หอมกรุ่นจากเตา กับ 6 ร้านเบเกอรี่แสนอร่อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2554 14:18 น.
บรรยากาศร้าน ธัช คาเฟ่
       ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการสังสรรค์ ทั้งคริสต์มาสที่ผ่านมา ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ใครต่อใครก็พร้อมใจกันจัดงานปาร์ตี้สนุกสนาน อีกทั้งยังเลือกของขวัญของฝากส่งให้กันอีกด้วย และหนึ่งในของขวัญที่เป็นที่นิยมก็คือ ขนมเค้ก และเบเกอรี่ต่างๆ ที่สวยสะทั้งหน้าตา และรสชาติเอร็ดอร่อยโดนใจ
      
       ด้วยเหตุนี้ จึงขอส่งท้ายปีกระต่าย ต้อนรับปีมังกรทอง ด้วยการรวบรวม 6 ร้านเบเกอรี่รสอร่อยถูกใจ มาให้เลือกชมเลือกชิมกันตามอัธยาศัย ซึ่งจะมีร้านใดบ้างนั้นเชิญทัศนากันได้เลย
เค้กช็อคโกแลต
       เริ่มต้นที่ร้าน “ธัช คาเฟ่” ร้านเล็กๆ น่ารัก ริมถ.สุทธิสารวินิจฉัย เบเกอรี่ของที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องเค้กโฮมเมดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เค้กช็อคโกแลต เค้กหน้าแข็งที่ทำจากช็อคโกแลตแท่งและเนยสด เนื้อเค้กนุ่มๆ หอมๆ กินพร้อมกับหน้าเค้กแล้วไม่ขมไม่หวานมากเกินไป ส่วน เค้กผลไม้ ก็อร่อยใช่ย่อย เป็นเค้กเนื้อเบาที่แต่ละชั้นจะแทรกด้วยครีมเนื้อเนียนและเนื้อผลไม้ต่างๆ แล้วยังมี ทีรามิสุ รสกลมกล่อม เนื้อนุ่มเบา หอมกลิ่นกาแฟ ให้ลองมาลิ้มลองความอร่อยได้อีก
      
