เปิบพิสดาร...กัวลาลัมเปอร์-มะละกา-สิงคโปร์



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2547 16:36 น.






“บากูเต๋” ซี่โครงหมูตุ๋นใบชา สองเจ้าอร่อยของสองประเทศ มาเลย์-สิงคโปร์ เจ้านายได้พิสูจน์ ลิ้นเราฝีมือเขาคราวนี้
       “เสาร์..อาทิตย์บินไปหาของกินอร่อย
       บากูเต๋ที่ “เค-แอล” กระหรี่หัวปลาที่
       สิงคโปร์ แถมอาหารแต้จิ๋วโบราณ
       กับอาหารปอร์ตุเกส 300 ปี”
       

       เจ้านายขา...
       

       ต้องกราบเรียนเจ้านายซะตั้งแต่สัปดาห์นี้เลยว่า วันเสาร์ที่31 กรกฎาคม ก็คือปลายเดือนนี้ อีชั้นจะต้องลางานเจ้าค่ะ
      
       แต่ไปคราวไม่นานคือไปวันเสาร์ พ่วงวันอาทิตย์ และกลับมาวันจันทร์
      
       เจ้านายคงจะไม่ว่าอะไร
      
       ถึงจะว่าอีชั้นก็ไม่ได้ยิน เพราะตอนนั้นอีชั้นกำลังเอร็ดอร่อยอยู่ที่มาเลย์ สิงคโปร์ ตามโปรแกรมที่อีชั้นวางไว้แล้ว
      
       คือจะต้องพาแฟนคอลัมน์ “เปิบพิสดาร” ไปเปิบอาหารอร่อยประเทศเพื่อนบ้านที่ก็ไปกันบ่อย แต่ร้านอาหารอร่อยไม่ค่อยรู้จักกัน
      
       เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ
      
       เพราะอีชั้นไปรับปากสัญญิงสัญญากับลูกค้าทัวร์ที่ไปทั่วโลกกับอีชั้น ว่า สักวันหนึ่งเถอะหน่า อีชั้นจะพาไปเปิบพิสดารที่เรียกว่า “มินิโปรแกรม”
      
       อย่างที่อีชั้นเคยทำ “ทัวร์เปิบพิสดาร” ที่ฮ่องกง หรือ “ทัวร์เปิบพิสดาร” ที่สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮานอย เว้ ไซง่อน แหล่งกินอาหารอร่อยชนิดที่ไม่ไกลบ้าน
      
       แต่งานอย่างนี้ไม่จัดบ่อยเพราะเป็นโรคหวงวันเสาร์ อาทิตย์ อยากจะอยู่กับบ้านเล่นกับลูกหลาน เป็นความสุขเรียบๆ ง่ายๆ ของคนวัยอีชั้น
      
       แต่แล้วก็เหมือนมีบัญชาจากสวรรค์
      
       เพราะอีชั้นถือว่า ลูกค้าสำคัญเป็นพระเจ้า เราจะต้องเคารพเชื่อฟัง ลูกค้ากลุ่มหนึ่งยื่นคำขาดมาเมื่อเดือนที่แล้วว่า
      
       ปลายเดือนกรกฎาคมจะต้องพาพวกเราไปกินอาหารอร่อยที่สิงคโปร์
      
       อพิโธ่!! พิถังกะละมังรั่ว!!
      
       ไปทั้งทีไปทำไมกันที่สิงคโปร์ เพราะโปรแกรม “เปิบพิสดาร” ของอีชั้นจัดไม่เหมือนใครในเวลาเดียวกัน แต่อีชั้นให้มากกกว่า อร่อยกว่า
      
       และก็ต้องแพงกว่าเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แพงมากมโหฬารซะเท่าไหร่ เพราะไปอีชั้นจะต้องกินอาหารสี่ดาว พักโรงแรมห้าดาว นั่นละเจ้าประจำ...”แม่ช้อย นางรำ” เขาละ
      
       เจ้านายลองพิจารณาโปรแกรม “มินิมาเลย์-มะละกา-สิงคโปร์” ที่อีชั้นจัด แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับใครก็ได้ทั้งนั้น
      
