homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

กุ้งราดซอสมะขาม สามรสพาเพลิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2547 21:23 น.
โดย : กุ๊กเล็ก


       วันนี้ “กุ๊กเล็ก” เกิดครึ้มอกครึ้มใจ อยากจะเพิ่มความสวยผ่องใสให้กับตัวเองบ้าง เลยลงทุนไปหาซื้อมะขามเปียกมา แล้วก็จัดแจงเอามาขัดตัวเป็นการใหญ่ แต่ปรากฏว่าทำอย่างไรมะขามเปียกมันก็ไม่หมด เลยนั่งคิดตั้งนานสองนาน ว่าจะทำอะไรกับเจ้าส่วนที่เหลือนี้อย่างไรดี เพราะถ้าจะทิ้งไปก็เสียดาย จนนึกได้ว่าเชฟของโรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ เคยให้สูตร กุ้งราดซอสมะขาม ไว้นี่นา
      
       นึกได้ดังนั้น “กุ๊กเล็ก” ก็เลยจัดการเตรียมสารพันเครื่องปรุงทั้งหลาย แล้วบึ่งเข้าครัว ทำกุ้งราดซอสมะขาม ที่รับรองว่าต้องเด็ดแน่ เพราะมีตั้งสามรสชาติในจานเดียว จะเป็นอย่างไร ไปทำกันเลยดีกว่า
      
       
เครื่องปรุง
       กุ้งก้ามกราม                    5-6 ตัว
       พริกแห้งหั่นท่อนสั้นทอด    ¼ ถ้วย
       หอมแดงเจียว                  ¼ ถ้วย
       กระเทียมเจียว                 2 ช้อนโต๊ะ
       ใบมะกรูดทอด                 3-4 ใบ
       เส้นหมี่ทอด                    ¼ ถ้วย
       น้ำตาลปี๊บ                      1/4 ถ้วย
       น้ำปลา                          2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมะขามเปียก               ¼ ถ้วย
       น้ำเปล่า                         2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันสำหรับทอดกุ้ง         4 ถ้วย
       

       ขั้นตอนการทำเริ่มแรกก็ล้างกุ้งให้สะอาด แกะเปลือกออก ส่วนหัวกับหางนั้นให้เหลือไว้ จัดการผ่าหลังชักเส้นดำออกโดยผ่าให้ลึกๆ แต่ไม่ให้ขาด กุ้งจะได้สวยๆ จากนั้นก็เอากุ้งไปทอดด้วยไฟร้อนปานกลาง พอทอดกุ้งสุกเหลืองก็ตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วพักไว้ก่อน เพราะต้องไปทำน้ำซอสมะขาม
      
       ซึ่งการทำน้ำซอสมะขามก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำตาล จากนั้นก็เคี่ยวจนเริ่มมีสีเข้มและข้นขึ้น แล้วก็ใส่น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ตามด้วยน้ำเปล่า เคี่ยวต่อไปอีกสักครู่ ก็เป็นอันว่าทำน้ำซอสมะขามเรียบร้อย
      
       ต่อจากนั้นก็บรรจงจัดหอมแดงเจียว กระเทียมเจียว พริกแห้งทอด ใบมะกรูดทอด เส้นหมี่ทอด วางที่มุมจาน ต่อด้วยกุ้งทอดวางเรียงให้สวย ราดน้ำซอสมะขามลงบนตัวกุ้ง โรยด้วยพริกเหลือง พริกแดง พริกเขียว ที่หั่นฝอยเล็กๆ เท่านี้ก็ได้กุ้งราดซอสมะขาม รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม สุดกลมกล่อมมาทานอีกหนึ่งจานแล้ว

กระเพราขี้บ่น รสเผ็ดสะใจ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 2547 13:43 น.
       “กุ๊กเล็ก” กำลังตกอยู่ในอาการเบื่อๆ เซ็งๆ มองไปทางไหนก็มีแต่คนเรียกหาเรียกใช้ บอกจะเอาสูตรอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ บอกเมื่อไหร่จะทำโน่นทำนี่ซะที แถมมีบางคนแอบเอาพื้นที่ทำมาหากินของ “กุ๊กเล็ก” มาเป็นสนามประลองฝีปากกันด้วยเรื่องไม่ใช่เรื่อง ก็เลยเซ็งและเบื่อด้วยประการฉะนี้
      
