homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ “ลมหนาว” / เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 5 พฤศจิกายน 2552 09:50 น.

    
      
       ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่ายๆ นะคะ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝากค่ะ
       

       1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป
      
       การรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงจะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้ เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกรงกันว่าจะระบาดระลอกที่ 2 ด้วย
      
       2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่างๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
      
       3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนที่แออัดยัดเยียด โดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่
      
       4.ล้างมือบ่อยๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น
      
       5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม
      
       6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย
      
       7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้ นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมาก หรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขน สัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆ ในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้า ก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้
      
       8.พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศเปลี่ยน แปลง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาล หากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย
      
       9.การอาบน้ำหลังจากตื่นนอนอาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบาง จุด หรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตาม ปกติ และไม่ควรอาบน้ำนานๆ
      
       10.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป โดยเฉพาะการล้างหน้า เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมากๆ เพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น
      
       11.ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำขณะที่ตัวยังหมาดๆ จะช่วยป้องกันผิว แห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้า การทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้น ลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย
      
       ส่วนมือที่แห้งและแตก ก็ควรหมั่นทาครีม หรือโลชั่น เช่นกัน นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย สำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพัก ล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้ง ไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไป ส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้า ช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ
      
       12.ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกัน สมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Men ของคุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่ง อาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น
      
       13.ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ เช่นกัน และใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมาก การเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้ หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู
      
       14.บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้ว ก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วย โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้น นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วย เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน
      
       15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญค่ะ บางคนเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูก แต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดี อย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อรา หรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือด และซักให้สะอาด แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท
      
       แม้แต่เสื้อกันหนาวใหม่ๆ ก็ควรนำไปซักแล้วตากแดดก่อนนำไปสวมใส่เช่นกัน เพราะในเนื้อผ้าอาจมีสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคทางเดินหายใจ ต่างๆ ได้เช่นกัน
      
       15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวทั้งหมดที่กล่าวมา คงจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง พร้อมรับลมหนาวที่กำลังมาเยือนค่ะ

ริดสีดวงทวาร...ป้องกันได้ / เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 17 พฤศจิกายน 2552 16:52 น.
      
      
       โรคริดสีดวงทวาร เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรงโป่งพองหรือขอด ทำให้มีอาการเจ็บๆ คันๆ ในระยะแรก และอาจมีอาการเจ็บปวดในระยะหลัง อาการสำคัญ คือ มีเลือดสดๆ ออกมาขณะถ่ายอุจจาระ เนื่องจากเกิดการเสียดสีระหว่างอุจจาระกับเส้นเลือดที่โป่งพอง
       

       โรคนี้พบได้บ่อยทั้งเพศหญิงและเพศชาย อาการในระยะแรกจะไม่รุนแรง มักเป็นๆ หายๆ สามารถหายได้เองในระยะแรก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอายและไม่กล้าไปพบแพทย์ หากทิ้งไว้นานๆ โดยไม่รักษา อาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มักใช้เวลานานหลายปีก่อนจะมีอาการรุนแรงจนต้องรักษาโดยการผ่าตัด
      
       โรคริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
      
       1. ริดสีดวงทวารภายใน ริดสีดวงทวารชนิดนี้จะไม่ค่อยเจ็บปวด เนื่องจากบริเวณที่เป็นจะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกปวด
      
       2. ริดสีดวงทวารภายนอก จะเป็นก้อนอยู่ข้างนอก มีผิวหนังคลุมอยู่ มักมีอาการคันและเจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน เนื่องจากผิวหนังรอบทวารหนักมีเส้นประสาทรับความรู้สึกปวด
      
       โรคริดสีดวงทวารยังสามารถแบ่งความรุนแรงของอาการและการโผล่ออกมาของริดสีดวงทวารได้ดังนี้
      