       โปรแกรมเดินทางมาดังนี้เจ้าค่ะ
      
       เสาร์ที่31 กรกฎา เดินทางกรุงเทพ-กัวลาลัมเปอร์ ประเดิม “บากูเต๋” ร้านอร่อยที่สุดในมาเลเซีย อิ่มแล้วเดินทางด้วยรถโค๊ชทันสมัยไปยังเมือง “มะละกา” พาเที่ยววังสุลต่าน กับสถานที่โบราณ สมัยปอร์ตุเกสปกครอง
      
       ตกตอนเย็น เปิบอาหารปอร์ตุเกสสมัยเมื่อ 300 ปี
      
       อาทิตย์ที่ 1 สิงหา พาชมป้อม “เอฟอร์โมซา” ห้อมปืนคุมช่องแคบมะละกา ไปที่ฝังศพนักบุญ “ฟรานซิส” ที่ศักดิ์สิทธิ์
      
       อาหารกลางวันเป็นอาหาร “นอนย่า” หรือ “พานาคา”
      
       อาหารแห่งความรักของคนมุสลิมและพุทธที่อยู่ร่วมกันไม่มีปัญหา
      
       ตกบ่ายเดินทางเข้าเกาะสิงคโปร์ ตกกลางคืนเปิบ “กระหรี่หัวปลา” ที่มีชื่อเสียงอร่อยที่สุดของเมืองนี้
      
       จันทร์ที่ 2 สิงหา ตอนเช้าพาไปช๊อปปิ้ง ย่านสินค้าหรูแล้วตกกลางวันไปกินอาหาร “ภัตตาคารจีนแต้จิ๋ว” เก่าแก่และอร่อยที่สุดเศรษฐีสิงคโปร์ชุมนุมที่นั่น
      
       ตอนบ่ายให้เวลาช๊อปปิ้งให้หนำใจ ตอนเย็นก่อนเดินทางพาไปกิน “ข้าวมันไก่สิงคโปร์” อีกที แล้วจรลีเดินทางกลับถึงกรุงเทพตอนสี่ทุ่ม
      
       เจ้านายเห็นโปรแกรมแล้วต้องบอกได้ว่า..คุ้ม!!
      
       ราคาไม่แพง อีชั้นจัดก็เพราะอยากจะไปกินอาการที่ว่า แล้วไม่เขียนบอกสถานที่ชื่อร้านให้คุณรู้ ถ้าอยากจะอร่อยก็ต้องตามอีชั้นมา
       แล้วอีชั้นจะพาไปเปิบพิสดารเจ้าค่ะ..เจ้านาย
      
       แม่ช้อยนางรำ
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       สนใจร่วมเดินทางติดต่อ “บริษัท พี.โอ.พี ทราเวิล” โทรศัพท์ 0-2653-7171 โทรสาร 0-2653-6993 ต้องการจำนวนไม่เกิน 20 ท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ
ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ปอร์ตุเกสไวน์” ของดีราคาถูกที่ “มาเก๋า”



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2547 16:12 น.










       ไป..”มาเก๋า” มาเจ้าค่ะ...
       มีข่าวใหม่มาฝากให้รู้ไว้ด้วยว่า
       “ไอซ์ไวน์” เยอรมัน-แคนาดา
       ขายขวดหนึ่งเป็นหมื่นนั้น
       ที่นี่ขายขวดละ..สี่-ห้าร้อยบาทเท่านั้น จริงจริง
       

       อีชั้น...ว่าไวน์ขวดแรกที่เจ้านายดื่ม จะต้องเป็นไวน์ปอร์ตุเกส
      
       มันก็เหมือนๆกับอีกหลายๆ คนที่อีชั้นรู้จัก
      
       เราเปิดบริสุทธิ์กันด้วยไวน์ประเทศนี้ ก่อนที่เราจะรู้จักไวน์ฝรั่งเศส ไวน์อิตาลี หรือไวน์โลกใหม่
      
