วิวัฒนาการในทุกวันนี้ เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของคนโดยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น โดยเฉพาะประชาชนชาวญี่ปุ่นถือว่ามีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกประมาณ 83.84 ปี ทั้งนี้ สาเหตุที่คนมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นสืบเนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณ สุขเจริญก้าวหน้ามากขึ้น
และความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขแขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำให้มนุษย์อายุยืนขึ้นและกำลังได้รับความสนใจก็คือ Anti-aging Medicine
รศ.นพ.ปิติ พลังวิชา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-aging Medicine มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ (มศว) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า Anti-aging Medicine เป็นวิชาแขนงใหม่ซึ่งรวบรวมองค์ความรู้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาสุขภาพ การป้องกัน อาหารการกิน และประโยชน์ของวิตามิน โดยความรู้แขนงใหม่นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ชีวิตมนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้น
“การทำให้คุณภาพชีวิตของคนๆ หนึ่งมีคุณภาพที่ดี ต้องให้ความสำคัญในเรื่องอาหารคนปัจจุบันกินไขมันมากเกินความจำเป็นของร่าง กาย อีกทั้งยังกินอาหารกระป๋อง อาหารเหล่านี้เป็นที่มาของโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจและเบาหวาน อาหารที่คนเราควรกินคือผักสดและผลไม้สด ตลอดถึงเนื้อปลา ไขมันจากปลา อาหารจำพวกของปิ้ง ย่าง ทอดควรจะงดอย่างเด็ดขาด การกินของคนเรานั้นต้องกินผักผลไม้ให้ได้ในอัตราส่วน 50-60 % โปรตีนในอัตราส่วน 10-15 % ส่วนไขมันต้องมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วน 1/1 ซึ่งร่างกายของคนเรามีความต้องการไขมัน 30 % ดังนั้น ต้องแบ่งสัดส่วนไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วนที่เท่ากัน”
นอกจากนี้ การกินอาหารต้องกินให้หลากหลาย แป้งและน้ำตาลลดจำนวนให้น้อยลง ทั้งนี้ การจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้นต้องเอาใจใส่ต่อการออกกำลังกายแอโรบิก
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งๆ ละ 30 นาทีอย่างต่อเนื่อง และอย่าลืมเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายได้สัดส่วนสวยงามด้วยการยกน้ำหนัก”
รศ.นพ.ปิติให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า การสังเกตรูปร่างอย่างง่ายก็คือ อย่าให้ท้องโต หรือมีพุง การที่มีพุงใหญ่นั้นเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแสดงให้เห็นว่าโรคต่างๆ กำลังก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของคนๆ นั้น สิ่งสำคัญจิตใจต้องไม่เครียด ดื่มน้ำบริสุทธิ์ให้ได้ 1-2 ลิตรต่อวัน
ไม่ควรดื่นน้ำประปาแม้ว่าเราจะต้มแล้วก็ตาม
“ความรู้ด้าน Anti-aging Medicine จะให้ความรู้ในเรื่องฮอร์โมนเสริม คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายจะต่ำลง ขณะเดียวกันวิตามินต่างๆ น้อยลง การดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นสู่ร่างกายก็ทำได้น้อยลง ส่งผลให้คนเราแก่เร็วและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายขึ้น ฮอร์โมนของคนเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป แพทย์ด้าน Anti-agingMedicine จะเริ่มให้ฮอร์โมนเสริม และต้องเสริมด้วยวิตามินเกลือแร่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งร่างกายของผู้ชายและผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนเสริมที่แตกต่างกัน เนื่องจากสภาพร่างกายของผู้หญิงผู้ชายไม่เหมือนกัน”
“ความรู้ด้านนี้จะทำให้คนเรามีสุขภาพดี แข็งแรงและแก่ช้าลงสิ่งสำคัญแพทย์ที่จะให้ฮอร์โมนเสริมต้องเป็นแพทย์ทาง Anti-aging Medicine ในเมืองไทยยังขาดแพทย์ในสาขานี้ ตลอดถึงโรงเรียนแพทย์ยังไม่มีการเรียนการสอน”
รศ.นพ.ปิติบอกด้วยว่า ในเมื่อความรู้ในการให้ฮอร์โมนเสริมโดยใช้หลักความรู้ด้าน Anti-aging Medicine ยังไม่แพร่หลาย การให้ฮอร์โมนเสริมโดยเฉพาะเอสโตรเจน หรือโพเจสเตอโรส เมื่อให้ฮอร์โมนกลุ่มนี้มากๆ คนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์ด้าน Anti-aging Medicine ก่อนจะให้ฮอร์โมนต้องมีการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด
ที่สำคัญคือ การให้ฮอร์โมนต้องใช้วิธีการธรรมชาติ คนที่รับฮอร์โมนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งน้อยมาก แต่ในทางกลับกันยังสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย การให้ฮอร์โมนอย่างถูกวิธี ใช้ฮอร์โมนเข้าไปบำบัด เป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งให้ร่างกายได้อย่างดี
“อยากทำความเข้าใจใหม่ในเรื่องการให้ฮอร์โมนเสริม ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย แต่คนที่ให้ฮอร์โมนต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านAnti-aging Medicine เป็นอย่างดีด้วยในต่างประเทศโดยเฉพาะแถบยุโรป อย่างประเทศฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สเปน ความรู้ด้าน Anti-aging Medicine ในต่างประเทศเป็นความรู้ที่แพร่หลายและรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ จะมีแผนกนี้ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตให้ผู้คนของเขา อยากให้ มศว เป็นผู้นำในเรื่องศาสตร์ด้าน Anti-aging Medicine”