ข้อมูลจาก แพรว
วิธีแก้กรดในกระเพาะ
นอกจากรับประทานอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว กระเพาะอาหารก็ต้องย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ร่างกายสามารถดูด ซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปใช้อย่างเต็มที่ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ไม่ดีนัก เพราะน้ำย่อยไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดจากอาการกรดไหลย้อน
วิธีที่จะช่วยเพิ่มน้ำย่อย คือ รับประทานน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1ช้อนชา-1ช้อนโต๊ะ หรือน้ำมะนาวครึ่งลูกผสมกับน้ำเล็กน้อย ก่อนรับประทานอาหาร 20 นาที
ใครว่าช็อกโกแลตเป็นได้แค่ขนมหวาน เพราะมีรายงานทางการแพทย์มากมายระบุว่า สารให้รสขมของช็อกโกแลต หรือทีโอโบ รไมน์ (Theobromine) นั้น นอกจากจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ลดอาการเจ็บปวด ช่วยขยายหลอดเลือด และกระตุ้นระบบ ประสาทส่วนกลางแล้วยังช่วยแก้ไอเรื้อรังได้อย่างชะงัด
และเพื่อต่อยอดคุณประโยชน์ดังกล่าว ขณะนี้บริษัทผลิตยาบางแห่งได้พยายามใช้สารสกัดจากช็อกโกแลตเพื่อเป็นส่วนผสม ใน ยาแก้ไอด้วย แต่กว่าจะถึงวันนั้น หากคุณมีอาการไอค่อกแค่กๆ ลองชงดาร์กช็อกโกแลตกับน้ำอุ่นแล้วจิบระหว่างวันดูสิคะ อร่อย ได้ประโยชน์ แถมยังหายจากอาการไอแสนทรมานอีกด้วย
ที่มา thaiza.com
การดื่มน้ำชามากมันมีผลต่อตัวเรายังงัย บทความนี้ขอนำเสนอ ข้อมูลจาก thai.cri.cn/1/2008/12/10/21s139444.htm
ชาเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตประจำวันของชาวจีน เวลาทำงาน กินข้าว รับรองแขก ล้วนนิยมดื่มน้ำชา เพราะว่า น้ำชาทั้งกลิ่นหอม แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน และยังเป็นผลดีต่อการบำรุงสมอง นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์ได้วิจัยผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีที่มีความเคยชินดื่มน้ำชาจำนวนกว่า 2,500 คนเป็นเวลา 2 ปี พบว่า 2 ใน 3 ไม่มีอาการความจำเสื่อม แต่ผู้ที่ไม่ดื่มน้ำชา 35% ความจำเสื่อมลง แสดงว่า การดื่มน้ำชา ช่วยให้สมองสดชื่น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ปัจจุบัน ชาวจีนนิยมดื่มชาหลายอย่าง อาทิ
ชาเกลือ การดื่มน้ำชาที่ผสมเกลือบางๆ สามารถรักษาไข้หวัด แก้ไอ ร้อนในและปวดฟัน
ชาน้ำส้มสายชู การดื่มน้ำชาที่เจือด้วยน้ำส้มสายชู จะบำรุงกระเพาะอาหาร แก้มาลาเรีย และปวดฟัน
ชาขิง การดื่มน้ำชาขิงหลังอาหาร บำรุงปอด บรรเทาอาการไอ ป้องกันและรักษาไข้หวัด และโรคไทฟอยด์
ชานม ต้มน้ำนมที่ใส่น้ำตาลกรวดขาวให้เดือด แล้วผสมด้วยน้ำชา จะได้ช่วยลดความอ้วน บำรุงม้าม และให้สมองสดชื่น
ชาน้ำผื้ง การดื่มน้ำชาที่ชงน้ำผึ้งและใบชาด้วยกัน จะสามารถแก้การกระหายน้ำ บำรุงเลือด ทำให้ปอดชุ่มชื่น บำรุงไต และแก้ท้องผูก
เนื่องจากชามีประโยชน์มากมาย จึงมีคนนิยมดื่มน้ำชาเป็นประจำจำนวนมากขึ้น แต่มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดื่มน้ำชาดังนี้
1. ชอบดื่มชาใหม่ เนื่องจากชาใหม่เก็บมาเป็นเวลาสั้น มีสารที่ยังไม่เป็นอ๊อกซิไดซ์หลายอย่าง ซึ่งจะระคายกรดเคลือบในกระเพาะอาหารและลำไส้จนทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ดังนั้น ไม่ควรดื่มชาใหม่ที่เก็บมาไม่ถึง 15 วัน
2. ดื่มน้ำชาที่ชงเป็นครั้งแรก เนื่องจากยาฆ่าแมลงและสารพิษอาจค้างอยู่บนใบชา ดังนั้น น้ำชาที่ชงเป็นครั้งแรกเป็นน้ำล้างชา ไม่ควรดื่ม
3. ดื่มน้ำชาขณะท้องว่าง จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจางลง และทำให้สารที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเข้าสู่เลือด จะเกิดอาการเวียนหัว ใจหวิว มือเท้าชา
4. ดื่มน้ำชาหลังอาหาร เมื่อกรดฟอกหนังในใบชาผสมกับธาตุเหล็กในอาหารแล้วจะละลายได้ยาก ถ้าทำติดต่อเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็กจนเป็นโรคโลหิตจาง
5. ดื่มน้ำชาขณะเป็นไข้ ใบชามีด่างชา ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
6. ผู้ป่วยโรคเป็นแผลในกระเพาะอาหารดื่มน้ำชาแล้ว คาเฟอินในใบชาจะทำให้น้ำย่อยอาหารในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น ทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผลกระทั่งเป็นรูก็ได้
7. การดื่มน้ำชาในช่วงมีประจำเดือน โดยเพฉาะดื่มน้ำชาข้น จะทำให้อาการไม่สบายในช่วงประจำเดือนหนักขึ้นเป็น 2.4 เท่าของผู้ที่ไม่ดื่มน้ำชา
8. การดื่มน้ำชาอย่างเดียวตลอดปี ควรดื่มน้ำชาตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิควรดื่มน้ำชาดอกไม้ ฤดูร้อนดื่มน้ำชาเขียว ช่วยแก้ร้อนใน ขจัดสารพิษ เสริมสมรรถนะของกระเพาะอาหารและลำไส้ ป้องกันท้องเสีย ฤดูใบไม้ร่วงควรดื่มชาอูหลง ไม่ร้อนไม่เย็น สามารถขจัดความร้อนออกจากร่างกาย ส่วนฤดูหนาวดื่มชาแดงดีกว่า เพราะว่าชาแดงอุดมด้วยสารโปรตีน บำรุงร่างกายได้
9. กินยาด้วยน้ำชา จะทำให้ส่วนประกอบบางอย่างในยาเกิดตะกอน จนลดสมรรถภาพของยา
10. การดื่มน้ำชาเย็น ไม่เหมาะสำหรับผู้แพ้คาเฟอิน ผู้หญิงมีครรภ์ เด็ก ผู้มีโรคหัวใจ ผู้เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
11. เติมน้ำตาลในน้ำชา น้ำชาหวานไม่เหมาะสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและผู้ที่กำลังลดความอ้วน
12. การดื่มน้ำชามากเกินควร ผลการวิจัยปรากฎว่า แต่ละวันดื่มน้ำชา 150 กรัม.ก็จะได้ผลบำรุงสุขภาพ แต่บางคนเข้าใจว่า ดื่มน้ำชายิ่งมากยิ่งดี จนส่งผลกระทบต่อการนอนหรืออาการไม่สะบายอื่นๆ
13. ใบชาไม่ใช่ยิ่งเก็บนานยิ่งดี โดยเฉพาะชาผลไม้และดอกไม้ เนื่องจากมีน้ำเยอะ จึงขึ้นราง่าย ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนใบชาอื่นๆ เมื่อหมดอายุแล้ว ไม่ควรดื่ม เพราะว่าอาจเกิดสารที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพขึ้น
วิธีการที่ชงน้ำชาที่ถูกต้องคือ
การชงชาเขียว ใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ 80-90 องศา ถ้าชงผงชาเขียว ควรใช้น้ำอุ่น อุณหภูมิ 40-60 องศา
น้ำชาที่ชงเสร็จแล้ว ควรดื่มให้หมดภายใน 30-60 นาที เพราะว่าสารโภชนาการอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิน 60 นาที
น้ำชาเขียวไม่ควรเข้นข้นเกินไป เพื่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร
1.ปกติผิวปอดทั้ง 2 ข้างของคนเราจะมีเยื่อหุ้มอยู่ 2 ชั้น ซึ่งมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ปอดสามารถหดและขยายตามจังหวะการหายใจออก-เข้า และระหว่างเยื่อหุ้มปอด 2 ชั้นนั้น จะมีช่องว่างอยู่เรียกว่า “ช่องเยื่อหุ้มปอด”เยื่อหุ้มปอดที่อยู่ชั้นนอกจะมีประสาทรับสัมผัสกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มปอด ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้หากมีการอักเสบรุนแรงเกิดขึ้น ก็อาจมีน้ำหรือหนองซึมออกมาขังอยู่ใน “ช่องเยื่อหุ้มปอด” ถ้ามีปริมาณมากก็จะดันให้เนื้อปอดแฟบลง สูญเสียเนื้อที่ที่ใช้ในการหายใจ ทำให้เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อยได้บางครั้งก็อาจมีการแตกของถุงลมปอด ทำให้มีลมรั่วเข้าไปขังอยู่ใน “ช่องเยื่อหุ้มปอด” ดันให้เนื้อปอดแฟบ เกิดอาการหอบเหนื่อยได้เช่นกัน
2.การอักเสบของเยื่อหุ้มปอดอาจเกิดจากสาเหตุได้หลายประการที่พบบ่อยก็คือ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย บางครั้งเชื้ออาจลุกลามมาจากโรคที่เกิดในเนื้อปอดก็ได้ เช่น วัณโรคปอด ปอดอักเสบ (ปอดบวม) เป็นต้น ในภาวะที่มีน้ำหรือหนอง หรือลมรั่วออกมาขังอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอดก็อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด เกิดอาการเจ็บแปลบหน้าอกได้เช่นกันสาเหตุที่พบได้น้อย แต่ร้ายแรงก็คือ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่เยื่อหุ้มปอด ซึ่งมะเร็งต้นเหตุอาจอยู่ที่เนื้อปอด เต้านม หรือรังไข่ก็ได้ เยื่อหุ้มปอดอักเสบจึงมีความรุนแรงมากน้อยขึ้นกับสาเหตุที่พบ
⇒ รู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้เป็นอื่นคนที่เป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจะมีอาการเจ็บหน้าอกที่มีลักษณะจำเพาะคือ จะมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเพียงจุดใดจุดหนึ่ง (ตรงกับตำแหน่งที่มีอาการอักเสบ) อาจเป็นซีกซ้ายหรือซีกขวาก็ได้ จะเจ็บเพียงชั่วขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ ซึ่งปอดขยายตัวเต็มที่ ทำให้ส่วนที่อักเสบเกิดมีการเสียดสีขึ้นมา ขณะหายใจออกหรือหายใจแบบค่อย ๆ จะไม่มีอาการเจ็บหน้าอกถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรง ก็มักจะไม่มีอาการผิดปกติอื่นใดร่วมด้วย และค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 3-5 วัน
แต่ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากสาเหตุที่รุนแรง นอกจากอาการเจ็บแปลบหน้าอกดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น1. ปอดอักเสบ จะมีไข้สูง ไอมีเสลดเป็นหนอง หายใจหอบร่วมด้วย2. วัณโรคปอด จะมีไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดร่วมด้วย3. ภาวะมีน้ำหรือหนองหรือลมขังอยู่ในช่องหุ้มปอดจะมีอาการแน่นอึดอัด หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย4. มะเร็ง อาจมีอาการไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วยสาเหตุดังกล่าวล้วนถือเป็นเรื่องร้ายแรง หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะอื่นที่ควรจะรู้จักไว้เพื่อการแยกแยะโรค ดังนี้1.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จะมีอาการเจ็บแน่นตรงกลางลิ้นปี่ แล้วปวดร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร หรือต้นแขน นานครั้งละ 2-3 นาที มักปวดเวลาออกแรง หรือมีอารมณ์เครียด หรือหลังกินอิ่ม หรือหลังถูกความเย็น เมื่อนั่งพักสักครู่จะหายปวดได้เอง มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป อาจมีประวัติสูบบุหรี่จัด หรือเป็นเบาหวาน หรือความดันเลือดสูง
2.โรคหน้าอกยอก คนที่มีกระดูกหรือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกยอก เช่น ถูกกระทบกระแทก ชกต่อยหรือประสบอุบัติเหตุ จะมีอาการปวดยอกตรงจุดใดจุดหนึ่ง เมื่อเอานิ้วกดดูจะเจ็บมากขึ้น มักเป็นอยู่นาน1-2 สัปดาห์
3.โรคกังวลใจ คนที่มีความวิตกกังวลคิดมาก บางครั้งอาจมีความรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่ตลอดเวลา จะรู้สึกเจ็บเวลาอยู่ว่าง ๆ หรือขณะนั่งหรือนอนอยู่เฉย ๆ แต่เวลาทำอะไรเพลินหรือออกกำลังกายจะหายเจ็บ โดยที่อาการไม่รุนแรงและสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี บางคนอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย
⇒เมื่อไรควรไปพบแพทย์ควรไปพบแพทย์โดยเร็วเมื่อ1. มีอาการไข้ ไอมีเสลดเป็นหนอง ไอเป็นเลือด รู้สึกแน่นอึดอัดในอก หายใจหอบเหนื่อย หรือน้ำหนักลดร่วมด้วย2. มีอาการเจ็บแน่นตรงกลางลิ้นปี่ และปวดร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร หรือต้นแขน3. อาการไม่ทุเลาใน 3 วัน4. มีความวิตกกังวล
⇒แพทย์จะทำอะไรให้แพทย์จะซักถามลักษณะอาการปวดหน้าอก ตำแหน่งที่ปวด และสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการ จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจปอด และหัวใจ บางครั้งอาจต้องส่งตรวจเอกซเรย์ปอด คลื่นหัวใจ หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆถ้าพบว่าเป็นเพียงโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากไวรัส ซึ่งจะตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด ก็จะให้ยาบรรเทาปวดและนัดดูอาการใน 2-3 วันต่อมา ถ้าพบว่ามีสาเหตุร้ายแรง เช่น ปอดอักเสบ ภาวะมีลมหรือน้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด ก็จำเป็น ต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าจะปลอดภัยถ้าพบว่าเป็นวัณโรคปอดก็จะให้ยารักษาวัณโรคกินนาน 6-12 เดือน
โดยสรุป อาการเจ็บแปลบหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ เป็นอาการของเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุต่าง ๆ หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีก็สามารถดูแลตนเองได้ หากไม่ทุเลาใน 3 วัน ก็ควรจะพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป
การดูแลรักษาตนเอง
เมื่อมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เป็นบางครั้งบางคราว โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรปฏิบัติตัวดังนี้1. พยายามหายใจเข้า-ออกตามปกติ อย่าเผลอหายใจเข้าลึก ๆ2. ถ้าปวดมาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด
ข้อมูลจากhttp://www.doctor.or.th/node/3815
สารพันคุณค่าจากน้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง... จะประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายเราเอาไปใช้ได้เลย คือ กลูโคสและฟรุคโตส ฟรุคโตสเรารู้จักกันดี คือเป็นน้ำตาลในผลไม้ พอประกอบกันสองตัวจะพบว่าน้ำตาลฟรุคโตสจะมีปริมาณมากกว่ากลูโคส และอาจะมีมอลโตสและ ซูโคส มอลโตส มอลโตสก็คือน้ำตาลมอลท์ เป็นต้น
แต่ว่าจะมีกลูโคสและฟรุคโตส ฟรุคโตสที่เป็นโมเลกุลหลักๆ เวลาที่เราทานเข้าไป ร่างกายจะเอากลูโคสไปใช้ได้เลยทันที เมื่อทานไป ร่างการเราจะรู้สึกสดชื่นในทันที
ส่วนฟรุคโตสจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นกลูโคส เมื่อเราทานฟรุคโตสเข้าไปจึงค่อยๆปล่อยพลังงานมาช้าๆ เพราะฉะนั้นก็จะให้เรามีเรี่ยวแรงต่อไปอีกระยะนึง นักกีฬาก็สามารถทานได้ด้วยก่อนออกกำลังกาย เพราะว่านับว่าเป็น Energy Booster คือได้ทั้งก่อนออกกำลังกายและขณะออกกำลังกาย คือทานแค่ 1 ช้อนโต๊ะก็เพียงพอแล้ว
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
อย่างแรกก็คือ ให้พลังงาน อย่างต่อมาก็คือมีสารต้านอนุมูลอิสระ และตัวฆ่าเชื้อโรค น้ำผึ้งนอกจะทำเป็นเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว ยังนำมาราดบนหน้าขนมปังปิ้งแทนเนย หรือว่าชา แทนที่เราจะใส่น้ำตาล ใส่นม ทำเป็นน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือว่าทานคู่กับโยเกิร์ตก็ได้
เมื่อเทียบคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งและน้ำตาล จะพบว่าน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะครึ่ง และน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ เทียบเท่ากับข้าว 1 ทัพพี ฉะนั้นในคนที่ต้องระวังเรื่องสุขภาพจะต้องระวังนิดนึง อย่างเช่นคนที่เป็นโรคเบาหวานหรือคนที่ต้องระวังเรื่องน้ำหนัก น้ำผึ้งที่เราควรเลือกกินคือน้ำผึ้งธรรมชาติเพราะว่าสามารถเก็บได้นาน แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งจากผึ้งเลี้ยง หรือว่าเจือจางมาแล้วก็จะไม่ค่อยดีอาจจะเป็นอันตรายจากเชื้อโรคต่างๆได้
Tips : น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตระคิวบ่อยๆ สามารถดื่มน้ำผึ้งเพื่อบรรเทาได้
ที่มา:สนุก