homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

7 อาหารทานแล้วไม่แก่

ขอบคุณ : womencandid.com
อาหารที่เราจะแนะนำต่อไปนี้คืออาหาร 7 อย่างที่จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัย ไม่ว่าจะเป็นผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชา เพื่อให้คุณ ๆ ดูอ่อนกว่าวัยได้ภายใน 3-6 เดือน มีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ...


หยุดผมร่วง

ด้วย การรับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี สามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้ดี หากรับประทานกล้วยในปริมาณที่พอดี จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่หนังศีรษะได้อย่างยาวนาน


ลดผิวมัน

ธัญญาหาร ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผลิตภายในร่างกาย ฉะนั้น การรับประทานธัญญาหารทุกเช้าจะช่วยลดปัญหาผิวมัน และเส้นผมมันบางได้ดี


หยุดการลอกของผิวหนัง

หากรับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักเป็นประจำ จะช่วยทำให้หยุดปัญหาการหลุดลอกของผิวหนังได้


ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก

ใคร อยากมีผิวที่เนียนใสเหมือนเด็กทารก ให้กินมะม่วงเป็นประจำ เนื่องจากมะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะ เพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมีความชุ่มชื่น และนุ่มเนียนอีกครั้ง


ชะลอผมหงอก

ถั่ว ลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลา แถมยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นด้วย


ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี

ฝรั่ง หรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี จะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ เป็นประจำ ก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ ทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยมากถึง 5 ปี


ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ

อะ โวคาโด ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษด้วย


รู้แบบ นี้แล้ว ก็หันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้นนะคะ เพราะมีผลต่อสุขภาพร่างกายของคนเราโดยตรงเลยก็ว่าได้...เลือกกินสิ่งที่ดี เพื่อตัวเราเองนะคะ



ขอบคุณ : womencandid.com

แฉคนไทยเอวหาย- ไขมันในเลือดสูง

ข้อมูลจาก เดลินิวส์ 
เผยผลสำรวจคนไทยอ้วนเยอะ กินผักผลไม้น้อย ซ้ำโรคโลหิตจางปั่นทอน คาดป่วยเบาหวานเฉียด 3 ล้าน ความดันสูง 10 ล้าน

วันนี้ (16 ก.ย.) รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร สำนักงานศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 ระหว่างเดือน ก.ค.2551-มี.ค.2552 โดยเป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างใน 20 จังหวัดทั่วประเทศและกรุงเทพฯ กลุ่มอายุ 15-59 ปี จำนวน 12,240 คนและอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 9,720 คน รวมทั้งหมด 21,960 คน ปรากฎว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ 19.9% ซึ่งเพศชายสูบบุหรี่เป็นประจำ 38.7% ส่วนเพศหญิงสูบบุหรี่เป็นประจำ 2.1% ทั้งนี้พบว่า 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุชายยังคงสูบบุหรี่อยู่

รศ.นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการกินอาหาร พบว่าประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 77.3 % กินอาหารครบ 3 มื้อต่อวัน โดยกลุ่มอายุที่กินครบ 3 มื้อน้อยที่สุดคืออายุระหว่าง 15-29 ปี นอกจากนี้ยังพบว่า ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปสูงถึง 80 % กินอาหารมื้อเย็นที่บ้าน ส่วน 20 % กินอาหารนอกบ้านหรืออาหารปรุงสำเร็จ สำหรับการกินผลไม้ พบว่า 17.7 % กินผักและผลไม้ปริมาณต่อวันเพียงพอตามข้อแนะนำ โดยสัดส่วนการกินผักและผลไม้ในผู้ชายอยู่ที่ 16.9 % ซึ่งน้อยกว่าผู้หญิง และหากพิจารณาตามภาคพบว่า ภาคใต้ กินผักและผลไม้เพียงพอมากที่สุด

