homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

กลิ่นปาก

สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ สาเหตุภายในช่องปาก และสาเหตุภายนอกช่องปาก


สาเหตุภายในช่องปาก ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี เช่น แปรงฟันไม่สะอาด มีคราบอาหารหรือคราบแบคทีเรียเกาะอยู่ตามผิวฟัน ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ก็ทำให้มีกลิ่นปากได้ ถ้ามีเศษอาหารติดตามซอกฟัน ต้องกำจัดออกโดยใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งควรฝึกใช้ให้เป็นนิสัยอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง


การมีฟันผุ ทำให้เศษอาหารติดค้างอยู่ในรูฟันที่ผุ อาหารเหล่านี้จะบูดเน่าและทำให้เกิดกลิ่น หรือผู้ที่มีฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน มีหนองที่ปลายรากฟัน หนองพวกนี้จะมีกลิ่นมาก


การแก้ไขคืออุดฟันซี่ที่มีการผุนั้น ถ้าผุทะลุโพรงประสาทแล้ว ก็ต้องรักษารากฟัน ถ้าผุมากจนไม่สามารถเก็บฟันไว้และรักษาให้ดีเหมือนเดิม ก็จะต้องถอนออก แล้วใส่ฟันปลอม


โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบเนื่องจากมีหินปูน มีการสะสมของเศษอาหาร มีการทำลายอวัยวะรอบรากฟัน เหงือกอ้าออกจากตัวฟัน เศษอาหารเข้าไปสะสมได้ง่ายขึ้น และแปรงออกได้ไม่หมด นานๆ ไปจึงส่งกลิ่นออกมา การแก้ไขคือต้องกำจัดหินปูนออกให้หมด โดยให้ทันตแพทย์ขูดออก ในรายที่เหงือกอ้าออกมาก และมีหินปูนเข้าไปสะสมอยู่มาก อาจต้องผ่าตัดเปิดเหงือกออกเพื่อกำจัดหินปูนให้หมด แล้วจึงปิดเหงือกกลับเข้าไปตามเดิม


สำหรับยาสีฟันที่โฆษณาว่ากำจัดหินปูนได้นั้น ที่จริงเพียงแต่ไม่ทำให้เกิดการสะสมของหินปูนใหม่ แต่ถ้ามีหินปูนอยู่แล้ว จะกำจัดออกได้วิธีเดียวคือให้ทันตแพทย์ขูดออก สำหรับผู้ที่เป็นและเคยรักษาโรคปริทันต์มาแล้ว การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดคราบแบคทีเรียหรือคราบอาหารออกได้หมด ต้องใช้เครื่องมือทำความสะอาดเพิ่ม เช่น ไหมขัดฟัน แผ่นเทปรัดฟัน แปรงซอกฟัน เป็นต้น


แผลในช่องปาก ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น แผลของเนื้องอกต่างๆ ในช่องปากจะส่งกลิ่นรุนแรงมาก เพราะแผลเนื้องอกจะมีหนองและของเสียต่างๆ มาก การแก้ไขคือ รักษาแผลหรือเนื้องอกนั้นโดยเร็ว เมื่อแผลหาย กลิ่นปากก็จะลดลง


นอกจากนี้กลิ่นปากอาจเกิดขึ้นได้ภายหลังการถอนฟัน หรือผ่าตัดในช่องปาก เนื่องจากขณะมีแผลในปาก ผู้ป่วยมักจะใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ถนัด การรับประทานอาหารอ่อนทำให้มีอาหารติดฟันได้ง่ายและมากขึ้น แผลที่มีเลือดไหลซึม จะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้เกิดการบูดเน่าของอาหารและเลือดมีกลิ่นเหม็นได้


การแก้ไขคือ ขณะมีแผลในปาก ไม่ควรละเลยการทำความสะอาดช่องปาก หลังรับประทานอาหารควรแปรงฟันทันที โดยใช้แปรงปัดเบาๆ เพื่อไม่ให้คราบอาหารเกาะฟันนาน จะแปรงออกได้ง่ายกว่า ถ้าอ้าปากหรือแปรงฟันไม่ได้ ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นพันนิ้วเช็ดฟัน เมื่อแผลหายและแปรงฟันหรือรับประทานอาหารได้ตามปกติแล้ว กลิ่นปากก็จะหายไป


