ที่มา กรงุเทพธุรกิจ
กินข้าวเยอะไปทำให้อ้วน แล้วจะกินข้าวอย่างไรให้ไม่อ้วน แถมยังรักษาโรคได้ด้วยล่ะ
ในโลกข้าวมีหลากหลายชนิดมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ งานวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า ข้าวที่มีสี เช่น ข้าวที่เป็นสีม่วงเข้มให้คุณค่าทางสารอาหารสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระให้ ร่างกายแข็งแรงป้องกันโรคภูมิแพ้ต่างๆ มากกว่า ข้าวขาวขัดสีหรือข้าวหอมมะลิที่รับประทานกันอยู่เป็นประจำในปัจจุบัน
นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ บอกว่า ข้าวเป็นพืชที่มีส่วนประกอบต่างๆ เหมาะสมสำหรับดำรงชีวิตมนุษย์มาก โดยตัวโครงสร้างของข้าวเมื่อเอาเปลือกออกจะมีส่วนหุ้มที่เรียกว่า "รำข้าว" มีวิตามินบี และการศึกษาพบว่าข้าวไทยมีธาตุแมกนีเซียมสูง ซึ่งสามารถใช้ควบคุมเบาหวานได้
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ "ไฟเบอร์ "หรือเส้นใยที่อยู่ในรำข้าว ซึ่งจะแตกต่างจากไฟเบอร์ที่อยู่ในผัก ที่เรียกว่า " เซลลูโลส" ที่ไม่ละลายในน้ำกล่าวคือไฟเบอร์ในรำข้าวเป็นไฟเบอร์ที่สามารถละลายในน้ำได้
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพลองนำเอาข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือที่กะเทาะเปลือกออกแล้วไปแช่น้ำ ข้าวจะดูดน้ำได้มาก แต่ถ้าเอาผักไปแช่น้ำผักไม่สามารถดูดน้ำได้มากเหมือนกับข้าว ไฟเบอร์ของข้าวจึงมีประโยชน์ ในแง่การดูดซับไขมันและช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ถือเป็นวิธีการสร้างสมดุลในการบริโภคอาหาร
ส่วนที่สองคือ "จมูกข้าว" หรือที่รู้จักในนามของ "ข้าวกล้องงอก " จมูกข้าวคือส่วนที่เป็นต้นอ่อน ซึ่งจะงอกออกมาเป็นต้นข้าว จึงมีธาตุอาหารมากและสารที่สำคัญก็คือสารกาบา (Gamma-aminobutyric acid ; GABA) ที่มีส่วนช่วยในเรื่องความจำ และเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองและการฟื้นฟูสุขภาพ
ส่วนสุดท้ายที่คนส่วนใหญ่บริโภคก็คือ "แป้ง" ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในสุดของเมล็ดข้าว ซึ่งให้พลังงานกับร่างกาย จึงจำเป็นต้องหาโปรตีนและสารอื่นมารับประทานคู่กันเพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น
หากทุกคนเข้าใจหลักการนี้แล้วเปลี่ยนวิธีในการบริโภคข้าวจะพบว่า แค่เปลี่ยนจากบริโภคข้าวขาว หรือข้าวขัดสีมาเป็นข้าวกล้องจะได้สารอาหารเกือบครบถ้วน แม้ไม่มีกับข้าว
เมื่อข้าวกลายเป็นยา
คงถึงเวลาที่จะรณรงค์ให้หันมาบริโภคข้าวกล้องให้เหมาะกับสภาวะสุขภาพของตน เอง เพราะข้าวกล้องไม่ได้มีคุณค่าแค่ประทังชีวิต แต่ยังเป็น "ยา" อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารอาหารในข้าวกล้องหลายพันธุ์ พบว่ามีสารอาหารและไฟเบอร์ที่ช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด
นายแพทย์ก้องเกียรติ แนะนำว่า ข้าวกล้องหอมนิล เหมาะกับคนสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเป็นหวัด ภูมิแพ้
เพราะ มีโปรตีนและธาตุเหล็กมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่า เมล็ดสีม่วงดำมีแอนโทไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเป็นพื้นฐานการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเกร็งตัว มะเร็ง ข้อต่ออักเสบและอัลไซเมอร์
รวมทั้งมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ เพราะมีเส้นใยอาหารสูงช่วยแก้ปัญหาท้องผูก