       “กุ๊กเล็ก” เลยแอบแว๊บไปหาแม่ครัวสุดสวยของร้านสยามโซโห ที่อยู่ตรงซอยสายลม พหลโยธิน 8 กะว่าจะไปกุ๊กกิ๊กดูเด็กๆ หน้าตาใสๆ ไว้เป็นอาหารตาอาหารใจแก้กลุ้มนั่นแหละ แต่ปรากฏแทนที่จะได้ระบายความในใจของตัว กลับเป็นแม่ครัวตัวละอ่อนมานั่งเมาท์ลูกค้าให้ฟัง บอกว่าสมัยนี้นะลูกค้าช่างเลือกช่างอยากได้ อย่างแค่สั่งผัดกระเพราจานเดียวทั้งคุณชายทั้งคุณเธอก็เล่นบอกอยากให้ใส่ นั่นใส่นี่เข้าไปด้วย กะว่าสั่งจานเดียวแล้วเอาให้คุ้มว่างั้นเถอะ
      
       ยินดังนั้นก็นึกว่าคุณแม่ครัวเธอจะคว้าตะหลิวไปเสิร์ฟลูกค้า เหมือนอย่างที่ “กุ๊กเล็ก”คิดจะทำเวลาไม่สบอารมณ์ใคร (ฮา ฮา) ที่ไหนได้ คุณแม่ครัวเธอก็มีความสามารถในการเนรมิตได้อย่างที่ลูกค้าต้องการ “กุ๊กเล็ก” ไม่เชื่อ เลยขอพิสูจน์กระเพราจานเด็ด ที่มีชื่อเก๋ไก๋ว่า “กระเพราขี้บ่น” ด้วยคน แล้วก็ต้องยกนิ้วให้ในความอร่อยเด็ดไม่แพ้กระเพราทั่วๆไป
      
       ฉับพลันทันใดก็ปิ๊งไอเดียกิ๊บเก๋ปนความเจ้าเล่ห์ ขอสูตรการทำแบบซึ่งๆหน้า ซึ่งคุณแม่ครัวเธอก็ไม่หวงตำรา รีบบอกส่วนผสมและวิธีทำเสร็จสรรพว่าให้เตรียม
      
       
ปูอัด เบคอน แหนม ปลาหมึกยัดไส้ กุ้งกุลา อย่างละนิดพอประมาณ
       เห็ดฟาง แครอท ข้าวโพดอ่อน                  อย่างละนิดเหมือนกัน
       กระเทียมสับหยาบๆ                               1 ช้อนชา
       พริกขี้หนูสวนทุบพอบุบๆ                         1 ช้อนโต๊ะ
       พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง                                  1-2 เม็ด
       ใบกระเพรา                                         1 กำมือ
       น้ำมันพืช                                            1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาล                                               1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำปลา                                               1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันหอย                                          1 ช้อนโต๊ะ

      
       จากนั้นก็ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน ตามด้วยกระเทียมสับ เจียวให้เหลืองแล้วใส่พริกขี้หนูลงไป พอได้กลิ่นความเผ็ดโชยมาก็ใส่น้ำมันหอยผัดให้เข้ากัน แล้วใส่สารพัดเนื้อสัตว์ที่มีลงไปผัด พอทุกอย่างสุกได้ที่ก็ใส่สารพัดผักที่มีตามด้วยน้ำปลา น้ำตาล ลงไป ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง ใส่ใบกระเพราเป็นลำดับสุดท้าย เห็นใบกระเพรายุบตัวก็ตักใส่จานทันที เคล็ดลับความอร่อยของจานนี้อยู่ที่ว่าต้องรอให้กระทะร้อนจัดจริงๆ และทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว
      
       อืม...เห็นว่าช้าแล้วจะไม่ได้การ “กุ๊กเล็ก” ขอตัวไปทำกระเพราขี้บ่น ให้คนขี้โลภที่บ้านทานด้วยดีกว่า น้ำลายชักสอขึ้นมาอีกรอบแล้ว

“ยำร้อยหวี” รสดีกินมัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2547 20:23 น.