       นอกจากจะขายเบเกอรี่แล้ว ทางร้านก็ยังมีเมนูอาหารตามสั่งให้เลือกลองชิมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็น สลัดปลาแซลมอนรมควัน ที่ใช้ผักสลัดปลอดสาร ส่วนทีเด็ดของจานนี้อยู่ที่น้ำสลักซีฟู้ดรสชาติจัดจ้าน หรือจะลองชิม สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล ทีโบนสเต็ก รวม ถึงอีกหลากหลายเมนูชวนกินก็ย่อมได้ ร้านตั้งอยู่ระหว่าง ซ.อินทามระ 33-35 ห่างจากแยกสุทธิสารประมาณ 150 เมตร เปิดทุกวัน (หยุดเดือนละ 2 พุธ) เวลา 10.00-22.00 น. อาหารตามสั่งบริการเฉพาะเวลา 11.00-14.00 น. และ 17.30-22.00 น. โทร. 08-3257-0007, 08-1900-6992
ร้านแซฟฟร่อน
       “แซฟฟร่อน” (Saffron) ร้านเบเกอรี่ที่อยู่ยืนยงคู่กับ ถ.พระอาทิตย์ เน้นของอร่อยที่เบเกอรี่โฮมเมดทำใหม่สดทุกวันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเมนูกันไป ลองชิม ทีรามิสุ ที่ใช้มาสคาโบเน่ชีส เน้นกาแฟกับเหล้าฝรั่งผสมกันในตัวเค้กแล้วโรยหน้าด้วยผงโกโก้ ความโดดเด่นอยู่ที่ความนุ่มของเนื้อเค้ก รสชาติไม่หวานมากนัก ฮังกาเรียนวอลนัทเค้ก รสชาติหวานๆ มันๆ แบล็คฟอเรสเค้ก เนื้อเค้กช็อคโกแลตนุ่มลิ้น แทรกด้วยชั้นวิปปิ้งครีม แต่งหน้าด้วยเชอรี่เคลือบช็อคโกแลตและช็อคโกแลต นอกจากนี้ยังมี คุกกี้ลิ้นแมว พายแอปเปิ้ล ไวท์ช็อค เป็นต้น
ฮังกาเรียนวอลนัทเค้ก (บน) แบล็คฟอเรสเค้ก (ล่าง)
       ส่วนเมนูของคาวที่นี่ก็มีให้เลือกชิมอิ่มท้องกัน เริ่มด้วย ข้าวมันน้ำพริกมะขามอ่อน ที่กินพร้อมเครื่องเคียงหลายอย่าง รสชาติออกเผ็ดเข้มข้น สปาเกตตี้คาโบนาราแบบแซฟฟร่อน เน้นรสชาติชีส เนย นม เต็มอิ่มด้วยเบคอน กุ้ง หอยลาย และหอยเชลล์ ราดหน้าทะเล เก๋ไก๋ด้วยเส้นใหญ่ที่นำไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน พร้อมน้ำราดหน้าที่รสชาติกลมกล่อม ร้านตั้งอยู่บน ถ.พระอาทิตย์ เปิดทุกวัน เวลา 08.00-21.00 น. ทางร้านรับสั่งทำเค้กล่วงหน้า 2 วัน โทร. 0-2281-4228
บรรยากาศริมสระน้ำของร้าน คาเฟ่ โอลัค
       “คาเฟ่ โอลัค” หรือร้านที่อยู่ริมทะเลสาบร้านนี้ ก็มีทีเด็ดเป็นเบเกอรี่โฮมเมดเช่นกัน โดยเน้นที่รสชาติและคุณภาพเป็นหลัก อย่างเช่น โรลลูกตาล เนื้อนุ่มเนียน หอมอร่อยกลมกล่อม เป็นเค้กชิ้นสามเหลี่ยมอันโตสีเหลืองนวล เนื้อเค้กเป็นสปองจ์แทรกด้วยชั้นครีมและลูกตาล บลูเบอรี่ชีสเค้ก ชั้นล่างเป็นขนมปังกรอบบดละเอียด ตรงกลางเป็นชีสเค้กเนื้อนุ่ม ด้านบนราดด้วยบลูเบอรี่ แต่งด้วยครีม ส่วน พาริน เป็นเค้กกาแฟอัลมอนด์ ความพิเศษอยู่ที่หน้าครีมซึ่งทำมาจากน้ำนมข้าวโพดและท็อปปิ้งที่เป็นเมล็ดอัลมอนด์ราดคาราเมล
โรลลูกตาล
       ถ้าหากว่าอยากให้หนักท้องอีกสักหน่อย ก็ต้องลองชิม สลัดแฮม ที่ใช้ผักสลัดปลอดสารพิษ ราดด้วยน้ำสลัดสูตรพิเศษ รสชาติออกเปรี้ยวนำ และมี คลับแซนด์วิช ความ พิเศษอยู่ที่ไม่มีน้ำมันเข้ามาเป็นส่วนผสม เพราะไข่ดาวที่ใส่ในแซนด์วิชนั้นทอดด้วยน้ำเปล่าแทน ร้านตั้งอยู่ในตลาดบองมาร์เช่ บริเวณริมสระน้ำ ร้านเปิดจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-19.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิดเวลา 09.00-20.00 น. โทร. 0-2953-8980
ที่นั่งแบบคลาสสิกที่ร้านเดลิเซ่
       “เดลิเซ่” ร้านเบเกอรี่บรรยากาศแบบคลาสสิกที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง เมนูเด็ดของร้านที่ต้องกินเรียงตามลำดับเพื่อความอร่อย เริ่มต้นที่ Mont Blanc Cake ที่เนื้อเค้กเป็นวนิลา มีชั้นคัสตาร์ดครีม เกาลัด และวิปปิ้งครีม ด้านบนสุดแต่งด้วยครีมเกาลัด และโรยหน้าด้วยผงทองระยิบระยับ รสชาติมาหวานนัก มาพร้อมความหอมมันจากเกาลัด ลำดับถัดไปคือ Raspberry Moose Cake ชั้นล่างเป็นสปองจ์เค้กกลิ่นกุหลาบ ถัดมาเป็นไวท์ช็อคโกแลต ราสเบอร์รี่มูส และราสเบอร์รี่ซอส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดหวานน้อยๆ ปิดท้ายด้วย Banoffee หวานขม ชั้นล่างเป็นโอริโอ้บด ต่อด้วยบราวนี่ กล้วยหอมสด และกล้วยหอมผัดกับซอสคาราเมล ด้านบนเป็นวิปปิ้งครีมราดซอสคาราเมล
Mont Blanc Cake (บน) Raspberry Moose Cake (ล่าง)
       เมนูอื่นๆ ที่อร่อยไม่แพ้กัน อย่างเช่น Chocolate Lava Cake หรือ New York Cheese Cake แล้วจะมาชิม แซนด์วิชแฮมชีสราดซอสเห็ดแชมปิญอง ให้อิ่มท้องด้วยไส้แซนด์วิชหลากหลาย ตบท้ายด้วย Caramel Macchiato กาแฟร้อนกลิ่นหอมหวน รสชาตินุ่มละมุนเข้มข้น ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น 1 พาร์คเลน คอมมูนิตี้ มอลล์ ซ.เอกมัย เปิดทุกวัน เวลา 09.00-22.00 น. โทร. 0-2382-0090
บรรยากาศร้าน Pandora Bakeshop
       “Pandora Bakeshop” เป็นร้านคัพเค้กโฮมเมดรสชาติถูกใจ หน้าตาก็ชวนกิน แถมยังมีหน้าพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่างๆ ด้วย ตัวเนื้อเค้กจะเป็นเค้กชิฟฟอนเนื้อหนักที่ให้ความนุ่มเนียน อาทิ Red Valvet เค้กวนิลาผสมโกโก้ ที่เพิ่มสีสันด้วยสีแดงสด แต่งหน้าด้วยครีมชีส Dark Knight เค้กช็อคโกแลต ราดด้วยบัตเตอร์ครีม แต่งหน้าด้วยบราวนี่สูตรพิเศษ Hummingbird เค้กผลไม้ที่ทำจากสับปะรดและกล้วย ความพิเศอยู่ตรงที่เนื้อผลไม้ยังเป็นชิ้นเล็กๆ ได้รสสัมผัส ด้านบนเป็นครีมชีส Carrot & Spices เค้กแครอทที่ผสมอบเชยและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ด้านบนเป็นครีมชีสฟรอสติ้ง
คัพเค้กรสชาติต่างๆ
       Citrus Odor เป็นเค้กวนิลา หน้าบัตเตอร์ครีมมะนาว รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ Blueberry Bush เค้กวนิลาสอดไส้แยมบลูเบอรี่ หน้าบัตเตอร์ครีมกลิ่นบลูเบอร์รี่ Swiss Chocolate เค้กช็อคโกแลตเนื้อนุ่ม หน้าช็อคโกแลตฟัจน์และวิปปิ้งครีม ส่วน พาย ของที่นี่ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน มีทั้งไส้หมูแดง ทูน่า ไก่ หมูหยอง แกงเขียวหวาน และฉู่ฉี่กุ้ง ร้านตั้งอยู่ในโครงการ ดิ อเวนิว แจ้งวัฒนะ ตรงข้ามกับวิลล่า มาร์เก็ต เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น. โทร. 0-2982-5229, 08-1489-0611 ทางร้านรับสั่งทำเค้กและมีบริการแคทเธอริ่ง
ร้านนั่งสบาย คาเฟ่ เดอ บางอ้อ
       “คาเฟ่ เดอ บางอ้อ” ร้านกาแฟและเบเกอรี่นั่งสบาย ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สวยๆ เบเกอรี่ที่มีให้ลองชิมในแต่ละวันจะมี 5 ชนิด ที่จะหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เมนูเด่นที่ต้องชิมคือ เค้กมะพร้าว ที่เป็นสปองจ์เค้กแบ่งแต่ละชั้นด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน ซึ่งเป็นส่วนผสมพิเศษของทางร้าน ด้านบนสุดปาดด้วยครีมสด เนื้อเค้กนุ่มแน่นหอมหวานมะพร้าวอ่อน สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ชั้นล่างสุดเป็นโอริโอบด ตรงกลางเป็นชีสเค้ก ด้านบนสุดเป็นซอสสตรอเบอร์รี่ รสชาตินุ่มหอมมัน ขมเล็กน้อย และหวานซ่อนเปรี้ยว แต่ถ้ากินเค้กแล้วติดคอ ต้องลองชิมเครื่องดื่มอร่อยๆ เช่น Caramel Macchiato เป็นกาแฟผสมคาราเมล รสชาติไม่ขมมากนัก แถมยังหอมหวานคาราเมล Blue Curacao Lemon Soda ใช้ไซรัปบลู คูราโซผสมกับน้ำเลมอนโซดา รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ชื่นใจ
เค้กมะพร้าว (บน) สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก (ล่าง)
       ถ้าใครจะมาชิมให้อิ่มท้อง ต้องเลือก สปาเก็ตตี้คาโบนารา ที่เน้นหนักทั้งเครื่องแฮม และเบคอนทอดกรอบ รสชาตินุ่มหอมมัน ลาซานญ่าเนื้อ ได้รสชาติชีสเข้มข้น ตัดกับความเปรี้ยวจากซอสมะเขือเทศ และเนื้อโคขุนบดละเอียดนุ่มๆ หรือจะเลือกเมนูฟิวชั่น สปาเกตตี้แกงกะหรี่หมูทอด ก็ อร่อยเช่นกัน ร้านตั้งอยู่บน ถ.จรัญสนิทวงศ์ บริเวณ ซ.จรัญสนิทวงศ์ 89 เปิดทุกวัน เวลา 08.00-21.00 น. (เฉพาะวันพฤหัสบดีเปิดเวลา 08.00-18.30 น.) โทร. 08-6325-0960, 08-9770-3700
      
       ทั้งหมดนี้คือ 6 ร้านเบเกอรี่แสนอร่อย ที่หอมละมุนจากเตา ส่งความอร่อยให้ทุกคนได้ไปลิ้มลองในช่วงปีใหม่นี้

อิ่มสุขสันต์ที่ “บ้านใจรัก”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2555 14:26 น.