       ระยะที่ 1 มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระจะมีเลือดไหลออกมาด้วย หากท้องผูก เลือดจะยิ่งไหลออกมามากขึ้น เพราะมีการเสียดสีกับหลอดเลือดที่โป่งพองมากขึ้น
      
       ระยะที่ 2 เมื่อถ่ายอุจจาระ ก้อนริดสีดวงจะโผล่ยื่นออกมา แต่สามารถหดกลับเข้าไปข้างในเองได้เมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จ
      
       ระยะที่ 3 ก้อนริดสีดวงจะโผล่ออกมาขณะถ่ายอุจจาระ และไม่สามารถหดกลับเข้าไปข้างในเองได้ ต้องใช้นิ้วช่วยดัน
      
       ระยะที่ 4 ก้อนริดสีดวงโผล่ออกมาตลอดเวลา และไม่สามารถใช้มือดันกลับเข้าไปได้
      
       สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
      
       สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารมากกว่าสาเหตุอื่นๆ ก็คือ ท้องผูกเรื้อรัง เนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่ดีหลายๆ ประการ เช่น ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย ขับถ่ายไม่เป็นเวลา นั่งทำงานตลอดทั้งวัน ประกอบกับความเครียดในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกมากขึ้น
      
       นอกจากท้องผูกเรื้อรังแล้ว ริดสีดวงทวารยังสามารถเกิดขึ้นได้จากภาวะท้องเสียเรื้อรัง การตั้งครรภ์ซึ่งจะหายไปได้เองหลังการคลอดบุตร หรืออาจเกิดจากพันธุกรรม ความชรา การยกของหนัก หรือการยืนนานๆ
      
       การรักษาโรคริดสีดวงทวาร
      
       การรักษามีหลายวิธี โดยพิจารณาจากชนิดและความรุนแรงของโรคเป็นหลัก ในระยะต้นๆ จะใช้การรักษาด้วยยา เช่น ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม หรือยาสเตียรอยด์เหน็บทวาร เพื่อลดการอักเสบ ควรใช้ยาเมื่อมีอาการเท่านั้นและไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานๆ
      
       หากใช้ยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจใช้ยางชนิดพิเศษรัดริดสีดวงทวาร ซึ่งได้ผลดี ไม่เจ็บ และสามารถทำได้บ่อยๆ บางแห่งอาจรักษาด้วยการจี้ริดสีดวงทวาร เช่น การจี้ด้วยอินฟราเรด แต่ไม่จำเป็นนัก
      
       โดยทั่วไปหากอาการไม่รุนแรงจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นผ่าตัด ยกเว้นบางรายที่เป็นทั้งริดสีดวงภายนอกและภายในพร้อมกัน ซึ่งไม่สามารถใช้ยางรัดได้ เพราะจะเจ็บมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน ปวดมาก หรือหัวริดสีดวงเน่าจากการขาดเลือด จึงจะรักษาด้วยการผ่าตัด
      
       ปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ๆ ที่ใช้ในการผ่าตัด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยลง ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบเดิม แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นด้วย
      
       วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
      
       - ระวังอย่าให้ท้องผูก ด้วยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ เช่น ผัก ผลไม้
       - ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น สะดวกต่อการขับถ่าย และลดการเสียดสีกับเส้นเลือดที่โป่งพองบริเวณทวารหนัก
       - ฝึกอุปนิสัยถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
       - ออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
      
       แม้ว่าโรคริดสีดวงทวารจะไม่มีอันตรายมากนัก ส่วนใหญ่จะมีเลือดออกไม่มาก แต่ก็มีบางรายที่มีเลือดออกจนช็อก แต่ที่ควรระวังมากกว่านั้นก็คือ การถ่ายเป็นเลือดอาจจะไม่ใช่โรคริดสีดวง ทวารก็ได้
      
       การถ่ายเป็นเลือดอาจเกิดได้จากหลาย สาเหตุ เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก เนื้องอก หรือมะเร็ง ดังนั้น หากมีอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ควรรักษาด้วยตัวเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด
      

พิฆาตริดสีดวง ด้วยสมุนไพร “เพชรสังฆาต” / เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 20 พฤศจิกายน 2552 11:48 น.
      