ส่วนข้าวกล้องหอมมะลิแดงที่เกิดจากการกลายพันธุ์เป็นสีแดง เพราะถูกนำมาผสมซ้ำๆ กันจนได้พันธุ์แท้ขึ้นมานั้น เหมาะกับคนที่ขาดธาตุเหล็ก หรือโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กสูง ไม่ว่าจะเป็นสุภาพสตรี หรือเด็กในต่างจังหวัดควรรับประทาน เพราะโอกาสที่จะเข้าถึงเนื้อหรืออาหารที่มีธาตุเหล็กน้อยกว่าเด็กในเมือง ซึ่งดีกว่ารับประทานยาบำรุงเลือด
ส่วนคนที่เป็นโรคเบาหวานควรบริโภคข้าวกล้องสินเหล็ก ที่มีความสามารถในการกลายเป็นน้ำตาลต่ำ กล่าวคือแป้งเวลาที่ถูกเคี้ยว หรือย่อยด้วยน้ำลายจะกลายเป็นน้ำตาล แต่แป้งในข้าวพันธุ์นี้โมเลกุลมีความซับซ้อนมาก จึงกลายเป็นน้ำตาลน้อย ทำให้ความสามารถในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ได้ดี
"จนคนไข้บางรายไม่ต้องพึ่งยา ดังนั้นคนที่กำลังเป็นเบาหวาน หรือคนอ้วนที่มีความเสี่ยง หากบริโภคข้าวที่กลายเป็นน้ำตาลต่ำโอกาสเป็นเบาหวานก็ลดลง"
สำหรับคนเมืองที่มีกิจกรรมและออกกำลังกายน้อย รับประทานผักน้อยควรเปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องจะได้ไฟเบอร์มากทำให้ระบบ ขับถ่ายดีขึ้น
ยกตัวอย่าง หากบริโภคข้าวกล้องหอมนิล 100 ส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ของข้าวเป็นไฟเบอร์ หมายความว่า ถ้ากินข้าวกล้องเท่ากับลดอาหารไปได้ 40 เปอร์เซ็นต์จากเดิมเป็นแป้งทั้ง 1 ทัพพี แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องจะเหลือแป้ง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ยังอิ่มเหมือนเดิมแต่ไม่อ้วนเพราะ แป้งน้อยลง แม้ไม่ได้ลดปริมาณข้าว 3 มื้อลง แต่ก็เหมือนลดปริมาณข้าวไปโดยปริยาย
แต่ประโยชน์ของข้าวกล้องไม่จบอยู่แค่นี้ เพราะยังสามารถพัฒนาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ โดยให้ข้าวเปลือกงอกออกมาเป็นต้นไม่เกิน 14 วันสามารถคั้นมาเป็น “น้ำใบข้าว” ซึ่งน้ำใบข้าวปริมาณ 10 ซีซี .จะได้ทั้งคลอโรฟิลล์ ไฟเบอร์และสารต่างๆ เทียบเท่ากับรับประทานผักสด 1 กิโลกรัม ซึ่งจะมีสัดส่วนของโปรตีนสูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์และมีธาตุแมกนีเซียมสูง
หากนำใบข้าวไปตากแดดให้แห้งแล้วเอาไปคั่วด้วยอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสประมาณ 15 นาทีจะกลายเป็น "ชาใบข้าว" ที่มีคุณค่าสูงเพราะมีทั้งคลอโรฟิลล์ และสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว กลายเป็นเครื่องดื่มมีคุณค่าขั้นเทพ ขณะเดียวกันสามารถแปรรูปมาเป็น “ผงนมข้าว” สามารถชงดื่มได้สะดวกและสามารถผสมธัญพืช ฟักทอง หรือผักขม กลายเป็นซุปมื้อเช้าได้อีกด้วย
ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนมีความสนใจในเรื่องสุขภาพของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดโรค ดีกว่าการรักษาเมื่อเกิดโรคแล้ว ทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพตนเองนั้น มาจากอาหารที่เรารับประทานกันนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมารับประทานข้าวกล้องกัน
credit : thairath newsไม่แต่เพียงกินอร่อยเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าช็อกโกแลต ยังช่วยป้องกันโรคของลำไส้ แม้แต่มะเร็งของลำไส้ได้ด้วย
นัก วิจัยเมืองสู้กระทิง ได้พบว่าโกโก้ อาจใช้เป็นระบบป้องกันของร่างกาย สกัดการส่งสัญญาณของเซลล์ เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ซึ่งทำให้เนื้อร้ายก่อตัวขึ้น
การกินอาหารที่ อุดมด้วยโกโก้ จะช่วยขบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย ที่เรียกกันว่าการตายของเซลล์ ตามที่ร่างกายจะขจัดเซลล์หมดอายุลง เพื่อเปิดทางให้กับเซลล์ใหม่ๆ ที่เรียกว่าเป็นกลไกป้องกันทางเคมี ซึ่งจะกำจัดความก้าวหน้าของมะเร็ง เป็นที่รู้กันว่าโกโก้อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
พวก เขาได้ทดลองกับหนูทดลอง เลี้ยงด้วยอาหารที่อุดมด้วยโกโก้ร้อยละ 12 แล้วทำให้ได้เชื้อมะเร็ง ปรากฏผลว่า หนูที่ได้กินช็อกโกแลต จะไม่ค่อยมีสัญญาณแสดงให้รู้ถึงอาการของมะเร็งลำไส้เกิดขึ้นเท่าใดนัก อาการแสดงอย่างหนึ่ง ได้แก่ ตุ่มเล็กๆ ขึ้นตามเยื่อบุลำไส้และรูทวาร
องค์การ อนามัยโลกกล่าวว่า มะเร็งของลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง เป็นสาเหตุการตายทั่วโลกชั้นนำอันหนึ่ง และเป็นมะเร็ง ที่มีผู้ป่วยมากที่สุดของโลกอันดับ 4.
credit : Kwanruen Magazine ปัจจุบันนี้เรามักเห็นเด็กนักเรียนเล็ก ๆ แบกกระเป๋าใบโตไปโรงเรียนจนชินตา...ซึ่งคุณหมอออกมาเตือนว่าอาจเสี่ยงได้รับ บาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อได้
ทั้งนี้แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อในเด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) กล่าวว่าเด็กนักเรียนที่แบกกระเป๋าเป้ หรือสะพายบ่า อาจเสี่ยงได้รับบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะช่วง ป.3-ป.4 ที่กล้ามเนื้อ ข้อต่อยังเติบโตไม่เต็มที่ มีโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บได้มากกว่าปกติ ยังดีที่ฟื้นตัวได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
หากลดการใช้งานบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็จะหายเป็นปกติ
การแบกของหนักไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถทำให้เกิด การบาดเจ็บได้ เพียงแต่เด็กโอกาสที่จะเกิดอาการอักเสบเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ส่วนความกังวลที่ว่าการแบกของหนักมีผลต่อการเจริญเติบโตนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะเป็นกระดูกคนละชิ้น การแบกกระเป๋าที่บ่า หรือการถือกระเป๋าหนัก กล้ามเนื้อชิ้นกระดูกที่รับน้ำหนักคือ บริเวณสะบักหลัง การถ่ายน้ำหนักที่ไม่สมดุลจึงส่งผลกระทบแค่กล้ามเนื้อ แต่ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ความสูง หรือกระดูกเกิดการผิดรูปแต่อย่างใด
คำแนะนำในการถือกระเป๋าที่ถูกต้องคือให้ขึ้นสะพายบ่าด้านหลัง และ ใช้สายทั้ง 2 ข้างเพื่อให้เกิดการถ่ายเทน้ำหนักอย่างสมดุล ไม่ควรสะพายติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้
การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ Overload ไม่ช้าเครื่องก็พังวิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงานความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหารท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้าแนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
ท้องผูก มี 2 ลักษณะ1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
ระบบปัสสาวะถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย Overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซียมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
ระบบเหงื่อคนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก
ระบบหายใจระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้
แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ
ขอขอบคุณข้อมูลจากMother & Careครอบครัวที่มีเด็กหลายคนอยู่รวมกัน อาจคงเคยตั้งข้อสังเกตว่าเด็กคนนี้ไม่ค่อยซน เลี้ยงง่าย คนนี้ซนมาก เลี้ยงยากหน่อย แต่อีกคนซนสุดๆ จนผู้เลี้ยงถึงกับออกปากบ่นว่าเหนื่อย (แต่ท่องไว้ เด็กซนคือเด็กฉลาด ไม่เป็นไรลูก ซนมากๆ หนูจะได้ฉลาดๆ) เมื่อเห็นข้อเปรียบเทียบจึงเกิดคำถามในใจว่า ซนมากแบบนี้ลูกเราผิดปกติหรือเปล่านะ จะเสี่ยงเป็นสมาธิสั้น หรือมีปัญหาทางพัฒนาการด้านใดหรือเปล่า
ก่อนไปพบกับคำตอบ ขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตพื้นอารมณ์ของลูกกัน เพราะความเข้าใจความต่างของเด็ก จะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างเหมาะสม
ลองสังเกตดู หนูอยู่กลุ่มไหน
พื้น อารมณ์ (Temperament) เป็นศาสตร์ที่ใช้อธิบายว่าทำไมเด็กแต่ละคนตอบสนองต่อเรื่องเดียวกันต่างกัน โดยพิจารณาที่ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กเป็นหลัก สามารถแบ่งเป็น
• กลุ่มเด็กปรับตัวช้า 15 เปอร์เซ็นต์
• กลุ่มเด็กเลี้ยงง่าย 40 เปอร์เซ็นต์
• กลุ่มเด็กเลี้ยงยาก 10 เปอร์เซ็นต์
• กลุ่มเด็กที่มีความผสมผสานหลายๆ แบบ 35 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มเด็กปรับตัวช้า
เมื่อ เจอสิ่งใหม่ๆ เด็กบางคนอาจจะถอย ร้องไห้ หรือต้องใช้เวลามากกว่าจะกล้าเข้าหา เด็กบางคนมีลักษณะขี้อาย ขี้กังวล เมื่อไปเจอสิ่งใหม่ๆ หรือคนแปลกหน้า จะยังไม่ตอบสนองในช่วงแรก ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา
กลุ่มเด็กเลี้ยงยาก-เลี้ยงง่าย
อาศัยลักษณะบางอย่างในการจำแนกประเภท ซึ่งบางพฤติกรรมก็อาจจะเป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลอยู่แล้ว เช่น
ลักษณะ การเคลื่อนไหว เด็กๆ แต่ละคนมีการเคลื่อนไหวที่เป็นลักษณะเฉพาะบุคคล สังเกตว่าเด็กในกลุ่มที่เราเรียกว่าเลี้ยงยาก มักจะเคลื่อนไหวมาก ยุคยิก ไม่อยู่นิ่ง ชอบเดินไปเดินมา จนเป็นปัญหาว่าคุณแม่ไล่ตามไม่ทัน ส่วนเด็กที่อยู่ในกลุ่มเลี้ยงง่าย ก็มักจะเป็นเด็กที่มีการเคลื่อนไหวน้อย ชอบนั่งเล่นนิ่งๆ อยู่กับที่ ไม่ชอบเคลื่อนไหว พวกเด็กเลี้ยงง่ายบางคนก็มีการเคลื่อนไหวปานกลาง
ความสม่ำเสมอของ สรีรวิทยา เป็นลักษณะการปรับตัวของร่างกายลูกต่อการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น กินเป็นเวลา ถึงเวลานี้จะหิว นอนเป็นเวลา ถึงเวลานี้จะง่วง รู้จักกลางวัน กลางคืน นอนหลับได้ยาว ไม่ตื่นมากวนตอนดึก มากนักมีความสม่ำเสมอในตัวเอง ถือว่าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย พฤติกรรมเมื่อเจอสิ่งใหม่ เด็กเลี้ยงง่ายบางคนเมื่อเจอสิ่งใหม่ก็สามารถตอบสนองได้เร็ว เข้าหาได้เลย ไม่มีอาการกลัวหรือเขินอาย แต่ในขณะที่บางคนมักจะถอยออก แล้วใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว การดูว่าลูกอยู่ในกลุ่มใดจึงควรสังเกตว่าเขาปรับตัวง่าย หรือปรับตัวยาก
ลักษณะ การแสดงอารมณ์ เด็กเลี้ยงยากบางคนถ้าเจออะไรที่ไม่ชอบก็จะตอบสนองด้วยพฤติกรรมที่ค่อนข้าง รุนแรง เช่น ทำเสียงดัง โวยวาย แต่เด็กบางคนเมื่อเจอสถานการณ์เดียวกันก็อาจจะอยู่นิ่งๆ ทำเฉย ไม่ได้แสดงออกด้วยพฤติกรรมที่รุนแรงแต่อย่างใด อาจเป็นอาการให้คุณแม่สังเกตว่าไม่พอใจเพียงทำสีหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
สมาธิ ความสามารถในการจดจ่อของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนถูกเบี่ยงเบนง่าย เล่นเพลินๆ มีเสียงดังนิดหน่อยก็ตกใจแล้ว แต่บางคนกลับไม่เป็นอะไร สามารถเล่นต่อ หรือหลับต่อได้อย่างสบาย ทั่วไปแล้วในเด็กเล็กๆ การใช้สมาธิจดจ่อกับบางสิ่ง จะทำได้แค่ในระยะสั้นๆ ประมาณ 5 นาทีถือว่าดีแล้ว และจะค่อยๆ อยู่ได้นานขึ้นตามวัยตัวอย่างข้างต้นเป็นหลักคร่าวๆ ในการสังเกตว่าลูกของคุณพ่อคุณแม่จัดอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งการสังเกตรายละเอียดต่างๆ นี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจพื้นอารมณ์ของเขา และมีวิธีตอบสนองเขาได้ดีมากขึ้น เช่น หากลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย คุณแม่ก็อาจไม่ต้องเหนื่อยปรับตัวกับเขามาก แต่ถ้าลูกเราอยู่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก ก็อาจต้องเพิ่มระดับความอดทนต่อพฤติกรรมี่ไม่สม่ำเสมอของเขา หรือมีความใจเย็นมากขึ้นเพื่อให้เวลาลูกสำหรับปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ
ซนขนาดนี้ ผิดปกติหรือเปล่า
เด็ก บางคนอาจซนมาก เกิดความลำบากในการเลี้ยงดู จนคุณแม่กังวลว่าลูกผิดปกติหรือไม่ ซึ่งในวัยเตาะแตะ ความซนส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมอยากรู้อยากเห็น และอยากทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ต้องการให้ผู้ใหญ่ตอบสนองอย่างเหมาะสม สำหรับความผิดปกติอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะคือ
1. ปัญหาซนสมาธิสั้น การสังเกตความเสี่ยงสมาธิสั้นจะมองภาพคร่าวๆ ว่าลูกเกิดอุบัติเหตุบ่อยหรือไม่ ผู้เลี้ยงมีความลำบากในการเลี้ยงมากน้อยเพียงไร หรือเขาเล่นโลดโผนรุนแรงไม่กลัวอันตรายเลย หรือจดจ่อกับอะไรได้ไม่นานหรือไม่
โดยทั่วไป แม้ลูกจะมีพฤติกรรมที่อยู่ในขั้นซนมาก ดูเหมือนว่าเป็นเด็กสมาธิสั้น แต่แพทย์จะยังไม่วินิจฉัยว่าเด็กวัยเตาะแตะเป็นสมาธิสั้น เพราะวัยนี้ยังสามารถปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้นได้ โดยอาศัยความใจเย็นอดทน เช่น หากลูกเล่นของเล่นแล้วมีคนอยู่ด้วย คุณแม่พูดชักชวนให้เขาเล่นต่อ โน้มน้าวว่า เล่นแบบนี้หนูเก่ง ตบมือชม แล้วชวนให้ลูกเล่นต่อ ก็จะสามารถเล่นได้นานมากขึ้น เพราะลูกรู้สึกว่า ทำแบบนี้เขาได้รับการยอมรับ เด็กที่มีสมาธิดี อาจให้เวลาเขาให้เขาทำเอง 2 นาที จึงค่อยให้แรงเสริม แต่เด็กบางคนครึ่งนาทีก็ต้องให้แรงเสริมแล้ว
ระยะเวลาในการเสริมแรง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจดจ่อของเด็กแต่ละคน การติดตามดูแลสังเกตพฤติกรรมเด็กที่ซนอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2. เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ เช่น เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าโดยรวมเด็กที่บกพร่องทางภาษา กลุ่มอาการออทิสติก เป็นต้น การสังเกตความเสี่ยงออทิสติก จะพิจารณาว่า ลูกมีพฤติกรรมไม่ค่อยมองหน้าสบตาไม่รับรู้ต่ออารมณ์ ซนไม่สนใจใคร มีพัฒนาการทางสังคม ภาษาและการสื่อสารที่ช้า ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แม่พูดเลยหรือไม่ เพราะเด็กวัยนี้ถึงแม้จะพูดได้ไม่มากนัก อาจจะเริ่มพูดเป็นคำๆ หรือพูดเป็นวลี เป็นประโยค แต่เด็กจะมีความเข้าใจภาพอสมควรทำตามคำสั่งได้ ฟังสิ่งที่เราพูดเข้าใจได้ แต่ถ้าลูกไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูดมาตลอด ก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบว่า ลูกมีปัญหาพัฒนาการด้านอื่น หรือมีอาการของออทิสติกหรือไม่ เพื่อเข้ารับการบำบัดต่อไป