บรรยากาศภายในร้านบ้านใจรัก
       วันเวลาผ่านไปไวเสียจริงเชียว เผลอแป๊บเดียวปีเก่า (ปีกระต่าย) ก็ผ่านไป และปีใหม่ (ปีงูใหญ่) ก็ก้าวผ่านเข้ามาแทน หากว่ามิตรรักนักกินท่านไหนกำลังเมียงมองหาสถานที่อยากจะไปอิ่มหนำสำราญ เฉลิมฉลองต้อนรับบรรยากาศปีใหม่ที่ยังไม่จางหายกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง ครอบครัว มื้อนี้ “ตระเวนกิน” มีร้านอาหารน่ารักๆ บรรยากาศแบบอบอุ่นเรียบง่ายสบายๆ เหมาะแก่การพาครอบครัวหรือคนที่เรารักมาอิ่มเอมกับอาหารรสเลิศกันได้ ร้านที่ว่านี้คือ “บ้านใจรัก” ตั้งอยู่ตรงถ.กาญจนาภิเษก เป็นร้านอาหารที่เกิดขึ้นจากความรักในการชื่นชอบการทำอาหารของเจ้าของร้าน คือ คุณคมกฤษ ศรีมงคล
ร้านบ้านใจรักมีอาหารเลิศรสที่ชวนกิน
       อาหารของที่นี่ทุกจานได้รับการปรุงแต่งจากเมนูสูตรเด็ดที่ทางร้านคิด ค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน และสเต็ก แบบรสชาติดั้งเดิมและแบบประยุกต์ที่สร้างร้านคิดสรรสร้างขึ้นมา อีกทั้งการปรุงอาหารของที่นี่จะเน้นเรื่องของวัตถุดิบชั้นดี มีคุณภาพที่นำมาปรุงแต่งเป็นอาหารจานเด็ดมากมายหลายหลากกว่า 100 เมนู ให้เหล่านักกินได้เลือกลองลิ้มกันตามใจปาก ตามสโลแกนของร้านที่ว่า “ปรุงจากใจ โดยบ้านใจรัก”
สลัดผลไม้
       สำหรับเมนูอาหารเลิศรสที่อยากแนะนำให้ลองสั่งมาลิ้มรสกันก็มีหลายเมนู เริ่มด้วยเมนู สลัดผลไม้ (180 บาท) จัดเสิร์ฟมาอย่างสวยงามในตะกร้าเผือกที่ทำมาจากเผือกซอยเป็นเส้นๆ แล้วจัดวางเรียงให้เป็นทรงตะกร้าแล้วทอดกรอบ ส่วนสลัดเต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด มีสาลี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป แก้วมังกร ชมพู่ องุ่นไร้เมล็ด ทับทิม กีวี่ ลูกพลับ อโวคาโด้ และผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ นำมาคลุกกับน้ำสลัดน้ำข้นสูตรเด็ดของทางร้าน ด้านล่างรองด้วยผักกาดแก้ว และมีกุ้งชุบแป้งทอดใส่มาด้วย โรยด้วยงาขาวคั่วหอมๆ กินแล้วสลัดผลไม้กรุบกรอบเข้ากับน้ำสลัดเข้มข้นกลมกล่อม กุ้งกรอบและตะกร้าเผือกก็กรอบกรุบกินได้หมดเลย
พล่าปลาแซลมอนกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์
       จากนั้นมาแซบกับเมนู พล่าปลาแซลมอนกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ (180 บาท) เป็นเมนูไทยประยุกต์ที่นำเอาเนื้อปลาแซลมอนสดจากนอร์เวย์และหอยแมลงภู่ นิวซีแลนด์มาลวกให้สุกและนำมาทำเป็นพล่าแบบไทยอย่างครบเครื่องแบบจัดจ้าน กินแล้วแซบถูกปากทั้งหอยและปลาเนื้อหวานสดฉ่ำน้ำยำรสเด็ด เปรี้ยว เผ็ด แซบถึงใจ
ไก่อบภูเขาไฟ
       ต่อด้วยเมนูจานเด่น ไก่อบภูเขาไฟ (180 บาท) เป็นอาหารสไตล์จีนและไทยผสมกัน ทางร้านนำไก่บ้านไทยตัวเล็กมาหมักเครื่องปรุงสูตรเฉพาะของทางร้านนาน 2 ชม. นำไปอบแล้วนำมาทอดให้หนังไก่กรอบ และมีน้ำซอสสูตรพิเศษ ที่มีส่วนผสมของซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ใส่ถั่วลันเตา ข้าวโพด แครอท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แล้วนำมาราดบนตัวไก่ ก่อนเสิร์ฟจุดไฟที่มีส่วนผสมของไวน์แดงมาด้วยช่วยให้หนังไก่ตึงและหอม ลิ้มรสไก่หนังกรอบกำลังดีเนื้อไก่นุ่มชุ่มน้ำซอสรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ถูกปากดี
ขาหมูหมั่นโถว
       แล้วตามมาชิม ขาหมูหมั่นโถว (200 บาท) เป็นเมนูอาหารจีนที่ทางร้านนำขาหมูส่วนขาหน้านำมาต้มกับเครื่องปรุงต่างๆ นาน 5 ชม. จนเครื่องปรุงซึมถึงเนื้อในขาหมู และเนื้อเปื่อยนุ่มกำลังดี แล้วก็นำมานึ่งอีกที พร้อมกับราดด้วยน้ำซอสสูตรพิเศษของทางร้าน เสิร์ฟมาพร้อมกับหมั่นโถวที่ทางร้านทำส่วนผสมของแป้งเอง นึ่งมาร้อนๆ กินขาหมูเนื้อเปื่อยนิ่มนุ่มเข้ากับรสชาติซอสที่หวานหอมกลมกล่อม และเข้ากันดีกับหมั่วโถวเนื้อนุ่มนิ่มปาก แถมยังมีผักคะน้าฮ่องกงลวกมาให้กินแกล้มกัน และมีพริกน้ำส้มสูตรเด็ดมาช่วยเพิ่มรสชาติจัดจ้านให้กับการกินขาหมู
แกงเขียวหวานเนื้อปู
       ต่อด้วยเมนู แกงเขียวหวานเนื้อปู (170 บาท) โรตี (25 บาท) ที่ถ้าใครชอบกินแกงเขียวหวานแนะนำว่าไม่ควรพลาด เพราะแกงเขียวหวานของที่นี่ทางร้านโขลกเครื่องแกงเอง พริกที่ใช้เป็นพริกกะเหรี่ยงที่มีความหอมและเผ็ดมาก นำเครื่องแกงมาแกงกับกะทิที่คั้นสด ใส่มะเขือพวง มะเขือเปราะ ใบโหระพา พริกชี้ฟ้า และใส่เนื้อปูทะเล ชิมแล้วแกงเขียวหวานรสชาติเข้มข้นหอมมัน ออกรสเผ็ดถึงเครื่องแกงมากๆ เนื้อปูเต็มปากเต็มคำดี กินคู่กับโรตีนุ่มๆ ช่างเข้ากันดีแท้ หรือขนมจีนก็อร่อยไม่แพ้กัน
แกงเหลืองปลาแซลมอน
       ส่งท้ายด้วยอีกหนึ่งเมนูแกง คือ แกงเหลืองปลาแซลมอน (150 บาท) เป็นเมนูไทยทางภาคใต้ ทางร้านโขลกเครื่องแกงเหลืองขึ้นมาโดยเฉพาะ และเนื้อปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ที่เลาะก้างออกหมด แล้วมาต้มกับเครื่องแกง ใส่หน่อไม้ดองและไหลบัว ลองลิ้มแกงเหลืองซดน้ำแกงแซบเผ็ดถึงใจ เนื้อปลาแซลมอนหวานนุ่มเข้ากับเครื่องแกง แล้วยังมีขมิ้นขาว กับกุ้งหวาน และผักสดต่างๆ มาให้กินเป็นเครื่องเคียงด้วย
      
       แต่หากใครคิดว่าเมนูเหล่านี้ที่แนะนำมาอาจจะยังไม่อิ่มท้องพอ ก็ยังมีเมนูรสเด็ดอื่นๆ ที่น่ากินอีก อาทิ แกงมัสมั่นเนื้อ (150 บาท ไก่ 120 บาท) ปลาหมึกผัดไข่เค็ม (150 บาท) ปลาช่อนใจรัก (250 บาท) ปลาหิมะนึ่งซีอิ้ว (ราคา ตามน้ำหนัก ประมาณ 600 บาท/ชิ้น) และอีกสารพัดเมนูอาหารเลิศรสที่ชวนให้สั่งมาลองลิ้ม พร้อมกับฟังบทเพลงไพเราะจากการเล่นเปียโนสดของนักดนตรีได้ในทุกวันศุกร์และ เสาร์ เวลา 19.00-22.00 น.
      