       เหตุผลก็ไม่มี
      
       เพียงว่าไวน์ปอร์ตุเกสโด่งดังในประเทศเราก่อนประเทศไหนๆ มันก็คล้ายกับว่าเรารู้จัก หองหยิบ ฝอยทอง มาก่อนรู้จักขนมเค้ก ขนมพาย นั่นละเจ้าค่ะ
      
       แต่ก่อนแต่ไร คนไทยเราไม่นิยมดื่มไวน์ เหตุผลง่ายๆ ที่เจ้านายคงจะได้เคยยินมาก็คือ
      
       
“ดื่มไวน์เมาช้า”
      
       สู้ดื่มเหล้าจำพวกวิสกี้ เหล้าขาว เหล้ากลั่นทั้งหลายไม่ได้ ดื่มง่ายตาย..ม่ายช่าย เมาเร็วถูกนิสัยคนไทยมากกว่า
      
       สมัยอีชั้นสาวๆ ก็มักจะได้ยินเขาว่า ...
”วิสกี้ของผู้ชาย ไวน์ของผู้หญิง”
       

       แต่เดี๋ยวนี้ไม่จริง ผู้หญิง...ผู้ชายเมาไวน์กันได้เท่าเทียมกัน





       อีชั้นว่า...ไวน์ปอร์ตุเกสขวดแรก แก้วแรกที่คนไทยส่วนใหญ่ดื่มกันคือเจ้า “มาตุส โรเซ่” หรือไวน์กุหลาบ หรือไวน์สีชมพูแล้วแต่จะเรียกกันก็ว่าไป ไวน์ขวดนี้ สมัยเมื่อ 4-50 ปีโด่งดังมาก
      
       ร้านเหล้า ร้านอาหารทันสมัยจะต้องมีเจ้า “มาตุส” วางขาย ขวดหนึ่งราคาไม่เท่าไหร่สาม...สี่ร้อยเห็นจะได้
      
       กินข้าวกินไวน์เมื่อไหร่ มันก็ภาคภูมิใจที่ได้ดื่ม “โรเซ่ไวน์” เหมือนดื่มจากน้ำกุหลาบอาบแอลกอฮอลล์
      
       หลังจากนั้นเราก็เริ่มเรียนรู้เรื่องไวน์ขึ้นเรื่อย...เรื่อย
      
       จากมาตุสของปอร์ตุเกส มาเป็น “เคียนตี้”
       

       สาม...สี่สิบกว่าปีที่อีชั้น เป็น “ไวน์เลิฟเวอร์” คือนิยมดื่มไวน์มากกว่าเหล้าชนิดอื่น ประเภทอื่น ดื่มไวน์มันมั่นใจ หายเหนื่อยจริงๆ เจ้าค่ะ
       แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไวน์ขวดละแสน อย่างที่นักการเมืองขอบอวดคุยกัน ทั้งๆ ที่จับแก้วไวน์ยังไม่เป็นเลย
      
       สำหรับอีชั้นไวน์อะไรก็ได้ ถ้าเป็นไวน์แดงอิตาลี จาก “ทัสคานี” ละก็ดี
      
       ส่วนเป็นไวน์ขาวก็ขอเอา “ชาบลีส” จากฝรั่งเศสละก็เป็นของชอบ ขอบพระคุณถ้าเจ้านายรู้แล้วจะซื้อมาฝากสักลัง..สองลังก็ยิ่งดี
      
       ที่เขียนเรื่องไวน์ซะยาวเหยียดก็เพราะว่า
      
       เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา อีชั้นไปเที่ยวชิมริมทางที่ “มาเก๋า” ตามคำเชิญของสายการบิน “แอร์ เอเชีย” เขา บอกแล้วเจ้านายจะไม่เชื่อ
      
       ค่าเครื่องบินจากกรุงเทพ-มาเก๋า เราจ่ายแค่1000 บาทเท่านั้นเองจริง...จริ๊ง
      
       ถูกกว่านั่งเครื่องไทยอินเตอร์ ไปกรุงเทพ-เชียงใหม่ซะอีก
      
       ไปคราวนี้ ก็อย่างที่เคยไปทุกครั้งือจะต้องไปชิมไวน์ปอร์ตุเกสฟรีที่
“พิพิธภัณฑ์ไวน์” เป็นของรัฐบาลปอร์ตุเกสสร้างเอาไว้ เพื่อแนะนำไวน์ให้นักดื่มได้รู้จัก





