อเก้าอี้เพื่อเช็ด ก็จะยิ่งต้องการพลังงานมากขึ้น และหากบ้านใครหลังใหญ่ ๆ มีหน้าต่างเยอะ ๆ ล่ะ ก็คุณคงต้องใช้เวลามากเกินครึ่งชั่วโมงในการทำความสะอาดมันแน่นอน

5. จัดเตียง

          เตียงนอนผ้ามีผ้าปูตึงเปรี๊ยะ หมอนนุ่ม ๆ ฟู ๆ วางพร้อม ช่างเรียกร้องให้โถมกายลงไปนอนเสียจริง ๆ และวิธีการจัดเตรียมเตียงนอนให้น่านอนก็เป็นการออกกำลังกายได้ด้วย การที่คุณดึงผ้าปูเตียงทุกมุมให้ตึง พับผ้าห่ม ตบหมอน วางจัดเรียงให้พร้อม ช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานไปได้คราวละ 70 แคลอรี่ในทุก ๆ วัน


ตัดหญ้า

6. ตัดหญ้า

          สำหรับบ้านที่มีบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน เมื่อคราวที่หญ้าเริ่มงอกยาวจนดูรกตาก็ได้เวลามาออกกำลังกายกันสักยก การตัดหญ้าด้วยเครื่องตัดหญ้าที่คุณต้องออกแรงผลักและเข็นให้มันไปตัดหญ้าใน พื้นที่ที่ต้องการสักครึ่งชั่วโมงก็ช่วยเผาผลาญพลังงานไปได้แล้วอย่างน้อย 135 แคลอรี่ และอาจพุ่งขึ้นอีกเท่าตัวได้เลยหากเครื่องตัดหญ้านั้นค่อนข้างหนัก หรือต้องกำจัดวัชพืชในพื้นที่ ๆ เข้าถึงยาก อย่าซอกเล็ก ๆ หรือพื้นที่ขรุขระ

7. ล้างรถ

          พาหนะคันย่อมที่ช่วยพาเราไปไหนต่อไหนอย่างสะดวกสบาย แต่ถ้าใช้งานสมบุกสมบันไปหน่อย เจ้ารถคันเก่งก็ฝุ่นเขรอะขมุกขมัวได้ จึงต้องอาบน้ำให้มันสักหน่อย การล้างรถสักครึ่งชั่วโมงต้องการพลังงานอย่างน้อย 150 แคลอรี่ และจะยิ่งมากกว่านี้หากคุณอยากจะเสริมหล่อด้วยการขัดแว็กซ์ให้มันปลาบไปทั้ง คัน

          เห็น ไหมคะ ไม่ต้องไปถึงฟิตเนสก็สามารถออกกำลังกายได้เช่นกัน เริ่มจากหยิบจับทำงานบ้านของเรานี่เอง ได้ทั้งบ้านสะอาด ๆ และหุ่นสวย ๆ ไปพร้อมกันด้วยล่ะ :D


7 เรื่องในห้องครัวที่อาจจะทำให้คุณอ้วนไม่รู้ตัว

เกร็ดสุขภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          "ห้อง ครัว" เป็นหัวใจหลักของบ้าน และบางทีก็เป็นสถานที่ที่ทำให้คุณอ้วนได้โดยไม่รู้ตัว รู้ไหมว่า หลาย ๆ อย่างในห้องครัว มีความเกี่ยวพันกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ด้วย ลองไปดูกันว่า อะไรบ้างที่เป็นปฏิปักษ์ต่อน้ำหนักตัวของคุณ 

1.จานอาหารขนาดใหญ่

          ขนาดจานที่ใหญ่จะทำให้คุณทานมากขึ้น แน่นอนว่า น้ำหนักของคุณมีสิทธิ์จะพุ่งอย่างไม่น่าแปลกใจ โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งในต่างประเทศ ระบุไว้ว่า หากจานของคุณเล็กลงกว่าเดิม 2 นิ้ว แคลอรีที่เข้าสู่ร่างกายของคุณจะน้อยลงถึงมื้อละ 22% ซึ่งนั่นหมายความว่า ใน 1 เดือน คุณจะสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 2 ปอนด์เลยล่ะ