       เรียกว่าหากมิตรรักนักกินอยากจะหาร้านอาหารนั่งสบายๆ พร้อมกับได้อิ่มเอมกับอาหารจานเด็ดที่ถูกปาก “บ้านใจรัก” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ เลย
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “บ้านใจรัก” ตั้งอยู่ที่ 136/28 หมู่ 17 ถ.กาญจนาภิเษก แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. การเดินทางขับรถมุ่งหน้าไปทางถ.บรมราชชนนี ถึงแยกต่างระดับฉิมพลี ให้ขึ้นสะพานเลี้ยวเข้าถกาญจนาภิเษก มุ่งหน้าไปบางใหญ่ พอลงสะพานมาแล้วให้ชิดซ้ายไว้ สังเกตจะเห็นป้ายร้านบ้านใจรักอยู่ริมถนน ร้านตั้งอยู่ด้านในมาร์เก็ต สแควร์ จอดรถได้ภายในมาร์เก็ต สแควร์ เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. ถ้ามากินศุกร์-อาทิตย์ ช่วงเย็น แนะนำให้โทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2885-0772

อร่อยบวกฮา “เบนิฮานา”เทปันยากิ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2555 16:03 น. 
บรรยากาศห้องอาหารเบนิฮานา
       5..5..5
      
       เสียงหัวเราะดังอย่างครื้นเครงของ “ตระเวนกิน” และผอง เพื่อนร่วมก๊วนกิน กำลังสนุกสนานกับการกินอย่างเพลิดเพลิน เพราะในมื้อนี้เราได้ชวนกันมาอิ่มหนำอย่างสำราญกับอาหารญี่ปุ่นสไตล์เทปันยา กิ กันที่ห้องอาหารเบนิฮานา อนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งที่นี่มีทั้งอาหารอร่อย และความฮาต้อนรับลูกค้าทุกคนที่มากิน
โซนโต๊ะนั่งกินซูชิ
       “เบนิฮานา” (ดอกไม้สีแดง เบนิ แปลว่า สีแดง ฮานา แปลว่า ดอกไม้) เป็นห้องอาหารญี่ปุ่นเทปปันยากิสเต็กเฮ้าส์ ที่มีจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีที่ไหนเหมือน ด้วยการบริการอาหารที่มีรสชาติชั้นเยี่ยม และโดดเด่นที่มีการแสดงจากเชฟฝีมือดี ลีลาเด็ดที่จะมาโชว์การทำอาหารให้เห็นต่อหน้าถึงโต๊ะเทปันยากิที่เรานั่งกัน โดยมีสโลแกนที่ว่า “ทุกมื้ออาหารคือการแสดง” ซึ่งเชฟทุกคนยินดีมอบความสนุกสนานให้แบบจัดเต็มตลอดมื้ออาหาร
      
       ห้องอาหารเบนิฮานาตกแต่งแบบญี่ปุ่นสวยงามทันสมัย เน้นโทนสีดำแดงแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นชวนนั่งสบายๆ ภายในห้องมีเคาน์เตอร์หินแกรนิตขนาดใหญ่ 2 ตัว เป็นเคาน์เตอร์บาร์บริการเครื่องดื่มแบบครบครัน และเคาน์เตอร์ซูชิบาร์ ที่เชฟจะทำซูชิและซาชิมิสดใหม่พร้อมเสิร์ฟต่อหน้า หรือจะเลือกไปนั่งมุมโต๊ะนั่งกินซูชิที่มองเห็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น และใจกลางห้องมีชุดกิโมโนขนาดใหญ่และชั้นวางสาเก ที่มีสาเกนานาชนิดจากญี่ปุ่นให้เลือกดื่มตามใจชอบ และมีโต๊ะเทปันยากิแบบส่วนตัวที่มาพร้อมเครื่องดูดควันสีทองเหลือง
ลีลาการปรุงอาหารของเชฟณัฐวัชร์
       สำหรับอาหารของที่นี่มีเทปันยากิเป็นอาหารเด่นดัง มีให้เลือกลิ้มรสมากมายกว่า 40 ชนิด หลากหลายไปด้วยเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งเนื้อวัวนำเข้าจากหลายประเทศ เนื้อปลาและอาหารทะเลสดๆ ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี เน้นเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่นาปรุงเป็นอาหาร รวมถึงยังมีอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ซูชิและซาซิมิสดๆ ให้ได้เลือกชิมกันด้วย
      
       ในมื้อนี้เราก็ได้เลือกสั่งมาทั้งเมนูเทปันยากิ ซูชิและซาซิมิมากินกันแบบเต็มที่ เอาล่ะได้เวลามาอิ่มหนำกับเทปันยากิของที่นี่กันแล้ว พวกเราเข้านั่งประจำที่โต๊ะเทปันยากิ เชฟก็จะเข็นรถอุปกรณ์มาเข้าที่ ซึ่งในมื้อนี้เราได้เชฟอารมณ์ดี มากด้วยลีลาเด็ด นามว่าณัฐวัชร์ จันทะวงศรี หรือมีฉายาเก๋ๆ ว่าเชฟอาจารย์กู้ มาปรุงอาหารให้ถึงโต๊ะกันเลย
หอยเชลล์อบชีส
       แต่ก่อนที่จะกินเทปันยากิและชมลีลาเด็ดของเชฟ มาชิมเมนูเรียกน้ำย่อยกันก่อน หอยเชลล์อบชีส (425 บาท++) เป็นหอยเชลล์ญี่ปุ่นตัวใหญ่ ราดด้วยเครื่องต่างๆ มีมอสซาเรลราชีส พาเมซานชีส หอมแดงสับ และพริกชี้ฟ้า ทาด้วยซอสสลับกับวางหอยเชลล์เป็นชั้นๆ แล้วอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ หอมกลิ่นชีส กินแล้วหอยเชลล์เนื้อหวานนุ่มเข้ากับชีสอร่อยถูกปาก
ปลาแซลมอนแอตแลนติก
       จากนั้นมากินเทปันยากิกัน ที่สั่งมาคือ ปลาแซลมอนแอตแลนติก (950 บาท++) เป็นปลาแซลมอนจากแอตแลนติก นำมาปรุงด้วยเกลือ พริกไทย เนยจืด และมะนาว ปรุงร้อนๆ บนเตาเทปันยากิ และถ้าสั่งชุดเทปันยากิจะเสิร์ฟมาพร้อมซุปหัวหอม สลัดผัก กุ้งผัดกับเนย กระเทียม พริกไทย และมะนาว แถมมีทีเด็ดที่หางกุ้งทอดสไตล์เบนิฮานา ผัดผักแบบเบนิฮานา ข้าวสวย และชาเขียว
      
       เชฟอาจารย์กู้โชว์การปรุงทำปลาแซลมอนด้วยลีลาอันน่าตื่นเต้น คล่องแคล่วในการใช้อุปกรณ์ทำครัวและภาชนะต่าง ๆ มีการโยนอุปกรณ์ต่างๆ ใส่กระเป๋าเสื้อ ใส่หมวกที่อยู่บนหัวเรียกเสียงปรบมือในความแม่นยำ และขณะปรุงก็โยนกระปุกเกลือ พริกไทย แบบสนุกสนาน แถมยังให้เราได้ลองความแม่นด้วยการโยนใส่หมวกกของเชฟเอง และส่งมุขขำๆ ให้ได้หัวเราะกันอย่างครื้นเครง พอปรุงปลาแซลมอนเสร็จก็ตักเสิร์ฟลงจานที่อยู่ตรงหน้าเรา ชิมแล้วสัมผัสได้ถึงความนุ่มของเนื้อปลาที่สดหวานอยู่ในตัว และมีซอสเทอริยากิหอมหวาน และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของเบนิฮานาให้เลือกจิ้มกินอยู่ 3 แบบ มีซอสขิง ซอสครีมมัสตาร์ด ซอสเผ็ด
เนื้อสันใน ตับห่าน หน่อไม้ฝรั่งขาว และซอสเห็ดทรัฟเฟิล
       เทปันยากิชุดต่อมาคือ เนื้อสันใน ตับห่าน หน่อไม้ฝรั่งขาว และซอสเห็ดทรัฟเฟิล (1,750 บาท++) เป็นเนื้อสันในจากสหรัฐอเมริกา ตับห่านจากฝรั่งเศส เสิร์ฟกับหน่อไม้ฝรั่งสีขาว เชฟจะปรุงให้บนเตาเทปันยากิ พร้อมกับวาดลวดลายการปรุงอย่างสนุกสนาน ปล่อยมุขหยอกล้ออย่างขำขันให้เราได้สนุกไปกับการกินอย่างเต็มที่ แถมยังมีโชว์เด็ดๆ อย่างมายากลที่เชฟแสดงให้ดูเล่นเอาอึ้งทึ่ง กับความสามารถของเชฟไปเลย
      