ผู้ที่ใส่ฟันปลอมหรือใส่เครื่องมือต่างๆ ในปาก เช่น เครื่องมือจัดฟัน เครื่องมือกันฟันล้มเก หรือเฝือกสบฟัน เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีจะทำให้มีกลิ่นได้ โดยเฉพาะเครื่องมือที่ทำด้วยอะคริลิกหรือมีส่วนของอะคริลิกอยู่ด้วย เนื้ออะคริลิกจะมีรูพรุน จะดูดซึมของเหลวต่างๆ ได้ ถ้าล้างไม่สะอาด อาหารก็จะบูดเน่าติดอยู่กับเครื่องมือ ทำให้มีกลิ่นได้ ดังนั้นควรทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากถอดแล้ว และถ้ายังไม่ใส่ต่อควรแช่ไว้ในน้ำสะอาด และก่อนใส่ควรทำความสะอาดอีกครั้ง ฟันปลอมที่ใส่มานานแล้ว ถ้ามีคราบหรือหินปูนเกาะ อาจใช้น้ำยาสำหรับแช่ฟันปลอมโดยเฉพาะ แช่ได้เป็นครั้งคราว


ลิ้นที่เป็นฝ้า เนื่องจากมีการสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรียบนผิวด้านบนของลิ้น ก็เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้ เราสามารถใช้แปรงสีฟันแปรงลิ้นขณะแปรงฟัน หรือใช้ผ้า ไหมขัดฟัน หรือไม้ขูดลิ้น ขูดออก นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีกากก็ช่วยขัดถูลิ้นได้ เช่น อ้อย สับปะรด


น้ำลาย ก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ถ้ามีน้ำลายน้อย ชำระล้างเศษอาหารได้ไม่หมด ก็จะทำให้มีกลิ่นปากได้ ตอนตื่นนอนจึงมักจะมีกลิ่นปาก เพราะขณะหลับมีการไหลเวียนของน้ำลายน้อย ผู้ที่มีน้ำลายข้นเหนียว ก็จะชำระล้างเศษอาหารได้ไม่ดีเท่าผู้ที่มีน้ำลายใส ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าปากแห้งคอแห้ง ควรดื่มน้ำบ่อยๆ


บางครั้งกลิ่นปากจะเกิดขึ้นได้จากสภาวะของร่างกาย เช่น ในเด็กแรกเกิดจนถึงระยะหย่านม ปากจะมีกลิ่นหอม เมื่อโตขึ้น จะเริ่มมีกลิ่นมากขึ้น ขึ้นอยู่กับระบบการย่อยและเผาผลาญของร่างกาย และจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพช่องปากของแต่ละคนด้วย
โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน เริ่มตั้งแต่จมูก คอ จนถึงหลอดลม เช่น โรคโพรงจมูกอักเสบหรือที่เรียกว่า ไซนัสอักเสบ เกิดจากมีของเหลวหรือหนองอยู่ในโพรงอากาศของกระดูกใบหน้า ซึ่งมีหลายโพรง การอักเสบจนมีหนองนี้ จะทำให้มีกลิ่นออกมาทางจมูกขณะหายใจ และทางปากขณะพูด ผู้ที่เป็นหวัดเรื้อรังนานๆ จะทำให้โพรงจมูกอักเสบได้


ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เป็นหวัดบ่อยๆ หรือเป็นนานๆ การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรค และทำให้หนองหรือการอักเสบหายไปนั้น ควรทานให้ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง มิฉะนั้นอาการต่างๆ จะไม่หายขาด และกลับเป็นใหม่ได้อีก และอาจทำให้เชื้อโรคดื้อยาได้อีกด้วย


โรคมะเร็งที่โพรงจมูก จะมีกลิ่นเหม็นมาก และจะมีหนองไหลออกจากจมูกลงไปในคอ เวลาก้มศีรษะ ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์


โรคทอนซิลอักเสบ ผู้ที่เจ็บคอขณะที่มีการอักเสบในลำคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ก็จะมีกลิ่นปากได้ และจะหายไปได้เมื่อคอหายอักเสบ


โรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ปอด ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งที่ปอด จะมีกลิ่นออกมากับลมหายใจและลมปากได้ ผู้ที่สูบบุหรี่นานๆ ก็ทำให้ลมหายใจและลมปากมีกลิ่นได้เช่นกัน