รศ.นพ.วิชัย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นการใช้ยาและอาหารเสริม พบว่าประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 2.3 % กินยาแก้ปวดทุกวัน โดยเพศหญิงมีความชุกในการกินยาแก้ปวดสูงกว่าชาย และสัดส่วนการกินยาแก้ปวดจะเพิ่มขึ้นตามอายุด้วย โดยภาคอีสานมีคนกินยาแก้ปวดมากที่สุด รองลงมาคือภาคกลาง ทั้งนี้พบว่า 3.3 % กินยาคลายเครียดหรือยานอนหลับเป็นประจำ ทั้งที่มีอาการหรือไม่มีอาการ โดยผู้หญิงมีความชุกการกินยามากกว่าผู้ชายด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า ประชากร 2.1 % กินยาลูกกลอนประจำ 1.1 % กินยาลดความอ้วนและ 14.8 % เคยกินอาหารเสริม ที่น่าห่วงคือ ภาวะอ้วน โดยในประชากรอายุ 15 ขึ้นไปผู้ชายพบมี 28.4 % ส่วนผู้หญิงสูงถึง 40.7 % โดยในภาคกลางและกรุงเทพฯ จะสูงกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนภาวะอ้วนลงพุง ในผู้ชายที่รอบเอวเกิน 90 ซม.มี 18.6 % ในผู้หญิงมีมากถึง 45 % ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน

รศ.นพ.วิชัย ยังกล่าวถึงกรณีโรคเบาหวาน คาดว่าจะมีผู้ป่วยอายุ 15 ปีขึ้นไปประมาณ 6.9 % หรือ 3 ล้านคน โดยผู้ชายในกรุงเทพฯ จะมีความชุกสูงสุด รองลงไป ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ อย่างไรก็ตามที่น่าห่วงมากคือ 1 ใน 3 ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานมาก่อน อีกประเด็นที่น่าห่วงคือ โรคความดันโลหิตสูง เพราะพบว่าคนอายุ 15 ปีขึ้นไปมี 21.4 % หรือประมาณ 10 ล้านคน เป็นโรคดังกล่าวบางคนความดันสูงถึง 240 ก็มี ดังนั้นข้อแนะนำคือการไปตรวจร่างกายทุกปี โดยเฉพาะในคนอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ พบประมาณ 19.1 หรือประมาณ 10 ล้านคน ทั้งนี้พบว่าระดับไขมันคลอเลสเตอรอล เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รศ.นพ.วิชัย ยังกล่าวถึงการสำรวจภาวะซึมเศร้าในคนอายุ 15 ปีขึ้นพบ 2.8 % โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้พบว่าผู้ชายในภาคอีสานมีภาวะซึมเศร้ามากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ภาคใต้ ส่วนเพศหญิงพบในกรุงเทพฯ มากที่สุด อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ภาวะโลหิตจาง เพราะคนอายุ 15 ปีขึ้นไป พบมากถึง 23 % และยังพบในผู้หญิงมากกว่าชาย โดยกรุงเทพฯ และอีสานมีความชุกสูงกว่าภาคอื่น สำหรับเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ พบว่า ผลสำรวจพบว่าอายุเฉลี่ยของสตรีไทยเป็นประจำเดือนครั้งแรก มีแนวโน้มลดลงและเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วขึ้น โดยกลุ่มอายุ 15-29 ปี มีประจำครั้งแรกเมื่ออายุ 13.2 ปี อายุ 30-44 ปี มีประจำเดือนครั้งแรกอายุ 14.1 ปีและอายุ 45-49 ปี มีประจำเดือนครั้งแรกอายุ 15-19 ปี นอกจากนี้ยังพบว่า 10.5 % ของสตรีวัย 15-19 ปี เคยตั้งครรภ์และในจำนวนนี้ 84.8 % เคยคลอดบุตรด้วย ส่วนการมีบุตรยากพบสูงถึง 11 % โดยมีเพียง 32.9 % เท่านั้นที่เคยได้รับการักษา

“โดยสรุปผลการสำรวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 นี้ เทียบกับครั้งที่ 3 พบว่า ความชุกของบางปัจจัยเสี่ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น ภาวะอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง การกินผักผลไม้ไม่เพียงพอ ภาวะโลหิตจาง บางปัจจัยอยู่ในสภาพคงเดิม ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและบางปัจจัยเสี่ยงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในบางกลุ่ม เช่น การสูบบุหรี่ลดลงในผู้ชายแต่ในผู้หญิงไม่ลดลง การมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันกำหนดการ ดำเนินการควบคุมป้องกันปัจจัยเสี่ยงและสร้างเสริมสุขภาพประชาชนให้มี ประสิทธิผลมากขึ้น ทั้งยังต้องมีการสำรวจติดตามสถานสุขภาพประชาชนต่อเนื่องเป็นระยะต่อไป” รศ.นพ.วิชัย กล่าว.
 