      
       ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงสาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษาโรคริดสีดวงทวารซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค การใช้ยาก็เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคนี้

      
       นอกจากยาแผนปัจจุบันที่ใช้กันโดยทั่วไปแล้ว ตำรายาแผนโบราณได้กล่าวถึง “สมุนไพรเพชรสังฆาต” ว่าสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวารได้ วันนี้มารู้จักสมุนไพรชนิดนี้กันค่ะ
      
       ต้นเพชรสังฆาต ชาวบ้านบางพื้นที่เรียกว่า สันชะฆาต ขั่นข้อ หรือสามร้อยต่อ ส่วนที่นำมาใช้เป็นยามีทั้งน้ำจากต้น ใบยอดอ่อน ราก และเถา โดยมีสรรพคุณดังนี้
      
       น้ำจากต้น ใช้หยอดหูแก้หูน้ำหนวก แก้เลือดเสียในสตรีประจำเดือนไม่ปกติ และเป็นยาธาตุ ช่วยเจริญอาหาร
      
       ใบยอดอ่อน ใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย
      
       ใบและราก ใช้เป็นยาพอก
      
       เถา ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร

       ยารักษาริดสีดวงทวารตามตำรายาไทย ใช้เถาสดกินวันละ 1 ปล้อง หรือประมาณ 2-3 องคุลีต่อหนึ่งมื้อ รับประทานจนครบ 3 วัน โดยหั่นบางๆ แล้วสอดไส้ในเนื้อกล้วยสุกหรือเนื้อมะขามเปียก แล้วกลืนลงไป ห้ามเคี้ยวกินสดๆ เพราะจะทำให้คันคอ
      
       การศึกษาในปัจจุบันพบว่า อาการคันคอเกิดจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียมออกซาเลตมาก เป็นผลึกรูปเข็มชนิดเดียวกับที่พบในบอนและเผือก ซึ่งอาจทำให้แพ้และเกิดการอักเสบในทางเดินอาหารได้ คนโบราณจึงมีวิธีการรับประทานโดยไม่ให้เกิดอาการระคายเคืองหรือเกิดน้อยที่ สุด
      
       อีกวิธีหนึ่งก็คือ ใช้เถาตากแห้งนำมาบดเป็นผง แล้วบรรจุลงในแคปซูล เบอร์ 2 (ผงยา 250 มิลลิกรัม) รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน รับประทาน 5-7 วัน อาการจะดีขึ้น โดยจะออกฤทธิ์ลดการอักเสบ บรรเทาปวด และห้ามเลือดในริดสีดวงทวาร
      
       มีการศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพของสมุนไพรเพชรสังฆาตในการรักษาโรค ริดสีดวงทวาร โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน พบว่าประสิทธิภาพในการรักษาใกล้เคียงกัน แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าถึง 20 เท่า โรงพยาบาลชุมชนหลายแห่งจึงนำเพชรสังฆาตชนิดแคปซูลมาใช้ในการรักษาโรค ริดสีดวงแทนยาแผนปัจจุบันทั้งหมด โดยทั่วไปหากรับประทานเพชรสังฆาตประมาณ 5 วัน อาการริดสีดวงจะบรรเทาหายไปได้ แต่ที่สำคัญคือต้องปรับพฤติกรรมที่ทำให้ท้องผูกด้วย
      
       ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องความเป็นพิษของสมุนไพรเพชรสังฆาต พบว่าเป็นสมุนไพรที่มีความเป็นพิษเพียงเล็กน้อยจนถึงไม่มีความเป็นพิษเลย โดยเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง สำหรับในคนนั้นยังต้องศึกษาในระยะยาวต่อไป อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้นำมาใช้ ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษในคน
      
       โดยทั่วไปเราไม่ได้รับประทานเพชรสังฆาตเป็นอาหาร แต่นำมาใช้เพื่อเป็นยา ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานเป็นประจำและต่อเนื่องนาน และควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
      
       
ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
       ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
       ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
       และ www.managerradio.com

คลายหนาวด้วย “ขิง”สมุนไพรฤทธิ์ร้อน / เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 13 ธันวาคม 2552 11:53 น.