ระบบย่อยอาหาร เริ่มตั้งแต่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีหนอง อาจมีกลิ่นออกมาขณะพูดหรือเรอได้


ผู้ที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยเป็นประจำ เมื่อมีลมออกจากกระเพาะ ก็จะมีกลิ่นเหมือนอาหารบูดตามออกมาด้วย


ระบบขับถ่าย ผู้ที่ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกบ่อยๆ เมื่อมีลมดันขึ้นหรือเรอ ก็จะทำให้มีกลิ่นได้เช่นกัน


ได้ทราบอย่างนี้แล้ว ใครที่มีกลิ่นปากอย่าเพิ่งวิตกว่าจะเป็นโรคร้ายแรงนะคะ สาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากจะมาจากภายในช่องปาก ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความสะอาดของเหงือกและฟัน ส่วนสาเหตุภายนอกช่องปากที่พบบ่อยคือ โรคไซนัสและคออักเสบ


นอกจากนี้กลิ่นปากยังเกิดได้จากการที่สารมีกลิ่นถูกดูดซึมเข้าทางกระแสโลหิต และถูกขับถ่ายออกทางลมหายใจ เหงื่อ น้ำลาย หรือทางปัสสาวะ สารที่ถูกดูดซึมเข้าไปนี้อาจมาจากอาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือมีการสะสมของสารที่ผิดปกติในเลือด




การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ สะตอ จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกหมด กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้ารับประทานอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มีกลิ่นปากอย่างต่อเนื่องได้ด้วย


นอกจากนี้ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ก็ทำให้มีกลิ่นปาก ยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดกลิ่นได้ เช่น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคจิตบางตัว ก็ทำให้มีกลิ่นได้


การใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อดับกลิ่นปาก ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรค มักใช้เมื่อมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลในช่องปากหรือลำคอเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำโดยไม่ได้กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปากนั้นออกไป เช่น โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือรากฟันเป็นหนอง ถ้าไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ กลิ่นปากก็จะไม่มีวันหมดไปได้


เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง เพราะยาจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามปกติในช่องปากให้หมดไป จะทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย และถ้าเป็นเชื้อราแล้ว จะรักษาค่อนข้างยากและหายช้า สำหรับน้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ ซึ่งทันตแพทย์แนะนำให้อมบ้วนปาก เพื่อป้องกันฟันผุ สามารถใช้ได้ โดยเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมอยู่


การที่มีกลิ่นออกมากับลมหายใจหรือลมปาก ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ แต่ถ้าสุขภาพร่างกายและสุขภาพภายในช่องปากปกติดี การมีกลิ่นปากเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่แก้ไขได้


- รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อทุกวัน


- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย


- อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะจะทำให้ความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย


- ดื่มน้ำมะนาว จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย


- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้


- แปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และอย่าลืมแปรงด้านบนของลิ้นด้วย


- ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า และหากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง


- ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง


- เลิกสูบบุหรี่


- และตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ


ถ้าเป็นกลิ่นปากที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวหลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง ให้เคี้ยวใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง หรือกานพลูหลังมื้ออาหาร หรือสะดวกกว่านั้นก็คือ เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาลหลังมื้ออาหารนั่นล่ะค่ะ

เมื่อร่างกายประท้วงว่าคุณกินอาหารไม่เหมาะสม

โดย เอมอร คชเสนี 21 ตุลาคม 2547 08:56 น.
 สัญญาณ 10 ประการต่อไปนี้ ร่างกายอาจกำลังบอกคุณว่า คุณกินอาหารไม่เหมาะสม
       1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A
      
       ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
      
       2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
      
       แม้ว่าจะอยากผอมแค่ไหน ก็ไม่ควรอดอาหารจนเกินไป ให้กินอาหารให้มีส่วนผสมของธาตุอาหารอย่างเหมาะสม
       เน้นอาหารที่มีกากใย พร้อมไปกับการออกกำลังกาย
      
       สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
       3. ท้องผูก เป็นอีกอาการหนึ่งที่บอกถึงการรับประทานอาหารอย่างไม่เหมาะสม คุณต้องได้สารอาหารพวกไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่างๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
      
       4. ผายลมบ่อย แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ
      
       วิธีแก้ปัญหาคือค่อยๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้าๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
       5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกินปลาน้อยเกินไป กรดไขมันประเภทโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ
      