เตือนพ่อแม่ระวัง "ยาร้าย" ทำเด็กไม่โต

ผู้จัดการออนไลน์ 
เป็นอีกหนึ่งข่าวที่พ่อแม่ทุกท่านควรพิจารณากันให้ดี ๆ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ได้มอบหมายศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ให้ความรู้ประชาชน

เพื่อ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการเลือกบริโภคอาหารและยาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งได้มีการออกมาเตือนพ่อแม่อย่าหลงเชื่อโฆษณา และระดมยาให้เด็กเกินสมควร เพราะอาจทำให้เด็กไม่โต และป่วยด้วยยาในที่สุด

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า เด็กยุคใหม่ถูกจับให้กินยาประจำหลายขนานราวกับผู้ใหญ่ ถ้ามีการเก็บสถิติคงติดอันดับต้น ๆ ในเรื่องการกินยากันเลยทีเดียว

ทั้ง ที่ความจริงแล้วการให้ยาในปริมาณยิ่งมาก ยิ่งไปกดภูมิคุ้มกันเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่เป็นภูมิแพ้ ที่จะต้องกินยาหลังอาหารทุกมื้อ ทำให้โรคที่เป็นดีขึ้นในตอนแรก แต่หลังจากนั้นจะพบกับสภาพที่หนักกว่าเดิม

ดังนั้น ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติท่านนี้ได้เตือนพ่อแม่ระวัง "ยาร้าย" ดังต่อไปนี้

1. ยาภูมิแพ้ ยาฆ่าเชื้อ และยาแก้แพ้ ทำให้เด็กเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องได้ ยิ่งหลายขนานยิ่งมีโอกาสตีกันกับยาชนิดอื่น ความน่ากลัวของยาชนิดนี้อยู่ที่การต้องกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน

ถ้า ไม่จำเป็นเมื่อแพ้หายแล้วควรหยุดใช้ ในเด็กที่ได้ยาฆ่าเชื้อนาน ๆ ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนป่วยง่าย และยาฆ่าเชื้อบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นไข้ได้เองถ้าใช้ติดต่อกันนาน (Drug fever)

2. ยาสเตียรอยด์ ตัวร้ายสุดมีทั้งแบบ พ่นจมูก พ่นคอ ยากิน และยาทา สเตียรอยด์ที่ว่าเป็นยายอดนิยม ที่ถูกจ่ายให้คนไข้ภูมิแพ้มาก โดยฤทธิ์ของมันจะไปปิดกระดูกให้หยุดโต เด็กจะตัวแกร็น และอ้วนฉุ ที่สำคัญคือจะไปทำให้กระดูกผุ ปิดกั้นความสูงของเด็กจนเสียโอกาสไปในเด็กวัยกำลังโต

3. ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ หากเด็กได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย คล้ายไฮเปอร์ลามไปถึงใจสั่น ทรมานถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง หงุดหงิดง่าย และนอนไม่หลับทั้งคืนได้

4. ยาลดน้ำมูกแบบเมา ๆ ยาน้ำลดน้ำมูกที่นิยมกันมีการใส่แอลกอฮอล์เข้าไปมาก ทำให้รสอร่อย เช่น รสองุ่น รสส้ม จิบเข้าไปแล้ว เด็กจะไม่ตื่นมาโยเย เพราะเมาจากยาที่ผสมแอลกอฮอล์นั่นเอง

5. ยาแก้ปวด อย่าเห็นพาราเซตตามอลเป็นเรื่องเล่น ๆ ดูเป็นยาปลอดภัยแต่อันตรายเหมือนกัน เพราะถ้าใช้ผิดขนาด เช่น เอาของผู้ใหญ่มาแบ่งครึ่งให้เด็กก็อาจทำอันตรายต่อตับของเด็กได้ ทางที่ดี ควรเลือกยาที่เฉพาะกับเด็กโดยตรงจะดีกว่า

6. ยาลดไข้ ไม่ธรรมดาเหมือนกันโดยเฉพาะยาลดไข้กลุ่ม เอ็นเสด (NSAIDs) อย่างไอบูโพรเฟ่น ที่เด็กป่วยไข้เลือดออกกินแล้วอาจชักได้ ในเด็กที่มีไข้ยังไม่ทราบสาเหตุไม่ควรให้ยาลดไข้กลุ่ม "เร็วสั่งได้" นี้เพราะมีสิทธิ์ที่จะช็อคได้สูง

7. ยาธาตุ เด็กน้อยปวดท้องบ่อยมักถูกป้อนด้วยยาธาตุ เอามหาหิงคุ์ทาพุงจนกลิ่นตลบ ในเด็กโรคกระเพาะถ้าได้ยาธาตุน้ำขาวพวกอะลั่มมิลค์บ่อยเกินไป ยาจะไปยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุ วิตามิน รวมไปถึงยาอื่น ๆ และการได้ธาตุอลูมิเนียม จากยาน้ำขาวพวกนี้มากไปก็อาจมีผลต่อสมองได้

8. ยาระบาย ไม่ว่าแบบน้ำ เม็ด หรือยาสวนก้น ต้องดูสุขภาพเด็กให้ดี ถ้ามีอาการเพลีย หรือซึมจากการขาดน้ำอยู่แล้ว ยาถ่ายที่ทำให้ท้องเสียอันตรายถึงช็อคได้ ส่วนในเด็กท้องผูกต้องดูแผลปากทวาร (Anal fissure) ให้ดีก่อนสวนด้วย

9. ยาช่วยนอน ถ้าเด็กนอนไม่หลับ ควรหาสาเหตุให้พบเสียก่อน รวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเด็ก เช่น ยาแก้โรคสมาธิสั้น โดยการรักษาที่ดีต้องใช้พฤติกรรมบำบัด และกิจกรรมบำบัดควบคู่ไปด้วยจะดีที่สุด

10. วิตามินสังเคราะห์ ในเด็กที่กินอาหารไม่ครบ วิตามินเสริมเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ต้องระวังวิตามินประเภทสังเคราะห์ อย่างกรดวิตามินเอ วิตามินอี และน้ำมันตับปลาที่มากเกินไป เพราะอันตรายต่อตับเด็กได้

"รู้แบบนี้แล้วก็ใช่ว่าจะให้ทิ้งยาดังกล่าวในทันที เนื่องจากยาพวกนี้สะสมอยู่ในตัวเด็กนานนับเดือนนับปี ถ้าหยุดทันที เด็กอาจมีอาการทรุดลงได้

อย่างยาสเตียรอยด์ที่เด็กภูมิแพ้ได้นาน ๆ การหยุดแบบหักดิบจะทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทันตั้งตัว และทำงานไม่ทัน อาจกลายเป็นโรคที่ป่วยด้วยต่อมหมวกไตได้" ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติทิ้งท้าย


ขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์
Life & Family 

"ปวดหลังร้าวลงขา" ปัญหาสุขภาพที่อันตราย!

ข้อมูลวิธีการดูแลสุขภาพจาก ข่าวสด
ปวดหลังร้าวลงขา   อีก หนึ่งปัญหาสุขภาพที่อันตรายที่คุณผู้รักสุขภาพไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่งค่ะ คุณรู้หรือไม่ว่า ปวดหลังร้าวลงขา นั้นเป็นสาเหตุของโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ซึ่งถ้าใครกำลังมีอาการปวดหลังร้าวลงขาควรฟังความรู้ดีๆ ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันในวันนี้ค่ะ นั่นก็คือเรื่อง ปวดหลังร้าวลงขา หรือก็คืออาการของโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมนั่นเองค่ะ แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าวัยทำงานนั้นจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงถึงอาการปวดหลังร้าวลง ขาหรือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมมากทีเดียวค่ะ ฉะนั้นแล้วคนรักสุขภาพก็ห้ามพลาดเกร็ดความรู้เรื่องปวดหลังร้าวลงขาหรือโรค หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันในวันนี้ด้วยนะค่ะ พร้อมจะฟังและหาทางแก้ไขกับเรื่องปวดหลังร้าวลงขาหรือโรคหมอนรองกระดูก สันหลังเสื่อมกันแล้วรึยังค่ะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มาฟังถึงเรื่องปวดหลังร้าวลงขาหรือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมกันเลยค่ะ
วัยทำงานกลุ่มเสี่ยง! "ปวดหลังร้าวลงขา"
หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative Disc Disease) เป็นปัญหาและสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงของหมอนรองกระดูกสันหลังอาจเป็นผลมาจากวัยที่สูงขึ้นหรือการบาดเจ็บที่มีต่อหมอนรองกระดูกเอง หรือปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย จากสาเหตุดังกล่าวทำให้สถิติของโรคปวดหลังเรื้อรังมีเพิ่มมากขึ้นในทุกอาชีพและเกือบทุกช่วงอายุ

จาก เดิมเราอาจเข้าใจว่า ความเสื่อมของอวัยวะในร่างกายมักจะเริ่มเสื่อมและหมดสมรรถภาพในการทำงาน เมื่อตอนวัยชรา แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทั้ง การดำเนินชีวิต การบริโภคในปัจจุบันทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้น คนเรามักมองข้ามปัญหาเหล่านี้ไปและไม่ค่อยใส่ใจดูแลสุขภาพของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ปล่อยปละละเลยรอให้เกิดอาการปวดหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมขึ้นมาก่อนแล้วค่อยหาทางรักษา จนบางครั้งอาการหนักถึงขั้นหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเลยก็ได้

ดร.นิโคล ลีเดอท ไคโรแพรกเตอร์ จากประเทศออสเตรเลีย คลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรกติก กล่าวว่า หมอน รองกระดูกที่อยู่ระหว่างชิ้นกระดูกสันหลังนั้น เป็นกระดูกอ่อนที่เชื่อมและรองรับกระดูกทั้ง 24 ชิ้นของแนวกระดูกสันหลังของคน แต่ละชิ้นนั้นจะแนบเข้ากับชิ้น กระดูกสันหลังแต่ละชิ้นที่อยู่เหนือและอยู่ข้างใต้หมอนรองกระดูกชิ้นนั้นๆ ทำหน้าที่คอยรับแรงกระแทกของกระดูกและช่วยทำให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น นอกจากนั้นยังคอยทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้กระดูกเคลื่อนที่ลงมากดทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังอีกด้วย หมอนรองกระดูกสันหลังที่ มีสุขภาพดีนั้นจะมีความยืดหยุ่นทำให้หมุนตัวหรือก้มเงยได้ แต่ถ้าหากหมอนรองกระดูกเสื่อมลงแล้วก็อาจจะทำให้การเคลื่อนไหวหรือหมุนตัว ลำบากขึ้น และอาจเกิดอาการเจ็บปวดร่วมด้วย

ลักษณะของความผิดปกติ และ อาการเสื่อมของหมอนรองกระดูกที่พบบ่อยที่สุด



การรักษาอาการหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท และหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม
นอกจากการใช้วิธีการผ่าตัด มีการรักษาโดยวิธีของไคโรแพรกติก โดยการแก้ไขส่วนต่างๆ ของกระดูกสันหลังที่แทรกแซงต่อการควบคุมระบบประสาทอันถูกต้องของร่างกาย เพราะหมอนรองระหว่างชิ้นของกระดูกสันหลังนั้น อยู่ใกล้กับไขสันหลังและรากประสาท การรักษาแบบไคโรแพรกติกจะเข้าไปปรับและช่วยทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเหมาะสมดังเดิม และจัดวางให้ชิ้นกระดูกที่ทำงานผิดปกตินั้นกลับเป็นดังเดิมช่วยลดการมีส่วนเกี่ยวพันของระบบประสาท ซึ่งหากตรวจพบได้ก่อนที่ความเสียหายถาวรจะเกิดขึ้น เนื้อเยื่อหมอนรองกระดูกก็มักจะกลับคืนสู่ขนาดและรูปร่างที่เป็นปกติยิ่งขึ้น

ปัญหาหมอนรองกระดูกหลายๆ ประการนั้นเป็นผลมาจากการปล่อยปละละเลยที่ยาวนานนับหลายปี โดยที่หลายๆ ปัญหาที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังนั้น จะไม่ปรากฏอาการจนกว่าจะถึงระยะของการเสื่อมถอยในขั้นที่รุนแรง มีผู้ป่วยสูงอายุหลายๆ รายที่บำรุงรักษากระดูกสันหลังของตนไว้ได้จนตลอดอายุขัย ทำให้ยังคงมีความสุขกับสุขภาพและการทำงานของกระดูกสันหลังที่ยอดเยี่ยมได้ ดังนั้นควรที่จะหันมาให้ความสนใจใน เรื่องของการดูแลกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกสันหลังตั้งแต่เนิ่นๆ หากปล่อยไว้รอให้เกิดอาการปวดขึ้นมาก็อาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวันได้
 

ยาถ่ายอันตรายใกล้ตัว

ยาถ่ายอันตรายใกล้ตัว (Mix Magazine)
เรื่องอาการถ่ายไม่ออกนั้น หลายคนฟังอาจคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่แท้ที่จริงแล้วมันแฝงด้วยอันตรายหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะคนที่แก้ปัญหาด้วยการใช้ยาถ่ายเพื่อระบายออก บางคนหวังว่าถ่ายบ่อย ๆ จะได้น้ำหนักลด แต่ความคิดแบบนั้นกำลังสร้างมหันตภัยโดยไม่รู้ตัว

หลายคนเถียงว่ายาถ่ายที่กินอยู่นั้นเป็นยาสมุนไพรปลอดภัย ไร้กังวล ถ้าเช่นนั้นเรามารู้จักชนิดของยาถ่ายกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

ยาถ่ายที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบันแบ่งได้อยู่ 4 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกเป็นยาที่กระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว จำพวกน้ำมันละหุ่ง เซนนา (สารจากใบและฝักมะขามแขก) ไบซาโคดิล สลอด ฯลฯ ยาพวกนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวมากขึ้นกว่า ปกติ เพราะเมื่อลำไส้ใหญ่บีบตัวกระบวนการขับของเสียก็มีโอกาสเกิดขึ้นมาก แต่สิ่งที่จะทำมาภายหลังก็คือ ลำไส้ใหญ่จะเกิดการหย่อนยาน และไม่สามารถบีบตัวเองได้ และเมื่อไรที่หยุดกินยาก็ทำให้ไม่สามารถถ่ายเองได้ บางคนกินยาถ่ายเข้าไปเป็นสิบ ๆ เม็ดยังไม่ยอมถ่าย และทำให้ร่างกายเกิดการสะสมพิษอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ทำให้หงุดหงิด ตัวบวม มีกลิ่นตัว ปากเหม็น ผิวพรรณไม่ผ่องใส และอาจมีปัญหาตามมาอีกมากมาย

กลุ่มที่สอง เป็นยาที่เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ เช่น กลุ่มเกลือแมกนีเซียม โดยจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้และจะช่วยให้ระบบขับถ่ายระบายได้ดี ขึ้น ยาประเภทนี้หากกินมากเกินไปอาจทำให้เกิดการถ่ายท้องที่รุนแรงและเป็นอันตราย ได้ และข้อสำคัญคือยากลุ่มนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดพิษต่อหัวใจ และไต ดังนั้นจึงมีข้อห้ามใช้ในคนที่เป็นโรคไตและโรคหัวใจ รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีด้วย



ถัด มาเป็นยาที่หล่อลื่นลำไส้ เช่น อีแอลพี โดยยาชนิดนี้จะเป็นยาน้ำที่ได้จากน้ำมันปิโตรเลียม ไม่ถูกย่อย ไม่ดูดซึม และจะช่วยหล่อลื่นให้ลำไส้เพื่อให้อุจจาระผ่านได้สะดวก และยังทำให้อุจจาระนุ่มขึ้นด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังคือยาชนิดนี้จะทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และระหว่างที่ใช้ต้องระวังอย่าให้สำลักเพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคปอด อักเสบตามมาได้

และสุดท้ายก็คือสารเพิ่มกากใย โดยจะช่วยเพิ่มกากใยให้กับอุจจาระและทำให้อุจจาระนุ่ม ถ่ายง่าย ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลปริที่ทวารหนัก และบรรเทาอาการของพวกที่ลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าอีกด้วย วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดูปลอดภัยและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้มากที่สุด เพราะสารที่มีกากใยนั้นอยู่ในธรรมชาติ เช่น รำข้าว ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เป็นต้น

และนี่คือประเภทใหญ่ ๆ ของยาถ่ายกลุ่มต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าแม้ว่าผลลัพธ์ของยาถ่ายแต่ละประเภทจะมีจุดหมายเดียวกันก็คือ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แต่ผลข้างเคียงของแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไป

การจะทำให้ร่างกายสามารถกลับมาขับถ่ายได้เองนั้น ยาถ่ายคงช่วยได้เพียงแค่ครั้งคราวเท่านั้น ดังนั้นแล้วการหันหาธรรมชาติเพิ่มกากใยให้กับร่างกายตนเองด้วยการกินผักสด ผลไม้สด และหันมากินข้าวกล้อง ก็จะช่วยเพิ่มกากใยให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี และเมื่อทำจนเคยชินเป็นกิจวัตรประจำวัน สุขภาพที่ดีก็จะค่อย ๆ ย้อนกลับมาหาคุณ.