ดูไบ โอเอซิสแห่งความมั่งคั่ง
ดูไบตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างยุโรปกับเอเชีย การบินไปยุโรปก็ใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมง เช่นเดียวกับการบินมาเมืองไทยก็ใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมง เกี่ยวกับสภาพอากาศ ดูไบมีแค่สองฤดู ฤดูร้อนก็ร้อนจัดกว่าเมืองไทยแต่ร้อนกว่านิดหน่อย ฤดูหนาวก็หนาวพอๆ กับทางเหนือของประเทศไทย ไม่หนาวเกินไป
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของดูไบนั้น ในปี 1833 ชนเผ่า Bani Yas tribe ประมาณ 800 คน นำโดยตระกูล Maktoum ซึ่งยังปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบัน ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งบริเวณปากอ่าว ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือที่อุดมสมบูรณ์จึงทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าทางทะเล รวมทั้งการทำประมงและการทำฟาร์มไข่มุก หลังจากนั้นในปีศตวรรษที่ 20 ประเทศดูไบก็กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง เป็นศูนย์กลางการค้าและการส่งออกที่สำคัญ โดยมีซุก (ชื่อเรียกของตลาดบริเวณตะวันออกกลาง) ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า Diera ในปี 1996 ดูไบกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจรัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังจากที่มีการค้นพบน้ำมันดิบ ทำให้เมืองโบราณอายุสองพันปีกลายเป็นเมืองทันสมัยในพริบตา ด้วยโครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งทะเลให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ทต่างๆ ด้วยงบประมาณลงทุนอันล้นพ้น
การค้าขายในดูไบประสบความสำเร็จมาก สามารถดึงดูดให้พ่อค้าชาวอิหร่านและอินเดียมาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขายในประเทศได้ แต่ขณะที่การค้าขายเจริญมากขึ้น ฐานะทางการปกครองของดูไบก็ยังคงเป็นแค่รัฐในอารักขาของอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งบนพื้นที่ทางตอนเหนือของชายฝั่งของคาบสมุทรอาระเบีย ดังนั้นภายหลังจากที่อังกฤษได้ถอนตัวออกจากการปกครองในปี 1971 ดูไบพร้อมด้วยอีกหลายรัฐได้ร่วมกันก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และถัดจากช่วงนั้นในยุค 1980-1990 ดูไบได้ลงทุนสร้างสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมากมาย ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ดูไบเป็นประเทศท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
ดูไบเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ และสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ตระการตา ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและปลอดภัย แต่ที่ทำให้ดูไบเป็นหนึ่งในลิสต์ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (โดยเฉพาะนักช็อปปิ้ง) ก็เพราะว่าที่นี่มีการขายสินค้าปลอดภาษี ดูไบปัจจุบันเป็นเมืองปลอดภาษีทีใครๆ ก็ไปลงทุนที่ดูไบหรือทำงานที่ดูไบ รายได้บริษัทและรายได้ส่วนตัวไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ซึ่งถือเป็นที่ชื่นชอบของเศรษฐีที่ไม่อยากเสียและเลี่ยงภาษีสังคมทั้งหลาย นอกจากนี้ดูไบยังมีตลาดหรือที่เรียกว่า ซุก (Souk) โดยจะขายสินค้ามากมายหลายอย่าง ซุกที่ขึ้นชื่อก็ย่าน Deira Covered Souk ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของดูไบ
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบทองหรือไม่ก็ตามคุณพลาดไม่ได้ที่จะต้องหาโอกาสแวะมาที่ตลาดทองหรือ Gold Souk ให้ได้ เพราะที่นี่ถือเป็นตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร้านทองนับร้อยเรียงรายอยู่ในตรอก ตู้โชว์หน้าร้านเหลืองอร่ามไปด้วยทองรูปพรรณซึ่งมีทั้งแหวน สร้อยคอ กำไล ต่างหู โดยเฉพาะสร้อยคอลวดลายแขกนั้นละเอียดสวยงาม ไม่เฉพาะทองคำเท่านั้นทีนี่ยังเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายเพชร และอัญมณีมีค่าอื่นๆ อีกด้วย ทองที่นี่สีเปล่งปลั่งไม่เหมือนที่ไหน เพราะเป็นทองที่มีความบริสุทธิ์สูงและทั้งหมดนำเข้าจากสวิส ราคาทองที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราตรงที่คิดกันตามน้ำหนัก แต่ของเราจะคิดตามน้ำหนักบวกค่ากำเหน็จตามความยากง่ายของงาน จึงทำให้ดูเหมือนว่าทองที่นี่จะถูกกว่า หากคุณต้องการสร้อยทองที่มีลวดลายสวยงามไม่เหมือนบ้านเรา
ใกล้ตลาดทองคือตลาดเครื่องเทศ หรือ Spice Souk ทั้งตลาดอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศหลากหลายชนิดจากทั่วทุกมุมโลก ถึงแม้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องเทศนักแต่เท่าที่เห็นกองโชว์อยู่ในกระสอบหน้าร้าน ก็มีจำพวกไม้หอม อบเชย ถั่ว กระวาน กานพลู และถั่วร้อยแปดชนิดจากทุกที่ในตะวันออกกลาง เดินทะลุตลาดเครื่องเทศคุณจะพบกับ Dubai Creek ที่แบ่งเมืองดูไบออกเป็นสองฝั่ง อันได้แก่ Deira ทางตอนเหนือ และ Bur Dubai ทางตอนใต้ นั่งเรือข้ามฟากที่เรียกกันว่า Abra ไปย่านตลาดเก่าของดูไบที่เรียกว่า Old Dubai Souk และ Dubai Museum ที่อยู่ทางฝั่ง Bur Dubai ว่ากันถึงเรือ Abra ก็คือพาหนะข้ามฟากเก่าแก่ของเมือง
Dubai Museum เป็นพิพิธภัณฑ์มีตัวอาคารลักษณะเป็นป้อมปราการเล็กๆ คะเนโดยสายตาก็ไม่ใหญ่ภายในบริเวณจัดแสดงงานศิลปะไม่ใช่เฉพาะที่บริเวณสี่เหลี่ยมของป้อม แต่ยังมีการเจาะเป็นทางวนเวียนอยู่ใต้ดิน การจัดแสดงนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หากคุณอยากรู้อยากสัมผัสความเป็นอยู่ของคนอาหรับในอดีตกาล พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีให้คุณครบ