       6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย
      
       Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน
      
       7. หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้นๆ หยุดๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม
      
       สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
       8. ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุก วัน
      
       9. กระดูกแตก ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือนๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี)
      
       10. ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่า จากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง
      
       ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
      
       หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายตัวเองต้องการอะไรค่ะ

อาหารสำหรับว่าที่คุณแม่

โดย เอมอร คชเสนี 23 กันยายน 2547 08:55 น. 
  นับ เป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะปรับปรุงนิสัยการกินของตนเองในช่วง 9 เดือน อาหารที่รับประทาน นอกจากต้องมีสารอาหารครบถ้วน ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ยังต้องมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่


       อาหารที่ให้โปรตีน เช่น ไข่ นม เนื้อสัตว์ และถั่วเมล็ดแห้ง ควรรับประทานไข่วันละ 1-2 ฟอง นมสดวันละ 1-2 แก้ว หรือเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเล ซึ่งจะได้ธาตุไอโอดีนด้วย อาหารประเภทเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ก็มีโปรตีนไม่แพ้เนื้อสัตว์เช่นกัน
      
       อาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ไขมัน ควรรับประทานพอประมาณร่วมกับอาหารโปรตีน สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับพลังงานมากขึ้นวันละประมาณ 300 แคลอรี่ และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะอาหารที่ให้พลังงานอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังย่อยยากและทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย
      
       อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ ควรรับประทานผักผลไม้ทุกวันสลับกันไป เพื่อจะได้วิตามินและกากใยอาหารเพื่อช่วยในการขับถ่ายด้วย เกลือแร่ที่สำคัญ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และไอโอดีน
      
       นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว น้ำจะช่วยละลายอาหารที่รับประทานให้เหลวขึ้น ซึ่งดีสำหรับทารก และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย
      
       ท้องที่โตขึ้นทุกวัน มักพาเอาอาการอีกหลายอย่างมาเป็นของแถม เช่น ปวดหลัง ตะคริว ท้องผูก ฯลฯ แต่อาการเหล่านี้ แก้ไขได้ค่ะ เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า และหลีกเลี่ยงของแสลงบางอย่าง เท่านี้ก็ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้แล้ว
      
       โลหิตจาง
      
       ช่วงที่ตั้งครรภ์ เม็ดเลือดแดงจะถูกสร้างเพิ่มขึ้น เพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายคุณแม่กับเจ้าตัวน้อย และยังต้องเผื่อการสูญเสียเลือดขณะคลอดอีกด้วย ถ้ารู้สึกเหนื่อย หน้าซีด มือเล็บซีด เป็นลมง่าย ก็น่าสงสัยว่าจะได้รับธาตุเหล็กน้อยไป
      
       อาหารที่ควรรับประทาน คืออาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ เนื้อไม่ติดมัน อาหารทะเล นม ไข่ งา ถั่วเหลือง ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ผักปวยเล้ง และมะเขือเทศ วิตามินซีช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรซื้อวิตามินสำเร็จรูปมากินเองนะคะ ปรึกษาคุณหมอที่ฝากท้องก่อนจะดีกว่า
      
       ตะคริว
      
       เป็นสัญญาณว่าร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ เพราะต้องแบ่งไปให้เจ้าตัวน้อยสร้างกระดูกและฟัน วิธีแก้ไขก็คือ เพิ่มอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม กุ้งฝอย ปลาตัวเล็กๆ งาดำ ถั่วแดงหลวง ใบยอ ตำลึง
      
       ปวดหลัง
      
       เพราะต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น แถมฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ยังทำให้เส้นเอ็นยืดขยาย ข้อต่อต่าง ๆ คลายตัวหลวมมากขึ้น ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้ ต้องหมั่นทำหน้าเชิด ยืดไหล่ หลังตรงเข้าไว้ และไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูง
      
       อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ ขิง ขมิ้น ช่วยบรรเทาปวดจากกล้ามเนื้อและข้ออักเสบ กะหล่ำดอก ผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง ช่วยทำให้สร้างมวลกระดูกได้ดีขึ้น
      
       จุกเสียดยอดอก หรือที่เรียกว่า Heartburn
      
       เกิดจากมดลูกขยายตัวไปเบียดกระเพาะอาหาร จนทำให้ใส่อาหารได้น้อย ย่อยช้า ท้องอืด ผสมกับการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง อันเนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ทำให้น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหาร
      
