Anti-aging Medicine ศาสตร์ใหม่ช่วยยืดอายุมนุษย์

วิวัฒนาการในทุกวันนี้ เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของคนโดยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น โดยเฉพาะประชาชนชาวญี่ปุ่นถือว่ามีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกประมาณ 83.84 ปี ทั้งนี้ สาเหตุที่คนมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นสืบเนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณ สุขเจริญก้าวหน้ามากขึ้น
      
       และความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขแขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำให้มนุษย์อายุยืนขึ้นและกำลังได้รับความสนใจก็คือ Anti-aging Medicine
      
       รศ.นพ.ปิติ พลังวิชา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-aging Medicine มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ (มศว) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า Anti-aging Medicine เป็นวิชาแขนงใหม่ซึ่งรวบรวมองค์ความรู้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาสุขภาพ การป้องกัน อาหารการกิน และประโยชน์ของวิตามิน โดยความรู้แขนงใหม่นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ชีวิตมนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้น
      
       “การทำให้คุณภาพชีวิตของคนๆ หนึ่งมีคุณภาพที่ดี ต้องให้ความสำคัญในเรื่องอาหารคนปัจจุบันกินไขมันมากเกินความจำเป็นของร่าง กาย อีกทั้งยังกินอาหารกระป๋อง อาหารเหล่านี้เป็นที่มาของโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจและเบาหวาน อาหารที่คนเราควรกินคือผักสดและผลไม้สด ตลอดถึงเนื้อปลา ไขมันจากปลา อาหารจำพวกของปิ้ง ย่าง ทอดควรจะงดอย่างเด็ดขาด การกินของคนเรานั้นต้องกินผักผลไม้ให้ได้ในอัตราส่วน 50-60 % โปรตีนในอัตราส่วน 10-15 % ส่วนไขมันต้องมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วน 1/1 ซึ่งร่างกายของคนเรามีความต้องการไขมัน 30 % ดังนั้น ต้องแบ่งสัดส่วนไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วนที่เท่ากัน”
      
       นอกจากนี้ การกินอาหารต้องกินให้หลากหลาย แป้งและน้ำตาลลดจำนวนให้น้อยลง ทั้งนี้ การจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้นต้องเอาใจใส่ต่อการออกกำลังกายแอโรบิก
       อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งๆ ละ 30 นาทีอย่างต่อเนื่อง และอย่าลืมเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายได้สัดส่วนสวยงามด้วยการยกน้ำหนัก”
      
       รศ.นพ.ปิติให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า การสังเกตรูปร่างอย่างง่ายก็คือ อย่าให้ท้องโต หรือมีพุง การที่มีพุงใหญ่นั้นเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแสดงให้เห็นว่าโรคต่างๆ กำลังก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของคนๆ นั้น สิ่งสำคัญจิตใจต้องไม่เครียด ดื่มน้ำบริสุทธิ์ให้ได้ 1-2 ลิตรต่อวัน
       ไม่ควรดื่นน้ำประปาแม้ว่าเราจะต้มแล้วก็ตาม
      
       “ความรู้ด้าน Anti-aging Medicine จะให้ความรู้ในเรื่องฮอร์โมนเสริม คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายจะต่ำลง ขณะเดียวกันวิตามินต่างๆ น้อยลง การดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นสู่ร่างกายก็ทำได้น้อยลง ส่งผลให้คนเราแก่เร็วและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายขึ้น ฮอร์โมนของคนเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป แพทย์ด้าน Anti-agingMedicine จะเริ่มให้ฮอร์โมนเสริม และต้องเสริมด้วยวิตามินเกลือแร่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งร่างกายของผู้ชายและผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนเสริมที่แตกต่างกัน เนื่องจากสภาพร่างกายของผู้หญิงผู้ชายไม่เหมือนกัน”
      
       “ความรู้ด้านนี้จะทำให้คนเรามีสุขภาพดี แข็งแรงและแก่ช้าลงสิ่งสำคัญแพทย์ที่จะให้ฮอร์โมนเสริมต้องเป็นแพทย์ทาง Anti-aging Medicine ในเมืองไทยยังขาดแพทย์ในสาขานี้ ตลอดถึงโรงเรียนแพทย์ยังไม่มีการเรียนการสอน”
      
       รศ.นพ.ปิติบอกด้วยว่า ในเมื่อความรู้ในการให้ฮอร์โมนเสริมโดยใช้หลักความรู้ด้าน Anti-aging Medicine ยังไม่แพร่หลาย การให้ฮอร์โมนเสริมโดยเฉพาะเอสโตรเจน หรือโพเจสเตอโรส เมื่อให้ฮอร์โมนกลุ่มนี้มากๆ คนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์ด้าน Anti-aging Medicine ก่อนจะให้ฮอร์โมนต้องมีการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด
      
