เตือนระวังพิษยาแก้สิว ส่งผลซึมเศร้า-ฆ่าตัวตายค่านิยมผิวขาวเนียน หน้าใสไร้สิว เกิดขึ้นในคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นได้รับการปลูกฝังค่านิยมแบบนี้อย่างไม่รู้ตัว ด้วยโฆษณาต่างๆ ที่เกลื่อนหน้าจอทีวี
สิวดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กๆ และไม่น่าจะมีอันตรายอะไร แต่รู้หรือไม่ว่าการกินยาเพื่อลดสิวที่ทำกันทั่วๆ ไปนั้น มีอันตรายร้ายแรงแบบที่คาดไม่ถึง
พ.ญ.อรยา กว้างสุขสถิตย์ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย อธิบายว่า ปัญหาสิวไม่ใช่สุขภาพกาย ซึ่งสำหรับวัยรุ่นปัญหาสิวดูเหมือนจะกระทบสุขภาพใจมากกว่า เพราะจะทำให้ไม่สวยงามตามสมัยนิยม
สิวเป็นสิ่งที่เกิดจากการเปลี่ยน แปลงฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นต่อมไขมัน ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและผลิตไขมันออกมามากขึ้น ซึ่งการสร้างเคราติน ที่ผิดปกติบริเวณรูขุมขนทำให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขน
และแบคทีเรียที่ชื่อโคโลนี แบคทีเรียแอกเน่ ที่เพิ่มมากขึ้นบริเวณรูขุมขน เป็นตัวกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้น
นอก จากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ความเครียด การนวด ขัดถูใบหน้าแรงๆ และการใช้ยาบางอย่าง เช่น สเตียร์รอย หรือเครื่องสำอางและสารเคมีบางอย่าง
วิธี รักษาที่แพทย์แนะนำ หากเป็นสิวเพียงเล็กน้อยควรล้างหน้าให้สะอาด ไม่บีบ ไม่แกะ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานให้ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงการใช้ยา สารเคมี เครื่องสำอาง
แต่ถ้ามีการอุดตันอาจต้องใช้ยาช่วย เช่น ทาเบนซิลเปอร์ออกไซด์ หรือยาทา กลุ่มกรดวิตามินเอ จะทำให้สิวลอกง่าย แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องอาจเกิดการระคายเคือง นอกจากนี้ไม่ควรบีบ เจาะสิวเอง ถ้าใช้ยาทาต่อเนื่องหลายสัปดาห์ไม่ดีขึ้น หรือสิวหายแล้วเป็นรอย ควรพบแพทย์
สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยารับประทานโรแอคคูเทน (roaccutane) หรือแอคโนติน (acnotin) หรือไอโซเทน (isotane) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มไอโซเตรติโนอิน ซึ่งเป็น กรดวิตามินเอขนาดสูง มีผลข้างเคียงมาก ข้อดีคือ ทำให้สิวหาย เร็วขึ้น
แต่ ข้อเสียคือ ตับทำงานผิดปกติ ไขมันและระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูง ปวดศีรษะ อาจรุนแรงจากความดันในสมองสูง ปวดกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
ลำไส้ ใหญ่อักเสบจากการขาดเลือด ทำให้ปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ผมร่วงบาง เล็บเปราะ เล็บอักเสบ ด้านจิตใจพบว่าอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า และเคยมีคนฆ่าตัวตายด้วย
ที่สำคัญห้ามหญิงมีครรภ์รับประทานเด็ดขาด เพราะทำให้ทารกพิการได้
หน้า 28
ขอบคุณ
ข่าวสดออนไลน์
ขอบคุณข้อมูล FW Mailเพื่อนๆ บางคนอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของ 8 โรคร้ายนี้ที่จะเป็นตัวการทำให้เรียนไม่จบได้ ลองอ่านดู จะได้รู้วิธีป้องกันรักษากันค่ะ
โรคที่หนึ่ง นอนตื่นสาย
อาการ เข้าห้องเรียนสายประจำ หรือไม่เข้าเลย
วิธีป้องกันรักษา เข้า
นอนให้เร็วกว่าเดิม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในที่ที่ต้องเดินไปปิด ห้ามเอาไว้ใกล้เตียง
อย่าคุยกับเพื่อนจนดึก เพราะโรคนี้สามารถติดต่อทางการพูดคุยจนลืมเวลานอน
โรคที่สอง ง่วงนอนในห้องเรียน
อาการ เหม่อลอย หรือแอบหลับในห้องเรียน (เป็นประจำ) มักพบในรายวิชาที่เรียน 8 โมงเช้าหรือหลังอาหารกลางวัน
วิธีป้องกันรักษา สาเหตุ
มีหลายประการ เช่น นอนไม่พอ วิธีแก้ไข นอนให้พอซะทุกอย่างจะดีเอง
ฟังอาจารย์พูดแล้วง่วง วิธีแก้ไข
ต้องคิดตามและพยายามจดจะทำให้ไม่ง่วงอีกต่อไป แถมเข้าใจมากขึ้นอีกต่างหาก
ถ้ายังง่วงอยู่ให้เพื่อนข้าง ๆ หยิกแรง ๆ จะได้ตื่น
โรคที่สาม ผีดิบดูดเลือด
อาการ มักออกอาการช่วงใกล้สอบ ขอบตาจะเขียวคล้ำ มองแบบไร้จุดมุ่งหมาย เหม่อลอยเหมือนจะเดินทะลุกำแพงได้
วิธีป้องกันรักษา ต้องจัดตารางเวลาให้ดี อ่านหนังสือและทบทวนทุกวัน ทำ short note เวลาอ่านหนังสือ เพื่อจะได้อ่านเพียงแค่ไม่กี่แผ่นก่อนเข้าห้องสอบ
โรคที่สี่ ไม่สบายช่วงใกล้สอบ
อาการ ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง เป็นหวัด
วิธีป้องกันรักษา
โดย มากสาเหตุมาจากความเครียด วิธีแก้ไขพยายามอย่าเครียด
ให้ออกกำลังให้สม่ำเสมอ อย่ากดดันตัวเองเกินไปในการเรียน
พยายามทำให้ดีที่สุด
โรคที่ห้า http://www./strong>
อาการ ไม่ ใช่อาการที่ติด internet จนไม่เป็นอันทำอะไร
แต่เป็นอาการที่ลงวิชาเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำอีกเป็นจำนวน 3
ครั้งและทุกครั้งก็ขอถอนรายวิชาก่อนที่จะสอบปลายภาค
บางคนอาการหนักหน่อยก็จะได้ Women http://www.(WWWW)
มักพบในกลุ่มนักศึกษาที่ลงเรียน Calculus หรือวิชาคำนวณอื่นๆ
วิธีป้องกันรักษา ทำ แบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ
เพราะเป็นวิชาคำนวณ
ต่อให้เรียนหนักอย่างไรแต่ไม่ฝึกทำแบบฝึกหัดก็คงจะผ่านวิชานี้ลำบาก
และอย่าท้อ หรือมีอคติกับวิชาก่อนที่จะได้เรียน
โรคที่หก Pro ต่ำ
อาการ จะ พบโรคนี้ประมาณเทอมสามเป็นต้นไปของนักศึกษาปี
1 และทุกเทอมของนักศึกษาปีอื่น ๆ อาการคือ สำหรับนักศึกษาปี 1 GPAX.
ของทั้งสามเทอมต่ำกว่า 1.80 หรือสำหรับนักศึกษาปีอื่น ๆ
คือเป็นเทอมแรกที่มี GPAX. ต่ำกว่า 1.80
วิธีป้องกันรักษา
ถ้าติด โรคนี้แล้วต้องรักษาโดยการวางแผนการลงทะเบียนใหม่
เลือกลงวิชาที่ถนัดและต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้ A ไม่ใช่ขอแค่ผ่าน
ถ้ายังไม่ติดโรคนี้วิธีป้องกันคือ ตั้งใจเรียน และต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่า A
เท่านั้นที่เราต้องการเพราะถ้าพลาดได้ B, C ก็ยังไม่เลวร้าย
แต่ถ้าคิดแค่ว่าขอแค่ผ่าน (ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าแค่ผ่านคือ ไม่ F
เป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนะคะ) ขอแค่ผ่าน คือ ต้องได้อย่างต่ำ C
ทุกวิชา เพราะนั้นคือ GPAX. = 2.00
โรคที่เจ็ด Pro สูง
อาการ คล้าย ๆ โรค Pro ต่ำ แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่ GPAX. ต่ำกว่า 2.00 แต่มากว่า 1.80
วิธีป้องกันรักษา เช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ
โรคที่แปด รีไทร์
อาการ พบโรคนี้ได้ทุกเทอม อาการคือ GPAX. ต่ำกว่า 1.00
(สำหรับนักศึกษาปี 1 ในเทอมที่ 1 และ 2) 1.50 (สำหรับนักศึกษาปี 1
ในเทอมที่ 3) 1.80 แต่มากกว่า 1.50 สองภาคเรียนต่อเนื่องกัน
(สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี) 2.00 สี่ภาคเรียนต่อเนื่องกัน
(สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี)
วิธีป้องกันรักษา วิธีป้องกันเช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ วิธีรักษาเอนท์ใหม่เท่านั้น!!!!
ถ้าอยากเรียนจบพร้อมเพื่อนๆ กรุณาหลีกเลี่ยง 8 โรคนี้ ให้ได้นะคะ
Less is More ที่มา การใช้ชีวิตปัจจุบันอาจส่งผลให้พฤติกรรมบางอย่างอยู่ในภาวะ เกิน เช่น กินเกิน นั่งนานเกิน เครียดเกิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดผลเสียกับสุขภาพหลายประการ ดังนั้นการลดพฤติกรรมเกินๆ ให้กลับมาสู่จุดที่พอดีหรือจุดแห่งความสมดุล จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น
1. ลดน้ำตาล
ปกติ คนเราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา (ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ชายตัวใหญ่จึงอนุโลมให้บริโภคได้ถึง 8 ช้อนชา) ขณะที่ปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยวันละ 22-23 ช้อนชา ด้วยเหตุนี้ใครที่รู้ตัวว่าบริโภคน้ำตาลสูงกว่าปริมาณเฉลี่ยก็ควรลดลง เพราะการบริโภคน้ำตาลที่ล้นเกินจะเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ทั้งอ้วนตัวใหญ่และอ้วนลงพุง รวมถึงทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง
นอก จากนี้ยังมีข้อมูลว่า น้ำตาลทุกช้อนที่เราเติมในอาหารจะลด HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีที่ช่วยป้องกันการเกิดและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ขาดเลือดและโรคมะเร็ง โดยผู้หญิงจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชาย
และ นอกจากน้ำตาลแล้ว เราควรต้องระวังน้ำตาลฟรุกโตส (fructose syrup) ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องดื่มนิยมนำใช้แทนน้ำตาล และทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นน้ำตาลที่มีผลดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลทราย ทั่วไป แต่ปัจจุบันมีผลการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลฟรุกโตสวันละ 1-2 กระป๋อง มีโอกาสที่จะทำให้กรดยูริกสูงขึ้น จึงเสี่ยงต่อโรคไต หรือไตเสื่อม (จากการที่กรดยูริกไปตกตะกอนที่ไต) ดังนั้นหากคุณชอบดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลฟรุกโตสก็อาจจะต้องหมั่นตรวจ เช็คกรดยูริกด้วย รวมถึงไม่ควรดื่มมาก เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำตาลเกิน
2. ลดเกลือโซเดียม
เกลือ ในที่นี้หมายถึง เกลือโซเดียม โดยโซเดียมเป็นส่วนประกอบของเกลือแกง ซึ่งเกลือแกง 1 กรัมจะมีโซเดียม 400 กรัม นอกจากนี้โซเดียมยังแฝงมากับอาหารประเภทอื่นด้วย เช่น ผงชูรส และเครื่องปรุงรสต่างๆ
เดิมสหรัฐอเมริกาและยุโรปแนะนำว่า ไม่ควรบริโภคเกลือโซเดียมเกินวันละ 2,400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะครึ่ง (น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะมีเกลือโซเดียมประมาณ 1,200-1,600 มิลลิกรัม แล้วแต่ยี่ห้อ) แต่ในปีนี้สมาคมหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้รณรงค์ให้คนอเมริกันลดการบริโภคเกลือโซเดียมลงเหลือวันละ 1,500 มิลลิกรัม ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้คนอเมริกันเป็นความดันโลหิตสูงลดลงประมาณ 11 ล้านคน และเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาสหประชาชาติ ได้หยิบยกเรื่องสุขภาพขึ้นมาปรึกษาหารือกันในที่ประชุมผู้นำประเทศ เพราะต้องการรณรงค์ให้ทุกประเทศลดการใส่เกลือโซเดียมในอาหาร ด้วยเหตุผลที่ว่าการลดเกลือโซเดียมช่วยลดการเกิดโรคได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลดการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด อันก่อให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยการลดบริโภคเกลือโซเดียมคุ้มค่ากว่าการให้ยาลดไขมันในผู้ป่วยที่ไขมันสูง หรือแม้กระทั่งการใช้ยาลดความดันในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แต่ปัจจุบันคนไทยเฉลี่ยบริโภคเกลือโซเดียมวันละประมาณ 4,000-5,000 มิลลิกรัม ขณะที่ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงบริโภคถึงวันละ 7,000-8,000 มิลลิกรัม
3. ลดไขมันไม่ดี
ไขมันที่เกี่ยวกับโรค หัวใจและหลอดเลือดคือ ไขมันไม่ดี (low density lipoprotein cholesterol : LDL) และไขมันที่ดี (high density lipoprotein cholesterol: HDL)
ไขมัน ไม่ดี (LDL) จะได้จากอาหารมันๆ ที่รับประทานเข้าไป และจากตับที่สร้างมากเกินไป เมื่อ LDL ไปรวมกับสารอนุมูลอิสระ (ของเสียที่ร่างกายสร้างขึ้นมา) ก็จะสะสมอยู่ที่หลอดเลือดตามอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย และเปลี่ยนเป็นไขมันไปพอกที่พุง ทำให้เกิดอ้วนลงพุงตามมา
ส่วน ไขมันดี (HDL) จะทำหน้าที่ขนไขมันไม่ดีส่วนเกินไปทิ้งที่ตับ น้ำดี ขับออกจากร่างกายทางอุจจาระ ถ้าปริมาณไขมันดี ไม่สามารถขนไขมันไม่ดีไปทิ้งได้หมด ก็จะเกิดการสะสม โดยถ้าสะสมที่หลอดเลือดสมองจนตีบ ตัน จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ถ้าสะสมที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจนตีบ ตัน จะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย ถ้าสะสมที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้ไตเสื่อม ไตวาย และความดันโลหิตสูง
เพื่อ ป้องกันไม่ให้ไขมันไม่ดีไปสะสมที่หลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดหัวใจ เราจึงไม่ควรบริโภคอาหารประเภทไขมันเกิน 20 % ของพลังงานทั้งหมดที่ได้จาการรับประทานอาหาร และควรมีสัดส่วนการบริโภคไขมันที่เหมาะสม คือแบ่งเป็น ไขมันอิ่มตัว (saturated fat) 6 % ไขมันไม่อิ่มตัวชนิด monounsaturated 7 % และไขมันไม่อิ่มตัวชนิด polyunsaturated 7 % โดยแบ่งเป็น โอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 อย่างละครึ่ง
โดยไขมันชนิดอิ่มตัวจะกระตุ้นการผลิต LDL ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด เราจึงควรระมัดระวังไม่บริโภคไขมันชนิดนี้สูงเกิน โดยหลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ ผลิตภัณฑ์ประเภทนม น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว รวมถึงไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งเกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนเข้ากับไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (polyunsaturated fat) เช่น มาการีน หรือเนยเทียมต่างๆ
รวมถึงหลีก เลี่ยงอาหารทอด เพราะการทอดสามารถเปลี่ยนน้ำมันดีให้กลายเป็นน้ำมันร้ายและมีอันตรายได้ อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอุณหภูมิสูงจะทำให้น้ำมันเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
4. ระวัง HDL ต่ำ
มีการ ศึกษาพบว่า ในคนเอเชียที่มีระดับคอเลสเตอรอลปกติ มักมีภาวะไขมัน HDL ต่ำ (เมื่อเปรียบเทียบกับชาวตะวันตก) ดังนั้นนอกจากการลดไขมัน LDL ซึ่งก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างคือควรต้องเพิ่มไขมัน HDL ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดให้สูงขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีเส้นใยชนิดละลายน้ำ ลดน้ำหนักไม่ให้อ้วน หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ และรับประทานไขมันโอเมก้า-3 ให้มากขึ้น
5. ลดมลพิษทางอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นความ เครียด ความโกรธ ความเกลียด หรือความคิดในแง่ลบ โดยในแง่ของความเครียดนั้นมีผลการศึกษาพบว่า ความเครียดก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า หรือเซ็งเรื้อรัง ซึ่งความซึมเศร้ามีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด และอัมพาต เนื่องจากว่าเมื่อซึมเศร้าคนเราก็มักไม่อยากดูแลตัวเอง ไม่อยากออกกำลังกาย อยากสบาย อยากอร่อย รวมถึงหาวิธีแก้เซ็งด้วยการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ขณะที่ผลการศึกษาในต่างประเทศเกี่ยวกับความเครียดต่อสุขภาพที่มีชื่อโครงการ ศึกษาว่า “Don’t worry be happy study” ก็พบว่า ผู้ที่มีความเครียด กังวล หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย มีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงกว่าผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใสยิ้มได้เมื่อภัยมา
ขณะ ที่ผลการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นโดยการติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นระยะเวลา 5-10 ปีพบว่า ผู้ที่มีความคิดในแง่ลบ ไม่มีความเพลิดเพลินกับชีวิต มีโอกาสเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดและเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่า ผู้ที่มีความสุขและมีความพึงพอใจในชีวิต ขณะที่ผลการศึกษาแบบ systematic review (การศึกษาที่รวบรวมงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ชิ้นเพื่อนำมาหาข้อสรุป) ก็พบว่า คนที่มีความโกรธ เกลียด อิจฉาเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน
6.ลดการนอนดึก
ศาสตร์ แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ไม่ควรเข้านอนเกินเที่ยงคืน เพื่อให้อวัยวะภายในได้มีการพักผ่อนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้การนอนดึกยังทำให้นอนตื่นสาย ซึ่งอาจจะทำให้ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้า อันเป็นอาหารมื้อสำคัญของร่างกาย โดยเฉพาะกับเด็ก ซึ่งอาจจะทำให้มีพัฒนาการทางสมองช้ากว่า และเพิ่มโอกาสที่จะมีน้ำหนักตัวเกินมากกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า เพราะอาหารเช้าจะช่วยให้รับประทานอาหารมื้ออื่นน้อยลง ขณะที่ศาสตร์ตะวันตกแนะนำว่า ไม่ควรนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง หรือมากกว่า 9 ชั่วโมงเพื่อผลที่ดีต่อสุขภาพ คือไม่เพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวาน ไขมันผิดปกติ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน
7. ลดการสูบบุหรี่
ใน บุหรี่มีสารต่างๆ อยู่พันกว่าชนิด แต่ที่มีผลสำคัญต่อหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง ได้แก่ สารนิโคตินที่เมื่อสะสมในร่างกายจะกระตุ้นสมอง สั่งให้หัวใจบีบแรงขึ้น เต้นเร็วขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้น ที่สำคัญคือทำให้หลอดเลือดหัวใจและสมองหดตัวแคบลง ที่สำคัญคือทำให้หลอดเลือดหัวใจและสมองหดตัวแคบลง หรือการสะสมสารคาร์บอนมอนอกไซด์จากบุหรี่ จะไปแทนที่ออกซิเจนในอากาศที่หายใจเข้าไป ทำให้หัวใจและสมองขาดออกซิเจน ขาดพลังงานหรือสะสมสารอนุมูลอิสระ
นอกจากนี้บุหรี่ยังมีผลเสียต่อ สุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจต่างๆ พ่อแม่ที่สูบบุหรี่ ลูกมีโอกาสตายคลอด หรือพิการสูงกว่าลูกที่พ่อแม่ไม่สูบบุหรี่ และผลการศึกษาในผู้สูบบุหรี่ยังที่พบว่า การงดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด 4 สัปดาห์จะช่วยป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้ดีกว่าการงดบุหรี่ใน วันผ่าตัด
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก systematic review ชิ้นใหม่ออกมาว่า ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเท่ากับผู้ชาย หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ (จากเดิมที่เคยเข้าใจว่าผู้หญิงจะมีโอกาสเกิดน้อยกว่า) ทั้งนี้เนื่องจากผู้หญิงจะมีปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ความอ้วน หรือการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับผู้ชาย จากเดิมที่ผู้หญิงจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
ส่วนผล การศึกษาข้อมูลในคนอายุน้อยพบว่า ถ้าสูบบุหรี่เท่ากัน คนที่มีอายุน้อยมีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายสูงกว่าคนที่มีอายุมากกว่า เนื่องจากคนอายุน้อยจะไม่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่น ทำให้หัวใจไม่เคยเตรียมพร้อม หรือไม่เคยขาดเลือดมาก่อน พอมาขาดเลือดจากการสูบบุหรี่ทำให้มีอาการรุนแรงมากกว่า
ดังนั้นคนที่ สูบบุหรี่จึงควรเลิก โดยอาจจะใช้วิธีการหักดิบหรือค่อยๆ เลิกก็ได้ตามถนัด เพราะผลการวิจัยไม่พบผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาโดยไปซื้อยามารับประทานเอง อยากให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางตัว
8. ลดการดื่มแอลกอฮอล์
แม้ จะมีคำแนะนำจากชาวตะวันตกว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง (ซึ่งหมายถึงเบียร์ 2 กระป๋อง ไวน์ 1 แก้วเล็ก วิสกี้ 1 เป๊กสำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้ดื่มน้อยลงครึ่งหนึ่ง) จะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ แต่ชาวเอเชียไม่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำนี้อีกต่อไป เพราะมีการค้นพบข้อมูลใหม่ที่ยืนยันว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอด อาหารในชาวเอเชีย ทั้งนี้เนื่องจากคนเอเชียมีความพร้อมที่จะเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารมากกว่า ชาวตะวันตก แต่ถ้าหากยังต้องการดื่มไวน์แดง เพื่อป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ขอแนะนำให้รับประทานองุ่นแทนดีกว่า แต่ต้องเคี้ยวทั้งเมล็ดและเปลือก เพราะจะได้รับสาร resveratrol ที่มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งหลอดอาหารอีกต่อไป
9. ลดพฤติกรรมนั่งๆ นอนๆ
ผล ของ systematic review พบว่า ในแต่ละวันถ้าเรานั่งมากกว่า 3 ส่วน 4 ของเวลาที่เราตื่น จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิต
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยระบุว่า การนั่งนานเกิน 2 ชั่วโมงจะเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิต โดยผู้หญิงจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชาย ฉะนั้นเราจึงควรลุกขึ้นยืนหรือเดินไปมาหลังจากนั่งทำงานหรือนั่งประชุมนาน เกิน 2 ชั่วโมง
ขณะที่การนั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์มากๆ ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน รวมถึงยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก เพราะกระเพาะและลำไส้ไม่มีการขยับเขยื้อน ซึ่งหากมีการท้องผูกเรื้อรังจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน ก็จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย
10. ลดความอ้วน
ความ อ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็ง เข่าเสื่อม ไขมันพอกตับ นิ่วในถุงน้ำดี แม้กระทั่งเป็นหมัน ดังนั้นการลดน้ำหนักให้อยู่ในระดับสมดุล จะช่วยปกป้องโรคภัยนานาชนิด
อย่าง ไรก็ดีการลดน้ำหนักให้ได้อย่างถาวร จะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะถ้าไม่เปลี่ยน ก็จะลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ แล้วกลับมาอ้วนอีก โดยเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเข้าข่ายอ้วนหรือไม่
ปัจจุบันใช้ดัชนีมวลกาย(BMI) เป็นเกณฑ์ ซึ่งมีสูตรการคำนวณคือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หาร (ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง)
หาก ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18-23 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าอยู่ระหว่าง 23-25 ถือว่าน้ำหนักเกิน แต่ถ้าเกิน 25 จะถือว่าอ้วน โดยความอ้วนมี 2 แบบ แบบแรกคืออ้วนตัวใหญ่ ซึ่งจะใช้ดัชนีมวลกายเป็นเกณฑ์วัดดังกล่าวไปแล้ว ส่วนอีกแบบคืออ้วนแบบเอวใหญ่ (หรืออ้วนพีมีพุง หรือ metabolic syndrome) จะใช้รอบเอวเป็นตัววัด โดยผู้หญิงรอบเอวไม่ควรเกิน 32 นิ้ว หรือ 80 เซนติเมตร ส่วนผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว หรือ 90 เซนติเมตร หากเกินกว่านี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มอ้วนพีมีลงพุง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเช่นกัน
อยาก สุขภาพดีต้องรู้จักดูแลตัวเอง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ซึ่งการลดพฤติกรรมล้นเกินข้างต้น ก็จะทำให้สุขภาพของเราสมดุลและแข็งแรงได้
เปลี่ยนชีวิตเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่โรคจะเปลี่ยนชีวิตคุณ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
สาว ๆ เคยได้ยินคำว่าโบท็อกซ์ผม หรือว่า แฮร์โบท็อกซ์ กันมาบ้างหรือเปล่าคะ แล้วเคยสงสัยกันบ้างไหมว่ามีขั้นตอนการทำอย่างไร และดีต่อเส้นผมเช่นไรบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำเรื่องราวเกี่ยวกับการทำโบท็อกซ์ผมมาทำกันค่ะ
โบท็อกซ์เส้นผมนั้นต่างจากการทำโบท็อกซ์ผิวหน้าเพื่อลดริ้วรอยอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน นั่นก็คือทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง ราวกับได้คืนชีวิตใหม่ให้แก่ส่วนนั้น สำหรับผิวพรรณผลก็คือทำให้หน้าดูเรียบตึง ไร้ซึ่งริ้วรอย และในส่วนของเส้นผม ก็จะทำให้เส้นผมที่เคยเสีย กลับมาเรียบลื่น สุขภาพดี เหมือนกับการย้อนวัยให้เส้นผมดูอ่อนเยาว์นั่นเอง
ขั้นตอนการทำโบท็อกซ์เส้นผมนั้นหาใช่การฉีดสารโบท็อกซ์เข้าใต้หนังศีรษะไม่ แต่เริ่มต้นจากการทำความสะอาดเส้นผมด้วยคลาริฟายอิ้ง แชมพู (clarifying shampoo) เพื่อทำความสะอาดเส้นผมอย่างหมดจดไร้ซึ่งสารตกค้างต่าง ๆ ทุกประเภท จากนั้นจึงแบ่งผมออกเป็นช่อ ๆ และทาผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์เส้นผมลงไป ทิ้งไว้ราว 45 นาที เพื่อให้เส้นผมได้ซึมซับโปรตีนและสารแอนตี้ออกซิแดนท์เข้าไป จากนั้นจึงสระทำความสะอาดด้วยแชมพูที่ปราศจากสารซัลเฟต และตามด้วยการใช้ครีมคอนดิชั่นเนอร์ ก็นับเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการ
สภาพเส้นผมหลังการทำโบท็อกซ์จะเรียบลื่น มีน้ำหนัก ทิ้งตัวสวย ไม่ชี้ฟู เกล็ดผมที่เสียหายได้รับการเคลือบปิด ดูแข็งแรง เท่านี้ก็เดินออกจากร้านทำผมพร้อมผมสวยสุขภาพดี ให้คุณกลับไปครีเอททรงผมงาม ๆ จากผมนิ่มสลวยนี้ได้เต็มที่ ..อ้อ และที่สำคัญ หลังจากนี้ไปก็ต้องรู้จักบำรุงรักษาเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงสภาพผมสวย ๆ แบบนี้ไปนาน ๆ ด้วยค่ะ