ทางแก้ไข

          หันมาใช้จานเล็ก ๆ ถ้าจะทานอาหารที่มีแคลอรีสูง ส่วนจานใหญ่ ๆ ก็ให้ใส่พวกผักแทน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า ขนาดจานที่เหมาะสมที่สุดในการรับประทานอาหารก็คือ ประมาณ 10 นิ้ว เพราะถ้าขนาดจานเล็กเกินไป ก็อาจจะทำให้คุณไม่อิ่ม คิดจะขอจานที่สองตามมา ซึ่งนั่นไม่ได้ช่วยเรื่องการลดน้ำหนักแน่นอน


ห้องครัว


2.แสงไฟในห้องครัว

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ยิ่งแสงไฟนั้นมีกำลังวัตต์สูงเท่าไหร่ ความเครียดของคุณก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น แถมมันยังไปกระตุ้นความอยากอาหาร และเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณทานเร็ว และมากเกินขนาดปกติเสียด้วยสิ และแม้ว่าจะหรี่ไฟลงแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นหรอกนะ

ทางแก้ไข

          ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ขณะที่คุณกำลังทำอาหาร ให้เปิดแสงไฟได้เท่าที่คุณต้องการ แต่ในเวลาที่คุณทานอาหารควรปรับแสงไฟทั้งหมดภายในห้องไม่ให้มากเกิน 240 วัตต์ เช่น คุณอาจจะใช้หลอดไฟ 60 วัตต์ 4 ดวง หรือใช้หลอดไฟ 40 วัตต์ 6 ดวงก็ย่อมได้ แต่ถ้าเป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ปรับแสงไฟให้ได้รวมกันประมาณ 75-100 วัตต์ก็เพียงพอแล้ว

3.ห้องครัวรกเกินไป

          ห้องครัวในหลาย ๆ บ้านก็มักเป็นเหมือนที่ทิ้งขยะ แล้วรู้ไหมว่า ห้องครัวที่ดูสกปรก เลอะเทอะ วางขนมนมเนยระเกะระกะไปทั่ว จะยิ่งทำให้คุณคว้าอาหารมาทานได้ง่ายขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว สภาพที่ดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ยังทำให้ระดับของคอร์ติซอลในเลือดเพิ่มขึ้นได้ด้วย และทำให้เกิดอาการเครียดตามมา ทีนี้พอเครียดแล้วล่ะก็ ความหิวก็จะเริ่มถามหาแล้วล่ะ

ทางแก้ไข

          ถึงเวลาต้องเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสียที โดยการจัดพวกอุปกรณ์ครัวต่าง ๆ ไว้บนชั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จัดให้ส่วนที่ใช้เตรียมอาหารดูโล่งให้มากที่สุด นอกจากนี้ หากคุณจัดแบ่งระหว่างที่รับประทานอาหาร กับที่ประกอบอาหารให้เป็นสัดส่วนแยกออกจากกันให้ชัดเจน คุณจะให้ความสนใจกับการรับประทานอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าเรื่องอื่น และจะสามารถจับสัญญาณได้เมื่อท้องอิ่มแล้ว แต่หากมีสิ่งใดเข้ามารบกวนการรับประทานอาหารของคุณ ผลการศึกษาก็ชี้ว่า มันจะทำให้คุณทานมากขึ้นกว่าเดิมอีก 15% เลยล่ะ


เคล็ดลับสุขภาพ


4.แก้วใบกว้าง...เปลี่ยนซะ

          ยิ่งแก้วน้ำของคุณมีขนาดกว้างเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คุณดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลมมากกว่าการใช้แก้วใบสูงผอมแน่นอน นั่นเพราะว่า เรามักจะเทน้ำให้พอดีกับแก้ว อย่างเช่นผลการศึกษาในอเมริกาที่พบว่า ชาวอเมริกันที่ดื่มน้ำส้มด้วยแก้วน้ำใบใหญ่ทุก ๆ เช้า จะมีปริมาณแคลอรีเพิ่มขึ้นถึง 350 แคลอรีต่อวัน และนั่นอาจหมายถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นปีละ 3 ปอนด์เลยทีเดียว

ทางแก้ไข

เปลี่ยน ซะ!!! หันมาใช้แก้วใบผอม ๆ สูง ๆ แทน ส่วนแก้วใบใหญ่ ๆ ก็รินน้ำเปล่าธรรมดา หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรีลงไปแทน มันจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คุณสามารถจะลดน้ำหนักลง 1 ปอนด์ได้ง่าย ๆ ภายใน 6 เดือน เพียงแค่ลดน้ำตาลที่เติมลงในเครื่องดื่มวันละ 1 ช้อนแค่นั้นเอง