       ที่สำคัญคือ การให้ฮอร์โมนต้องใช้วิธีการธรรมชาติ คนที่รับฮอร์โมนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งน้อยมาก แต่ในทางกลับกันยังสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย การให้ฮอร์โมนอย่างถูกวิธี ใช้ฮอร์โมนเข้าไปบำบัด เป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งให้ร่างกายได้อย่างดี
      
       “อยากทำความเข้าใจใหม่ในเรื่องการให้ฮอร์โมนเสริม ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย แต่คนที่ให้ฮอร์โมนต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านAnti-aging Medicine เป็นอย่างดีด้วยในต่างประเทศโดยเฉพาะแถบยุโรป อย่างประเทศฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สเปน ความรู้ด้าน Anti-aging Medicine ในต่างประเทศเป็นความรู้ที่แพร่หลายและรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ จะมีแผนกนี้ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตให้ผู้คนของเขา อยากให้ มศว เป็นผู้นำในเรื่องศาสตร์ด้าน Anti-aging Medicine”

เตือน! หากสงสัยเป็นไข้เลือดออก อย่ากินยาแอสไพริน



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2554 16:17 น.
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       แพทย์เตือนหากสงสัย ว่าเป็นไข้เลือดออก อย่ากินยาแอสไพริน  แนะดูแลตัวเองด้วยการป้องกันยุงจะดีกว่า หากกินยาลดไข้ไปแล้ว 2-3 วัน  อาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ 
      
       นพ.รุ่งเรือง  กิจผาติ โฆษกกรม ควบคุมโรค กระทรวงสารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำที่เริ่มลดลงแล้วในขณะนี้นั้น หลายฝ่ายยังกังวลกับปัญหาไข้เลือดออกอยู่  เนื่องจากน้ำท่วมขังมีลักษณะคล้ายกับสภาพที่เกิดขึ้นหลังฝนตก ถือเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเหล่าเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นภัยร้ายต่อเรา อีกทั้งน้ำท่วมขังยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง โดยเฉพาะยุงลายทำให้ใครที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเสี่ยงเป็นโรค “ไข้เลือดออก” โดยเฉพาะเด็กอาจมีอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วง ที  โดยในพื้นที่ซึ่งเป็นชุมชนที่แออัด เช่น ศูนย์ผู้อพยพ ถ้ายิ่งขาดสุขอนามัยที่ดีและขาดการควบคุมประชากรยุงที่มีประสิทธิภาพจะยิ่ง เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
      
       นพ.รุ่งเรือง กล่าวว่า สำหรับอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออก  ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงนานประมาณ 3-7 วัน และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ พบอาการชักได้ในเด็กเล็ก ซึ่งอาการไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มักไม่มีอาการของหวัดชัดเจน มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือใต้ชายโครงขวา ตับโตและกดเจ็บ มีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง เลือดออกบริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และอาจพบเลือดออกในกระเพาะอาหารด้วย  และหากเข้าสู่ระยุรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการที่สังเกตได้คือ อาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็ว และเบาลง มีความดันโลหิตต่ำ ถ้าหากมีอาการเช่นนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
      
       “ที่น่าห่วง คือ  คนไทยมักนิยมซื้อยาลดไข้เอง ซึ่งถ้าเป็นยาเบาๆ อย่างพาราเซตามอล ก็จะไม่เป็นปัญหา เพราะหากกินยาลดไข้ไปแล้ว 2-3 วัน  อาการไม่ดีขึ้นก็ไปพบแพทย์  แต่ผู้ป่วยบางคนไม่เข้าใจข้อมูลการกินยาก็มักจะเลือกซื้อตัวยาแอสไพรินที่มี ความรุนแรง ซึ่งหากแพทย์ตรวจพบภายหลังว่า มีเชื้อไข้เลือดออกก็จะเกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้  คือ ทำให้มีอาการเลือดออกง่ายขึ้นกว่าเดิม    ทั้งนี้สำหากมีคนใกล้ชิดป่วยเลือดออก แนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยสารน้ำที่แนะนำ ได้แก่ น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้  นอกจากนี้ อยากแนะนำว่ายังต้องเน้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และการทาโลชั่นกันยุงจะดีกว่า รวมทั้งควรมีการเก็บขยะและจัดการสิ่งแวดล้อมหลังน้ำลดให้เรียบร้อยด้วย” นพ.รุ่งเรือง กล่าว
      
       อนึ่ง สถานการณ์โรคไข้เลือดออกนั้น ในประเทศไทย ปี 2554 จากรายงานของสำนักโรคติต่อนำโดยแมลงระบุว่า สถานการณ์ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 7 ธ.ค.พบผู้ป่วยจำนวน 62,643ราย  เสียชีวิต 57ราย

เตือน! ฉีดกลูตาไธโอนเร่งผิวขาว เสี่ยงตาบอด-มะเร็งผิวหนัง




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2554 13:42 น.
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       แพทย์เตือนวัยรุ่นไทยที่ฉีด กลูตาไธโอนเพราะคลั่งความขาวแบบหนุ่มสาวเกาหลี   ชี้การฉีดสารชนิดนี้เป็นการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวชั่วคราว หากยาหมดฤทธิ์สีผิวก็จะกลับมาเหมือนเดิม ใช้บ่อยเกินขนาด เสี่ยงอันตรายถึงขั้นตาบอด และเป็นมะเร็งผิวหนัง  สมาคมแพทย์ผิวหนัง   แพทยสภา  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์  ยังไม่รับรองความปลอดภัย    แนะเคล็ดการดูแลผิวให้ขาวเนียนปลอดภัยทำได้โดยออกกำลังกายเพิ่มการกินผักผล ไม้ที่รสไม่หวานมากให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม  ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และใช้ครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดดจะช่วยได้   
       
      
       นพ.จิโรจ สินธวานนท์  ผู้ อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข   เปิดเผยว่า  ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยทั้งชายและหญิงนิยมฉีดผิวด้วยกลูตาไธโอนผิวให้ขาว เหมือนดาราเกาหลี  โดยทั่วไปวงการแพทย์จะใช้กลูตาไธโอน รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ   เนื่องจากกลูตาไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย   ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ  สึกหรอ  ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อ ตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย  การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน   กรณีของการนำกลูต้าไธโอน ไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ขึ้นมาเอง   เนื่องจากคุณสมบัติรองของกลูตาไธโอน สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน (Melanin) จึงมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการดูแลผิว
       
      
       “ที่น่าห่วงไปกว่านั้น พบว่ากลูตาไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศ อื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ ป่วยโรคตับ จึงเกิดปัญหาความบริสุทธิ์ของยา  ดังนั้นจึงต้องมีการ เฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดดังกล่าว   โดยเฉพาะขณะนี้พบว่าวัยรุ่นที่นิยมฉีดผิวมีการฉีดเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปีทั้งกลุ่มผู้หญิง ผู้ชาย และเพศที่สาม  ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ที่ฉีดสีผิวมักเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน  และบางคนฉีดเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์  เพราะเข้าใจว่าจะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ผิวขาวรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายแพทย์จิโรจกล่าว
       
      
       นพ.จิโรจกล่าวต่อไปว่า   ประเด็นที่น่าวิตกก็คือ ปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ  คือจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง  ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซต์) ในผิวหนัง มีประโยชน์ เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆ และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง   ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง  เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้นเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งผิวหน้า ได้                                                                                               
               
      
       นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตา โดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็นทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่าย  ถ้าอักเสบบ่อยๆอาจถึงขั้นตาบอด   ประการสำคัญที่สุดที่ขอเน้นย้ำก็คือ ขณะนี้ทั้งสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  แพทยสภา  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์  ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูต้าไธโอน เพื่อทำให้ผิวขาว   เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลเสียในระยะยาวที่ยังไม่มีการประเมินได้ชัดเจน   ส่วน กลูตาไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้นขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้น ทะเบียนรับรองโดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีผล ต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนานๆก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน
                   
      
       ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงนั้นสีผิวของคนเราในแต่ละคนแตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มจะมีแคปซูลของเม็ดสีเมลานินมาก   คนที่มีผิวขาวจะมีแคปซูลของเมลานินน้อย  การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อสารหมด ฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก  ดังนั้นจึงขอฝากความห่วงใยไปยังวัยรุ่นไทย ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  ให้มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่หลงตามกระแสดังกล่าวให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เลือกใช้จ่ายในด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะดีกว่า   หากวัยรุ่นหรือประชาชนต้องการให้มีผิวพรรณดี ขอให้ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด  กินอาหารที่มีประโยชน์  เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม เนื่องจากในผักผลไม้จะมีวิตามินซีช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส  ออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที และดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้ามีความต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีด้วยสามารถใช้ครีมบำรุงที่ผสมสารกัน แดดเพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวได้   นายแพทย์จิโรจกล่าว

แพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพหน้าหนาว




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2554 15:09 น.
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       หมอแนะช่วงฤดูหนาวควรดื่มน้ำ เพื่อขับของเสีย ล้างกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้นอนหลับ อายุยืน เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ เน้นโปรตีนจากสัตว์และถั่วเหลือง รวมถึงวิตามินจากผัก
      
       นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวว่า นอกจากหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในเรื่องการรับประทานสมุนไพรรสร้อนเพื่อช่วย กระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ในส่วนของทฤษฎีการแพทย์แผนจีนก็มีหลักการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวที่น่าสนใจ กล่าวคือ ช่วงฤดูหนาวคนจะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุจากปริมาณของหยิน-หยาง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดในด้านหยินมากกว่า เป็นระยะที่ความเป็นหยางลดลง ความเย็นจึงเป็นสาเหตุก่อโรค ซึ่งการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยน แปลงคล้อยตามธรรมชาติ จะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง เช่น การดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ปรับสมดุลของจิตใจ โภชนาการเหมาะสม ปรับสมดุลของชีวิตประจำวันให้มีการทำงานและพักผ่อนพอเหมาะ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งอวัยวะภายใน เช่น ไตมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับโรคที่เกิดจากการก่อตัวจากภายในร่างกาย เพราะหยางไตเป็นรากฐาน ของลมปราณหยางในร่างกาย ซึ่งฤดูนี้คนที่มีสุขภาพอ่อนแอควรจะมีการบำรุงไต เพราะไตมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพร่างกายทั้งด้านเจริญเติบโต ความแข็งแรง อายุขัยตลอดจนสมรรถภาพทางเพศ การจะบำรุงไตนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์จีนก่อน
      
       นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า การดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้นนั้นมีวิธีการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้ 1. ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว แก้วแรกช่วงเช้าเวลา 05.00-07.00 น.จะช่วยการขับถ่าย แก้วที่สองดื่มเวลา 15.00-17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ แก้วที่สามดื่มก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงช่วยการนอนหลับ 2.ให้ปรับอารมณ์จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านเนื่องจากฤดูหนาวควรรักษาพลังอินของไต 3.เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึกๆ เวลาที่เหมาะสม คือ เวลาช่วง 14.00-15.00 น. 4.ควรเดินออกกำลังกาย 5.ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง 6.ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กูฉ่าย คะน้า เมล็ดสน ไชเท้า 7.ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตั้งถ่างเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น
      
       “อย่างไรก็ตาม เทคนิคทั้ง 7 ประการนั้น สามารถปฏิบัติง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ เป็นต้น” นพ.สุพรรณกล่าว

"อาเหลียง"ขนมจีบแต้จิ๋ว..เจ้าสุดท้ายของถนนทรงวาด / แม่ช้อยนางรำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2552 16:06 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ
"อาเหลียง" อากงขนมจีบแต้จิ๋ว
       "เป็นขนมจีบแต้จิ๋วเจ้าเก่าของถนนสายนี้
       ขายมานานกว่า 60 ปี ตั้งแต่สมัยเตี่ยจนถึงตี๋
       บัดนี้ตี๋กลายเป็นเตี่ยแล้วก็กลายเป็น "อากง"

      
       "อาเหลียง" ชื่อเหมือนพระเอกเสื่อผืนหมอนใบ "ลอดลายมังกร" แต่เจ้านายค่ะ คนละเหลียงหันค่ะ
      
       อาเหลียง..คนที่อีชั้นเขียนเล่าสัปดาห์นี้ เป็นอาเหลียงเข็นขนมจีนแต้จิ๋วขาย อยู่บนถนนทรงวาด ราชวงศ์
      
       ถนนคนจีนเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยคนจีนเดินทางมาเมืองไทย เมื่อต้นรัตนโกสินทร์เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เป็นที่จีนเขาเรียกกันว่า "จีนซินตึ๊ง" ซึ่งหมายถึง...จีนใหม่
      
       อะไรคือจีนใหม่หรือเจ้าค่ะ?
"ขนมจีบแต้จิ๋ว" ที่แตกต่างจากขนมจีนกวางตุ้ง
       จีนพวกนี้เข้ามาเมืองไทย ประมาณสมัยรัชกาลที่ 3 ในสมัยที่การเดินทางค้าขายไทย-จีน กำลังเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งพระองค์ทรงสั่งให้เรือสำเภาจีนจำลองไว้ที่วัด ยานนาวา เพื่อให้ลูกหลานจีนรุ่นหลังได้รู้ว่า
      
       บรรพบุรุษมาจากเมืองจีนด้วยเรือหน้าตาเป็นอย่างไร
      
       ส่วนจีนเก่า ที่เรียกว่า "จีนหลวง" คือจีนที่รับ ใช้สงครามรวมกับพระเจ้าตากสินหรือพระเจ้ากรุงธนบุรี มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงกรุงธนบุรีแล้วก็เลยเรื่อยจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
      
       ก็คือบรรพบุรุษของข้างมารดาของอีชั้น...แฮะ แฮะ คุยซะเลย
      
       "อาเหลียง" คนจีนเข็นรถขนมจีบเป็นคนแต้จิ๋ว เพราะฉะนั้นถึงขายขนมจีบแบบแต้จิ๋ว ซึ่งแตกต่างไปจากขนมจีบแบบกวางตุ้งที่เจ้านายกิน
"เครื่องปรุง" กระเทียมเจียว/จิกโฉว(ซีอิ๊วเปรี้ยว)/มัสตาสร์ด
       อันว่า "ขนมจีบแต้จิ๋ว" นี้ สมัยก่อนคือคอนอีชั้นเด็ก..เด็ก มีขายหลายเจ้า แม้กระทั่งสามชาววังยังเอาดัดแปลงทำกินขาย
      
       แล้วเรียกว่า "ขนมจีบชาววัง" ประดิดประดอยทำแข่งกันในวัง แล้วฝากคนออกมาขายแถวท่าช้าง วังหน้า ท่าช้างวังหลัง จนกระทั่งแถมพาหุรัด หน้าร้านขายทองแม่ทองใบสมัย 5-60 ปีก่อน ตอนอีชั้นเด็ก..เด็ก คุณหญิงย่าพาไปซื้อกินเป็นประจำ
      
       ข้อแตกต่างระหว่าง
       "ขนมจีบแต้จิ๋ว-กวางตุ้ง"
       

       1. ใบเกี๊ยวห่อขนมจีบใบใหญ่ไม่ผสมสี
       2. เนื้อขนมจีบแต้จิ๋วเป็นหมูล้วน แต่กวางตุ้งผสมกุ้ง
       3. ซีอิ๊วเปรี้ยวที่เรียกว่า "จิ๊กโซว" เหมือนกัน แต่แต้จิ๋วจะโรยกระเทียมเจียว
       4. ขนมจีบแต้จิ๋วจะแนบด้วยผักชี ผักกาดหอม แต่ของกวางตุ้งไม่มี
       ห่อด้วยกระทงใบตองแห้ง
      
       แล้วห่อกระดาษนสพ.สดซ้ำ
      
       สำหรับอาเหลียง ขายขนมจีบแต้จิ๋วคนนี้ เข็นรถขายอยู่ถนนทรงวาด ไม่โยกย้ายไปไหน เข็นขายตั้งแต่หัวถนนตรงท่าน้ำราชวงศ์ ไปจนถึงท่าน้ำสวัสดี วัดเกาะ สัมพันธวงศ์
      
       ขายขายมาตั้งแต่สมัยเตี่ยคือเมื่อประมาณเกือบร้อยปี
      
       นักเลงกินขนมจีบก็รู้จักกันดี อยู่ไกล..ไกลยังไงก็ต้องขับรถมาซื้อ โดยถือเวลาที่อาเหลียงจะออกขายก็ตะวันตกดินไปแล้ว
      
       ส่วนเวลาเลิกไม่แน่นอน ขายหมดเมื่ไหร่ก็เข็นรถกลับบ้านเมื่อนั้น
      
       บ้านของอาเหลียงก็อยู่ใกล้กับรร.จีน "เผยอิง" โรงเรียนที่ผลิตเศรษฐีเชื้อสายมังกรมากมาย เจ้าสั้วรวยหมื่นล้าน..แสนล้านท่านหนึ่งคนรู้จักทั่วแผ่นดิน ท่านก็เคยอยู่ซอยเดียวกับอาเหลียง
      
       บรรพบุรุษของท่านมาจากเมืองจีนเก็บขวดขาย
      
       ..อาเหลียงมองเพื่อนบ้านผู้ร่ำรวยแล้วสะท้อนใจ บรรพบุรุษของอาเหลียง ทำไมไม่เก็บขวดขายก็ไม่รู้ ลูกหลานเลยต้องเข็นรถเข็นขายขนมจีบต่อไป..เข็นไปถึงชาติหน้า ก็คนจะรวยเจ้าค่ะ