      
      
       หากเรากินอาหารให้เหมาะกับฤดูกาลแล้ว อาหารนั้นก็จะยิ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพนะคะ ตัวอย่างเช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอันที่จริงโดยทั่วไปก็กินกันได้ทุกฤดู แต่ก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะกินในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น สมุนไพรฤทธิ์ร้อนมีหลายชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย กะเพรา โหระพา พริก พริกไทย ฯลฯ แต่ที่จะกล่าวถึงในวันนี้ ก็คือ “ขิง” ค่ะ

      
       ขิงเป็นสมุนไพรที่เรารู้จักกันดีและใช้กันมานาน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ไก่ผัดขิง ปลานึ่ง ปลาต้มส้ม โจ๊กใส่ขิง เมี่ยงคำ เต้าฮวย บัวลอยน้ำขิง หรือหากใครชอบน้ำผลไม้ปั่น ลองเพิ่มรสชาติด้วยขิงก็หอมอร่อยดีค่ะ
      
       สรรพคุณของขิง
       ตำรายาไทยมีการนำขิงมาใช้ประโยชน์แทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นต้น ใบ ดอก ราก ผล แต่ส่วนมากที่นำมาใช้กันก็คือ เหง้าขิง ซึ่งนิยมใช้เหง้าแก่สด เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม และมีใยอาหารมาก
      
       นอกจากขิงจะช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน เมารถเมาเรือ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ บรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย บำรุงน้ำนม ช่วยย่อยอาหาร และช่วยเจริญอาหาร นอกจากนี้ผู้ที่เป็นหวัดหรือปวดศีรษะ กินขิงสดๆ จะช่วยได้มาก
       การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าในเหง้าขิงมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีสารที่ทำให้ขิงมีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีฤทธิ์ขับลม ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ลำไส้เพิ่มการเคลื่อนไหว ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ขิงช่วยลดอาการข้ออักเสบได้ แต่เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ร้อน จึงยากที่จะกินในปริมาณมากเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ
      
       ในประเทศอินเดียใช้ขิงในการบำบัดรักษาสุขภาพมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว โดยอาศัยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
       บางตำราก็ระบุว่ามารดาที่ให้นมบุตรหากได้กินขิง สารสำคัญจากขิงสามารถผ่านไปยังน้ำนม ช่วยทำให้ทารกไม่มีอาการปวดท้องได้อีกด้วย
      
       
วิธีการนำมาใช้
       บรรเทาอาการจุกเสียด ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ : นำขิงแก่สดประมาณ 2-3 เหง้ามาทุบพอแตก แล้วนำไปต้มกับน้ำ
      
       บรรเทาอาการหวัด : นำขิงแก่ขนาดประมาณหัวแม่มือ ทุบให้แตก ต้มกับน้ำ 1 แก้ว ใช้ไฟอ่อนๆ ต้มให้เดือดนาน 5 นาที แล้วเติมน้ำเล็กน้อย ดื่มขณะยังอุ่น 3 เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น หรือนำขิงแก่มาปอกเปลือก ฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำไปตากในที่ร่มประมาณ 2 วันจนแห้ง แล้วนำขิงแห้ง 3 กรัมต้มกับน้ำ 1 แก้วจนเดือดนาน 3 นาที ดื่มบรรเทาอาการหวัด หรือจะใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อ ลดอาการไข้เนื่องจากหวัด
      
       บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ : นำขิงสดมาตำ คั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ
      
       บรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง : ใช้ขิงแห้งชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละครั้ง น้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลง และช่วยขับเชื้อโรค
       
       บรรเทาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน : นำขิงแก่แห้งมาต้มกับน้ำ ดื่มบ่อยๆ
      
       รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก : ตำขิงสดให้ละเอียดแล้วนำกากมาพอกที่แผล บรรเทาอาการอักเสบเป็นหนอง
      
       กำจัดกลิ่นรักแร้ : นำเหง้าขิงแก่มาทุบ คั้นเอาแต่น้ำขิง ทารักแร้เป็นประจำจะช่วยกำจัดกลิ่นได้
       ข้อควรระวัง
       การใช้น้ำสกัดจากขิงที่เข้มข้นมากๆ จะให้ผลในทางตรงข้าม คือจะไประงับการบีบตัวของลำไส้ ดัง นั้นไม่ควรดื่มน้ำสกัดจากขิงที่เข้มข้นมากเกินไป เพราะจะไม่ให้ผลในการรักษาตามที่ต้องการ และเนื่องจากขิงมีฤทธิ์ร้อน หากกินมากเกินไป อาจทำให้แสบคอ เจ็บคอ และร่างกายร้อนจนเกินไป
       

       นอกจากขิงแล้ว ก็อย่าลืมสมุนไพรฤทธิ์ร้อนตัวอื่นๆ ด้วยนะคะ จะช่วยให้ร่างกายของคุณอบอุ่นขึ้น กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต หากป่วยไข้ไม่สบาย ก็จะช่วยบรรเทาอาการให้หายเร็วขึ้น
      
       นอกจากนี้ ฤดูนี้ยังเหมาะที่จะรับประทานอาหารรสเปรี้ยวและรสขม เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก สะเดาน้ำปลาหวาน ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการหวัดได้แล้ว ยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วยค่ะ
      
       


      
       ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
       ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
       ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
       และ www.managerradio.com

คุณรู้จัก “น้ำตา” ดีหรือยัง / เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 17 ธันวาคม 2552 12:02 น.
           
       เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่า น้ำใสๆ ที่ไหลออกจากดวงตาเวลาที่เราร้องไห้ เพราะความทุกข์เศร้า ผิดหวัง เจ็บปวด หรือแม้ในยามที่เราดีใจ ตื้นตันใจ มันมีประโยชน์อะไรอีกหรือไม่ นอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือในการระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา มาดูกันซิว่าคุณรู้จัก “น้ำตา” มากน้อยแค่ไหน

      
       ในภาวะปกติน้ำตาสร้างมาจากต่อมน้ำตา ต่อมภายในเยื่อบุตา ต่อมบริเวณโคนขนตา ตลอดจนต่อมภายในหนังตา แต่ละต่อมสร้างน้ำตาต่างชนิดกัน โดยเรียงกันเป็น 3 ชั้น ดังนี้
      
       ชั้นนอก เป็นชั้นไขมัน มีหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำตา ทำให้น้ำตาคงอยู่ในตาได้นานขึ้น
      
       ชั้นกลาง เป็นน้ำ เป็นชั้นที่หนาที่สุด ทำหน้าที่ให้อาหารและออกซิเจนหล่อเลี้ยงกระจกตา
      
       ชั้นใน ที่ชิดผิวตาเป็นชั้นเมือก ทำหน้าที่ปรับสภาพของกระจกตา ทำให้น้ำตากระจายตัวได้อย่างรวดเร็วเวลากะพริบตา
      