5.ตู้กับข้าวใหญ่เกินไป

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ความจุของตู้กับข้าวมีผลต่อน้ำหนักของคุณด้วย เพราะนักวิจัยพบว่า หากตู้กับข้าวที่บ้านคุณใหญ่เกินไป คุณก็มีแนวโน้มจะซื้อกับข้าว หรือขนมนมเนยแพคใหญ่ ๆ แทนที่จะซื้อแพคเล็ก ๆ มาเก็บไว้ในตู้ได้มากขึ้น และเมื่อคุณมีวัตถุดิบพร้อมสรรพแล้วเสียขนาดนั้น นักวิจัยก็บอกว่า คุณมีแนวโน้มถึง 23% ที่จะทำอาหารหลากชนิดขึ้น ซึ่งยิ่งมีอาหารหลากหลายเมนูมากเท่าไหร่ แน่นอนว่าคุณจะทานอาหารได้เยอะขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หากคุณเห็นคุกกี้ 4 แบบบนโต๊ะ คุณก็มีแนวโน้มจะหยิบมาลองชิมทั้ง 4 แบบ 4 ชิ้นใช่ไหมล่ะ นั่นล่ะจ๊ะเหตุผลเดียวกัน

ทางแก้ไข

          พึงระวังการซื้อของที่แพคเป็นหลาย ๆ ชิ้นให้ดี นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณน้ำหนักเกิน เพราะฉะนั้น เวลาซื้อของ ให้เปลี่ยนไปซื้อแพคที่ชิ้นเล็กลง หรือซื้อเพียงชิ้นเดียวก็พอ และจำไว้ว่า หากสินค้าชนิดไหนมีหลากหลายรูปแบบ หลากรส หลากสี หลากกลิ่นให้เลือกสรร อย่าไปตกหลุมพรางเชียวล่ะ เลือกเพียงอย่างเดียวก็พอนะ


เกร็ดสุขภาพ


6.ห้องครัวกลายเป็นศูนย์รวมของบ้าน

          นอกจากตู้กับข้าวที่ใหญ่เกินไปแล้ว ห้องครัวที่ใหญ่เกินไปก็อาจทำให้คุณอ้วนเอาได้ดื้อ ๆ เพราะยิ่งห้องครัวใหญ่เท่าไหร่ มันจะแปรสภาพจากห้องครัวเป็นสถานที่ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกัน เช่น นั่งดูทีวีขณะนั่งรับประทาน หรือนั่งทำงาน คุยโทรศัพท์ไปพร้อม ๆ กับการทานอาหารเช้า แต่ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า คนที่นั่งทานอาหารไปแล้วนั่งดูทีวีไปพร้อม ๆ กัน มีแนวโน้มจะทานอาหารบ่อยขึ้น และมากขึ้นกลายเป็นมื้อใหญ่พิเศษของวันได้เลย

ทางแก้ไข

          ย้ายทีวี และโน้ตบุ๊กออกจากห้องครัวไปซะ หรือหากจะคุยโทรศัพท์ก็ไปนั่งคุยในห้องนั่งเล่นซึ่งไม่มีอาหารตั้งตรงหน้ามา ยั่วให้เราอยากทานไปพลางคุยไปพลางจะดีกว่า ที่สำคัญ อย่าลืมปิดไฟห้องครัวซะ ในช่วงที่ไม่ใช่เวลารับประทานอาหาร เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่า ห้องครัวปิดแล้วนะจ๊ะ อย่าเข้าไปหาอะไรทานเสียล่ะ

7.ซื้อมาเก็บเยอะไป

          การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแอริโซน่า บอกว่า ทุก ๆ วัน เราจะต้องทิ้งอาหารลงขยะไปถึง 1 ใน 4 ของที่ซื้อมาเตรียมไว้ เหตุผลง่าย ๆ เลยก็คือ "ลืมทาน" และปล่อยมันทิ้งไว้ในตู้ หรือเก็บไว้ในที่ที่เราไม่ค่อยได้เห็น หรือนึกถึงมากนัก อย่างเช่นช่องแช่ผักในตู้เย็น ที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า ช่องนี้จะช่วยถนอมอาหารให้สด เก็บไว้ได้นาน แต่หากคุณลืมเปิดช่องแช่ผักเสียล่ะ ยังไงซะอาหารพวกนั้นก็คงเน่าเสียก่อนเราได้หยิบออกมาปรุงทานแน่ ๆ