       พอปรุงเนื้อและตับห่านเสร็จเชฟก็เสิร์ฟใส่จาน ลิ้มรสเนื้อสันในเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากมาก กินคู่กับซอสเห็ดทรัฟเฟิลรสดีเช้ากันจริงๆ ส่วนตับห่านด้านนอกกรอบนิดๆ เนื้อในหวานนุ่มมากกินคู่กับซอสสาหร่ายหวานหอมเข้ากัน หน่อไม้ฝรั่งขาวก็หวานกรอบ
ลูกค้าได้ร่วมสนุกสนานไปกับเชฟด้วย
       และใช่ว่าเชฟจะโชว์การแสดงให้เราดูอย่างเพลิดเพลินในขณะกินอาหาร เพียงอย่างเดียว ยังมีการเชิญชวนให้เราได้ออกไปร่วมสนุกกันด้วย มีการโชว์หมุนไข่ไก่ และโยนรับไข่ไก่ให้ได้โดยไม่แตก เรียกว่าสร้างความสนุกสนานและความประทับใจที่ได้มากินเป็นอย่างมากเลย
ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปูอลาสก้าคลุกด้วยเกล็ดเทมปุระ
       แล้วนอกจากเมนูเทปันยากิแล้ว เรายังได้สั่งซูชิและซาซิมิมากินด้วย มีข้าวห่อสาหร่ายไส้ปูอลาสก้าคลุกด้วยเกล็ดเทมปุระ (350 บาท++) ทำเหมือนแซนวิสเปิดหน้า เป็นข้าวญี่ปุ่นวางบนสาหร่าย ข้างในสอดไส้ปูอลาสก้า ปลาฮามาจิ ปรุงรสด้วยมายองเนส เกล็ดขนมปัง แตงกวาญี่ปุ่น ไข่กุ้ง ไข่ปู ด้านบนโรยเกล็ดขนมปัง ไข่กุ้งสามสี กินแล้วเคี้ยวเต็มปากเต็มคำกรอบนุ่มรสดีถูกปากจริง
ข้าวห่อสาหร่ายไส้สลัดทูน่า ราดซอสเผ็ด
       ข้าวห่อสาหร่ายไส้สลัดทูน่าราดซอสเผ็ด (350 บาท++) เป็นข้าวปั้นญี่ปุ่นปั้นเป็นก้อนกลมๆ ห่อด้วยปลาทูน่า คลุกด้วยงาดำ ราดด้วยซอสเผ็ดสูตรเด็ดเฉพาะ ใส่แผ่นทอง และมีอโวคาโด้ ปลาทูน่าปรุงกับซอสพริกสูตรพิเศษและมายองเนส มาให้กินเป็นเครื่องเคียงกัน กินข้าวปั้นเคี้ยวนุ่มปากหวานปลาทูน่าออกรสเผ็ดนิดๆ จากซอสเผ็ด ส่วนเครื่องเคียงที่ให้มาก็อร่อยกินเข้ากันดี
ปลาหางเหลืองแล่บางทรงเครื่อง
       แถมท้ายด้วย ปลาหางเหลืองแล่บางทรงเครื่อง (450 บาท++) เป็นปลาฮามาจิจากญี่ปุ่นสไลด์เอาแต่เนื้อบางๆ ปรุงรสให้เผ็ดด้วยพริกดอง พริกชี้ฟ้า ใส่ผิวมะนาวเหลือง ราดน้ำมันงาและไข่ปลาแซลมอน ชิมเนื้อปลาฮามาจินุ่มหวานผสานรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยวนิดๆ กลมกล่อมโดนใจ
บรรดาเชฟอารมณ์ดีของห้องอาหารเบนิฮานา
       เรียกว่ามื้อนี้เราได้ทั้งอิ่มท้องกับเทปันยากิและอาหารญี่ปุนรสดี พร้อมกับอิ่มสุขกับความเพลิดเพลินสนุกสนานในการกิน ซึ่งหากใครอยากจะสัมผัสความสุขสนุกสนานในการกินอาหารแบบนี้บ้าง ขอบอกว่าให้จูงมือกันมาที่ “เบนิฮานา” ซึ่งทุกคนจะได้รับทั้งความอร่อยและความฮา
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “เบนิฮานา” (Benihana) ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ถ.เจริญนคร กทม. การเดินทางสามารถเดินทางจากสะพานตากสินข้ามมายังฝั่งธนบุรี เมื่อลงสะพานแล้วให้เลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งตรงไปจนเจอสามแยก ให้เลี้ยวขวา ตรงไปตาม ถ.เจริญนคร จนถึงเจริญนคร 59 สังเกตุขวามือจะเห็นสถานีตำรวจบุคคโล และจะเห็นโรงแรมฯอยู่ทางซ้ายมือ หรือหากเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS หรือเรือด่วนเจ้าพระยา ให้ลงที่สะพานตากสิน แล้วใช้บริการเรือรับส่งของทางโรงแรมฯ เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11.30 - 14.30 น. มื้อค่ำ 18.00 - 22.30 น. ถ้ามากินศุกร์-อาทิตย์ ควรโทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2476-0022 ต่อ 1416

ข้าวหมาก ขนมหวานไทยโบราณกินดีมีประโยชน์



รู้จัก “โปรไบโอติก” แบบไทย
เมื่อ เอ่ยถึง ข้าวหมาก จะว่าไปแล้วตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในงานสำคัญ งานมงคลต่างๆ ต้องมีสิ่งนี้อยู่แทบจะทุกวาระสำคัญ แต่กับเด็กยุคปัจจุบันคงส่ายหน้าหากถามถึง และเพื่อความกระจ่างในข้อมูลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับข้าวหมากนั้น

ภญ.ดร.สุ ภาภรณ์ ปิติพร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาภูมิปัญญาไทย มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูลว่า ข้าวของไทยสามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ซึ่งข้าวหมากก็เป็นภูมิปัญญาไทยในการแปรสภาพข้าวให้มีรสหวาน นำมาเป็นเครื่องปรุงรสกับอาหารหลายประเภท และด้วยความหลากหลายของสรรพคุณทำให้ในปัจจุบันมีการค้นพบ “โปรไบโอติก (Probiotics)” ในข้าวหมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาหารเสริมซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดย

การปรับกลไกจุลินทรีย์ในร่างกายให้มีความสมดุล
ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเชื้อธรรมชาติในกระเพาะและลำไส้ที่ช่วยให้การย่อยดีขึ้น
สร้างวิตามินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นตัวต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่างๆแก่ร่างกาย
ทั้งยังช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย


ปัจจุบัน มีการนำโปรไบโอติกบรรจุแคปซูลขายเพื่อส่งเสริมแก่ผู้รักสุขภาพ แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาที่แพงไม่ใช่เล่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วบ้านเราเองได้รับสารโปรไบโอติกมาอย่างช้านานจากข้าว หมากนั่นเอง ซึ่งคนโบราณอาจมีการนำแป้งข้าวหมากใส่เติมลงไปในยา หรือเป็นเครื่องปรุงในอาหารหลากหลายประเภท ดังนั้นคนไทยจึงมีการกินโปรไบโอติกมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในต่างประเทศก็เช่นกัน อย่าง ญี่ปุ่น ก็จะอยู่ในรูปของถั่วเน่า หรือ นัตโตะ, เกาหลีก็อยู่ในกิมจิ หรือแม้กระทั่งอินเดียก็มีโยเกิร์ต โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือโปรไบโอติกที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ”

เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี
ภญ.ดร.สุ ภาภรณ์ อธิบายต่อว่า ในอดีตเชื่อว่า ข้าวหมากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเจริญเติบโตในเด็กให้ดีขึ้น จึงต้องกินตอนเช้าเพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่น และกระตุ้นให้แบคทีเรียภายในร่างกายทำงาน โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่แข็งแรง เหงื่อออกง่าย อ่อนเพลีย ตัวสั่น ก็มักจะให้กินข้าวหมาก และในผู้ใหญ่ที่เป็นไข้ ไม่มีแรง ผอมแห้ง หมอยาพื้นบ้านก็จะแนะนำให้คนไข้กินข้าวหมากกับน้ำต้มเคี่ยวของแก่นขี้เหล็ก ซึ่งหากมองในปัจจุบันก็จะพบว่าสิ่งเหล่านี้แทบจะไม่ถูกพูดถึง เนื่องจากแป้งข้าวหมากหายาก คนที่จะทำแป้งข้าวหมากก็ไม่มี

สำหรับ วิธีการทำแป้งข้าวหมากนั้นอาจมีขั้นตอนที่ยุ่งยากแต่ก็สามารถทำได้ภายในครอบ ครัวโดยการ นำข้าวเจ้าไปแช่น้ำและตำให้ละเอียด แล้วนำมาคลุกกับเชื้อยีสต์ จากนั้นนำสมุนไพรที่มีทั้ง ข่า, ขิง, ชะเอม, อบเชย และ ดีปลี บดให้ละเอียดนำมาคลุกกับข้าวที่เตรียมไว้ จากนั้นบ่มทิ้งไว้ 2 วัน ขณะเดียวกันก็นำข้าวเหนียวมานึ่งแล้วมาล้างน้ำให้สะอาด นำแป้งผสมหัวเชื้อที่บ่มไว้คลุกลงในข้าวเหนียวที่นึ่งปิดฝาทิ้งไว้ระยะหนึ่ง เชื้อยีสต์ก็จะเจริญเติบโตในข้าวเหนียวที่นำไปคลุก และจะได้มาเป็นข้าวหมากในที่สุด

“ตอน นี้อาหารการกินได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง อาหารที่ได้มาจากธรรมชาติหมดไป แทนที่ด้วยอาหารสำเร็จรูปที่อุดมไปด้วยสารเร่งต่างๆ ซึ่งเด็ก เยาวชนเองก็เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอาหารเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาต้องกินข้าว และให้เวลากับการดูแลสุขภาพน้อยลง อีกทั้งการที่เด็กได้รับแต่ของหวานจากอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวทั้งหลายเป็นประจำ จะส่งผลให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้น ซึ่งยืนยันได้จากผลการวิจัยในต่างประเทศที่พบข้อมูลที่สำคัญนี้ ดังนั้น ทุกคนควรหันกลับมากินข้าวให้มากขึ้น เพราะข้าวนั้นยังมีสาร GABA ที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย นอนหลับ ป้องกันอัลไซเมอร์ และยังช่วยกระชับริ้วรอยต่างๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เราจะได้รับเมื่อเราหันมากินข้าวไทย”

http://kawmakpaphada.blogspot.com/

ขนมจีนน้ำยากะทิสด+ไข่ต้ม

ขนมจีนน้ำยากะทิสด+ไข่ต้ม
ส่วนผสมเครื่องแกง
พริกแห้งเม็ดเล็กแกะเม็ดแช่น้ำ 20 เม็ด
พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดแช่น้ำ 10 เม็ด
กระเทียม 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย 1/4 ถ้วยตวง
ตะไคร้ซอย 1/4 ถ้วยตวง
กระชายหั่น 1/4 ถ้วยตวง
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
กะปิ 1/2 ช้อนชา


ส่วนผสม
เส้นขนมจีน 1 1/2 กิโลกรัม
ปลาน้ำดอกไม้ 600 กรัม
มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
น้ำ 3 1/2 ถ้วยตวง
ตะไคร้หั่นท่อนขนาด 2 นิ้ว 5 ชิ้น
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ใบมะกรูดฉีก 1/2 ถ้วยตวง
ผักสด ผักลวก หรือ ผักดอง ไข่ต้ม


วิธีทำ
1. ล้างปลาและควักไส้และเหงือกออก พักไว้
2. คั้นมะพร้าวด้วยน้ำอุ่น 2 ถ้วย คั้นให้ได้หัวกะทิ 3 ถ้วย ใส่น้ำอุ่นอีก ½ ถ้วยคั้นให้ได้หาง 1 ถ้วยตวง จากนั้นเติมน้ำพร้อมกับใส่ตะไคร้ในในหม้อไฟปานกลางจนเดือดจัดใส่ปลาลงต้มนาน 15 นาที หรือจนมีกลิ่นหอมสังเกตุดูว่าเนื้อปลาล่อน ตักใส่จานเมื่ออุ่นแกะลงในโถปั่น ตามด้วยหัวกะทิ 1 ถ้วย ปั่นจนเนื้อละเอียด พักไว้
3. ทำน้ำยาโดยการปั่นเครื่องแกงทั้งหมด ตามด้วยทางกะทิปั่นด้วยกันให้ละเอียด เทลงใส่หม้อใส่หัวกะทิที่เหลือตามด้วยเนื้อปลา คนให้เข้ากันตั้งไฟปานกลาง เมื่อร้อนปรุงรสตามความชอบปิดไฟใส่ใบมะกรูด จัดขนมจีนใส่จานตักน้ำยากะทิสดราด เสิร์ฟพร้อมตะกร้าผักเหนาะ ไข่ต้ม แซ่บแท้

ข้าวแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น (Chikkin Kare Raisu)

ข้าวแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น (Chikkin Kare Raisu)

ซู้ด..ซู้ด..น้ำลายไหล นึกถึงแกงกะหรี่บ้านเราที่ทั้งหอมและสีชวนกินก็ต้องไม่พลาดเมนูนี้ ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นที่นิยมเลยนะ แต่ความเผ็ดร้อนคงสู้ของพี่ไทยไม่ได้แน่ มาลองทำดูกันเลยดีมั้ยคะ???



เครื่องปรุง

ข้าวสวยญี่ปุ่น
3
ถ้วย
สะโพกไก่
2
ชิ้น
แครอท, มันฝรั่ง
1/2
หัว
หอมใหญ่
2
หัว
มันฝรั่งต้มสุกบดละเอียด
1/2
หัว
กระเทียมสับหยาบ
1
ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น พริมไทยป่น
1/2
ช้อนชา
ซีอิ้วญี่ปุ่น
1/4
ถ้วย
ผงกะหรี่
1
ช้อนชา
น้ำซุปปลาแห้ง
1
ถ้วย
น้ำ
1
ถ้วย
เนย
2
ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ล้างสะโพกไก่ เลาะกระดูกและหนังออก หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม. พักให้สะเด็ดน้ำ
2. เคล้าเนื้อไก่กับเกลือ พริกไทยพอทั่ว หมักไว้ประมาณ 15 นาที
3. ล้างแครอท มันฝรั่ง ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม. ปอกเปลือกหอม-ใหญ่ ล้างน้ำ หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม.
4. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟกลางพอร้อน ใส่เนื้อที่หมักไว้ในข้อ 2 ลงทอดพอตึงตัว ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
5. ต้มแครอท มันฝรั่ง พอสุก ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
6. ผสมซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำซุป น้ำ ตั้งไฟเคี่ยวประมาณ 10 นาที ใส่ผงกะหรี่ ใส่หอมใหญ่ แครอทต้ม มันฝรั่งต้ม ไก่ทอด เคี่ยวสักครู่
7. ใส่เนยลงในกระทะ ตั้งไฟกลางพอเนยละลาย ใส่กระเทียม เจียวพอหอม ใส่ลงในหม้อไก่ คนให้เข้ากัน ใส่มันฝรั่งบด เคี่ยวพอน้ำมีลักษณะข้นเหนียว ปิดไฟ
8. วิธีจัดเสิร์ฟ ตักข้าวสวยใส่จาน ตกแต่งด้วยใบชิโซ ตักแกงกะหรี่วางข้างๆ
วิธีทำน้ำซุปปลาแห้ง

เนื้อปลาโอขูดแห้ง
20
กรัม
น้ำ
15
ถ้วย
ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟกลางพอเดือด ใส่ปลาแห้ง เคี่ยวไฟอ่อนประมาณ 10 นาที ปิดไฟ กรองเอาแต่น้ำซุปใสๆ จะได้น้ำซุปประมาณ 15 ถ้วย

ที่มา http://www.siamkane.com/chicken_kare.php

เปรี้ยวปากกับ "ปลาสำลียำมะม่วง"




เมื่อ วันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาหลายๆ คนคงจะได้ไปเที่ยวเล่นสาดน้ำกันมาอย่างสนุกสนานเต็มอิ่มแล้ว ส่วนตัว "กุ๊กเล็ก" เองก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่เล่นสาดน้ำกับเด็กๆ แถวบ้าน แล้วก็ขลุกอยู่ในครัวหาเมนูอาหารอร่อยๆ มาฝากกันเช่นเคย

และพอดีว่าช่วงนี้มีมะม่วงเปรี้ยวดิบๆเยอะ กุ๊กเล็ก จึงนำมะม่วงมาทำเมนู "ปลาสำลียำมะม่วง" มาให้ลองทำลองชิมกัน สำหรับยำมะม่วงที่ใช้หม่ำกับปลาสำลีนั้นเป็นคนละสูตรกับยำมะม่วงที่กุ๊กเล็ก เคยนำเสนอไปเมื่อตอนที่แล้ว

ว่าแล้วก็อย่ารีรอไปเตรียมส่วนผสมปลาสำลียำมะม่วงกันเลย

ส่วนผสม

ปลาสำลีขนาดกลาง 2 ชิ้น
ไข่ไก่ 1 ฟอง
แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
เกล็ดขนมปังป่นสำหรับชุบปลาทอด 1 ถ้วย
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือเล็กน้อยสำหรับทาบนเนื้อปลา
พริกทอดสำหรับกินแกล้มตามชอบใจ

ส่วนผสมยำมะม่วง

มะม่วงดิบเปรี้ยว 1 ลูก
หอมแดง 5 หัว
พริกขี้หนู 5 เม็ด
น้ำตาล น้ำปลา ตามใจชอบ

วิธีทำ เริ่มจากนำปลาสำลีมาล้างให้สะอาด ทาเกลือเล็กน้อยให้ทั่วตัวปลาแล้วนำมาผึ่งไว้ให้แห้ง หลังจากนั้นนำปลาสำลีทั้งสองชิ้นมาคลุกกับเเป้งให้ทั่ว แล้วนำไปชุบไข่ที่เตรียมไว้ แล้วมาคลุกกับเกล็ดขนมปังให้ติดทั่วกันทั้งชิ้นปลา เสร็จแล้วหันมาตั้งกระทะใส่น้ำมันให้พอท่วมชิ้นปลา ตั้งไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อนดีแล้วก็นำปลาสำลีลงไปทอดจนเกล็ดขนมปังด้านนอกเริ่มเป็นสี เหลืองจึงตักออกมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน (ส่วนตอนจะกินให้โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับพริกทอดตามใจชอบเพื่อ เพิ่มรสชาติ)

คราวนี้หันมาจัดการกับยำมะม่วงกันบ้าง นำมะม่วงเปรี้ยว(จี๊ด)มาซอยให้เป็นเส้นเล็กๆ เท่าๆ กัน จับเอาหอมแดงและพริกขี้หนูมาซอยๆๆ เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมยำมะม่วงมาคลุกรวมกัน เติมน้ำปลา น้ำตาลชิมรสตามใจชอบ หรือจะทำน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้จิ้มกับปลาสำลีอีกอย่างหนึ่งด้วยก็ได้ ก็แค่เอาพริกขี้หนูและกระเทียมมาตำให้ละเอียด เติมน้ำปลาเล็กน้อย อยากให้รสเปรี้ยวหวานอย่างไรก็ใส่ได้ตามใจ

เป็นอันเสร็จเรียบร้อยกับเมนู "ปลาสำลียำมะม่วง" เนื้อปลาสำลีกรอบนอกนุ่มในกับยำมะม่วงรสเปรี้ยวปาก เมื่อกินคู่กันก็จะได้รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากัน แต่ของอย่างนี้ไม่ลองชิมลองทำเองก็คงไม่รู้


โดย : กุ๊กเล็ก

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์

เกี๊ยวกะหล่ำปลีซุปชาดำ

เกี๊ยวกะหล่ำปลีซุปชาดำ







เกี๊ยวกะหล่ำปลีซุปชาดำ


ส่วนผสมสำหรับเกี๊ยว 12 ชิ้น ( 4 ที่)
  • ใบกะหล่ำปลีลวก  12  ใบ
  • เห็ดหอมแห้งดอกเล็กตัดก้านทิ้งแช่น้ำจนนิ่ม  9 ดอก
  • ใบชาดำแห้ง ¼ ถ้วย
  • น้ำเดือดจัด 5 ถ้วย
  • น้ำมันเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว  1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ  1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • พริกไทย  1/8 ช้อนชา
  • ดอกไม้จีนล้างน้ำอุ่นให้สะอาดสำหรับมัดเกี๊ยว

ส่วนผสมไส้เกี๊ยว
  • มันฝรั่งต้มสุก 1 หัว
  • เห็ดหอมแห้งแช่น้ำจนนิ่มหั่นฝอย 2 ดอกใหญ่
  • เห็ดหูหนูดำหั่นเป็นเส้นเล็ก ¼ ถ้วย
  • งาขาวคั่ว   2 ช้อนโต๊ะ
  • เต้าเจี้ยว   2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว   2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย  1 ช้อนชา
  • พริกไทย   ¼ ช้อนชา
  • น้ำมันงา   1 ช้อนชา
  • น้ำมันงาสำหรับจี่เกี๊ยวเล็กน้อย

วิธีทำ
  1. แช่ใบชาในน้ำเดือด 1 ถ้วย พักไว้ 30 วินาที  รินน้ำทิ้ง  เทน้ำเดือดที่เหลือแช่ใบชาเดิมพักไว้ 1 นาที กรองเอาแต่น้ำชา
    ใส่หม้อพักไว้
  2. ทำ
    ไส้เกี๊ยวโดย ยีมันฝรั่งให้ละเอียด ใส่เห็ดทั้งสองชนิด งา
    แล้วคนให้เข้ากัน  ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว น้ำตาล พริกไทย น้ำมันงา 
    ใช้ส้อมคนส่วนผสมให้เข้ากันดี
  3. ตักไส้เกี๊ยวใส่ใบกะหล่ำปลี ม้วนให้มิดชิด ใช้ดอกไม้จีนมัดให้เป็นท่อนกลมสวยงาม  ทำอย่างนี้จนหมด 
  4. ใส่น้ำมันงาเล็กน้อยลงในกระทะเทฟล่อนใช้ไฟกลาง นำเกี๊ยวที่ห่อไว้ลงไปจี่ให้สุกเหลืองทั้งชิ้น ตักขึ้นพักไว้
  5. นำ
    หม้อน้ำชาตั้งไฟพอเดือด ใส่เห็ดหอม ปรุงรสด้วย ซีอิ๊ว เกลือ น้ำตาล
    พริกไทย  น้ำมันเห็ดหอม ต้มสักพัก จึงใส่เกี๊ยวที่เตรียมไว้ลงเคี่ยวประมาณ 3
    นาที  ปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟ




ขอบคุณเมนูจาก healthandcuisine

“ยำมะเขือยาว” อร่อยเบาๆ แต่จัดจ้าน

“ยำมะเขือยาว” อร่อยเบาๆ แต่จัดจ้าน



มื้อ นี้ “กุ๊กเล็ก” อยากจะทำเมนูอร่อยจัดจ้านแต่อิ่มเบาๆ สบายท้องดูบ้าง แต่ตำรับของ “กุ๊กเล็ก” นั้นต้องทำง่ายอยู่แล้ว ก็เลยเลือกเมนู “ยำมะเขือยาว” มานำเสนอกันให้ลองชิม

ส่วนผสมมีดังนี้
มะเขือยาว 2-3 ลูก
ไข่ไก่ต้ม 2 ฟอง
หอมแดง 2 หัว
หมูสับ 50 กรัม
พริกขี้หนู 4 เม็ด
น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำเริ่มจากนำมะเขือยาวมาตัดขั้วออก แล้วนำไปเผาจนสุก (ระวังอย่าให้ไหม้) แล้วลอกเปลือกออก หั่นมะเขือยาวเป็นท่อนๆ พักใส่จานไว้ นำหมูสับไปลวกจนสุก นำพริกขี้หนูมาซอย และนำหอมแดงมาซอยบางๆ ทำน้ำยำโดยผสมน้ำตาล น้ำปลา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน (เพิ่มเติมรสชาติได้ตามชอบ) ใส่พริกขี้หนูและหอมแดงที่เตรียมไว้ ใส่หมูสับที่ลวกสุกแล้ว ตักใส่ถ้วยเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมกับมะเขือยาวในจาน และไข่ต้มเพิ่มโปรตีนให้กับเมนูอร่อยในมื้อนี้


ที่มา manager

สูตรขนมหวาน : คัสตาร์ด

สูตรขนมหวาน : คัสตาร์ด



เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า คัสตาร์ดเหมาะสำหรับคนที่เจ็บคอ หวัดลงคอ หรือเป็นทอนซิลอักเสบ เพราะไม่ต้องเคี้ยว สามารถกลืนได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีเป็นขนมที่ให้คุณค่าอาหารอีกด้วย ลองไปทำกันเลย

ส่วนผสม

น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
น้ำเย็น 1/2 ถ้วย
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) 2 ฟอง
นมสด 2 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
วานิลลา 2–3 หยด
วิธีทำ

ใช้ภาชนะทนไฟ เคี่ยวน้ำตาลจนน้ำตาลไหม้ ยกลง
นำน้ำตาลไหม้เทลงในภาชนะที่จะใช้ทำคัสตาร์ด ภาชนะอันหนึ่งใช้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วกรอกไปทาให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้เย็นจนจับตัวแข็ง
ตอก ไข่ไก่ 2 ฟอง พร้อมไข่แดง คนให้เข้ากัน แล้วใส่นมที่อุ่นกับน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ใส่วานิลลา ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอง เทใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ปิดหน้าด้วยกระดาษฟอยด์
เตรียมภาชนะใส่น้ำอุ่นวางไว้ใต้เตาอบ แล้วนำพิมพ์คัสตาร์ดเข้าอบ ใช้ไฟประมาณ 375 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 40 นาที

เขียนโดย : KimChi

ที่มา http://www.hilunch.com/custard

อิ่มอร่อยยกครัวกับเมนู “ข้าวมันไก่”

อิ่มอร่อยยกครัวกับเมนู “ข้าวมันไก่”



อาหารจานเดียว เป็นอาหารประเภทที่เลือกกินกันบ่อยๆ เพราะสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะมื้อกลางวนที่ต้องรีบเร่งกลับไปทำงานต่อ แต่ถึงเป็นในวันหยุดสบายๆ แบบนี้ “กุ๊กเล็ก” ก็ยังอยากกินอาหารจานเดียวอยู่ดี อย่างเมนู “ข้าวมันไก่” ซึ่งเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ไม่ได้ทำยากมากนัก แต่ก็อร่อยกันได้ทั้งบ้าน

ส่วนผสมมีดังนี้
เนื้อไก่ 800 กรัม (จะใช้เนื้ออก หรือสะโพกก็ได้ตามชอบ)
ข้าวสาร 3 กระป๋อง
เกลือป่น 2 1/2 ช้อนชา
ขิงฝานเป็นแว่น 6 แว่น
รากผักชี 4 ราก
กระเทียมสับ 3 ช้อนโต๊ะ
ฟัก 1/2 ลูก (ขนาดกลาง)
น้ำเปล่า
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
เต้าเจี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงสับ 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
พริกสด 2 เม็ด

เริ่มต้นที่การนำเนื้อไก่มาล้างให้สะอาด จากนั้นนำลงไปต้มกับน้ำเปล่าจนสุก โดยใช้ไฟอ่อนเพื่อไม่ให้น้ำซุปขุ่น นำข้าวสารมาซาวน้ำจนสะอาด แล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นนำกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป รอจนร้อน แล้วใส่กระเทียมลงไปเจียวให้หอม ใส่ข้าวสารที่ซาวแล้วลงไปผัดให้เข้ากัน จากนั้นปิดไฟ เทใส่หม้อหุงข้าว ใส่ขิงฝานเป็นแว่นลงไป ใส่เกลือป่นประมาณ ½ ช้อนชา แล้วใส่น้ำซุปที่ได้จากการต้มเนื้อไก่ลงไปกะให้ปริมาณพอเหมาะ ให้หุงข้าวออกมาแล้วไม่นิ่มหรือร่วนจนเกินไป หุงข้าวจนสุก ส่วนน้ำซุป ให้ตักไก่ออกพักไว้ น้ำซุปที่เหลือใส่รากผักชีลงไป ใส่ฟักที่ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นแล้วลงไป ปรุงรสด้วยเกลือประมาณ 2 ช้อนชา ต้มต่อไปจนฟักนุ่มดี จึงปิดไฟ

ส่วนน้ำจิ้ม นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน แล้วคนจนน้ำตาลละลายดี เวลาเสิร์ฟ ตักข้าวมันใส่จาน นำเนื้อไก่มาสับเป็นชิ้น โดยหน้าด้วยผักชี เคียงด้วยแตงกวา เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มข้าวมันไก่ และน้ำซุปร้อนๆ ก็อิ่มอร่อยกันไปได้อีกหนึ่งมื้อ

โดย : กุ๊กเล็ก

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ช่อลัดดาไส้กุ้ง”ห่อหุ้มคำรัก

มื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” ยังขออิงกระแสของวันวาเลนไทน์ที่แม้เพิ่งจะผ่านพ้นไป แต่บรรยากาศความรักยังคงกรุ่นกลิ่นอยู่ โดยเมนูที่เราจะนำเสนอในมื้อนี้ เป็นว่างที่มีนามกรว่า “ช่อลัดดาไส้กุ้ง”
เมนูนี้จะช่วยให้คนทำสนุก คนกินมีความสุข ด้วยวิธีการทำและสีสันหน้าตาของอาหารที่สวยงาม สูตรนี้ได้มาจาก "ห้องอาหารธาราคอฟฟี่ช้อป" ของ โรงแรมอิมพีเรียลธารา ที่ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 26 ที่เขาให้มาแบบไม่หวงสูตร ฉะนั้นถ้าใครขี้เกียจทำตาม “กุ๊กเล็ก” ก็ลองไปหากินได้ที่โรงแรม ส่วนใครที่อยากลองวัดฝีมือตัวเองก็ตามเข้าครัวเลยดีกว่า

ส่วนผสมแป้ง

แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
แป้งมัน 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง
กะทิ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหารสีเหลือง

ส่วนผสมไส้

เนื้อกุ้งขาวสับละเอียด 3 ขีด
มะพร้าวขูด 1 ถ้วยตวง
ใบมะกรูดหั่นฝอย 2 ใบ
รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

เริ่มจากการนำส่วนผสมของไส้อย่าง เนื้อกุ้ง กับมะพร้าวขูด คลุกเคล้าให้เข้ากันพักทิ้งไว้ จากนั้นหันมาตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใส่รากผักชี กระทียม พริกไทย ที่ตำแล้ว ผัดให้หอม จนได้ที่แล้วจึงนำส่วนผสมของเนื้อกุ้งที่หมักไว้มาปรุงรสด้วย เกลือ น้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ โรยหน้าด้วยใบมะกรูดฝอย

นำส่วนผสมแป้งทั้งหมดขึ้นตั้งไฟ ใส่สีผสมอาหารสีเหลืองลงไป กวนให้เข้ากันพอแป้งสุก ยกลงนวดให้แป้งนิ่ม ปั้นเป็นก้อนกลมๆ จากนั้นแผ่แป้งให้แบนๆ ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงบนแป้ง ค่อยๆห่อแล้วจับกลีบแป้งให้เป็นดอก นำไปนึ่งให้สุก ประมาณ 10 นาที กินเปล่าก็ได้หรือบ้านใครมีผักชีและพริกขี้หนู จะนำมากินแกล้มเป็นเครื่องเคียงก็ได้


ที่มา manager