       วิธีแก้ไขก็คือ รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารทอด กาแฟ น้ำอัดลม นม ช็อกโกแลต จะทำให้ท้องอืดมากขึ้น ส่วนน้ำขิง น้ำมะตูม ช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร และแก้ลมจุกเสียด
      
       ท้องผูก
      
       ขณะตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่คอยป้องกันมดลูกบีบตัวแรง กลับทำให้กล้ามเนื้อลำไส้ผ่อนคลาย และหดตัวน้อยไปด้วย ลำไส้จะเคลื่อนที่ช้าลง น้ำถูกดูดซึมกลับเข้าร่างกายจำนวนมาก ทำให้อุจจาระแข็ง เกิดอาการท้องผูกได้ ยิ่งถ้าเป็นเส้นเลือดขอดบริเวณทวารหนัก เนื่องจากน้ำหนักของมดลูกไปทับเส้นเลือดดำตรงนั้นพอดี ก็จะกลายเป็นริดสีดวงได้ง่าย ๆ
      
       วิธีแก้ไขก็คือ รับประทานอาหารเป็นเวลา ดื่มน้ำมากๆ รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูง ช่วยในการขับถ่าย เช่น รำข้าว ข้าวซ้อมมือ ขี้เหล็ก มะขาม ลูกพรุน ไม่ควรซื้อยาระบายมารับประทานเอง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
      
       แขนขาบวม
      
       หากมีอาการบวมเล็กน้อย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้อง เนื่องจากร่างกายมีการสะสมของน้ำเพิ่มขึ้น และยังเป็นอาการชวนสงสัยว่าคุณอาจจะมีความดันโลหิตสูง
       วิธีแก้ไขคือ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ช็อกโกแลต และคาเฟอีน ส่วนกะหล่ำปลีและขึ้นฉ่ายฝรั่ง ช่วยลดความดันได้
      
       นอนไม่หลับ
      
       อาจเป็นความกังวล ขี้ร้อน รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว อาหารที่ช่วยได้ก็คือ นมอุ่น ๆ หรือน้ำขิง ก่อนนอน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น อาหารที่มีโปแตสเซียมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ส้ม ลูกพรุน กล้วย อะโวคาโด ผักปวยเล้ง ผักกาดหัว และแครอท ส่วนว่านหางจระเข้ช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า หากคุณนอนไม่พอ
      
       อาการน่ารำคาญเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเอง หันมาสนุกและมีความสุข รอเจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลกดีกว่าค่ะ

สภาพสุข-สุขภาพ : ขจัดเซลลูไลท์อย่างไรดี

โดย เอมอร คชเสนี 7 ตุลาคม 2547 08:56 น.
ถ้าปัญหาใหญ่ของผู้ชาย คือหัวล้าน หัวเถิก ปัญหาคับอกคับใจของผู้หญิง ก็คงจะเป็น “เซลลูไลท์” หรือก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำใต้ผิวหนัง ที่หลายคนเรียกว่า ผิวเปลือกส้ม ซึ่งพบได้ในผู้หญิงแทบทุกคน ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ยุบง่ายๆ ซะด้วย
      
       ลองสำรวจตัวเองดู บริเวณต้นขาและก้นมักจะเกิดเซลลูไลท์มากที่สุด ลองขยุ้มเนื้อขึ้นมา จะเห็นเป็นรอยนูนๆ อาการแรกเริ่มจะเป็นเฉพาะตอนที่ขยุ้ม ถ้ารุนแรงขึ้นมาหน่อย จะเห็นริ้วรอยเฉพาะเวลายืน แต่ถ้ารุนแรงที่สุด จะเห็นได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือยืน
      
       เซลลูไลท์ (แพทย์ออกเสียงว่า เซล-ลู-ลีท หรือเซล-ยู-ลีท) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีผิวหนังบางกว่า และมีไขมันหนากว่าผู้ชาย เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น ผิวหนังจะยิ่งบางลงและหย่อนยานขึ้น และมีก้อนไขมันมาแทรกตามชั้นผิวหนังมากขึ้น ทำให้มีลักษณะของเซลลูไลท์เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าสัมพันธ์กับปัญหาในระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง การที่พบเซลลูไลท์ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จึงเชื่อกันว่าฮอร์โมนเพศหญิงน่าจะเกี่ยวข้องด้วย
      