ที่นี่แบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนเป็นแบบเปิดโล่ง แสดงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสมัยก่อนของชาวเอมิเรตส์ สมัยก่อนที่ยังไม่พบน้ำมัน ชาวพื้นเมืองมีอาชีพประมง ซึ่งหลายๆ คนอาจจะสงสัยกันอยู่ว่าจะทำประมงกันในทะเลทรายได้อย่างไร แต่เนื่องจากประเทศติดทะเลก็เลยทำประมงกันได้ มีเรือที่สมัยก่อนใช้ออกทะเลหาปลาและมีอาชีพงมหอยมุก ในสมัยก่อนยังไม่มีสน็อกเกิ้ลและถังออกซิเจนช่วยการดำน้ำ แต่ผู้คนสมัยก่อนดำน้ำโดยใช้วิธีเอาเชือกผูกขาแล้วบีบจมูกแล้วดำลงน้ำไปโดยให้เพื่อนบนเรือนับ 1-10 แล้วดึงเชือกขึ้นมา แล้วยังมีการจัดวางตัวอย่างบ้านสมัยก่อนของชาวอาหรับโบราณสมัยก่อนบนหลังบ้านจะเป็น windtower ไว้เรียกลมเข้าในตัวบ้าน เพื่อให้บ้านเย็นขึ้น เข้าไปข้างในกันบ้าง ภายในก็จะเป็นหุ่นขี้ผึ้งแสดงถึงการใช้ชีวิต อาชีพของคนอาหรับโบราณ อาชีพของคนอาหรับสมัยก่อนก็มี ค้าขาย เป็นช่างไม้ ตัดเย็บ คุณจะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนเผ่าเบดูอินตั้งแต่ครั้งร่อนเร่พเนจรอยู่กลางทะเลทราย สมัยยังไม่เจอบ่อน้ำมัน การนำเสนอก็ทันสมัยและน่าสนใจ ด้วยมีหุ่นจำลองขนาดเท่าของจริง พร้อมเครื่องประดับตกแต่งในสมัยนั้น โดยจัดแสดงแยกออกเป็นห้องๆ
หมู่เกาะต้นปาล์ม (The Palm Islands) เป็นโครงการก่อสร้างเกาะจำลองบริเวณอ่าวเปอร์เซียในดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยแต่ละเกาะจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนต้นปาล์มและล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม โดยพื้นที่จะมีการจัดเป็นที่อยู่อาศัยและรีสอร์ท การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศในโครงการจะมีการสร้างทั้งหมด 3 เกาะได้แก่ ปาล์ม Jumeirah, ปาล์ม Deira และ ปาล์ม Jebel Ali
The Palm Jumeirah ถือเป็นโครงการแรก มีขนาดพื้นที่ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร และถูกล้อมด้วยเขื่อนหินทิ้งถึง 7 ล้านตัน ที่มีความยาวประมาณ 11 กิโลเมตร มาเรียงเป็นคันเขื่อนที่มีแนวอาคารเรียงรายตลอดแนวรูปวงกลมนี้ โดยแนวชายฝั่งเทียมที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้ชายฝั่งทะเลของดูไบเพิ่มขึ้นอีก 78 กิโลเมตร ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วยบ้านสไตล์วิลลาชายทะเล 1,400 หลังและอพาร์ทเมนต์สุดหรูประมาณ 2,500 หน่วย ที่ผู้พักอาศัยสามารถจะย้ายเข้าพักได้ในปี ค.ศ. 2006 มีท่าจอดเรือยอร์ชสำหรับผู้พักอาศัยในโครงการนี้ ลักษณะผังเมื่อมองจากด้านบน จะเป็นรูปลำต้นปาล์มขนาดยักษ์ ตรงยอดเป็นแนวของใบปาล์ม 11 แนวล้อมด้วยแนวเขื่อนกั้นคลื่นเป็นรัศมี
ส่วนของลำต้นเป็นอาคารทรงยาว มีสวนน้ำขนาดใหญ่เครื่องเล่นทันสมัยสารพัดชนิด ร้านอาหารนานาชาติจำนวนนับร้อยร้าน ทั้งร้านอาหารระดับภัตตาคารยุโรป อาหารทะเล อาหารอาหรับ และร้านอาหารทะนสมัยประเภทฟาสต์ฟู้ด ศูนย์การค้าที่มีสินค้าชั้นยอดจากยุโรปและอเมริกา ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ฯลฯ ไปจนถึง Taj Exotic Resort & Spa ซึ่งเป็นสปาชั้นเยี่ยมของโลก และยังมีโรงแรมระดับสี่ดาวไปจนเกินหกดาว ราคาค่าห้องตกอยู่คืนละนับหมื่นเหรียญอเมริกัน และยังมีกิจกรรมกีฬาต่างๆ ที่เป็นกิจกรรมภายในอาคาร โดยเฉพาะสกีโดมที่มีการทำศูนย์การเล่นสกีหิมะในร่ม ซึ่งส่วนบริการกลางนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2004 และโครงการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.2008
การก่อสร้างใช้เวลา 7 ปี ใช้แรงงานก่อสร้างจากแหล่งงานสำคัญจากประเทศต่างๆ จากเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ เพราะแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานราคาถูกที่สุด โดยทำงานผลัดกัน 23 ช่วงต่อวัน ช่วงละ 8 ชั่วโมง แล้วแต่อุณหภูมิในฤดูต่างๆ ซึ่งช่วยให้การก่อสร้างรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วและเสร็จสมบูรณ์ตามแผนที่กำหนด
อีกไฮไลท์ความมั่งคั่งอันก้องโลกของดูไบก็คือ โรงแรม เบิร์จอัลอาหรับที่ทีความสูงที่สุดในโลกเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว แก่งเดียวในโลกหรูหราและแพงที่สุดในโลก ถึงขนาดถมทะเลไปสร้างกันเลยทีเดียว ออกแบบตัวอาคารภายนอกเป็นแบบเรือใบ ตั้งอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออกแบบโดยทอม ไลท์ เจ้าของชื่อ จูเมราห์ ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 10,000$-15,000$ ต่อคืน แพงที่สุดที่ 28,000$ Burj Al Arab ตั้งอยู่ที่หาด Jumeirah Beach เดิมที่จะสร้างเป็นวังของชีคโมฮัมเหม็ด แต่เปลี่ยนใจสร้างเป็นโรงแรมในภายหลัง
ที่หาด Jumeirah Beach ยังมีดูไบเป็นที่ตั้งของสวนน้ำไวลด์วาดิ ซึ่งเป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง ประกอบด้วยเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบ ทั้งเครื่องเล่นกระแสน้ำเชี่ยว สไลเดอร์ และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ สำหรับท่านที่ชอบเล่นกระดานโต้คลื่นก็จะมีเครื่องสร้างกระแสคลื่นให้เหมือนกับคลื่นในทะเลของจริง นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับการเล่นวินเซิร์ฟในบรรยากาศจริงจากทะเลรวมถึงการเล่นพาราไกด์ เซิร์ฟโต้คลื่น เล่นเจ็ตสกี และการแล่นเรือใบ ท่านสามารถไปร่วมกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ได้ที่ จูไมราห์ บีช ชายหาดที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายขาวสวยบริสุทธิ์ และน้ำทะเลสีฟ้าครามของคาบสมุทรอาระเบียน นอกจากนี้ที่นี่ยังสามารถดำน้ำชมปะการังสีสันสดใสหรือชมซากเรืออัปปางเก่าแก่ที่มีอยู่โดยรอบได้อีกด้วย
ที่นี่ยังมีสนามกอล์ฟชั้นเยี่ยมระดับโลก ล่าสุดก็มีไทเกอร์ วูดส์ โปรกอล์ฟมือหนึ่งของโลก ก็เพิ่งไปออกแบบสร้างสนามใหม่ และมีข่าวว่าไทเกอร์เองก็ได้ซื้อบ้านพักตากอากาศไว้ที่ดูไบด้วย ซึ่งในอนาคตเองก็มีการคาดการณ์ว่า "ดูไบ" จะกลายเป็น "เมืองคนรวย" มีแต่เศรษฐี มหาเศรษฐี และคนดัง จากทั่วโลกมาอยู่รวมกัน ซึ่งเป็น นโยบายสำคัญที่สุดของดูไบ โรงแรมระดับ 7 ดาว 8 ดาว ก็มีที่ดูไบแห่งเดียว ห้องพักธรรมดาสำหรับเศรษฐี ธรรมดาก็คืนละ 6-7 หมื่นบาทแล้ว และยังมีโรงแรมใต้ทะดลให้เศรษฐีนอนเล่นอีก ทุกอย่างแพงหมดยกเว้นภาษีไม่ต้องจ่าย ชีวิตหรูหรากังสวรรค์ที่เนรมิตได้จึงเป็นที่ปรารถนาของเหล่าบรรดาคนมีเงินเขาล่ะ
บทความแนะนำ