       ไปพิพิธภัณฑ์ไวน์ที่ “มาเก๋า” คราวนี้ได้ข่าวใหม่มารายงานเจ้านายว่า เจ้า “ไอซ์ไวน์” หรือไวน์หวานยอดที่สุดในบรรดาไวน์หลังอาหาร ซึ่งมี 2 ประเทศในโลกที่โด่งดัง คือ เยอรมันกับคานาดานั้น
      
       ตอนนี้มี “ปอร์ตุเกส” เป็นประเทศสำคัญที่จะเป็นคู่แข่งสมศักดิ์ศรี
      
       ปอร์ตุเกสผลิต “ไอซ์ไวน์” แล้วเอาไปขายตลาดยุโรป อเมริกาขณะนี้ แต่ตลาดในเอเชียยังไม่มี
      
       ที่ “พิพิธภัณฑ์ไวน์” ในมาเก๋า ถ้าเจ้านายไปตอนนี้ก็จะมี “ไอซ์ไวน์” ของปอร์ตุเกสวางขายแล้ว
      
       รสชาติความเข้มข้นรวมทั้งกลิ่นอายไม่แพ้ของเยอรมัน คานาดา
      
       เจ้านายก็รู้นี่ว่า “ไอซ์ไวน์” เป็นไวน์ที่ทำยากลำบากที่สุด คือจะต้องเลือกเก็บองุ่นในฤดูหนาว เลือกเฉพาะลูกที่มีคราบน้ำแข็งเกาะ เพราะองุ่นลูกนี้จะเป็นองุ่นที่ให้น้ำหวานสนิทปากมากที่สุด
      
       ไม่เหมือนไวน์แดง-ขาวทั่วไปไม่เลือกลูก เลือกเฉพาะพันธุ์เท่านั้นก็เป็นอันว่าใช้ได้
      
       เพราะฉะนั้น อีชั้นก้อยากให้เจ้านายมาซื้อ “ไอซ์ไวน์” ของปอร์ตุเกสที่มาเก๋าไปลองดื่มดู ราคาขวดละสี่..ห้าร้อยบาทเท่านั้น
      
       และที่สำคัญเจ้านายบินมากับ “แอร์ เอเชีย” ก้ได้จ่ายแค่1000 เดียว ก็เที่ยวมาเก๋ากับอีชั้นได้
      
       ...ขอยืนยันว่าต้องมามาเก๋ากับอีชั้นเท่านั้น ถ้าขืนไม่พามา อีชั้นก็จะไม่พาไปพิพิธภัฑณ์ไวน์ หรือจะไปถูกก็เสียใจ ก็ไม่มีใครบอกไวน์ตัวดีๆ ให้เจ้านายหร๊อก...จ๊ะบอกให้!!
       
       

       “แม่ช้อยนางรำ”
ASTVผู้จัดการออนไลน์

เห็ดโคนพม่า มันก็เหมือน “กุ้งพม่า” นั้นละเจ้าค่ะ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2547 16:55 น.





โดย : แม่ช้อยนางรำ






แม่ค้าเห็ดโคนพม่าหอบเห็ดโคนที่เธอหามาขายข้างทาง
       



คนพม่าก็นิยมกินเห็ดโคน
      
       



แต่คนหาเห็ดไม่ได้กินเห็ด
      
       



ส่วนคนกินเห็ดก็ไม่ได้หา
      
       



เรื่ององมันเป็นอย่างนี้ล่ะ
      
       ระหว่าง...ที่เจ้านายอ่านรายงาน “เมนูอร่อย” วันนี้อีชั้นไม่ได้อยู่เมืองไทยหร๊อก!!
      
       ก็ไปร่วมเทศกาลอาหารสิงคโปร์ ที่เขาเรียกว่า “งาน เล็ตมากาน” พร้อมกับบรรดาสมาชิก “เปิบพิสดาร” อีก 20 ท่าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแฟนของอีชั้น
      
       เราตระเวนกินอาหารกันหัวเห็ดเจ็ดย่านน้ำ แล้วเราจะพลาดงานของสิงคโปร์นี้ได้อย่างไรกัน เพราะเขาคุยว่าเขาจะทำงานนี้ขึ้นมาเพื่อจะทำลายสถิติโลก สถิติอะไรหรือเจ้าค่ะ? ก็เหมือนบ้านเราชอบทำกันคือ ใหญ่ ยาว
      
       วันก่อนเราเคยทำ “ต้มยำกุ้ง” หม้อใหญ่ที่สุดในโลกมาแล้ว ที่อิมแพค เมืองทองมารีน่า
      
       วันนี้สิงคโปร์เขาจะทำ “สเต๊ะยาวที่สุดในโลก” เจ้าค่ะ
      
       อย่าเพิ่งสงสัย สะเต๊ะยาวที่สุดในโลกเขาจะทำได้อย่างไร เขาคงจะไม่ใช้เนื้อวัวยาวที่สุด อย่างที่เจ้านายคิดหร๊อก!!






“ยำเห็ดโคน” ฝีมือพม่าหน้าตาแบบนี้
       เขาหมายถึง เอาเตาปิ้งสะเต๊ะมาเรียงราย ต่อ...ต่อกันเข้าให้มีความยาวถึง111เมตร ซึ่งเคยมีคนเคยทำไว้ยาว 83 เมตร เมื่อหลายปีก่อน
      
       ฮัทโธ่!! อย่างนี้ใครก็ทำได้ เก่งจริงทำไม ไม่ทำเนื้อสะเต๊ะยาวที่สุดในโลกล่ะ อย่างนั้นถึงจะเรียกได้ว่าแปลก
      
       เอาล่ะเจ้าค่ะ...คราวหน้า อีชั้นคงจะมี “เมนู” แปลกๆ มารายงานเจ้านาย แต่วันนี้ขอเอาของเก่ามาเขียนเล่าแทนก่อน
      
       แต่ของเก่าที่ว่านี้ อีชั้นยังไม่เตยรายงานให้เจ้านายรู้หร๊อก!! เพราะจะรายงานได้อย่างไร
      
       เจ้าเห็ดโคนพม่า ที่อีชั้นหอบเอามาจาก “ย่างกุ้ง” แต่เดิมอีชั้นตั้งใจไว้ว่า จะเอามาฝากเจ้านาย แต่แฮะ...แฮะ อีชั้นทดลองทำกินเล่นๆ กินเพลิน...เพลิน เจริญอาหาร บ๊ะ!! ฟาดเกลี้ยง ข้าน้อยสมควรตาย แล้วแต่เจ้านายจะบัญชา
      
       เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อีชั้นไปพม่ามาเจ้าค่ะ เดือนเดียวไปถึงสองครั้ง...สองครา






ภัตตาคารจีนในพม่า เสนอ “เมนูเห็ดโคน” ให้เป็นจานพิเศษ ปีละครั้ง
       คราวแรกไป “ตองจี” ใช้เครื่องบินลงที่เชียงราย ไป-กลับไม่ผ่านย่างกุ้ง ก็เลยไม่เจอ “เห็ดโคน”
      
       แต่เป็นครั้งที่สองไปไหว้ “พระธาตุอินทร์แขวน” ที่แคว้นมอญก็ต้องลงที่ย่างกุ้ง ก็มองฟ้ามองฝน เห็นตกๆ หล่นๆ แบบฝนมรสุมแล้วอีชั้นก็รู้ทันทีว่า มาคราวนี้ได้กิน “เห็ดโคนพม่า” แล้ว!!
      
       ทำทัวร์พม่ามา 20 กว่าปี ทำให้อีชั้นรู้ว่า จะกินอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ดี ก็เหมือนอย่างเห็ดโคนนี่ มันต้องกินตอนช่วงฝนตกอย่างนี้
      
       ถ้าเจ้านายไปพม่า ก็อยากให้เจ้านายลองดูเห็ดโคนพม่าดูบ้างว่า แตกต่างไปจากเห็ดโคนบ้านเราอย่างไร
      
       แต่มันก็แปลกจนอีชั้นจะต้องรายงาน เพราะถ้าเจ้านายจะไปซื้อเห็ดโคนตามตลาด หรือตามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่พม่าเพิ่งจะมี ไสเจีย...เสียจาย เห็ดโคนไม่มีขายที่นั่น ที่จะมีขายกันก็แถวข้างถนน หรือข้างทางแล้วแต่บุญวาสนาจะได้พบได้เจอ จึงจะได้เจี๊ยะ
      
       ธรรมเนียมขายเห็ดโคนของคนพม่า เขามีอยู่ว่า หาเห็ดโคนได้ที่ไหน ก็เอามาวางขายที่นั่น ไม่ว่าวันส่งเข้าตลาด เพราะขนาดขายข้างทางก็ยังไม่พอจะขาย แล้วจะต้องเอาไปปะเคนให้ถึงตลาดได้อย่างไงกัน
      
       แถวย่างกุ้ง แหล่งที่จะซื้อเห็ดโคนได้ต้องแถวชานเมือง แถวนั้นจะมีชาวบ้านมาตั้งแผงขายและก็ไม่มีมากซะเท่าไหร่ ไปพม่าช่วงหน้าเห็ดโคนคือ ระยะเดือนพฤษภาไปจนถึงตุลา ก็ใช่จะหาเห็ดโคนกินได้เสมอไป
      
       วิธีกินเห็ดโคนของพม่า ก็คล้ายๆ กับบ้านเรา คือเขาจะเอาไปยำ (ไม่รู้ว่าจำมาจากของเราหรือเปล่า) แต่ยำอย่างไรรสมือก็สู้คนไทยไม่ได้หรอก ก็เพราะอย่างนี้ อีชั้นพาทัวร์ไปพม่าก็เลยไม่กล้ายืนยันว่าจะมีเห็ดโคนกินหรือไม่ มันก็คล้ายกินเห็ดโคนเมืองไทยนั้นล่ะเจ้าค่ะ คนหาไม่ได้กิน คนกินไม่ได้หา
      
       เห็ดโคนพม่าแพงยิ่งกว่ากุ้งเป็นสิบเท่า มีสตางค์ก็หากินไม่ได้ แล้วอย่างนี้อีชั้นไม่ค่อยจะมีสตางค์เท่าไหร่ นานๆ มาเจอทีอีชั้นก็ฟาดซะเรียบไง คนมีกะตังค์มากมายอย่างเจ้านาย อย่าไปกินมันเลยนะเจ้าค่ะ ให้คนจนอย่างอีชั้นกินแทน มันจะได้บุญมากกว่านะเจ้าค่ะ
ASTVผู้จัดการออนไลน์

“LET’ S MAKAN”เทศกาลอาหาร “สิงคโปร์”



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2547 16:03 น.











ข้าวมันไก่ “สิงคโปร์”
       
       โดย : แม่ช้อย นางรำ
       
       ระหว่างนี้ไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคมที่ “สิงคโปร์” เขาจัดเทศกาลอาหารบนถนนออร์ชาร์ตที่เป็น “ถนนแฟชั่น”ถูกเนรมิตให้กลายเป็น “ถนนอาหาร”
       

       ถ้า...เจ้านาย คุยว่าเป็นนักเปิบ...นักชิม แล้วไม่ไปสิงคโปร์ตอนนี้...เจ้านายจะไปตอนไหนเจ้าค่ะ
      
       รู้มั้ยว่าตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมนี้ ไปจนถึงเดือนสิงหาคมหน้าที่นั่นเขามีงานใหญ่ประจำปี
      
       “เทศกาลอาหารสิงคโปร์2004”






“ปูผัดพริกไทยดำ”
       งานนี้นักเปิบ...นักชิมไม่ไปไม่ได้ เพราะไม่ต้องดูอื่นดูไกล คำโฆษณาของเขาเขียนเชิญชวนนักเปิบ...นักกินทั่วโลกว่า
      