       เซลลูไลท์เป็นมหันตภัยความงามของผู้หญิงก็ว่าได้ ดังนั้นจึงมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย ว่ามียาหรือกรรมวิธีต่างๆ ที่สามารถขจัดศัตรูความงามที่ว่านี้ได้ แต่สมาคมแพทย์ผิวหนังของสหรัฐอเมริกาเตือนว่า ไม่มีวิธีใดๆ ไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหน ที่จะขจัดเซลลูไลท์ได้ง่ายๆ
      
       การรับประทานอาหาร โดยเพิ่มปริมาณผักผลไม้สด บางคนบอกว่าเอนไซม์จากผักผลไม้ช่วยย่อยสลายไขมันได้ บางคนบอกว่า สับปะรด มะละกอ มะม่วง และลูกกีวี มีเอนไซม์ซึ่งช่วยการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้เซลลูไลท์ดูดีขึ้น
       บางคนบอกว่าการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมัน น้ำมันปลา ถั่ว และเมล็ดพืช ช่วยระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง
      
       ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยขจัดเซลลูไลท์ได้ แต่หากคุณรับประทานได้ตามที่ว่ามา ข้อดีมีแน่ๆ อยู่แล้ว
      
       บางคนบอกให้หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารมัน ประเภทนม เนย น้ำตาล ช็อกโกแลต ไอศกรีม โดยบอกว่าอาหารทั้งมันและหวานจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยาน เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกาย อันนี้ก็ช่วยทางอ้อมมากกว่า เพราะน้ำหนักตัวที่มากขึ้น เซลลูไลท์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
      
       อาหารเสริม ยังไม่มีอาหารเสริมใดๆ ที่พิสูจน์ด้วยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ว่าขจัดเซลลูไลท์อย่างได้ผล
      
       การหายใจเข้าออกลึกๆ ช่วยนำพาออกซิเจนเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ทำให้การเผาผลาญพลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยขจัดเซลลูไลท์ได้เช่นกัน
       การขัดถูผิวและการนวด อาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเช่นกันว่าช่วยขจัดเซลลูไลท์ได้
      
       การพันต้นขาหรือก้นด้วยพลาสติกให้แน่น เพื่อให้เหงื่อออก โดยหวังว่าจะลดปริมาณเซลลูไลท์ วิธีนี้ไม่ได้ผลอะไรเลย เซลลูไลท์ไม่สามารถไหลออกมาเป็นเหงื่อได้ สิ่งที่สูญเสียไปคือน้ำเท่านั้น
      
       การฝังเข็ม ใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเซลลูไลท์จำนวนมาก และถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไขมันก็จะกลับมาอีก
      
       เครื่องมือหรือเครื่องออกกำลังกาย เช่น สายพานหรือเข็มขัด ที่เอามาเขย่าหรือสั่นลงบนบริเวณที่มีเซลลูไลท์ วิธีนี้ไม่ได้ผล เพราะไม่เกิดการเผาผลาญไขมัน ควรออกกำลังกายด้วยตนเองจะดีกว่า
      
       เครื่องสำอาง เชื่อกันว่าจะซึมผ่านชั้นผิวหนัง ลงสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อไปละลายไขมันส่วนเกิน ส่วนผสมของเครื่องสำอางกลุ่มนี้คือ เมทธิลแซนทีน หรือสารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น กาแฟ ชา โคล่า ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่ชัดว่า สารกลุ่มนี้จะซึมผ่านเซลล์ผิวหนังลงไปละลายไขมันได้จริง
      
       การดูดไขมัน อาจทำให้เซลลูไลท์เล็กลงได้ แต่อาจมีข้อแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น เลือดออก หรือเกิดแผลเป็น และถ้ากลับมาอ้วนอีก ก็จะเกิดเซลลูไลท์ขึ้นได้อีก
      
       การจัดระเบียบไขมัน โดยใช้เครื่องมือดูดไล่ไขมันให้เรียงตัวเป็นระเบียบ ผู้ที่เคยรักษาด้วยวิธีนี้ ส่วนใหญ่คิดว่าทำให้ดูดีขึ้นได้บ้าง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าได้ผลจริงจังแค่ไหน
      
       การขจัดเซลลูไลท์ที่ดูจะได้ผลดีที่สุด แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากสักหน่อย ก็คือ
      
       การควบคุมน้ำหนัก พยายามให้น้ำหนักคงที่ อย่าปล่อยตัวให้อ้วนเกินไป ถ้าอ้วนอยู่แล้ว ต้องค่อยๆ ลดน้ำหนักลง ด้วยการควบคุมอาหาร พร้อมๆ กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำดูลดน้อยลงได้ ไม่ควรลดน้ำหนักแบบฮวบฮาบ เพราะน้ำหนักจะลดเร็ว แต่ก็จะกลับคืนมาเร็ว การที่ผิวหนังเดี๋ยวยืดเดี๋ยวขยาย จะทำให้ผิวหนังหย่อนยาน หรือยิ่งทำให้เซลลูไลท์เด่นชัดขึ้น
      
       การออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบแอโรบิกทุกวัน เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาทีขึ้นไป จะทำให้เกิดการเผาผลาญไขมัน ทำให้เซลลูไลท์มีขนาดเล็กลง และยังทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้สัดส่วน ทำให้แลดูว่าผิวเรียบขึ้นได้
      
       สรุปว่าการขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผลดีที่สุดและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่ สุด คือการควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถึงจะทำยาก ก็ทำได้ล่ะน่า

ดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์

โดย เอมอร คชเสนี 30 กันยายน 2547 08:03 น. 
ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง นอกจากอาหารที่ควรรับประทาน ซึ่งเขียนถึงไปแล้ว ว่าที่คุณแม่สามารถดูแลตัวเองง่ายๆ ดังนี้
      
       แพ้ท้อง
       จะมีอาการมากใน 3 เดือนแรก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อตื่นนอน จะมีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนอาจมีอาการมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์
      
       หลังตื่นนอนตอนเช้า ควรดื่มน้ำผลไม้และรับประทานขนมปังกรอบทันที จะทำให้รู้สึกดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุนจัด เพราะอาจทำให้คลื่นไส้มากขึ้น นอกจากนี้อาจอยากรับประทานอาหารแปลกๆ รสเปรี้ยว ซึ่งสามารถรับประทานได้
      
       แสบร้อนในอก
       เกิดจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวในระยะตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับกระเพาะอาหารถูกดันสูงขึ้น เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้น ทำให้กรดในกระเพาะอาหารย้อนกลับมายังหลอดอาหารได้
      
       ควรรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศรสจัด อาหารทอด ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ก่อนนอนดื่มนมอุ่นๆ เวลานอนไม่ควรนอนราบ ให้ใช้หมอนสูงหนุนนอน และไม่ควรก้มตัวโดยไม่จำเป็น
      
       ท้องลาย
       เกิดจากผิวหนังขยายตัวเกินขีดความยืดหยุ่น มักเกิดในระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ พบมากบริเวณต้นขา หน้าท้อง เต้านม ถ้าน้ำหนักเพิ่มจะเป็นมาก รอยนี้จะเป็นรอยแดงลึก และจะไม่หายไปเลยทีเดียว แต่จะจางลงหลังคลอด
      
       ตั้งแต่ที่รู้ว่าเริ่มตั้งครรภ์ ให้รีบป้องกันแต่เนิ่นๆ โดยทาน้ำมันมะกอกหรือโลชั่นชนิดเข้มข้นพิเศษทุกวัน และควรระวังไม่ให้กล้ามเนื้อเพิ่มเร็วและมากเกินไป
      
       ตะคริว
       มักเกิดที่น่อง เท้า หรือต้นขา กล้ามเนื้อดังกล่าวจะหดเกร็งตัว ทำให้เกิดการเจ็บปวด มักเกิดในเวลากลางคืนในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี
       พยายามยกเท้าสูง นอนตะแคง อย่าเดินหรือยืนนานๆ ทุกครั้งที่มีอาการ ให้บีบนวดทันที โดยกระดกปลายเท้าขึ้น
      
       ปัสสาวะบ่อย
       เกิดจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น ไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย
       ดื่มน้ำให้น้อยลงก่อนเข้านอน อาการปัสสาวะบ่อย เป็นอาการปกติที่คนท้องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อาการนี้จะเกิดเฉพาะ 3 เดือนแรก และเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์เท่านั้น
      
       ท้องผูก
       ขณะตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย การทำงานของลำไส้จะเคลื่อนที่ช้าลง น้ำถูกดูดซึมกลับเข้าร่างกายจำนวนมาก ทำให้อุจจาระแข็ง เกิดอาการท้องผูกได้
       ควรรับประทานอาหารเป็นเวลา ดื่มน้ำมากๆ รับประทานผัก ผลไม้ ช่วยให้ขับถ่ายได้ดี ออกกำลังกายบ้าง โดยการเดินสบายๆ วันละ 20 นาที ไม่ควรซื้อยาระบายมารับประทานเอง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้
      
       ข้อเท้าบวมและนิ้วบวม
       หากมีอาการบวมเล็กน้อย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้อง เนื่องจากร่างกายมีการสะสมของน้ำเพิ่มขึ้น ปกติมักพบอาการบวมบริเวณข้อเท้าในตอนเย็น แต่วันรุ่งขึ้นอาการจะทุเลาลง
       เวลานั่งหรือนอน ควรยกเท้าสูง หรือหาหมอนมารองใต้น่อง เพื่อให้เท้าชูสูง
      
       ปวดชาข้อมือ
       
พบตลอดการตั้งครรภ์ บางทีจะปวดหรือชาบริเวณนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ บางครั้งมีอาการอ่อนแรงเมื่อยล้า ปวดข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว
       ควรหาหมอนวางรองมือ การนอนห้อยมือนานๆ อาจทำให้มือบวมได้ การใช้น้ำอุ่นประคบรอบๆ ข้อมือ ทำให้อาการดีขึ้น อาการนี้จะหายไปเมื่อคลอดบุตรแล้ว
      
       ปวดหลัง
       พบได้บ่อยเกือบครึ่งหนึ่งของสตรีมีครรภ์ โดยมักปวดที่หลังส่วนล่าง ระหว่างก้นทั้งสองข้าง ร้าวลงไปที่ต้นขา มักเป็นช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ การยืนนานๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือยกของหนักเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้ข้อกระดูกและเอ็นต่างๆ คลายตัวหลวมมากขึ้น ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้
      
       พยายามนอนพื้นเรียบ ใช้หมอนหนุนหลังเวลานั่ง อย่าก้มหยิบของ ควรใช้วิธีนั่งหยิบแทน และควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย อาจให้สามีช่วยนวดหลังเบาๆ นอกจากจะคลายปวดแล้ว ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้วย
      
       ต่อไปนี้เป็นท่าบริหารง่าย ๆ และปลอดภัยสำหรับคุณแม่ก่อนคลอด
      
       ท่าที่ 1 ยืนตรง มือเท้าเอว เท้าแยกพอประมาณ หลังตรง หาหนังสือเล่มหนา ๆ ประมาณ 1-2 เล่ม วางอยู่ระหว่างเท้า ค่อย ๆ ย่อขาลง หยิบหนังสือขึ้นจากพื้น แล้วยืนขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 2 นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือซ้ายจับเข่าขวา พยายามบิดตัวไปทางขวาช้า ๆ แล้วสลับอีกข้าง
      
       ท่าที่ 3 นอนหงายชันเข่า ยกสะโพกขึ้นจากพื้นจนตึง ค้างไว้แล้วลดลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 4 นั่งคุกเข่าให้มือทั้งสองข้างวางบนพื้น ออกแรงโค้งหลังขึ้นข้างบนจนสุดแล้วค้างไว้ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 5 เอียงคอไปด้านซ้าย และกลับมาตรง เอียงคอไปด้านขวา และกลับมาตรง ก้มคอไปด้านหน้า และกลับมาตรง ทำซ้ำอย่างละ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 6 ยืนตรง มือทั้งสองข้างแตะไหล่หมุนไหล่เป็นวงกลม ไปข้างหลัง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 7 ยืนตรงกางแขนทั้งสองข้างออก ก้มตัวไปข้างขวา แตะเข่าด้านข้าง ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง
      
       ท่าที่ 8 นอนหงาย ชันเข่า แขนตึง มือทั้งสองข้างวางบนต้นขา ออกแรงเกร็งท้อง จนมือแตะเข่า ค้างไว้สักครู่ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
      
       การบริหารร่างกายระหว่างตั้งครรภ์ช่วยรักษาสุขภาพของคุณแม่ก่อนและหลังคลอด อย่างไรก็ตาม ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน