credit : thairath ผู้เชี่ยวชาญการอาหาร มหาวิทยาลัยออโตโนมัส แห่งนครมาดริด บอกสร้างความเข้าใจว่า อาหารพวกทอดก็อาจจะกินได้ โดยไม่แสลงต่อหัวใจ หากว่าทอดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน
แต่ได้ กล่าวย้ำว่า ได้ศึกษาเฉพาะกับอาหารสเปน ซึ่งใช้น้ำมันทั้ง 2 ชนิดในการทอดเป็นประจำอยู่แล้วเท่านั้น ไม่ได้ใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันอื่นเลย ดังนั้นกับอาหารชาติอื่น อาจจะไม่เกิดผลแบบเดียวกันนี้ก็ได้
พวกเขารู้ดีว่า การกินอาหารทอดมากๆ อาจจะทำให้ความดันโลหิต และไขมันในเลือดขึ้นสูง อันเป็นปัจจัยเสี่ยงกับโรคหัวใจได้
วารสาร “การแพทย์อังกฤษ” ซึ่งรายงานผลการศึกษาเรื่องนี้ กล่าวด้วยว่า นักโภชนาการโรคหัวใจของมูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษ ได้ให้ความเห็นว่า “ไม่ว่าจะปรุงแบบไหน การรับประทานอาหารทอดซึ่งมีไขมันมาก ทำให้ต้องได้รับแคลอรีสูง อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและเกิดอ้วนได้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ ควรเลือกกินอาหารที่สมส่วน เป็นผักกับผลไม้มากๆ กินอาหารมันๆแต่น้อย จะทำให้หัวใจแข็งแรงได้มากที่สุด”.
(ไทยโพสต์)การเรียนรู้ถึงสัญญาณเตือนที่นำไปสู่ริ้วรอย และสาเหตุที่แท้จริงของรอยยับย่นบนใบหน้าของเรานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะบางครั้งคุณสาวๆ ทั้งหลายอาจมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อย ที่อาจส่งผลให้เกิดริ้วรอยหรือรอยตีนกาบนใบหน้า เช่น การยิ้มหรือการหัวเราะในขณะที่เรากำลังมีความสุข หรือการที่ต้องสัมผัสแสงแดดบ่อยๆ ในระหว่างขับรถนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้นอกจากจะทำให้ใบหน้าของคุณหมองคล้ำแล้ว ยังปรากฏริ้วรอยบนใบหน้าได้อีกด้วย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยการพึ่งครีมบำรุงหรือการใช้เซรุ่ม เพื่อช่วยให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์ดังเดิมนั้นอาจเป็นได้ยาก ดังนั้นการเตรียมตัวป้องกันนั้น ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสาวๆ ห่างไกลจากปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้ไม่มากก็น้อย
1. แม้กระทั่งในรถของคุณ คุณยังสามารถเพิ่มความเสี่ยง การเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้จากแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามา
หน้าต่างรถของคุณสามารถเคลื่อนย้าย และเปิดรับสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังป้องกันแสงแดดในขณะที่คุณ กำลังอยู่บนท้องถนน นอกจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดอย่าง “broad-spectrum” ทุกวันแล้ว คุณอาจพิจารณาการติดกระจกกรองแสง เพื่อช่วยป้องกันรังสี UVA ด้วยเช่นกัน
2. ถ้าคุณต้องการรู้ว่าอีกนานไหมหรือเมื่อใดที่คุณจะลดรอยเหี่ยวย่น ให้มองไปที่คนในครอบครัวของคุณ
การเกิดริ้วรอยนั้นมีองค์ประกอบทางพันธุกรรมร่วมด้วย การมองหาพ่อแม่และปู่ย่าตายายของคุณ เป็นวิธีของการทำนายที่มีศักยภาพ ที่ช่วยเตือนในเรื่องของการเกิดริ้วรอย และลดความเหี่ยวย่นให้แก่ผิวกาย ผิวหน้า รวมถึงคอและบริเวณคางของคุณ พูดง่ายๆ ว่าเราได้เรียนรู้การดูแลผิวของเราให้ดียิ่งขึ้น จากบรรพบุรุษของเราเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเหี่ยวย่นหรือแก่ก่อนวัย เหมือนดังเช่นปู่ย่าตายายนั่นเอง
3. การที่คุณชอบนอนหลับโดยหันไปด้านใดด้านหนึ่งนั้น จะก่อให้เกิดริ้วรอยที่ฝังลึกลงบนใบหน้าของคุณได้
ถ้าคุณเปลี่ยนตำแหน่งการนอน จะสามารถลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของคุณได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นกับใบหน้าของคุณ แนะนำให้ลองปรับวิธีการนอนหลับของคุณเสียใหม่
4. เส้นขมวดบริเวณคิ้ว เป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่าคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา
แทนที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวที่บอกถึงผลกระทบที่มาจากแสงแดด แต่เส้นขมวดบริเวณคิ้วนั้นเป็นรอยย่นระหว่างตา ในความเป็นจริงแล้วคุณอาจจะมีหนี้ที่ค้างชำระสำหรับตรวจสอบตา สำหรับบางคนที่เพ่งสายตามากจนเกินไป อาจพบกับปัญหามีน้ำพุ่งออกมาจากลูกตา และขังอยู่ในบริเวณเบ้าตา ซึ่งเป็นสัญญาณมาจากกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณหน้าผาก พูดง่ายๆ ว่าอาการดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นระหว่างคิ้วของคุณนั่นเอง การทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้รอยยับย่นเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้น เธอกล่าวต่อว่า ถ้าคุณแก้ไขปัญหาสายตาตั้งแต่แรก คุณจะสามารถลดลักษณะรอยขมวดหรือรอยย่นที่ปรากฏบริเวณร่องคิ้วให้เป็นเส้นตรง ได้
5. อาหารที่มีสีสดใสจะช่วยปัดเป่าริ้วรอยได้
ผักและผลไม้ อย่างเช่น ลาสเบอรี่ บลูเบอรี่ พริกแดงหยวก และผักโขมนั้นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถช่วยให้ผิวของคุณดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวของคุณจากมลภาวะ ช่วยให้ผิวของคุณอ่อนนุ่นและคงความกระจ่างใสตลอดไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สนับสนุนหรือเป็นอาหารที่ดีทั้งต่อสุขภาพและหัวใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอีสูง ซึ่งพบได้ในถั่วเหลืองและชาเขียว ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์กับผิวของคุณด้วย
6. ดื่มผงปูนไฮเดรทที่มีส่วนประกอบของน้ำเป็นหลัก สามารถช่วยลดริ้วรอยที่บริเวณร่องแก้มได้
ทุกคนควรที่จะรู้ไว้ว่านอกจากการจิบน้ำที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ หรือเป็นโครงสร้างโมเลเกุลทางเคมีของผงปูนไฮเดรทประจำทุกวันแล้ว ก็ควรที่จะดื่มของเหลวชนิดอื่นเข้าไปสู่ร่างกายด้วย เพื่อช่วยทำให้ผิวของคุณนุ่มชุ่มชื่น เมื่อผิวของคุณเริ่มแห้งนั้น ก็มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดริ้วรอยหมองคล้ำได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวการที่นำมาสู่ริ้วรอยและความเหี่ยวย่น ขณะเดียวกัน น้ำจะเป็นตัวที่เก็บรวบรวมและขับสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งก็อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบกับผิวของคุณ ดังนั้นคุณจึงควรดื่มน้ำเป็นประจำวันละ 6-8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และที่สำคัญยังช่วยลดริ้วรอยบริเวณร่องแก้มได้อีกด้วย
7. เมื่อสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของคุณ เป็นสิ่งที่มากกว่าริ้วรอย
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของอายุหรือพันธุกรรม เพราะมันเป็นริ้วรอยแรกที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณ หลังจากที่คุณแสดงสีหน้าซ้ำกันหลายๆ ครั้ง ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้านั้นส่วนหนึ่งมาจากการหัวเราะด้วยเช่นกัน ซึ่งรอยตีนกานั้นจะอยู่ตรงกลางหน้าผาก แนวโน้มของการเกิดรอยตีนกานั้นจะเพิ่มมากขึ้น หากคุณแสดงออกทางสีหน้าในลักษณะซ้ำๆ กันมากขึ้น อย่างเช่น การทำหน้าบึ้งตึง การยิ้มหรือยกขึ้นกล้ามเนื้อหน้าผากขึ้นลง ในขณะที่คุณรู้สึกประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อใบหน้าของคุณเริ่มมีริ้วรอย มันก็จะมีคงอยู่ในลักษณะนั้นตลอดไป
8. กระตุ้นให้คอลลาเจนที่มีอยู่ใต้ผิวไปช่วยลดริ้วรอยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า
อย่างที่ทราบกันดีว่าคอลลาเจนนั้นมีคุณสมบัติที่สำคัญในการสร้างและเก็บกัก ความกระชับและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง เมื่อคุณบังคับให้เซลล์ถูกใช้งานมากขึ้น ก็จะมีการผลิตคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นตัวที่สร้างความเต่งตึง และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยลดความหย่อนคล้อยลงได้เช่นกัน ดร.ซาดิกส์ เผยให้ทราบว่า สำหรับโลชั่นที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เช่น เป็ปไทด์ หรือกรดเอเอชเอ (เป็นกรดที่พบในผลไม้และนม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวเนียนขึ้นดูสดใสขึ้น) รวมถึงเรตินอยด์ (มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด) ซึ่งสารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะช่วยในการเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในร่างกาย และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ในบางจุด
ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณีสมุนไพรรักษาโรค ที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม เมตตาแนะนำแก่ญาติโยม
๑.ชาตะ ไคร้ สรรพคุณ แก้ปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา ป้องกันกระดูกผุ นั่งดูหนังสือแล้วตาลาย ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ป้องกันโรคไต เบาหวาน คอเลสเตอรอล วิธีทำ เอาต้นตะไคร้ล้างให้สะอาด (ตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร) ใช้ส่วนที่เป็นต้น ใบกับรากไม่เอา หั่นตากแดดให้แห้งสนิท แล้วนำมาคั่วให้เหลืองหอม เก็บไว้ชง หรือต้มกินต่างน้ำเหมือนน้ำชา
๒.ยา อายุวัฒนะ สรรพคุณ แก้มะเร็งเม็ดเลือด เสกด้วย นวหรคุณ ๙ รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ๆ รักษาเอดส์ ต้องเสกด้วยพุทธคุณ ๑๐๘ แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง วิธีทำ เกลือทะเลเม็ด ๓ ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น ๕ ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออกสับ ๗ ส่วน นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่ายกินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมากๆ
๓.โรคไตวาย วิธีทำ ให้ไปถากเปลือกงิ้วแดง ถากขึ้น ๒ ถากลง ๑ มาต้มดื่มต่างน้ำ(ต้มสดๆเลย เวลาถากเปลือก อย่าถากรอบต้น ต้นไม้จะตาย)
๔.เสียงแหบแห้ง วิธีทำ ให้นำกระเทียม พริกไทย โขลกให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำผึ้งกิน
๕.ตกขาว วิธีทำ นำสับปะรดทั้งหัวหมกปูนขาว ๓ วัน(ถ้ายังไม่สุก หรือฉ่ำให้หมกต่อ)แล้วนำมาปอกกินตามปกติ
๖.โรค ชัก เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคป่วง วิธีทำ นำพริกไทยเม็ดโขลก ให้ละเอียดใส่แคปซูลไว้ กินพร้อมกันอย่างละ ๑ แคปซูล(ของยาแผนปัจจุบัน)กินก่อนอาหารเช้า-เย็น
๗.โรคกระเพาะ วิธีทำ ให้เอากล้วยน้ำว้าดิบ ฝานบางๆตากแดดให้แห้งสนิท แล้วปั่นให้เป็นแป้ง เวลากินตักครั้งละ ๑ ช้อนคาว ใส่น้ำสุกอุ่นๆแล้วดื่ม
๘.เลือดกำเดาออก วิธีทำเอาใบพุทรา(พุดซา) ๓ กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือหนัก ๔ บาท ยาข้าวเย็นใต้หนัก ๔ บาทมาต้มดื่มต่างน้ำ
๙.มะเร็ง วิธีทำ นำลุกใต้ใบทั้ง ๕ กับต้นใบไมยราบทั้ง ๕ มาต้มกินต่างน้ำ (ทั้ง ค หมายถึง ราก ต้น ใบ ดอก และ ผล )
๑๐.โรค ตับแข็ง วิธีทำ กินบอระเพ็ดวันละ ๕ แว่น (ยาประมาณ ๒ ซม.หรือองคุลี) โดยเฉพาะคุณแม่ที่กินยาดองหลังคลอดบุตร และรักษามะเร็ง หรือโรคท้องมาน ต้องลงด้วย นะโม พุทธายะ อีกขนาน บอระเพ็ดสด ๑ ช้อนคาวแล้วตามด้วยน้ำผึ้งเดือนห้า
๑๑.ร้อนใน อาเจียน วิธีทำ ใบตำลึงตมกิน อีกขาน ให้เอายอกกระทกรกและยอดตำลึง ต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน
๑๒.โรคภูมิแพ้ วิธีทำ ให้กินบอระเพ็ด
๑๓.โรคหอบ-หืด วิธีทำ นำต้นตำแยแมว มาโขลกใส่น้ำซาวข้าวกรองเอาแต่นำมากิน
๑๔.โรคหัวใจโต วิธีทำ กินกระถินแล้วเอาเปลือกกับรากมาต้มน้ำดื่ม
๑๕.นมหลง(ปวดนม หรือนมคัด) วิธีทำ เอานุ่นมาจุดไฟแล้ว ใส่ไหกระเทียมอย่าใหควันออก เอาปากไหครอบเต้านมไม่นานน้ำนมจะไหลหายปวด
๑๖.กระเพาะ ปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ วิธีทำ ข้าวเย็นเหนือ จาวเย็นใต้ หนัก ๔ บาท ฟ้าทะลายโจร (สด) ๑ กำมือ หญ้าหนวดแมว(สด) ๑ กำมือ รากหญ้าคา(สด) ๑ กำมือ นำตัวยาทั้ง ๔ อย่าง นำมาต้มดื่มแทนน้ำ
๑๗.ไข้ ทับระดู(เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน)วิธีทำ หญ้าเจ้าชู้ ๓ กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือ ข้วเย็นใต้ หนัก ๔ บาท นัวยาทั้งหมดมาต้มดื่มต่างน้ำ
๑๘. บิดหัวลูก(เป็นโรคบิดระหว่างตั้งครรภ์ ลุกขี้มักตายในท้อง หรือ ไม่ก็คลอดออกมาแล้วตาย) วิธีทำ ๑. นำเปลือกมะพร้าวอ่อน(ปอกผิว สีเขียวออกเอาเฉพาะส่วนที่กาบอ่อน )บิดเอาน้ำ ๑ แก้ว ๒. น้ำปูนใส (ปูนกินหมาก ๑/๒ แก้ว ๓. เปาะหอม ทั้ง ๓ สิ่งนำมาโขลก กรองเอาแต่น้ำมากิน
๑๙. โรคลำไส้เน่า เป็นยาเทวดา ท่านผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดสิงห์บุร์ ชื่อมหาเทียบ นองบุญนาค เปรียญธรรม ๖ ประโยค เสียชีวิตไปตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๐ )เป็นคนทำถวาย วิธีทำ ใช้หม้อดิน เอาเกลือมา ๓ กำให้กลั้นใจหยิบ ๓ จับแล้วเทใส่หม้อ ท่านสอนให้ท่อง “ พุทธัง ปัจจักขามิ ๑ กำ ธัมมัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ สังฆัง ปัจจักขามิ ๑ กำ ใส่หม้อ ลตุเกลือ (โดยไม่ต้องใส่น้ำ) จนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมาเอาไข่ขาว (ไข่ไก่ ๕ ฟอง ไม่เอาไข่แดง ) ใส่แล้วคนให้เข้ากันท่อง “ พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจกขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ กินครั้งละ ๑ ช้อนคาว
๒๐. รักษาผิวหน้าไม่ให้เหี่ยวย่น วิธีทำ ขนาน ๑ ใช้น้ำผึ้งกับผิวมะนาว ทาหน้าเป็นประจำ หรือ ขนานที่ ๒ ใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ใช้แล้ว ผสมน้ำมะนาว ทาหน้าเป็นประจำก็ได้
๒๑. ผมอ่อนสลวย วิธีทำ ใช้น้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก) สระผม
๒๒. ตื่นเช้ามาแกว่งแขน ๑๐๐ ครั้ง เตะขาขึ้น ๑๐๐ ครั้ง แล้วอย่าพึ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ๕ แก้ว (ถ้าอายุเกิน ๔๕ ปี กินน้ำต้ม ถ้ายังไม่ถึง ๔๕ ปี ไม่ต้องต้ม ) รับรองอุจจาระดี หูตึงหาย ปวดศรีษะซีกหนึ่ง น้ำตาไหล ปวดลูกตา หายเลยทีเดียว
อานิสงส์ปราศจากโรคภัย ทั้งปวงเทอญ
ขอบ คุณ สมุนไพรรักษาโรค จาก ตำรับยาสมุนไพร ของ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธฒโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี จัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก โดย พ.อ.หญิง วาสุณี อนันตรพีระ กองวิทยาการ กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี ผู้ซึ่งเคยป่วยเป็นโรค มะเร็งที่ไตซ้าย
ที่มา กรงุเทพธุรกิจ
กินข้าวเยอะไปทำให้อ้วน แล้วจะกินข้าวอย่างไรให้ไม่อ้วน แถมยังรักษาโรคได้ด้วยล่ะ
ในโลกข้าวมีหลากหลายชนิดมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ งานวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า ข้าวที่มีสี เช่น ข้าวที่เป็นสีม่วงเข้มให้คุณค่าทางสารอาหารสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระให้ ร่างกายแข็งแรงป้องกันโรคภูมิแพ้ต่างๆ มากกว่า ข้าวขาวขัดสีหรือข้าวหอมมะลิที่รับประทานกันอยู่เป็นประจำในปัจจุบัน
นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ บอกว่า ข้าวเป็นพืชที่มีส่วนประกอบต่างๆ เหมาะสมสำหรับดำรงชีวิตมนุษย์มาก โดยตัวโครงสร้างของข้าวเมื่อเอาเปลือกออกจะมีส่วนหุ้มที่เรียกว่า "รำข้าว" มีวิตามินบี และการศึกษาพบว่าข้าวไทยมีธาตุแมกนีเซียมสูง ซึ่งสามารถใช้ควบคุมเบาหวานได้
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ "ไฟเบอร์ "หรือเส้นใยที่อยู่ในรำข้าว ซึ่งจะแตกต่างจากไฟเบอร์ที่อยู่ในผัก ที่เรียกว่า " เซลลูโลส" ที่ไม่ละลายในน้ำกล่าวคือไฟเบอร์ในรำข้าวเป็นไฟเบอร์ที่สามารถละลายในน้ำได้
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพลองนำเอาข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือที่กะเทาะเปลือกออกแล้วไปแช่น้ำ ข้าวจะดูดน้ำได้มาก แต่ถ้าเอาผักไปแช่น้ำผักไม่สามารถดูดน้ำได้มากเหมือนกับข้าว ไฟเบอร์ของข้าวจึงมีประโยชน์ ในแง่การดูดซับไขมันและช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ถือเป็นวิธีการสร้างสมดุลในการบริโภคอาหาร
ส่วนที่สองคือ "จมูกข้าว" หรือที่รู้จักในนามของ "ข้าวกล้องงอก " จมูกข้าวคือส่วนที่เป็นต้นอ่อน ซึ่งจะงอกออกมาเป็นต้นข้าว จึงมีธาตุอาหารมากและสารที่สำคัญก็คือสารกาบา (Gamma-aminobutyric acid ; GABA) ที่มีส่วนช่วยในเรื่องความจำ และเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองและการฟื้นฟูสุขภาพ
ส่วนสุดท้ายที่คนส่วนใหญ่บริโภคก็คือ "แป้ง" ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในสุดของเมล็ดข้าว ซึ่งให้พลังงานกับร่างกาย จึงจำเป็นต้องหาโปรตีนและสารอื่นมารับประทานคู่กันเพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น
หากทุกคนเข้าใจหลักการนี้แล้วเปลี่ยนวิธีในการบริโภคข้าวจะพบว่า แค่เปลี่ยนจากบริโภคข้าวขาว หรือข้าวขัดสีมาเป็นข้าวกล้องจะได้สารอาหารเกือบครบถ้วน แม้ไม่มีกับข้าว
เมื่อข้าวกลายเป็นยา
คงถึงเวลาที่จะรณรงค์ให้หันมาบริโภคข้าวกล้องให้เหมาะกับสภาวะสุขภาพของตน เอง เพราะข้าวกล้องไม่ได้มีคุณค่าแค่ประทังชีวิต แต่ยังเป็น "ยา" อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารอาหารในข้าวกล้องหลายพันธุ์ พบว่ามีสารอาหารและไฟเบอร์ที่ช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด
นายแพทย์ก้องเกียรติ แนะนำว่า ข้าวกล้องหอมนิล เหมาะกับคนสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเป็นหวัด ภูมิแพ้
เพราะ มีโปรตีนและธาตุเหล็กมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่า เมล็ดสีม่วงดำมีแอนโทไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเป็นพื้นฐานการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเกร็งตัว มะเร็ง ข้อต่ออักเสบและอัลไซเมอร์
รวมทั้งมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ เพราะมีเส้นใยอาหารสูงช่วยแก้ปัญหาท้องผูก
ส่วนข้าวกล้องหอมมะลิแดงที่เกิดจากการกลายพันธุ์เป็นสีแดง เพราะถูกนำมาผสมซ้ำๆ กันจนได้พันธุ์แท้ขึ้นมานั้น เหมาะกับคนที่ขาดธาตุเหล็ก หรือโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กสูง ไม่ว่าจะเป็นสุภาพสตรี หรือเด็กในต่างจังหวัดควรรับประทาน เพราะโอกาสที่จะเข้าถึงเนื้อหรืออาหารที่มีธาตุเหล็กน้อยกว่าเด็กในเมือง ซึ่งดีกว่ารับประทานยาบำรุงเลือด
ส่วนคนที่เป็นโรคเบาหวานควรบริโภคข้าวกล้องสินเหล็ก ที่มีความสามารถในการกลายเป็นน้ำตาลต่ำ กล่าวคือแป้งเวลาที่ถูกเคี้ยว หรือย่อยด้วยน้ำลายจะกลายเป็นน้ำตาล แต่แป้งในข้าวพันธุ์นี้โมเลกุลมีความซับซ้อนมาก จึงกลายเป็นน้ำตาลน้อย ทำให้ความสามารถในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ได้ดี
"จนคนไข้บางรายไม่ต้องพึ่งยา ดังนั้นคนที่กำลังเป็นเบาหวาน หรือคนอ้วนที่มีความเสี่ยง หากบริโภคข้าวที่กลายเป็นน้ำตาลต่ำโอกาสเป็นเบาหวานก็ลดลง"
สำหรับคนเมืองที่มีกิจกรรมและออกกำลังกายน้อย รับประทานผักน้อยควรเปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องจะได้ไฟเบอร์มากทำให้ระบบ ขับถ่ายดีขึ้น
ยกตัวอย่าง หากบริโภคข้าวกล้องหอมนิล 100 ส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ของข้าวเป็นไฟเบอร์ หมายความว่า ถ้ากินข้าวกล้องเท่ากับลดอาหารไปได้ 40 เปอร์เซ็นต์จากเดิมเป็นแป้งทั้ง 1 ทัพพี แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องจะเหลือแป้ง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ยังอิ่มเหมือนเดิมแต่ไม่อ้วนเพราะ แป้งน้อยลง แม้ไม่ได้ลดปริมาณข้าว 3 มื้อลง แต่ก็เหมือนลดปริมาณข้าวไปโดยปริยาย
แต่ประโยชน์ของข้าวกล้องไม่จบอยู่แค่นี้ เพราะยังสามารถพัฒนาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ โดยให้ข้าวเปลือกงอกออกมาเป็นต้นไม่เกิน 14 วันสามารถคั้นมาเป็น “น้ำใบข้าว” ซึ่งน้ำใบข้าวปริมาณ 10 ซีซี .จะได้ทั้งคลอโรฟิลล์ ไฟเบอร์และสารต่างๆ เทียบเท่ากับรับประทานผักสด 1 กิโลกรัม ซึ่งจะมีสัดส่วนของโปรตีนสูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์และมีธาตุแมกนีเซียมสูง
หากนำใบข้าวไปตากแดดให้แห้งแล้วเอาไปคั่วด้วยอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสประมาณ 15 นาทีจะกลายเป็น "ชาใบข้าว" ที่มีคุณค่าสูงเพราะมีทั้งคลอโรฟิลล์ และสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว กลายเป็นเครื่องดื่มมีคุณค่าขั้นเทพ ขณะเดียวกันสามารถแปรรูปมาเป็น “ผงนมข้าว” สามารถชงดื่มได้สะดวกและสามารถผสมธัญพืช ฟักทอง หรือผักขม กลายเป็นซุปมื้อเช้าได้อีกด้วย
ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนมีความสนใจในเรื่องสุขภาพของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดโรค ดีกว่าการรักษาเมื่อเกิดโรคแล้ว ทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพตนเองนั้น มาจากอาหารที่เรารับประทานกันนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมารับประทานข้าวกล้องกัน
credit : thairath newsไม่แต่เพียงกินอร่อยเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าช็อกโกแลต ยังช่วยป้องกันโรคของลำไส้ แม้แต่มะเร็งของลำไส้ได้ด้วย
นัก วิจัยเมืองสู้กระทิง ได้พบว่าโกโก้ อาจใช้เป็นระบบป้องกันของร่างกาย สกัดการส่งสัญญาณของเซลล์ เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ซึ่งทำให้เนื้อร้ายก่อตัวขึ้น
การกินอาหารที่ อุดมด้วยโกโก้ จะช่วยขบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย ที่เรียกกันว่าการตายของเซลล์ ตามที่ร่างกายจะขจัดเซลล์หมดอายุลง เพื่อเปิดทางให้กับเซลล์ใหม่ๆ ที่เรียกว่าเป็นกลไกป้องกันทางเคมี ซึ่งจะกำจัดความก้าวหน้าของมะเร็ง เป็นที่รู้กันว่าโกโก้อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
พวก เขาได้ทดลองกับหนูทดลอง เลี้ยงด้วยอาหารที่อุดมด้วยโกโก้ร้อยละ 12 แล้วทำให้ได้เชื้อมะเร็ง ปรากฏผลว่า หนูที่ได้กินช็อกโกแลต จะไม่ค่อยมีสัญญาณแสดงให้รู้ถึงอาการของมะเร็งลำไส้เกิดขึ้นเท่าใดนัก อาการแสดงอย่างหนึ่ง ได้แก่ ตุ่มเล็กๆ ขึ้นตามเยื่อบุลำไส้และรูทวาร
องค์การ อนามัยโลกกล่าวว่า มะเร็งของลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง เป็นสาเหตุการตายทั่วโลกชั้นนำอันหนึ่ง และเป็นมะเร็ง ที่มีผู้ป่วยมากที่สุดของโลกอันดับ 4.