โดย : กุ๊กเล็ก


       หากพูดถึง “กล้วย” คุณนึกถึงอะไร ?
      
       หลายๆ คนอาจจะนึกถึง “กล้วย” ไปต่างๆ นานา บางคนอาจนึกถึงต้นกล้วยทั้งต้น บางคนนึกถึงกล้วยแขกทอดร้อนๆ หรือน้ำกล้วยปั่นสักแก้ว เรื่องความคิดแบบนี้“กุ๊กเล็ก”ว่ามันเป็นเรื่องนานาจิตตัง ความคิดใครความคิดมันว่ากันไม่ได้
      
       แต่ถ้าถามว่า“กุ๊กเล็ก” นึกถึงอะไร ตามประสาคนชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ นึกถึง “กล้วย” ขึ้นมาทีไร หน้าตาอาหารจานเด็ด “ยำร้อยหวี” เรียกสะให้เก๋ไปอย่างนั้น เพราะที่จริงแล้วมันก็คือยำหัวปลีไทยดีๆ นี่เอง ที่ทำมาส่วนประกอบของกล้วย นึกถึงแล้วเปรี้ยวปาก จะมัวรอช้าให้น้ำลายพาลจะไหลย้อยอยู่ใย ไปเตรียมส่วนประกอบเครื่องปรุงกัน แล้วก็เดินหน้าเข้าครัวกันดีกว่า
      
       โดยส่วนประกอบของยำร้อยหวีก็มีดังนี้
       
หัวปลี 1 หัว ขนาดปานกลางไม่เอาแก่จัด (ถ้าเป็นหัวปลีของกล้วยน้ำว้าจะดีมาก รสชาติไม่ฝาดนัก)
       เนื้อหมูสันในหั่นเป็นชิ้น 2 ชิ้น (แล้วสับ)
       กุ้ง 4 ตัว

      
       ส่วนประกอบน้ำยำก็มี
       
น้ำพริกเผา 2 ½ ช้อนโต๊ะ
       น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
       พริกขี้หนูสวนทุบ 3-5 เม็ด
       กะทิสด 1 ช้อนโต๊ะ
       ตะไคร้ซอย 2 ต้น
       ใบมะกรูด 2 ใบ
       มะพร้าวคั่ว ½ ช้อนโต๊ะ
       ถั่วลิสงป่น ½ ช้อนโต๊ะ
       กุ้งแห้งป่น ½ ช้อนโต๊ะ

      
       เมื่อส่วนประกอบของเครื่องปรุงต่างๆ พร้อมสรรพก็ถึงวิธีลงมือปฏิบัติกัน ก่อนอื่นก็นำหัวปลีที่ได้มาย่างไฟให้กลีบนอกไหม้และมีกลิ่นหอม หลังจากนั้นลอกเปลือกนอกที่ไหม้ๆ ออกเหลือแต่ชั้นในๆ โดยการฉีกจนเหลือชั้นที่ไม่เหนียวเป็นอันว่าใช้ได้ แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นบางๆ พักตั้งทิ้งไว้ หันมาจัดการลวกหมูและกุ้งให้พอสุก
      
       ที่นี้หันมาทำน้ำยำ โดยนำน้ำพริกเผา น้ำมะนาว กะทิ มาคนให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ พริกขี้หนู มะพร้าวคั่ว ใบมะกรูดซอย แล้วก็ชิมรสตามชอบใจหากต้องการเผ็ดมากก็ใส่พริกขี้หนูสวนเพิ่มได้ แล้วก็นำหัวปลีที่หั่นไว้แล้วนั้นมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่หมูลงไป คลุกเคล้าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากับเครื่องยำอีกที
      
       เท่านี้เป็นอันว่า ได้ “ยำร้อยหวี” รสดีมาหนึ่งจาน เพิ่มความกิ๊บเก๋อีกหน่อย ตักหัวปลีที่ยำแล้วใส่ปลีกล้วย โรยด้วยถั่วลิลงป่น กุ้งแห้งป่น กุ้งลวก และใบมะกรูดซอย แล้วก็ลงมือจัดการหม่ำกันได้เลย จะเป็นเป็นกับข้าวก็เข้าที แต่ถ้าจะให้ดีกินแกล้มกับเบียร์เย็นๆ นี่สิ เข้ากันทีซู๊ด!!!จะบอกให้

แซ่บถึงใจ ไปกับ“ส้มตำกุ้งสด”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มิถุนายน 2547 20:24 น.

โดย : กุ๊กเล็ก
ส้มตำกุ้งสด
       หากพูดถึงอาหารประจำชาติไทย แน่นอนว่า ณ วันนี้ส้มตำนับเป็น หนึ่งในอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลก ที่ในเมืองไทยยุคปัจจุบัน ส้มตำถือเป็นเมนูสำหรับทุกชนชั้น ไล่ไปตั้งแต่ยาจกยันเศรษฐีรวยล้นฟ้า
      
       โดยใครที่เบี้ยน้อยหอยน้อยก็กินส้มตำข้างทาง ส่วนใครมีกะตังค์ปานกลางถึงเยอะมาก ก็อาจจะไปหาส้มตำหม่ำได้ตามร้านอาหาร หรือตามโรงแรมหรูๆแล้วแต่สะดวก
      
       นอกจากกินง่ายทำง่ายแล้วส้มตำในปัจจุบันยังถูกประยุกต์ไปเป็นส้มตำใน หลายเมนูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นส้มตำผลไม้ ส้มตำคอหมูย่าง ส้มตำทะเล และอีกสารพัดส้มตำที่นับวันยิ่งดูแปลกตา แปลกหู แปลกลิ้น ขึ้นเรื่อยๆ
      
       แต่สำหรับเมนูชวนเข้าครัวของ “กุ๊กเล็ก” มื้อนี้ ถือเป็นส้มตำประยุกต์ที่ยังคงไว้ด้วยรสชาติและวิธีการทำแบบส้มตำไทยของภาคกลาง ในชื่อ “ส้มตำกุ้งสด” ซึ่งก็ประกอบด้วยเครื่องปรุงดังต่อไปนี้
      
       
มะละกอดิบสับ ½ ถ้วยตวง
       แครอทสับ ½ ถ้วยตวง
       กุ้งสด 2-3 ตัว
       ถั่วฝักยาวหั่นประมาณ 1 นิ้ว 2-3 ฝัก
       กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
       มะเขือเทศหั่นเป็นซีก 1 ลูก
       กระเทียม 4 กลีบ
       พริกขี้หนู 5-6 เม็ด
       ถั่วลิสงคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปีบ

      
       เมื่อเครื่องปรุงพร้อม เราก็มาลงมือทำกันดีกว่า ขั้นแรกก็นำกุ้งสดมาลอกเปลือก ผ่าหลัง เด็ดหัวล้างน้ำให้สะอาดแล้วพักไว้ อ้อ!!! กุ้งสดนี่ขอให้สดจริงๆ มิฉะนั้นจะคาวเวลาตำออกมา แต่ถ้าหากใครกลัวกินกุ้งสดแล้วท้องเสียก็อาจจะลวกกุ้งให้สุกก็ได้
      
       จากนั้นก็ส่งพริกขี้หนูกับกระเทียมใส่ครกโขลกให้ละเอียด ตามด้วยกุ้งแห้งโขลกให้พอนุ่ม แล้วใส่ถั่วฝักยาว มะละกอ แครอท ตำรวมกันพอแหลก ก่อนจะส่งกุ้งสดลงไปคลุกเคล้า พร้อมๆกับมะเขือเทศและถั่วลิสงคั่ว
      
       เสร็จสรรพปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลปีบ ตามรสปากของแต่ละคนว่าชอบแซ่บมากแซ่บน้อย
      
       สุดท้ายตักเสิร์ฟใส่จาน พร้อมด้วยผักแกล้มอย่างผักกาดหอม กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ตักใส่ปากกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ไก่ย่าง หรือกินเล่นเปล่าๆ หรือกินแกล้มเหล้าเบียร์ก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

"ปลาช่อน 6 ริ้ว" หมู่บ้านวอ แม่น้ำสะโตง/ สันติ เศวตวิมล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2554 15:29 น.
โดย : สันติ เศวตวิมล
"แม่น้ำสะโตง" ช่วงหมู่บ้านวอ ก่อนไหลลงอ่าวเมาะตะมะ
       หมู่บ้านวอ...อยู่ริมแม่น้ำสะโตง รัฐมอญ
       แม่น้ำสะโคง...เป็นแม่น้ำประวัติศาสตร์ไทยรบพม่า
       ที่นี่...มี "ปลาช่อนแห้ง" ดังเรียกว่า "ปลาช่อน 6 ริ้ว
      
       ใครที่เคยไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน รัฐมอญ เมืองพม่า คงจะตื่นตากับแม่น้ำสะโตง
      
       แม่น้ำประวัติศาสตร์ที่ "สมเด็จพระนเรศวร" ทรงปืนต้นข้ามแม่น้ำยี้ไปถูก "สุรกรรมา" แม่ทัพพม่าเสียชีวิตบนคอช้าง
      
       เมื่อตอน "ป้าช้อย" พาผมไปไหว้พระธาตุ ที่ตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ตั้งหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าผาทำท่าจะตกลงมาให้ได้ แต่ก็ไม่ตกลงมาสักกะที เป็นร้อย...ร้อยปี ผมก็ตื่นเต้นเพราะกลัวว่า...ผมจะไปผลักพระธาตุเขาตกลงมา
"แม่ค้าปลาช่อน" ไม่รู้ว่าเป็นมอญหรือพม่า
       เพราะตอนที่ผมเอามือไปดันก้อนหินที่มีองค์พระธาตุตั้งก็สั่น...สั่น ทำท่าว่าเลื่อนลั่น ผมรีบชักมือกลับทันควัน ถ้าพระธาตุตกลงมา
      
       ผมคงติดคุกพม่าหัวโต!!
      
       ผมไปไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" หลายครั้ง คือมากกว่าสิบคราว จนกระทั่งเพื่อนพม่าบอกว่า ไม่ต้องมาอีกก็ได้ เพราะว่า
      
       คนพม่าไหม้พระธาตุอินทร์แขวนสามครั้ง เขาก็ว่าจะได้ขึ้นววรรค์แล้ว
      
       แต่ถ้าผมไปมากกว่าสิบคราว ประเดี๋ยวสวรรค์หมั่นไส้ พอดีพอร้ายไม่ได้ขึ้นสวรรค์ อาจจะตกสวรรค์ก็ได้...พม่ามันว่าอย่างนั้น
      
       อย่างที่ผมเขียนเรียนท่านว่า
      
       เวลาไปไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" ก็จะต้องผ่านแม่น้ำสะโตงที่กว้างใหญ่ มองคล้ายแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงจะออกปากอ่าวไทย
      
       แม่น้ำสะโตงก็ไหลออกอ่าวเมาะตะมะเหมือนกัน
      
       ก่อนจะข้ามสะพานเหล็กที่สร้างสมัยอังกฤษปกครองมองดูแล้วคล้ายกับสะพานสมัยสงครามโลก เราก็จะผ่านหมู่บ้านเล็ก...เล็กที่ชื่อว่า "วอ"
      
       หมู่บ้านที่ว่านี้ไง ผ่านไปทีไรจะเห็นรถราจอดกันแน่นหน้าหมู่บ้าน รถราติดกันเสียเวลาเป็นชั่วโมง เพราะใครมาถึงที่นี่ก็จะต้องลงไปซื้อ "ปลาช่อนแห้ง" ที่พม่าบอกว่า
      
       ปลาช่อนแห้ง บ้านวอ ริมแม่น้ำสะโตง เขตแคว้นแดนมอญที่ว่านี้ เป็นปลาช่อนที่ดีที่สุดในเมืองพม่า
      
       เขาเรียกกันว่า "ปลาช่อนนาหยั่น"
      
       หรือจะเรียกเป็นภาษาพม่าก็ต้องออกเสียงว่า "นาหยั่นจอ"
      
       เอาละ ก็เป็นว่า
"ร้านขายปลาช่อนแห้ง" ริมถนนสายหงสา-พระธาตุอินทร์แขวน
       ทุกครั้ง...ทุกคราที่ผมมาไหว้ "พระธาตุอินทร์แขวน" ผมจะต้องแวะซื้อปลาช่อนบ้านวอ ถ้าไม่ซื้อ "ยี่หว่า ยาหยี"...เจ้าของร้านกาแฟ "แม่ช้อย ดอยหลวง" ในซอยเรวดี นนทบุรี เป็นต้องโวยวาย เพราะเมนูดังประจำร้านก็คือ "ปลาช่อนหงสา"
      
       เป็นอาหารโบราณของพวกพม่ารามัญทำกินกันตั้งแต่โบร่ำโบราณ เวลายกทัพจับศึกไปตีเมืองไหน เป็นต้องทำ "ปลาช่อนหงสา" ใส่เป็นเสบียงกรัง คลุกกับข้าวกินกันได้ไม่เบื่อ
      
       ปลาช่อนนาหยั่น
      
       "หกริ้ว"
      
       ที่คนพม่านิยมซื้อปลาช่อนที่บ้านวอก็เพราะว่า ปลาช่อนที่นี่ตัวใหญ่ เมื่อผ่าอกมาเป็นปลาแห้งก็จะได้หกริ้ว(โปรดสังเกตจากรูปจะเห็นชัด) แต่ถึงอย่างไรก็ยังเล็กกว่าปลาช่อนแห้งที่ฉะเชิงเทรา ที่เขาเรียกกันว่า "แปดริ้ว" ก็เพราะสมัยหนึ่งปลาช่อนแห้งที่บ้านเรามีถึง 8 ริ้ว...แต่เดี๋ยวนี้ได้แค่ 2 นิ้วก็โอเคแล้ว
      
       คนพม่ากินปลาช่อนแบบบ้านเรา คือเอาไปย่าง เอาไปเผาหรือเอาไปทอด แต่ถ้าจะให้อร่อยยอด ก็จะต้องเอาไปทำ "ปลาช่อนหงสา"
       "หงสา"...ก็คือชื่อเมืองหงสาวดี เมืองหลวงของมอญในอดีต ปัจจุบันพม่าเรียกว่าเมือง "พะโค"
      
       วิธีทำก็เอาปลาช่อนไปทอดให้กรอบ แล้วเอาน้ำพริกกุ้งพม่าที่เรียกว่า "ปาลาฉ่อง" ผัดคลุกเคล้าไปทั่วทั้งตัว รสชาติจะออกเผ็ด...เผ็ด เค็ม...เค็ม พม่าไม่กินเปรี้ยว กินหวาน แต่อาหารจานนี้ขึ้นชื่อจะกินให้อร่อยต้องไปที่เมืองหงสาวดี
      
       หรือที่ร้าน "แม่ช้อยดอยหลวง" ซอยเรวดี นนทบุรี
      
       แต่ไม่ได้มีให้กินทุกวันหรอกครับ เวลาผมไปทำทัวร์เมืองพม่าทีก็จะต้องหอบปลาช่อนบ้านวอกับน้ำพริกกุ้งปาลาฉ่อง เมืองหงสาวดีกลับมาทำขาย
      
       ไปเมื่อไหร่ จะรายงานให้รู้กัน รับรองว่าทั่วแคว้นแดนไทยไม่มีใครทำขายกัน
credit  manager.co.th