       “WHEN SINGAPORE LOOKED MORE LIKE BANGKOK”
      
       แปลว่า...”เมื่อสิงคโปร์ดูเป็นกรุงเทพมากกว่ากรุงเทพ”
      
       “คอนเฌฟ” นี้ก็หมายถึงว่า ในกรุงเทพบ้านเรา เป็นสวรรค์ของนักกิน โดยเฉพาะผู้ที่นิยมกินตามถนน ที่มีแม่ค้าหาบเร่แผงลอย (HAWKERS) ขาย
      
       เขาว่ารสชาติความเอร็ดอร่อยจะมีมากกว่าตามภัตตาคารทั้งหลาย (แต่ไม่ค่อยสะอาด)
      
       นักท่องเที่ยวมากรุงเทพเมื่อไหร่ เป็นต้องไปตะลุยกินกัน ถนนอาหารตลาดกลางคืนเยาวราช
      
       เพราะเหตุนี้เอง สิงคโปร์...ก็เลยต้องตามแนวทางไทย
      
       เขาก็เลยยกเอาถนนสายสำคัญคือ
“ถนนอออร์ชารต์” ที่คนนิยมไปช๊อปปิ้งซื้อสินค้าราคาแพง เป็น “เซียมตือ” หรือเป็นหมูสยามให้เขาฟัน!!
      
       ตอนนี้กลายเป็นถนนสายอาหารสายสำคัญไปแล้ว...เจ้านาย






“กระหรี่หัวปลา”
       ตามรายการที่อีชั้นอ่านมาจากเอกสารที่เขาส่งไปทั่วโลก โฆษณาให้มาหาอาหารอร่อยของสิงคโปร์กินกัน
      
       เขาว่าบนถนนสายนั้น จะมีร้านหาบเร่แผงลอยมาตั้งเรียงรายสองฝากถนนเป็นร้อยร้าน และอาหารก็เป็นแบบจีนบ้าง อิสลามบ้าง ทมิฬบ้าง หรืออาหาร “ปานาคาน” คืออาหารจีนปนอิสลามบ้าง
      
       ตั้งขายเรียงรายให้คุณๆ ได้เลือกรับประทานสำราญใจ
      
       อีชั้นขอเอาเมนูอาหารที่เขาจะเอามาให้...เอนจอยปากกัน ลองพิจารณาดูเถิดเจ้าค่ะว่า จะเปิบ...จะกินเมนูไหนดี
      
       
บากูเต๋ หรือไป๋กูไต๋ (ซี่โครงหมูตุ๋นเครื่องยาจีนกินกับข้าว-น้ำชา)
       ปูผัดพริกไทยดำ
       ข้าวมันไก่ไหหลำ
       กระหรี่หัวปลา (สูตรดัดแปลงจากอาหารแขกทมิฬ)
       โลจัก (ผัดผักร่วมแบบมาเลย์)
       ก๋วยเตี๋ยวสิงคโปร์ (ผัดก๋วยเตี๋ยวใส่ไข่ใส่เครื่องสูตรสิงคโปร์)
       สะเต๊ะ (สูตรของมาเลย์-อินโดนีเซีย)
       

       เทศกาลอาหารสิงคโปร์...ดูเหมือนจะจัดเป็นปีที่สอง เพราปีกลายประสบความสำเร็จมากมาย ปีนี้ได้ใจก็เลยจัดใหม่
      
       อ่านข่าวเขาแล้วก็เสียดาย ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวโลก รัฐบาลไม่เคยสนใจจะทำ คิดแต่จะให้กรุงเทพเป็นเมืองแฟชั่นอย่างเดียว
      
       ทำไมไม่ทำกรุงเทพให้เป็นเมืองอาหาร แล้วก็จัด “เทศกาลอาหารไทย” ให้เป็นทางการ ประกาศให้โลกรู้พร้อมกัน...สนั่นโลกจะเป็นไรไป
      
       แต่ถึงเจ้านายจะไม่ไปคราวนี้ เพราะห่วงสมบัติก็เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ต่อไปเถิดเจ้าค่ะ ส่วนอีชั้นจะพลาดได้อย่างไรกัน
      
       ปลายสัปดาห์หน้า อีชั้นกับสมาชิก “ชมรมเปิบพิสดาร” จะยกพลขึ้นบกที่ชายหาดมาเลย์...สิงคโปร์ พวกเราจะไปโผล่ร่วมงานกับเขาทีนั่น
      
       แต่มากกว่านั้น อีชั้นไม่ได้กินอาหารข้างทาง (FOOD STREET) อย่างที่ทางการเขาจัดเท่านั้น
      
       เพราะนัดนี้อีชั้นมีอาหารระดับ “ร้านเก่า-เจ้าแรก” สูตรดั่งเดิมมาให้ได้เปิบกัน
      
       ...เจ้านายอยากจะไปกับอีชั้นและคณะมั้ย อยากไปก็ตามาแล้วอย่าลืมจ่ายค่าเดินทางก็แล้วกัน ถึงเป็นนายจ้าง แต่ก็ไม่มีสิทธิไปฟรีหร๊อก!! ลูกน้องอย่างอีชั้นไม่มีวันยอม!!
      
       “แม่ช้อยนางรำ”
      
       
สนใจร่วมเดินทางไปเปิบพิสดาร อาหารอร่อยมาเลย์-สิงคโปร์ ระหว่างวันเสาร์ที่31ก.ค.-วันจันทร์ที่2สิงหาติดต่ออีชั้นได้ที่ โทร0-2653-7171 ทันที รับจำนวนจำกัดเพียง20ท่านเท่านั้น
ASTVผู้จัดการออนไลน์

“แกงจืดหน่อไม้” ซดร้อนๆ หอมกรุ่นในหน้าฝน/กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2554 13:25 น.
 โดย : กุ๊กเล็ก







       เข้าหน้าฝนแบบนี้ ตามตลาดก็มักจะเห็นผักผลไม้ประจำฤดูถูกนำออกมาวางขาย ที่เห็นชัดๆ ก็คงจะเป็น “หน่อไม้” ที่จะเห็นกันได้เฉพาะหน้าฝนแบบนี้ และนอกจากวางขายกันตามตลาดแล้ว ตามร้านขายข้าวแกงก็ยังนำเอาหน่อไม้มาดัดแปลงเป็นเมนูต่างๆ อย่างหลากหลาย
      
       ส่วนเมนูง่ายๆ ที่ “กุ๊กเล็ก” จะทำจากหน่อไม้ก็คือเมนู “แกงจืดหน่อไม้” ที่มีส่วนผสมไม่มากนัก แถมยังทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นานก็ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ พร้อมกับหน่อไม้อ่อนๆ หอมอร่อย
      
       ส่วนผสมมีดังนี้
       หน่อไม้สด 2 หน่อ (ขนาดกลางๆ)
       สะโพกไก่ 1/2 กิโลกรัม
       เห็ดหอมแห้ง 5 ดอก
       เกลือ 1/2 ช้อนชา
       ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
       พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
       ผักชีสำหรับโรยหน้า
       น้ำเปล่า
      
       วิธีทำ เริ่มจากนำเห็ดหอมแห้งมาแช่น้ำจนนิ่ม จากนั้นเอาขึ้นจากน้ำพักไว้ก่อน (ถ้าเห็ดหอมดอกใหญ่ให้หั่นครึ่ง) หน่อไม้สดปอกเปลือกนอกออก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ขนาดพอคำ แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด ทิ้งไว้สักครู่แล้วปิดไฟ ยกลงจากเตา เทน้ำที่ต้มทิ้งไปเพื่อไม่ให้แกงจืดมีรสขม นำน้ำใส่หม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่สะโพกไก่ ต้มจนสุก หมั่นช้อนฟองออก จากนั้นใส่หน่อไม้ เห็ดหอม ปรุงรสใส่เกลือและซีอิ้วขาว เคี่ยวต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้ไฟอ่อน ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นปิดไฟ โรยพริกไทยป่นและผักชี ตักใส่ถ้วยแล้วยกเสิร์ฟได้เลย
 ผู้จัดการออนไลน์