       น้ำตาทั้งสามส่วนล้วนมีความสำคัญ หากขาดชั้นใดชั้นหนึ่งไปอาจทำให้เกิดความผิดปกติของตาได้ เพราะน้ำตานั้นมีหน้าที่สำคัญมากมาย ได้แก่ ให้ความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตาขาว ปรับสภาพของกระจกตาให้เรียบ ทำให้เกิดการหักเหของแสงที่สม่ำเสมอ ทำให้มองเห็นชัดเจน ป้องกันการติดเชื้อของกระจกตา ชะล้างสิ่งแปลกปลอม เป็นแหล่งอาหารให้กับผิวดวงตา เนื่องจากกระจกตาเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง จึงต้องอาศัยออกซิเจนจากอากาศและน้ำตาที่เต็มไปด้วยเกลือแร่ วิตามินเอ วิตามินอี สารต้านจุลชีพ และสารต้านอนุมูลอิสระ
      
       อวัยวะสำหรับหลั่งน้ำตาประกอบไปด้วย
      
       ต่อมน้ำตา อยู่ในเบ้าตา ตรงมุมบนหัวตาไปถึงมุมหางตา มีท่อเล็กๆ ประมาณ 3-9 ท่อ
      
       หลอดน้ำตา เป็นหลอดเล็กๆ อยู่ในเปลือกตาบนและล่าง ตรงมุมหัวตา ยาวประมาณ 10 มิลลิเมตร ทอดไปสู่ถุงน้ำตา
      
       ถุงน้ำตา อยู่หลังผิวหนังระหว่างหัวตากับดั้งจมูก มีท่อยาวประมาณ 18 มิลลิเมตร กว้าง 3-4 มิลลิเมตร เปิดสู่ช่องจมูก

       ขณะร้องไห้ ต่อมน้ำตาจะหลั่งน้ำตาออกมามาก บางส่วนจะล้นขอบตาไหลลงมาบนใบหน้า บางส่วนผ่านหลอดน้ำตาและถุงน้ำตาไปตามท่อสู่โพรงจมูกและคอ ที่เหลือจะระเหยหายไป น้ำตาที่ไหลลงคอเราจะรู้สึกว่ามีรสเค็ม ทั้งนี้เพราะน้ำตามีเกลือเป็นส่วนประกอบ
      
       น้ำตาของคนเรานั้นไม่ได้สร้างขึ้นเฉพาะตอนที่ร้องไห้ แต่โดยปกติก็มีการสร้างน้ำตาอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า basic tear ซึ่งสร้างโดยต่อมที่อยู่บริเวณเยื่อบุตา ทุกครั้งที่เรากะพริบตาจะมีน้ำตาออกมาเล็กน้อยหล่อเลี้ยงดวงตาของเราอยู่ ตลอดเวลา ส่วนน้ำตาที่ออกมามากในช่วงที่มีอารมณ์เศร้าหรือเจ็บปวด เรียกว่า reflex tear เกิดจากการสั่งงานของระบบประสาทเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกรณีที่มีฝุ่นผงเข้าตา แดดจ้า ลมแรง หรือมีการอักเสบของเยื่อบุตา
      
       ในต่างประเทศนั้นถึงขนาดมีการตั้งศูนย์วิจัยน้ำตากันเลยทีเดียว วิลเลียม เฟรย์ นักชีวเคมีแห่งศูนย์วิจัยน้ำตา ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องของน้ำตามานานกว่า 15 ปี และเขียนผลการวิจัยไว้อย่างน่าสนใจว่า การหลั่งน้ำตาของคนเรานั้นถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดความเข้มของน้ำตา และควบคุมปริมาณการขับถ่ายแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นขณะที่อารมณ์เปลี่ยนแปลง ออกไปจากร่างกาย
      
       เฟรย์พบว่า ปริมาณของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในน้ำตานั้นมากกว่าที่มีในกระแสเลือดถึง 30 เท่า และอธิบายว่าคนที่ร้องไห้จะรู้สึกสบายขึ้น เนื่องจากร่างกายได้ขจัดเอาสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไปจากร่างกายพร้อมกับน้ำตานั่นเอง ในการศึกษาของเฟรย์พบว่าผู้ชาย 73% และผู้หญิง 75% กล่าวว่ารู้สึกสบายขึ้นหลังจากร้องไห้
      
       สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ การหลั่งน้ำตาเนื่องจากสาเหตุที่แตกต่างกัน จะทำให้ส่วนประกอบทางเคมีของน้ำตาที่หลั่งออกมานั้นแตกต่างกันด้วย โดยพบว่าสารเคมีบางอย่างเหมือนกันและบางอย่างแตกต่างกัน
      
       การทดลองนี้ใช้ชายหญิงจำนวน 100 คนหลั่งน้ำตาด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน 2 วิธี วิธีแรกโดยการหั่นหัวหอมสด ทำให้เกิดการระคายเคืองตา น้ำตาก็จะไหลออกมา กับอีกวิธีหนึ่งก็คือให้ดูภาพยนตร์ 3 เรื่องที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
      
       หลังจากนั้นก็นำน้ำตาที่หลั่งเนื่องจากสาเหตุทั้งสองมาวิเคราะห์หา ส่วนประกอบดูความเหมือนและความแตกต่าง พบว่าส่วนประกอบที่แตกต่างกันก็คือปริมาณของโปรตีนในน้ำตา น้ำตาที่หลั่งเนื่องจากความรู้สึกสะเทือนอารมณ์จะมีโปรตีนสูงกว่าน้ำตาที่ หลั่งเนื่องจากการระคายเคืองตาถึง 24%
      
       ข้อสังเกตที่เห็นได้จากเรื่องนี้ก็คือ ผู้ที่ร้องไห้มากๆ โดยมีสาเหตุมาจากความสะเทือนอารมณ์ มักจะมีสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะร่างกายต้องสูญเสียโปรตีนไปนั่นเอง ประกอบกับความสะเทือนอารมณ์ต่างๆ ก็มักจะมาพร้อมๆ กับภาวะกินไม่ได้ นอนไม่หลับร่วมด้วย
      
       น้ำตาที่มาจากการร้องไห้ยังประกอบด้วยสารเคมี 3 ชนิดซึ่งเป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียด ได้แก่
      
       1.สารเอนดอร์ฟิน เป็นตัวช่วยให้ผ่อนคลายความรู้สึกเจ็บปวด
       2.เอซีพีเอช (ACPH) เป็นตัวบ่งชี้ได้มากที่สุดว่าร่างกายกำลังอยู่ในภาวะกดดัน
       3.โพรแลกติน เป็นตัวส่งเสริมการผลิตน้ำตา และเป็นตัวสำคัญที่นำมาใช้อธิบายความแตกต่างระหว่างเพศในเรื่องการร้องไห้ด้วย
      
       การค้นพบนี้ถูกนำมาอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิงใน เรื่องการร้องไห้ว่า ในวัยเด็กจนถึงวัยแรกรุ่น เด็กชายและเด็กหญิงจะมีระดับโพรแลกตินใกล้เคียงกัน จึงพบว่าเด็กชายและเด็กหญิงร้องไห้บ่อยพอๆ กัน แต่เมื่อผู้หญิงโตเป็นผู้ใหญ่ จะมีระดับโพรแลกตินในกระแสเลือดสูงกว่าผู้ชายในวัยเดียวกันถึงเกือบ 60% จึงทำให้ผู้หญิงร้องไห้ง่ายกว่าผู้ชาย
      
       สำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน จะมีระดับโพรแลกตินลดลงอย่างมาก จึงมักพบว่ามีอาการตาแห้งซึ่งเนื่องมาจากต่อมน้ำตาหลั่งน้ำตาออกมาหล่อลื่น ได้ไม่เพียงพอ และหลั่งน้ำตาได้ช้า แม้จะเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ก็ตาม
      
       เมื่อ “น้ำตาธรรมชาติ” ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ จึงต้องมี “น้ำตาเทียม” มาเป็นตัวช่วย ตอนต่อไปมารู้จักน้ำตาเทียมกันบ้างค่ะ