เตือน! ฉีดกลูตาไธโอนเร่งผิวขาว เสี่ยงตาบอด-มะเร็งผิวหนัง




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2554 13:42 น.
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       แพทย์เตือนวัยรุ่นไทยที่ฉีด กลูตาไธโอนเพราะคลั่งความขาวแบบหนุ่มสาวเกาหลี   ชี้การฉีดสารชนิดนี้เป็นการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวชั่วคราว หากยาหมดฤทธิ์สีผิวก็จะกลับมาเหมือนเดิม ใช้บ่อยเกินขนาด เสี่ยงอันตรายถึงขั้นตาบอด และเป็นมะเร็งผิวหนัง  สมาคมแพทย์ผิวหนัง   แพทยสภา  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์  ยังไม่รับรองความปลอดภัย    แนะเคล็ดการดูแลผิวให้ขาวเนียนปลอดภัยทำได้โดยออกกำลังกายเพิ่มการกินผักผล ไม้ที่รสไม่หวานมากให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม  ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และใช้ครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดดจะช่วยได้   
       
      
       นพ.จิโรจ สินธวานนท์  ผู้ อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข   เปิดเผยว่า  ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยทั้งชายและหญิงนิยมฉีดผิวด้วยกลูตาไธโอนผิวให้ขาว เหมือนดาราเกาหลี  โดยทั่วไปวงการแพทย์จะใช้กลูตาไธโอน รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ   เนื่องจากกลูตาไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย   ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ  สึกหรอ  ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อ ตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย  การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน   กรณีของการนำกลูต้าไธโอน ไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ขึ้นมาเอง   เนื่องจากคุณสมบัติรองของกลูตาไธโอน สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน (Melanin) จึงมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการดูแลผิว
       
      
       “ที่น่าห่วงไปกว่านั้น พบว่ากลูตาไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศ อื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ ป่วยโรคตับ จึงเกิดปัญหาความบริสุทธิ์ของยา  ดังนั้นจึงต้องมีการ เฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดดังกล่าว   โดยเฉพาะขณะนี้พบว่าวัยรุ่นที่นิยมฉีดผิวมีการฉีดเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปีทั้งกลุ่มผู้หญิง ผู้ชาย และเพศที่สาม  ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ที่ฉีดสีผิวมักเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน  และบางคนฉีดเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์  เพราะเข้าใจว่าจะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ผิวขาวรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายแพทย์จิโรจกล่าว
       
      
       นพ.จิโรจกล่าวต่อไปว่า   ประเด็นที่น่าวิตกก็คือ ปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ  คือจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง  ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซต์) ในผิวหนัง มีประโยชน์ เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆ และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง   ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง  เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้นเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งผิวหน้า ได้                                                                                               
               
      
       นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตา โดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็นทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่าย  ถ้าอักเสบบ่อยๆอาจถึงขั้นตาบอด   ประการสำคัญที่สุดที่ขอเน้นย้ำก็คือ ขณะนี้ทั้งสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  แพทยสภา  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์  ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูต้าไธโอน เพื่อทำให้ผิวขาว   เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลเสียในระยะยาวที่ยังไม่มีการประเมินได้ชัดเจน   ส่วน กลูตาไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้นขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้น ทะเบียนรับรองโดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีผล ต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนานๆก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน
                   
      
       ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงนั้นสีผิวของคนเราในแต่ละคนแตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มจะมีแคปซูลของเม็ดสีเมลานินมาก   คนที่มีผิวขาวจะมีแคปซูลของเมลานินน้อย  การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อสารหมด ฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก  ดังนั้นจึงขอฝากความห่วงใยไปยังวัยรุ่นไทย ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  ให้มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หลงตามกระแสดังกล่าวให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เลือกใช้จ่ายในด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะดีกว่า   หากวัยรุ่นหรือประชาชนต้องการให้มีผิวพรรณดี ขอให้ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด  กินอาหารที่มีประโยชน์  เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม เนื่องจากในผักผลไม้จะมีวิตามินซีช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส  ออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที และดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้ามีความต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีด้วยสามารถใช้ครีมบำรุงที่ผสมสารกัน แดดเพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวได้   นายแพทย์จิโรจกล่าว