ทางแก้ไข

          ง่าย ๆ เลยค่ะ แค่คุณเปลี่ยนมาซื้ออาหารสัปดาห์ละครั้ง อย่าซื้อเก็บไว้ทีละมาก ๆ และพยายามเก็บอาหารไว้ในตู้เย็นที่ระดับสายตา หรือใส่ไว้ในถ้วยสวย ๆ หากเป็นอาหารที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่เย็นก็นำออกมาวางไว้บนโต๊ะในครัว ก็ได้ สำหรับผักผลไม้โดยทั่วไปแล้วรสชาติจะเยี่ยมที่สุด หากเราวางไว้ในอุณหภูมิห้อง ไม่ว่าจะเป็นส้ม เกรปฟรุต มะม่วง หรือมะเขือเทศ

          รู้ถึงหลุมพรางของห้องครัวแล้ว ก็อย่าลืมแก้ไขกันด้วยล่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจในยามที่เข็มบอกน้ำหนักเคลื่อนไปทางขวานะจ๊ะ


ตื่นเช้าพร้อมไก่ขัน สร้างหุ่นสวยสุขภาพดี



เกร็ดสุขภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใคร ที่ตื่นมาพร้อมกับการกดปุ่มเลื่อนเวลาปลุกของนาฬิกาออกไปเรื่อย ๆ ลองหันมาฟังทางนี้ค่ะ หากอุตส่าห์ตั้งใจจะตื่นเช้าทั้งที ให้รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหากิจกรรมทำให้ตื่นเต็มตาดีกว่า เพราะทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรแฮมตัน ประเทศอังกฤษ เขา ได้ทำแบบสอบถามผู้คนทั้งชายหญิง 1,100 รายถึงเรื่องสุขภาพและพฤติกรรมการนอน โดยผลการทำแบบสอบถามชุดนี้สามารถสรุปได้ว่า คนที่ตื่นเช้ามักจะเป็นคนที่หุ่นดีและสุขภาพดีกว่าคนที่ใช้เวลาอยู่บนที่นอน จนกระทั่งสายหรือบ่ายคล้อย

          จากการสำรวจ 13 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาผู้ทำแบบสอบถามตื่นนอนก่อน 7 นาฬิกาในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ และไม่นอนขี้เซาอยู่แต่บนเตียงในวันเสาร์-อาทิตย์ อีก 6 เปอร์เซ็นต์ตอบว่าเข้านอนก่อน 3 ทุ่มในวันทำงานและนอนดึกเป็นพิเศษเมื่อถึงวันหยุด ส่วนอีก 81 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นสาย นอนดึก หรือใช้ชีวิตแบบนกฮูกอย่างนอนตอนกลางวันแล้วตื่นตอนกลางคืน

          จาก การวิเคราะห์ประเมินผลจากแบบสอบถาม พบว่ากลุ่มคนที่ตื่นนอนเช้าเป็นกลุ่มที่มีสัญญาณบ่งชี้ว่ามีสุขภาพจิตดี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องความเครียดหรือวิตกกังวล นอกจากนี้คนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับอาหารเช้า ซึ่งนับเป็นมื้อสำคัญ เพราะมื้อเช้าช่วยเติมกระเพาะที่ว่างมาทั้งคืน ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร ร่างกายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และไม่รู้สึกโหยเกินไปในมื้อกลางวัน ซึ่ง ความหิวโหยจากการเว้นอาหารเช้าอาจทำให้ทานมื้อต่อไปมากเกินกว่าที่ร่างกาย ต้องการ คนกลุ่มที่ตื่นเช้าจึงมีแนวโน้มที่จะหุ่นดีและสุขภาพดีกว่าคนที่ตื่นสายกว่า

          โดย หนึ่งในทีมผู้ทำการสำรวจ ด็อกเตอร์จอร์ช ฮูเบอร์ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า แม้นี่จะเป็นเพียงปัจจัยเล็ก ๆ ประการหนึ่งในการมีรูปร่างและสุขภาพที่ดี แต่ก็นับว่ามันเป็นปัจจัยที่ส่งผลสำคัญ ไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ เลยทีเดียว นอกจากนี้ผลการสำรวจยังพบอีกด้วยว่าคนที่นอนดึกมักประสบปัญหาเรื่องการนอน และมีคุณภาพการนอนที่ไม่ดี

          รู้อย่างนี้แล้ว เพื่อรูปร่างและสุขภาพที่ดีของคุณ เช้าวันต่อไปนาฬิกาปลุกเมื่อไหร่ให้รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเลยนะคะ