แนะปรับพฤติกรรมการกิน ลดเสี่ยง มะเร็งเต้านม



เต้านม

 รณรงค์ตระหนักภัยร้าย..มะเร็งเต้านม!!! (ไทยโพสต์)

          แพทย์แนะปรับพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเอง ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม แนะผู้หญิงอายุเกิน 20 ปี ควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านม

          นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานด้านศัลยกรรม ผู้ดูแล "คลินิกเต้านม" แห่งโรงพยาบาลวิภาวดี เปิดเผยว่า จากข้อมูลสถิติกระทรวงสาธารณสุข พบว่า มะเร็งเต้านมเป็นภัยร้ายที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิงทั่วโลก และเป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียชีวิตที่สำคัญของผู้หญิง ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 ใน 9 ของผู้หญิงทั้งหมด พบมากในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

          โดย เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุร้อยละ 30 เกิดจากพันธุกรรม หรือคนในครอบครัวที่มีประวัติเป็นมะเร็ง ทั้งที่เต้านม, มดลูก, รังไข่หรือลำไส้ใหญ่ หรืออาจเกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิ เด็กสาวที่มีประจำเดือนครั้งแรกเร็ว หรือหญิงสูงวัยที่ประจำเดือนหมดช้า การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การใช้ฮอร์โมนในเพศหญิงมากเกินไป เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ ผู้มีบุตรช้าหรือไม่มีบุตร เป็นต้น
   
          การตรวจดูแลเต้านมเป็นประจำ เพื่อเช็กความเปลี่ยนแปลงในเบื้องต้น สามารถทำได้เองง่าย ๆ คือ การตรวจด้วยตนเอง ซึ่งระยะเวลาในการตรวจที่เหมาะสมคือ ช่วงหลังหมดประจำเดือนประมาณ 7-10 วัน ซึ่ง นอกจากการตรวจ ดูแลเบื้องต้นด้วยตนเองแล้ว การมาพบแพทย์เพื่อตรวจโดยละเอียด ด้วยเครื่อง Mammography เป็นวิธีการตรวจที่ให้ผลค่อนข้างแม่นยำ ซึ่งเมื่อได้ตรวจครั้งแรกแล้ว แพทย์จะเก็บข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสำหรับครั้งต่อไปถึงความเปลี่ยนแปลง ส่วนการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจคือ ช่วงที่หลังประจำเดือนหมด 7-10 วันเช่นเดียวกัน

          เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการหลีกเลี่ยง "มะเร็งเต้านม" นพ.ธเนศให้คำแนะนำว่า ไม่ ยากเลยที่เราจะเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเราเอง เช่น ลดอาหารเนื้อแดง ลดอาหารมัน ลดเกลือ เลือกรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ ควบคุมน้ำหนักมิให้อ้วนเกินไป หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดเว้นการ สูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมกันนี้ควรทำการตรวจเต้านมเป็นประจำ ซึ่งสามารถเริ่มตรวจได้ตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนด้วยตัวเองเดือนละครั้ง สำหรับผู้ที่มีอายุ 20-35 ปีควรตรวจเต้านมด้วยแพทย์ทุกๆ 3 ปี ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีควรตรวจเป็นประจำทุกปี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เกร็ดควรรู้เมื่อไปตรวจสุขภาพ/ เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 1 กุมภาพันธ์ 2553 10:35 น.
เมื่อจะไปตรวจสุขภาพประจำปี เราควรเตรียมตัวและปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะมีผลต่อการตรวจ โดยมีข้อปฏิบัติต่างๆ ดังนี้
       

       - นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรอดนอนก่อนวันตรวจสุขภาพ
      
       - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มกาเฟอีนโดยเฉพาะในวันก่อนตรวจ
       - งดอาหารและน้ำ 8-12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด หากต้องการตรวจเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือด ควรงดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แต่หากต้องการตรวจระดับไขมันในเลือดด้วย อาจต้องงดถึง 12 ชั่วโมง
      
       - การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน บางกรณีแพทย์จะระบุว่าไม่จำเป็นต้องงดอาหาร
      
       - ควรไปถึงโรงพยาบาลในช่วงเช้า เพื่อไม่ให้ร่างกายอิดโรยเกินไป เพราะงดน้ำและอาหารมาหลายชั่วโมงแล้ว
      
       - สวมเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเจาะเลือดที่ข้อพับแขน
      
       -
หากต้องตรวจภายในควรสวมกระโปรง และควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน
      
       - หากทดสอบสมรรถภาพของหัวใจด้วยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ควรสวมเสื้อผ้าและรองเท้าที่เคลื่อนไหวสะดวก
      
       - นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนตรวจวัดความดันโลหิต
      
       -
เมื่อเจาะเลือดแล้ว ควรใช้นิ้วมือกดเบาๆ ลงบนพลาสเตอร์ที่ปิดไว้ตรงตำแหน่งที่เจาะ ประมาณ 5 นาที จนกว่าเลือดจะหยุดไหล ไม่จำเป็นต้องพับแขน และไม่ควรนวดคลึงบริเวณที่เจาะเลือด เพราะอาจทำให้เป็นรอยช้ำได้
       

       - ผู้ที่มีประวัติเขียวช้ำง่าย หรือเจาะเลือดแล้วเกิดรอยช้ำเสมอ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเลือดหรือโรคที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ไม่ดี เมื่อเจาะเลือดแล้วให้กดนิ่งๆ ไว้นานกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าเลือดหยุดแล้วจึงไปทำกิจกรรมอื่น
      
       - ทำความสะอาดบริเวณภายนอกอวัยวะขับถ่ายด้วยน้ำสะอาดก่อนเก็บปัสสาวะ
      
       - การใช้ทิชชูเช็ดทำความสะอาด อาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคจากทิชชูได้
      
       -
เก็บปัสสาวะช่วงกลาง คือปล่อยปัสสาวะช่วงต้นทิ้งไปเล็กน้อย และทิ้งปัสสาวะช่วงสุดท้ายไป
      
       - กรณีที่ต้องการถ่ายอุจจาระ หรือต้องเก็บอุจจาระด้วย ควรเก็บปัสสาวะก่อน เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
      
       - หากมีประจำเดือนควรเลื่อนการตรวจร่างกายไปก่อนจนกว่าจะหมด การตรวจปัสสาวะขณะมีประจำเดือน จะมีเม็ดเลือดแดงปน ซึ่งมีผลต่อการอ่านค่า
      
       -
กรณีเก็บอุจจาระ ควรถ่ายลงบนโถที่แห้งก่อนใช้ไม้หรือช้อนพลาสติกป้ายตัวอย่างอุจจาระขนาด ประมาณหัวแม่มือใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ หากถ่ายลงน้ำอาจทำให้อุจจาระถูกเจือจางด้วยน้ำ ซึ่งมีผลต่อการตรวจ
      
       - หากสังเกตเห็นอุจจาระที่ผิดปกติ เช่นมีมูกสีขาว หรือมีสีแดงหรือดำคล้ายเลือด ควรป้ายบริเวณนั้นมาตรวจด้วย
      
       - ตรวจสอบชื่อ นามสกุล บนภาชนะที่เก็บเลือด ปัสสาวะ และอุจจาระให้ดีว่าถูกต้องแล้ว
      
       - หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนตรวจร่างกาย หากตั้งครรภ์ไม่ควรเอกซเรย์
      
       -
ถอดเสื้อ เสื้อชั้นใน และเครื่องประดับที่เป็นโลหะก่อนเอกซเรย์
      
       - บางโรงพยาบาลได้ยกเลิกการเก็บฟิล์มเอกซเรย์ โดยแพทย์สามารถเรียกดูภาพจากห้องตรวจผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หากต้องการฟิล์มเอกซเรย์กลับบ้าน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
      
       - การตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ควรตรวจก่อนหรือหลังมีประจำเดือน 7 วัน งดทาแป้ง โลชั่น ครีม และโรลออน บริเวณเต้านมและรักแร้ในวันตรวจ และควรงดอาหารไขมันสูงก่อนตรวจ 3 วัน
      
       -
การตรวจมะเร็งปากมดลูก ห้ามสอดยา เหน็บยา หรือสวนล้างภายในช่องคลอด และงดมีเพศสัมพันธ์ก่อนวันตรวจ
       

       - ก่อนตรวจลำไส้ใหญ่ 2 วัน ควรรับประทานอาหารอ่อนและมีกากน้อย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ไข่ ปลา น้ำเต้าหู้ และควรงดผัก ผลไม้ และต้องรับประทานยาระบายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนเป็นเวลา 2 วัน
      
       - การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน ควรงดน้ำและอาหารก่อนทำ 6 ชั่วโมง หากกระหายน้ำ ให้จิบน้ำได้เล็กน้อย
      
       - การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนล่างหรือมดลูก ควรดื่มน้ำมากๆ และอย่าเพิ่งปัสสาวะก่อนตรวจ
      
       - การตรวจบางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะทราบผล เช่น ตรวจโรคธาลัสซีเมีย ตรวจมะเร็งปากมดลูก
      
       - หากผลการตรวจไม่ปกติและต้องมีการตรวจรักษาเพิ่มเติมไปจากโปรแกรมการตรวจสุขภาพ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
      
       -
นอกจากการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปีแล้ว ยังมีการตรวจพิเศษก่อนแต่งงาน เพื่อตรวจหาโรคเลือดทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส ตับอักเสบจากไวรัสบี และเอชไอวี และตรวจว่ามีภูมิต้านทานต่อหัดเยอรมันหรือไม่ หากยังไม่มี ควรฉีดวัคซีนป้องกัน เนื่องจากหากติดโรคระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะทำให้ทารกพิการได้
       

       - สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ไม่ทราบประวัติการติดเชื้อหรือการได้รับวัคซีนที่ชัดเจน อาจจะตรวจหาเชื้อและ/หรือภูมิต้านทานต่อโรคตามความเหมาะสม ส่วนผู้ที่จะไปศึกษาต่อหรือทำงานต่างประเทศ อาจต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคบางโรค
       
อกหัก...คลิกที่นี่ / เอมอร คชเสนี
โดย เอมอร คชเสนี 8 กุมภาพันธ์ 2553 18:25 น.

เมื่อ เขาที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราได้จากไป ไม่รัก ไม่แคร์เราอีกแล้ว โลกที่เคยเป็นสีชมพูก็กลับกลายเป็นสีเทาหม่นๆ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะทำอะไร ก็ดูเหมือนมันจะยากเย็นไปเสียหมด ไม่เหลือเรี่ยวแรงและสติปัญญาจะทำการงานเหมือนที่เคยทำได้ สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะทำได้ดีก็คือการร้องไห้
      
       หลายคนคงเคยมีอาการเจ็บปวดทรมานคล้ายๆ กันนี้ เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะ “อกหัก” แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นเรามาหาวิธี “ดามอก” กันดีกว่าค่ะ

      
       การจากไปมีหลายแบบ เช่นแบบตัดบัวไม่เหลือใย คือหันหลังเดินจากไปทันที ไม่พูด ไม่ฟัง ไม่ให้โอกาสอธิบายหรืองอนง้อขอคืนดีใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งเราไว้แบบงงๆ
      
       กับอีกประเภทเป็นแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น คือค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ห่างเหิน และเงียบหายไปในที่สุด อาจมีคำอธิบายที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ เช่น “เราเข้ากันไม่ได้” ทั้งๆ ที่คบกันมาหลายปี หรืออย่างเช่น “คุณดีเกินไป” ชวนให้สงสัยว่าเขาคงชอบคนเลว
      
       แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน สรุปแล้วคนจะไป ยังไงๆ ก็จะไป ดังนั้นขอให้ทำใจยอมรับความจริง ช่วงแรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานแทบจะขาดใจตาย แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ถึงตาย คนที่ตัดสินใจจบชีวิตลง ไม่ได้ตายเพราะอาการอกหักทำให้ถึงตาย แต่ตายเพราะขาดสติ
      
       
บางคนปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับกองทุกข์ จนรู้สึกว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป อาจจะคิดว่าถ้าเราตายไป เขาจะได้เสียใจที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ แต่ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้เสียใจ เพียงแค่ตกใจ เผลอๆ จะโล่งใจที่เราไปพ้นหูพ้นตาเสียได้ และคนที่เสียใจจะเป็นคนที่รักเราจริงๆ แทน
      
       การแก้แค้นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากเราคิดทำร้ายเขา เราก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำลงไป การทำอะไรด้วยอารมณ์นั้นควบคุมยากและก่อให้เกิดผลเสียได้ง่าย บางทีเราอาจต้องเสียใจมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำไป
      
       หลายคนโศกเศร้าเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร กินไม่ลง นอนไม่หลับ งานไม่เดิน ไม่อยากพบอยากเจอผู้คน หมกตัวอยู่ในห้องคนเดียว บางคนทำร้ายตัวเองด้วยการเที่ยวดึก ดื่มเหล้า เสพยาให้ลืมๆ มันไป สุขภาพทรุดโทรมทั้งกายและใจ นี่ยังไม่รวมผลกระทบต่อหน้าที่การงาน
      
       ก็ไม่แปลกที่การไม่สมหวังในรักจะทำให้เราเสียใจได้ขนาดนั้น เพราะการยึดติดมักจะทำให้เราคิดว่าเขาเป็นของเรา และจะต้องอยู่กับเรานานเท่าที่เราปรารถนา และความคาดหวังก็ทำให้เราคิดว่า เมื่อเรารักเขามาก ทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจให้กับเขา จะทำให้เขารักเราตอบ เท่าๆ กับรักที่เรามอบให้
      
       แต่โลกนี้ไม่ยุติธรรมเสมอไป เราไม่สามารถกะเกณฑ์ให้อีกฝ่ายคิดและทำเหมือนเราได้ ความรักต้องเป็นเรื่องที่ลงตัวระหว่างคนสองคน ไม่ใช่ความต้องการของเราฝ่ายเดียวหรือเขาฝ่ายเดียว ลองคิดในทางกลับกัน เราเองก็ยังเลือกรักเขา ไม่รักคนอื่น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาก็เลือกที่จะไม่รักเราได้เหมือนกัน
      
       
ช่วงแรกๆ อาจจะยังเศร้าอยู่มาก อยากจะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ให้บอกตัวเองทุกครั้งที่ตื่นนอนว่า วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พยายามฝืนใจกลับมาสู่ชีวิตประจำวันให้ได้ หรือหากิจกรรมใหม่ๆ ทำ จะได้ไม่มีเวลาว่างให้คิดมาก
      
       อย่าพยายามแยกตัวอยู่คนเดียว หาใครสักคนที่เราจะพูดคุยปรึกษาได้ อาจจะเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อนสนิทที่เราไว้ใจ แม้เขาจะช่วยแก้ปัญหาให้เราไม่ได้ แต่การได้ระบายความรู้สึกออกไปบ้าง จะช่วยให้สบายใจขึ้น หรืออาจจะได้คำแนะนำดีๆ ที่เราคิดไม่ถึง เพราะมัวแต่หน้ามืดตาบอด
      
       คำแนะนำเชยๆ แต่ใช้ได้ผลก็คือ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปตัดผมใหม่ให้สดใสขึ้นก็ได้ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองด้วยเวลาที่ส่องกระจก เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็อย่าลืมปรับทัศนคติภายในจิตใจด้วย
      
       
ความรู้สึกว่าถูกทิ้ง เป็นทัศนคติด้านลบที่ควรระวังอย่างยิ่ง เราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่มีค่าพอที่จะมีใครมารัก ยิ่งต้องอกหักซ้ำซากก็จะยิ่งตอกย้ำความคิดอันนี้ พลอยทำให้ความนับถือตัวเองและความมั่นใจในตัวเองลดน้อยถอยลง
      
       บางคนโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาทิ้งไป ก็อาจจะจริงหรืออาจจะไม่ใช่เลยก็ได้ แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเขาได้จากไปแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการให้อภัยตัวเอง
      
       เมื่อเขาจากไปแล้ว ก็จงปล่อยเขาไป หันกลับมามองตัวเอง แล้วเยียวยารักษาใจตัวเองดีกว่า แรกๆ อาจจะเจ็บปวดทรมานอยู่สักหน่อย ก็เหมือนแผลสด แต่เมื่อเวลาผ่านไป แผลก็จะหาย อาจจะมีรอยแผลเป็นบ้าง ก็ขอให้เป็นเครื่องเตือนใจ เก็บเป็นประสบการณ์และบทเรียนของชีวิต
       บางคนอาจจะบอกว่า “เวลาไม่ช่วยอะไร” แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า แม้คุณจะไม่สามารถสลัดความเจ็บปวดทิ้งไปได้อย่างปุ๊บปั๊บ คุณอาจจะไม่สามารถลืมคนรักของคุณได้เลยในชั่วชีวิตนี้ แต่เวลาจะค่อยๆ ลบเลือนความทุกข์เศร้าในใจลงอย่างช้าๆ ไม่แปลกถ้าคุณต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ
      
       ความช้าหรือเร็วในการทำใจ มักขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไฟที่แผดเผาใจเราอยู่มีต้นทุนอยู่เพียงแค่นั้น เผาไหม้หมดแล้วก็หมดกัน แต่กลับเป็นตัวของเราเองที่คอยเติมเชื้อไฟให้โหมเผาใจเราให้ร้อนไหม้อยู่ทุก วัน
      
       ดังนั้น
ถ้าอยากหายเร็ว ก็อย่าเติมเชื้อ อย่า หยิบรูปเก่าๆ ขึ้นมาดู อย่าฟังเพลงที่เคยเป็น “เพลงของเรา” อย่าเปิด sms หรืออีเมล์เก่าๆ อย่ามัวนึกถึงคำพูดของเขาหรือสิ่งที่เคยทำร่วมกัน ฯลฯ
      
       อย่าจมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่จงอยู่กับปัจจุบันและยอมรับความจริงให้ได้ว่า “เขาไม่อยู่กับเราแล้ว”
      
       อย่าแอบสร้างความหวังว่าเขาจะกลับมา อย่าวาดวิมานในอากาศ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกแห่งความฝัน เราก็จะยิ่งเป็นทุกข์ เพราะในที่สุดเราก็ต้องตื่นมาอยู่ในโลกแห่งความจริงที่โหดร้าย
      
       อย่าพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ ทำไมเขาถึงทิ้งเราไป อย่าคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะเขาเข้าใจเราผิด โทรไปถามหน่อย จะได้อธิบายให้เข้าใจกัน อ้อนวอนขอให้เขากลับมา
      
       ยิ่งคิด ยิ่งทำ ก็ยิ่งทุกข์ และไม่จบ ปล่อยวางแล้วย้ำกับตัวเองง่ายๆ แค่ว่า “เขาไม่อยู่กับเราแล้ว” แค่นั้นพอ

      
       “อกหัก” เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เมื่อมีความรัก ใครๆ ก็อยากสมหวังและอยู่กันยืดยาวทั้งนั้น แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความรักก็เช่นเดียวกัน แม้แต่คู่ที่รักกันจนแก่จนเฒ่า ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งความจริงข้อนี้ เพราะวันหนึ่งก็ต้องตายจากกันไป
      
       ขอเพียงแต่ให้ยอมรับความจริง มันอาจต้องเจ็บปวดบ้าง แต่ชีวิตต้องก้าวเดินไปข้างหน้า การจมอยู่กับกองทุกข์ ก็เหมือนทำร้ายตัวเองวันแล้ววันเล่า
      
       เวลาจะช่วยเยียวยารักษาใจของเรา อย่ามัวแต่รักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง ยิ้มไว้และให้กำลังใจตัวเอง ย้ำกับตัวเองว่า นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะผ่านพ้นไปในที่สุด
      
       
เมื่อเราเข้มแข็งพอ เราอาจจะสามารถก้าวไปถึงขั้นที่หยุดความโศกเศร้าเอาไว้ได้ และยิ้มคนเดียวกับความทรงจำดีๆ ว่า...
       “ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน”


คุณแปรงฟันแบบนี้หรือเปล่า / เอมอร คชเสนี
โดย เอมอร คชเสนี 19 กุมภาพันธ์ 2553 12:48 น.
       คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
      
       เราทุกคนต่างก็แปรงฟันกันทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แล้วทำไมฟันถึงยังผุได้ คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่าคุณแปรงฟันอย่างถูกวิธี
      
       บางคนสักแต่ว่าแปรงฟัน ถูๆ ซ้ายทีขวาทีแล้วก็บ้วนปาก บางคนแปรงผิดวิธี แปรงนาน แปรงแรง หรือแปรงบ่อยเกินไป บางคนใช้แปรงสีฟันจนบานหมดสภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดี

      
       ดังนั้น เรามาเรียนรู้วิธีการแปรงฟันอย่างถูกวิธี เริ่มต้นจากเลือกอุปกรณ์ในการแปรงฟันให้เหมาะก่อนค่ะ
      
       

  • แปรงสีฟัน
          
           แปรงสีฟันที่ใช้ควรมีขนาดพอเหมาะกับช่องปาก แปรงที่ดีจะช่วยให้แปรงฟันได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก สามารถป้องกันการสึกกร่อนและอาการเสียวฟันที่อาจเกิดขึ้นได้ แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม ไม่มีความคม จะทำความสะอาดได้ดีกว่าแปรงสีฟันแข็งๆ เพราะการสปริงตัวของขนแปรงที่ดีจะช่วยให้ขนแปรงสามารถซอกซอนเข้าไปตามซอก ซึ่งเป็นที่สะสมของเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ได้อย่างทั่วถึง โดยไม่จำเป็นต้องแปรงฟันแรงๆ เพื่อให้ฟันสะอาด
          
           

  • ยาสีฟัน   
          
           แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ จะเป็นส่วนเสริมที่ช่วยในการป้องกันฟันผุได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะช่วยลดสภาวะความเป็นกรดในช่องปาก และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน ยาสีฟันสำหรับเด็กจะมีปริมาณฟลูออไรด์น้อยกว่ายาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่
          
           เมื่อเลือกอุปกรณ์ในการแปรงฟันได้แล้ว ก็มาถึงวิธีการแปรงฟันให้สะอาดค่ะ


  •        ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะตอนเช้าและก่อนนอน โดยพยายามแปรงช้าๆ ให้ทั่วถึงทุกซี่ ทุกด้าน
          
           คนส่วนใหญ่มักแปรงเข้าไปไม่ถึงฟันกรามซี่ที่อยู่ลึกที่สุดด้านที่ติด กับแก้ม หรือไม่ค่อยพิถีพิถันกับการแปรงฟันด้านในที่ติดกับลิ้นโดยเฉพาะฟันหน้า จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้น อาจเริ่มต้นแปรงฟันซี่ที่คุณคิดว่าแปรงได้สะอาดน้อยที่สุด เพื่อเน้นการทำความสะอาดบริเวณนั้นให้ดีที่สุด ก่อนที่จะแปรงซี่อื่นๆ ต่อไป
            
           การแปรงฟันนั้นให้ใช้วิธีขยับและปัด ฟันบนให้ปัดลง ฟันล่างให้ปัดขึ้น โดยวางแปรงเอียง 45 องศากับเหงือก การแปรงโดยใช้วิธีถูไปถูมาตามขวางหรือถูขึ้นๆ ลงๆ นอกจากจะไม่สะอาดเพราะขนแปรงแทรกเข้าไปในร่องเหงือกและซอกฟันได้ไม่ดี แล้วยังอาจทำให้เหงือกร่นหรือฟันสึกได้อีกด้วย ยกเว้นการแปรงฟันกรามด้านที่ใช้บดเคี้ยว สามารถใช้ขนแปรงถูไปมาให้สะอาดได้
          
           นอกจากนี้ยังควรเน้นการแปรงฟันบริเวณขอบเหงือกด้วย เนื่องจากเป็นรอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน ซึ่งจะเป็นบริเวณที่เกิดคราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบและฟันผุ
          
           การแปรงฟันโดยใช้ขนแปรงที่อ่อนนุ่มนวดขอบเหงือกเบาๆ ยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของเหงือกด้วย ผู้ที่มีอาการเหงือกอักเสบ การแปรงฟันบริเวณขอบเหงือกอาจทำให้มีเลือดออกได้ แต่หากอดทนแปรงต่อไปอย่างต่อเนื่อง อาการเหงือกอักเสบและเลือดออกขณะแปรงฟันจะค่อยๆ ดีขึ้น
          
           การแปรงฟันแต่ละครั้งยังต้องใช้เวลาให้นานพออีกด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที หรือฟังเพลงให้จบ 1 เพลง เพื่อให้นานพอที่ฟลูออไรด์จะทำปฏิกิริยาในการป้องกันฟันผุ และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณแปรงฟันได้สะอาดและทั่วถึง
          
           สำหรับผู้ที่จัดฟัน ควรแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารโดยเฉพาะของหวาน แต่สำหรับคนทั่วไป การแปรงฟันบ่อยเกินไปมีส่วนทำให้เกิดภาวะเหงือกร่นได้ โดยเฉพาะถ้าแปรงไม่ถูกวิธี ดังนั้นอาจใช้วิธีบ้วนปากให้สะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
          
           บริเวณลิ้นอาจมีคราบเศษอาหารหรือมีลักษณะเป็นฝ้าขาวติดอยู่ ซึ่งหากหมักหมมอยู่นานๆ อาจทำให้เกิดกลิ่นปากได้ จึงควรทำความสะอาดลิ้นเพื่อช่วยลดแบคทีเรียด้วย โดยใช้ขนแปรงสีฟันถูเบาๆ
          
           ที่สำคัญ ควรใช้ไหมขัดฟันทุกวัน ให้ทั่วทุกซี่ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนนอน เพื่อทำความสะอาดซอกฟันซึ่งเป็นบริเวณที่การแปรงฟันไม่สามารถทำความสะอาดได้ สำหรับคนที่เริ่มใช้ใหม่ๆ อาจมีเลือดออกบ้าง แต่เมื่อใช้เป็นประจำอย่างถูกวิธีแล้ว อาการเลือดออกก็จะหายไป
          
           อย่าลืมดูแลแปรงสีฟันให้ดีด้วย โดยล้างขนแปรงให้สะอาดทุกครั้งหลังการใช้งาน แล้ววางผึ่งลมให้แห้งโดยให้ขนแปรงตั้งขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น เพราะอาจจะแพร่เชื้อโรคจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน หรือเร็วกว่านั้นหากขนแปรงเริ่มบานออกแล้ว
          
           หลายคนคงเคยทรมานกับโรคฟันหรือโรค เหงือกมาแล้ว ดังนั้น อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เพิ่มความพิถีพิถันขึ้นอีกสักนิด จะทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง และยิ้มสวยโชว์ใครๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ


    เลือกแปรงสีฟันแบบไหน ถูกหลักอนามัย/เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 8 มีนาคม 2553 10:22 น.
    ปัจจุบันนี้ หากใครคิดจะซื้อแปรงสีฟันสักอันหนึ่ง คงจะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเลือกได้ เพราะในท้องตลาดมีให้เลือกมากมาย หลายรุ่น หลายยี่ห้อ หลายระดับราคา หลายคนคงสงสัยว่า เราควรจะเลือกแปรงสีฟันอย่างไรดี วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
          
           แปรงสีฟันอาจแบ่งได้ตามขนาด โดยใช้อายุของผู้ใช้เป็นเกณฑ์ ได้แก่ ต่ำกว่า 3 ปี (baby) 3-6 ปี (child) 6-12 ปี (junior) และผู้ใหญ่ (medium)
          
           ทันตแพทย์แนะนำว่า ลักษณะของแปรงสีฟันที่ดีควรจะประกอบไปด้วย
          
           
    1.หัวแปรงควรมีลักษณะมน ไม่เป็นเหลี่ยม ขนาดไม่ใหญ่เกินไป เพื่อให้สามารถทำความสะอาดฟันทุกซี่ในช่องปากได้ง่าย
          
           2.ด้ามแปรงตรง จับถนัดมือ เพื่อที่จะสามารถบังคับหัวแปรงให้เข้าไปในบริเวณที่ต้องการทำความสะอาดได้ โดยไม่กระแทกกับเหงือกหรือกระพุ้งแก้ม
          
           3.ขนแปรงนุ่มและมีปลายมน ไม่แหลมคมหรือขรุขระ เพื่อที่จะทำความสะอาดซอกฟันได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ทำอันตรายต่อเหงือก

           

           ขนแปรงส่วนใหญ่ทำด้วยไนลอน อาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ 1.ชนิดแข็ง 2.ชนิดปานกลาง (medium) 3.ชนิดนุ่ม (soft) 4.ชนิดนุ่มพิเศษ (extra soft)
          
           ในกรณีที่เป็นเด็ก หรือมีปัญหาเรื่องเหงือกอักเสบ อาจใช้ขนแปรงชนิดนุ่มพิเศษได้ แต่ขนแปรงนุ่มมักจะบานเร็ว ทำให้ต้องเปลี่ยนแปรงบ่อยๆ บางคนจึงชอบขนแปรงแข็ง ก็อาจเลือกใช้ขนแปรงชนิดปานกลาง แต่ก็ต้องระมัดระวังขณะแปรงฟัน เพราะหากขนแปรงแข็งเกินไปและแปรงฟันไม่ถูกวิธี อาจทำให้ฟันสึกบริเวณคอฟัน เหงือกร่น หรือเกิดแผลที่เหงือกได้
          
           4.ฉลากมีข้อมูลครบ 5 ส่วน คือ
           - ลักษณะขนแปรง
           - ชนิดของขนแปรง
           - วัสดุที่ใช้ทำด้ามและขนแปรงสีฟัน
           - วิธีใช้ เช่น ใช้แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
           - ข้อแนะนำ เช่น ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันเมื่อขนแปรงเริ่มบาน และล้างแปรงให้สะอาดหลังใช้และเก็บในที่แห้ง
          
           ส่วนลักษณะอื่นๆ ของแปรงสีฟันนอกเหนือไปจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้ามแปรงที่โค้งงอแบบต่างๆ ด้ามจับกลมมนหรือเป็นเหลี่ยม การเรียงตัวของขนแปรง หรือหน้าตัดแปรงสีฟันที่มีทั้งแบบเรียบ โค้ง ซิกแซก ตลอดจนสีสันลวดลายสวยสดสะดุดตา เป็นเพียงกลยุทธ์ในการขายของผู้ผลิตเท่านั้น
          
           กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยสำรวจแปรงสีฟันที่จำหน่ายในท้องตลาด พบว่า มีแปรงสีฟันหลายรุ่นหลายยี่ห้อที่ไม่ได้มาตรฐาน แปรงสีฟันที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ได้มาตรฐาน ส่วนที่ไม่ได้มาตรฐานมักจำหน่ายอยู่ในตลาดล่าง เช่น ตามตลาดนัด
           แปรงสีฟันที่ไม่ได้มาตรฐาน คือ ขน แปรงแข็งและไม่มนปลาย หัวแปรงคม ด้ามแปรงสั้นกว่า 150 มิลลิเมตร ฉลากข้อมูลไม่ครบ 5 ส่วน ยกตัวอย่างเช่น แปรงสีฟันที่นำเข้าจากจีน ฉลากเป็นภาษาจีนทั้งหมด แม้ว่าอาจจะได้มาตรฐาน แต่ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง
           

           สำหรับแปรงสีฟันไฟฟ้า หลายคนคงสงสัยว่ามันมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟันมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับแปรงสีฟันธรรมดา
          
           แต่เดิมแปรงสีฟันไฟฟ้าผลิตขึ้น เพื่อใช้กับผู้พิการที่ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของมือได้ตามปกติ แต่ปัจจุบันคนทั่วไปก็ใช้แปรงชนิดนี้กัน และมีการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาหลายแบบให้เลือกใช้
          
           จากรายงานผลการวิจัยส่วนใหญ่พบว่า แปรงสีฟันธรรมดากับแปรงสีฟันไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟันได้พอๆ กัน ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก นอกเสียจากคุณจะใช้แปรงสีฟันธรรมดาแปรงอย่างลวกๆ แบบขอไปที แปรงสีฟันไฟฟ้าก็อาจให้ผลที่ดีกว่า
          
           ข้อดีของแปรงสีฟันไฟฟ้า ก็คือ สะดวกสบายดี เพียงแค่ถือไว้เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ข้อเสียก็คือมีราคาแพงกว่าแปรงสีฟันธรรมดามาก ทั้งด้ามแปรงและหัวเปลี่ยน
          
           เคยมีข่าวว่ามีผู้ใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า แล้วหัวแปรงหลุดเข้าไปในคอ แต่ที่จริงแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มีน้อย โดยอาจจะเกิดกับผู้ป่วยออทิสติกหรืออัมพาต ซึ่งต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ทำให้การแปรงฟันไม่สะดวก หัวแปรงไปกระทบกับฟัน หรือผู้ป่วยใช้ฟันขบที่หัวแปรง ทำให้หัวแปรงหลุดจากสลักเข้าไปในลำคอ แต่สำหรับคนทั่วไปจะไม่ค่อยเกิดปัญหานี้ แนะนำให้ปฏิบัติตามข้อแนะนำบนฉลาก และไม่ควรใช้ฟันขบที่หัวแปรงขณะใช้ เพราะอาจไปโดนสลักยึด ทำให้หัวแปรงหลุดเข้าไปในลำคอได้
          
           นอกจากการเลือกแปรงที่ได้มาตรฐานแล้ว ที่สำคัญก็คือ ควร เปลี่ยนแปรงใหม่เมื่อขนแปรงบาน หรือมีคราบสกปรก แปรงสีฟันจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 เดือน ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน อย่าใช้แปรงจนขนแปรงบาน เพราะประสิทธิภาพในการทำความสะอาดจะลดลง หากเสียดายเงิน ให้นึกไว้เสมอว่าเสียค่าทำฟันแพงกว่าค่าแปรงสีฟัน
           
    วิธีการปฐมพยาบาลกรณีฉุกเฉิน / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 12 มีนาคม 2553 13:50 น.
        
           การปฐมพยาบาล คือ การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในขั้นแรก ก่อนส่งโรงพยาบาล หรือก่อนจะถึงมือแพทย์ ทุกคนควรมีความรู้ในการปฐมพยาบาล เพื่อที่จะใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ที่สุดเพื่อช่วยเหลือตัวเองและ ผู้อื่น

          
           การปฐมพยาบาลนั้น ต้องทำด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ขั้นแรกต้องระงับความตื่นเต้นตกใจ ตั้งสติให้ดี ไม่ว่าคนที่คุณต้องช่วยเหลือจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่คนแปลกหน้า
          
           พยายามอย่าให้คนมุง เพื่อให้คนเจ็บได้รับอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง มีแสงสว่างเพียงพอ และสะดวกในการปฐมพยาบาล โทรเรียกรถพยาบาลก่อน แล้วรีบตรวจดูคนเจ็บและปฐมพยาบาลเบื้องต้น
          
           กรณีที่คนเจ็บยังมีสติ ควรแนะนำตัวเอง สอบถามชื่อนามสกุลของคนเจ็บ และสอบถามอาการ
           กรณีที่คนเจ็บหมดสติ ให้ตรวจดูว่ายังหายใจหรือไม่
          
           การกู้ชีพ
           

           หากคนเจ็บหายใจไม่สะดวกหรือหยุดหายใจให้เริ่มผายปอดแบบเป่าปาก โดยให้คนเจ็บนอนหงาย จับปลายคางให้เชิดขึ้น มือกดหน้าผากไว้ ตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปากหรือลำคอ หากตรวจพบให้ล้วงออกมาให้หมด เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
           
           ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกคนเจ็บ มืออีกข้างดึงปลายคางไว้เพื่อเปิดช่องปาก จากนั้นสูดลมเข้าปอดแล้วเป่าเข้าไปทางปากของคนเจ็บ สังเกตว่าลมเข้าปอดโดยดูจากการเคลื่อนไหวของหน้าอก รอให้ลมออกจากปอดก่อนแล้วจึงเป่าครั้งที่สอง จากนั้นให้สำรวจชีพจร ง่ายที่สุดคือที่คอ บริเวณสองข้างของลูกกระเดือก หากคลำชีพจรไม่พบ ให้นวดหัวใจด้วย
          
           วิธีการนวดหัวใจ ให้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวคนเจ็บ ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่บริเวณเอว อีกข้างอยู่บริเวณหัวไหล่ วางมือข้างที่ไม่ถนัดตรงกึ่งกลางหน้าอกเหนือกระดูกลิ้นปี่เล็กน้อย วางมือข้างที่ถนัดไว้ด้านบน แล้วยืดแขนให้ตรง โน้มตัวมาข้างหน้า ถ่ายน้ำหนักลงไปบนแขน เริ่มนวดหัวใจโดยการกดมือลงไป
          
           จังหวะการนวดคือ 15 ครั้งต่อ 10 วินาที แรงกดให้ดูจากการยุบตัวของหน้าอก ควรยุบแค่ประมาณ 1 ½ ถึง 2 นิ้ว หลังจากนวดครบ 15 ครั้ง ให้เป่าปาก 2 ครั้ง แล้วตรวจดูชีพจรอีกครั้ง หากยังไม่มีชีพจร ให้เริ่มนวดหัวใจอีกครั้ง ทำจนกว่าคนเจ็บจะเริ่มหายใจเองได้ หรือรถพยาบาลมาถึง
          
           การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ
          
           หากบาดเจ็บที่คอ หรือกระดูกสันหลัง ห้ามเคลื่อนย้ายคนเจ็บ หากเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ที่ประสบอุบัติเหตุ อย่าเพิ่งถอดหมวกกันน็อก จนกว่าจะตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีกระดูกคอ หรือหลังหัก
          
           
    รู้ได้อย่างไรว่ากระดูกสันหลังหักหรือไม่
           - หากเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มีความรุนแรง มีโอกาสสูงที่คนเจ็บจะกระดูกสันหลังหักจากแรงกระแทก
           - หากคนเจ็บยังมีสติ ลองให้เขาขยับนิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นจังหวะ หรือลองให้คนเจ็บบีบมือของคุณ หากยังเคลื่อนไหวนิ้วได้ หรือยังมีแรงบีบ กระดูกสันหลังไม่น่าจะหัก
           - ลองหาวัตถุแข็งๆ ลากบริเวณฝ่าเท้า หากมีการตอบสนองแบบเดียวกับจั๊กจี๋ หรือหัวแม่โป้งกระดิก เป็นสัญญาณที่ดี
          
           แต่หากลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่มีการตอบสนองที่ดี นั่นเป็นสัญญาณว่าคนเจ็บอาจมีกระดูกสันหลังหัก ไม่ควรเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ยกเว้นว่าอยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงเกินไป เช่น ไฟไหม้ ใกล้เชื้อเพลิงที่อาจระเบิด บนถนนที่อาจถูกรถทับ หรือตึกที่กำลังจะถล่ม ให้เคลื่อนย้ายคนเจ็บอย่างถูกวิธี และทำด้วยความระมัดระวังที่สุด
          
           วิธีการเคลื่อนย้ายที่ใช้ได้กับคนเจ็บที่สงสัยว่าอาจจะมีกระดูก สันหลังหรือกระดูกคอหัก ก็คือ การลากไหล่ โดยยืนอยู่เหนือศีรษะของคนเจ็บ ย่อเข่าลง สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปที่ใต้แขนของคนเจ็บ แล้วจับให้แน่น ให้ศีรษะและคอของคนเจ็บอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้างของคุณ ค่อยๆ เดินถอยหลังทีละก้าวช้าๆ โดยลากไปตรงๆ ห้ามลากไปทางซ้ายหรือขวา พยายามให้ศีรษะ คอ ลำตัว และขาของคนเจ็บ อยู่ในแนวเส้นตรงระนาบเดียวกัน สังเกตด้วยว่าเสื้อของคนเจ็บไม่รั้งที่คอจนขาดอากาศหายใจ

           การห้ามเลือด
          
           หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของคนเจ็บโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้รีบล้างมือด้วยสบู่ รวมทั้งบริเวณที่เปื้อนเลือดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
          
           การห้ามเลือดทำได้โดย
           - ใช้นิ้วมือกดไว้ตรงบาดแผล
           - ใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไว้ อย่าให้แน่นจนชา
           หากไม่มีผ้าพันแผล เราสามารถดัดแปลงสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ได้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ชายเสื้อ ชายกระโปรง เนคไท
           - แผลที่แขนหรือขาให้ยกสูง จะช่วยให้เลือดไหลช้าลง ปกติเลือดจะหยุดไหลภายในเวลาประมาณ 15 นาที ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ให้กดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงแขน ขา
           - การกดเส้นเลือดแดงใหญ่เพื่อห้ามเลือด ให้กดบริเวณเหนือบาดแผล ตำแหน่งที่ใช้กดเพื่อห้ามเลือดคือ ถ้าเลือดไหลที่แขนให้กดแขนด้านใน ช่วงระหว่างข้อศอกและหัวไหล่ ถ้าเลือดไหลที่ขา ให้กดที่หน้าขาบริเวณขาหนีบ
          
           การห้ามเลือดโดยการกดเส้นเลือดแดงใหญ่นั้น ควรทำก็ต่อเมื่อใช้วิธีการห้ามเลือดโดยการกดบาดแผล หรือใช้ผ้าพันแผลแล้วไม่ได้ผล เพราะจะทำให้อวัยวะที่ต่ำกว่าจุดกดขาดเลือดไปเลี้ยง หากกดนานๆ กล้ามเนื้ออาจตายได้ จึงไม่ควรกดเส้นเลือดแดงใหญ่เกินกว่าครั้งละ 15 นาที
           ไม่ควรถอดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนเจ็บ แม้ว่าจะเปื้อนเลือดจนชุ่มแล้ว เพราะอาจยิ่งทำให้เลือดไหลออกมาอีก
          
           
    กระดูกหัก
           

           หากมีเลือดออกให้ห้ามเลือดทันที หากกระดูกแทงทะลุออกมานอกผิวหนัง ห้ามจับกระดูกกลับเข้าที่เดิม
           สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือคนเจ็บที่กระดูกหัก ก็คือ การใส่เฝือกเพื่อยึดไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ถ้ากระดูกหักที่แขน มือ หรือข้อศอก ให้ใส่ผ้าคล้องแขนด้วย
          
           สิ่งที่จะใช้ทำเฝือกได้ ก็คือ วัสดุที่แข็งและไม่ยืดหยุ่น เช่น ไม้กระดาน ด้ามไม้กวาด หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารที่นำมาม้วนให้แข็ง หากพื้นผิวของวัสดุไม่เรียบ ให้หาผ้ารองไว้ชั้นในก่อน เฝือกควรมีความยาวมากกว่าอวัยวะส่วนที่หักเล็กน้อย ผูกเฝือกด้วยเชือก เนกไท ผ้าพันคอ หรือเศษผ้าที่หาได้ โดยไม่ควรผูกให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากสังเกตว่าบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ หรือมีอาการชา ให้รีบคลายเฝือกออก         
          
           แผลถูกแทง
          
           หากวัตถุที่แทงมีขนาดยาวมาก สามารถตัดให้สั้นลงได้โดยทำอย่างระมัดระวัง แต่ห้ามดึงออกเพราะจะทำให้เลือดออกมากยิ่งขึ้นหรือเพิ่มอันตรายต่ออวัยวะ ใกล้เคียง ห้ามเลือดโดยใช้ห่วงผ้ารองไม่ให้วัตถุนั้นปักลึกมากยิ่งขึ้น ไม่ควรให้กินอะไรทั้งสิ้น ให้คนเจ็บอยู่นิ่งๆ ให้มากที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
          
           แผลถูกยิง
           

           ห้ามเลือดโดยใช้วิธีกดลงบนบาดแผลโดยตรง หรือกดเส้นเลือดแดงเหนือบาดแผล ถ้ามีกระดูกหักร่วมด้วยให้ดามกระดูกที่หัก ให้คนเจ็บนอนนิ่งๆ ห่มผ้าให้อบอุ่นเพื่อป้องกันการช็อค งดให้น้ำหรืออาหารใดๆ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด


    ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินประจำบ้าน/ เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 19 มีนาคม 2553 13:20 น.
    หาก ประสบพบเจออุบัติเหตุหรือผู้ป่วยฉุกเฉินนอกบ้าน คงจะได้เรียนรู้จากตอนที่แล้วแล้วนะคะ ว่าเราสามารถดัดแปลงสิ่งของรอบตัวมาใช้ในการปฐมพยาบาลได้ แต่หากเหตุฉุกเฉินนั้นเกิดขึ้นในบ้าน เราควรจะเตรียมตัวให้พร้อมรับสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ ด้วยการจัดชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้ประจำบ้านค่ะ
          
           ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินประจำบ้าน ประกอบด้วย
          
           1.ยาสามัญประจำบ้าน คือยาที่ควรมีไว้ประจำบ้าน ใช้สำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย ท้องอืด หรือบาดแผลเล็กน้อย แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
           -
    ยาใช้ภายใน หรือยาที่ใช้สำหรับรับประทาน ได้แก่ ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำเชื่อม ยาแก้ไอน้ำดำ ยาธาตุ ยาขับลม ผงน้ำตาลเกลือแร่ เป็นต้น
           -
    ยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน ได้แก่ ยาดม ยาป้าย ครีม ขี้ผึ้ง ทิงเจอร์ โพวิโดนไอโอดีน เป็นต้น สังเกตฉลากยาจะมีคำว่า ยาใช้ภายนอกหรือยาใช้เฉพาะห้ามรับประทาน พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีแดง
           2.ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น ได้แก่ ผ้าพันแผลทั้งชนิดแผ่นและชนิดม้วนที่ฆ่าเชื้อแล้ว พลาสเตอร์ปิดแผลทั้งชนิดแผ่นและชนิดม้วน สำลีที่ฆ่าเชื้อแล้ว ผ้าก๊อซขนาด 3 นิ้ว และ 4 นิ้ว ผ้าก๊อซสำหรับปิดตาและแผ่นครอบตาโดยเฉพาะ ผ้าก๊อซแบบยืดได้ ผ้าพันแผลแบบยืดได้ เทปขนาดต่างๆ สำหรับติดผ้าก๊อซ ผ้าสามเหลี่ยมสำหรับการดามหรือขันชะเนาะ กรรไกรปลายมน เข็มกลัดซ่อนปลาย เทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดไข้ แผ่นประคบร้อน-เย็น ถุงมือยาง น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ น้ำเกลือ แอลกอฮอล์ โพวิโดนไอโอดีน และทิงเจอร์ไอโอดีน เป็นต้น
          
           3.อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ได้แก่ กระเป๋าน้ำร้อน ไฟฉาย ไฟแช็ค ไม้ขีดไฟ เทียนไข น้ำยาดับเพลิง หนังสือเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เบอร์โทรศัพท์โรงพยาบาลหรือเบอร์โทรฉุกเฉินต่างๆ
          
           ยาและอุปกรณ์เหล่านี้ควรมีติดบ้านไว้เสมอ เวลาที่ต้องเดินทางก็ควรหากล่องใส่ยาและอุปกรณ์ทำแผลเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวไปด้วย
          
           หากคนในครอบครัวมีโรคประจำตัวที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ควรเขียนรายละเอียดเก็บไว้กับชุดฉุกเฉินประจำบ้านให้ชัดเจนด้วย เช่น ชื่อ นามสกุล อายุของผู้ป่วย พร้อมทั้งรูปภาพ รวมไปถึงข้อมูลอาการเจ็บป่วยและแนวทางในการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ที่มาประสบเหตุสามารถให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง หากผู้ป่วยหมดสติหรือไม่สามารถพูดได้ อุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินอื่นๆ สำหรับแต่ละกรณี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษา เพื่อขอคำแนะนำที่จำเป็นเฉพาะโรค
          
           การเก็บรักษาชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน
           - ควรมีตู้ยาประจำบ้าน และแยกเก็บยาแต่ละประเภทไว้คนละช่อง คือยาใช้ภายใน ยาใช้ภายนอก อุปกรณ์ตวงยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ
           - อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นควรมีกระเป๋าบรรจุโดยเฉพาะ และแยกเก็บไว้ต่างหาก เพื่อให้สะดวกต่อการหยิบใช้
           - เก็บไว้ในที่อุณหภูมิเหมาะสม แสงแดดส่องไม่ถึง ห่างไกลจากความร้อน เปลวไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า และความอับชื้น
           - เก็บในที่ที่สะดวกต่อการหยิบใช้ แต่ให้พ้นจากมือเด็ก
           - อย่าเก็บยาฆ่าแมลง ยาเบื่อหนู หรือสารพิษอื่นๆ ไว้ด้วยกัน เพราะอาจมีคนหยิบผิดและเกิดอันตรายขึ้นได้
          
           นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจเช็คชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินเป็นประจำ อาจจะกำหนดวันตรวจเช็คให้แน่นอนเพื่อที่จะได้ไม่ลืม เช่น ทุกวันสิ้นเดือน ตรวจดูว่ายาหมดอายุหรือไม่ อุปกรณ์ที่เป็นยางยืดเสื่อมหรือหมดอายุหรือไม่ พลาสเตอร์ปิดแผลยังมีความยืดหยุ่นดีหรือไม่ ตรวจน้ำยาดับเพลิง หรือเปลี่ยนถ่ายไฟฉายหากจำเป็น พยายามทำทุกเดือนให้เป็นกิจวัตร คุณก็จะมีอุปกรณ์ฉุกเฉินที่พร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินจริงๆ

    “ปลาหมึก” กับผลต่อสุขภาพ/เอมอร คชเสนี

    ควันหลงจากฟุตบอลโลก 2010 ที่เพิ่งจะปิดฉากลง ข่าวดังที่ตีคู่มากับทีมฟุตบอลที่เข้ารอบและได้แชมป์ ก็คือ ข่าวของ “ปลาหมึกพอล” ที่ จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นปลาหมึกพยากรณ์ที่แม่นแบบจับวาง หลายคนหันมากิน “ปลาหมึก” เป็นอาหารหลัก ด้วยความแค้นเจ้าหมึกพอลที่เสี่ยงทายให้ทีมในดวงใจต้องพ่ายแพ้ในศึกลูกหนัง ครั้งนี้ กินปลาหมึกแล้วก็แซวกันต่อว่า “ระวังคอเลสเตอรอลในเลือดจะพุ่งกระฉูดนะ” เท็จจริงเป็นอย่างไร ไปติดตามข้อมูลกันค่ะ
           

           คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองส่วนหนึ่ง และได้จากอาหารอีกส่วนหนึ่ง หากจะพูดถึงปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารทะเล อาจจะกล่าวได้ว่า ปลาหมึกจัดเป็นอาหารทะเลที่มีคอเลสเตอรอลสูงที่สุด
          
           อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลหลายชิ้น ที่ระบุตรงกันว่า เราอย่าได้กลัวคอเลสเตอรอลจากอาหารเกินไปนักเลย โดยเฉพาะอาหารทะเลซึ่งถือเป็นอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสีและไอโอดีน แม้ว่าปลาหมึกจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็จัดเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ ซึ่งมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของคนทั่วไปไม่มากนัก
          
           ส่วนอาหารที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลใน เลือด คืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ ไขมันนม เนย รวมถึงไขมันทรานส์ซึ่งพบมากในมาการีน เนยขาว ครีมเทียม และอาหารที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น เค้ก คุกกี้ พาย ขนมอบต่างๆ
          
           ดังนั้น การควบคุมระดับคอเลสเตอรอล จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์สูง มากกว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากวัตถุดิบที่ร่างกายใช้ผลิตคอเลสเตอรอลแหล่งใหญ่ๆ ไม่ใช่คอเลสเตอรอลจากอาหาร แต่เป็นไขมันอิ่มตัวจากอาหาร
           นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจาก ดร.สุพิศ ทองรอด นัก วิชาการด้านอาหารของกรมประมง ที่ระบุว่า ถึงแม้ปลาหมึกจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลได้
          
           บางคนมีระดับคอเลสเตอรอลสูงจากกรรมพันธุ์และวัย แต่หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ไม่เครียดมาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป
          
           สิ่งที่ควรระมัดระวังจากปลาหมึก น่าจะเป็นโลหะหนักที่สะสมในสัตว์ทะเล เช่น แคดเมียม
           เคยมีการสุ่มตรวจปลาหมึก ทั้งที่มีขายทั่วไปในไทยและที่ส่งออก ผลปรากฏว่าพบปลาหมึกที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม มีทั้งที่ไม่เกินเกณฑ์และที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ปริมาณแคดเมียมในอาหารที่ยอมรับได้คือ ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
          
           แคดเมียมเป็นโลหะหนักที่ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า กระดาษ หมึกพิมพ์ และสี เศษแคดเมียมจะสะสมในดินและดินตะกอนใต้น้ำ

          
           ปลาหมึกแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารแคดเมียมไม่เท่ากัน โดยจะพบแคดเมียมในปลาหมึกสายและปลาหมึกกระดองมากกว่าปลาหมึกกล้วย เนื่องจากปลาหมึกกล้วยหากินกลางทะเล ส่วนปลาหมึกสายและปลาหมึกกระดองหากินตามผิวดินเขตน้ำตื้น ซึ่งตะกอนดินในเขตน้ำตื้นจะมีโลหะหนักสะสมอยู่มากกว่า ดังนั้น หากเลือกได้ กินปลาหมึกกล้วยจะปลอดภัยกว่าปลาหมึกสายหรือปลาหมึกกระดอง
           แคดเมียมจะสะสมอยู่มากในไส้มากกว่าส่วนเนื้อ โดยเฉพาะในมันและถุงทราย ดังนั้นการควักไส้ปลาหมึกออกทิ้ง แล้วล้างให้สะอาด จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น
          
           หากร่างกายได้รับแคดเมียมในปริมาณต่ำๆ จะไปสะสมในไต เช่นเดียวกับโลหะหนักอีกหลายชนิด หากร่างกายสะสมแคดเมียมมากเกินไป ในระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคกระดูกโปร่งบางหรือกระดูกพรุน โดยจะไปรบกวนการทำงานของวิตามินดี แคลเซียม และคอลลาเจน
          
           ส่วนพิษเฉียบพลันของแคดเมียม หากได้รับปริมาณมากๆ ในคราวเดียว อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เป็นตะคริว หรือท้องเสียอย่างแรงได้ โลหะหนักหลายชนิดจะดูดซึมได้ดีในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จึงควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกินในเด็กให้ดี
          
           นอกจากโลหะหนักแล้ว สารเคมีอันตรายที่อาจพบได้ในปลาหมึกก็คือ ฟอร์มาลีน ซึ่งมีการนำมาใช้กับอาหารทะเลและผักสด เพื่อให้คงความสด ไม่เน่าเสียเร็ว ก่อนซื้อควรดมดู หากมีฟอร์มาลีนจะได้กลิ่นฉุนชัดเจน
          
           หากรับประทานอาหารที่มีสารฟอร์มาลินตกค้าง อาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ท้องเดิน หมดสติ และถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสัมผัสอยู่เป็นประจำจะเกิดการสะสม ทำให้ผิวหนังระคายเคือง และอักเสบ มีผลเสียต่อการทำงานของตับ ไต หัวใจ และสมอง
          
           ปลาหมึกก็เหมือนกับอาหารอีกหลายชนิดในปัจจุบันที่อาจต้อง เสี่ยงกับสารอันตราย อย่างไรก็ตาม หากคนเราได้รับสารพิษหรือโลหะหนักคราวละน้อยๆ ร่างกายจะสามารถขับออกได้บางส่วน ดังนั้น หากเรากินอย่างพอดี ไม่มากเกินไป ไม่บ่อยเกินไป เราก็ยังเอร็ดอร่อยกับเมนูปลาหมึกได้โดยไม่ต้องคอยห่วงเรื่องสารพิษ รวมถึงคอเลสเตอรอลค่ะ
          
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com

    โรคฉี่หนูมากับน้ำท่วม ไม่ได้มากับกระป๋องน้ำอัดลม

    โดย เอมอร คชเสนี 20 ตุลาคม 2554 14:53 น.
    หลาย ปีก่อนเคยมีข่าวแพร่สะพัดเป็นจดหมายลูกโซ่ส่งต่อกันทางอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ไปทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทย และยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ ว่ามีคนดื่มน้ำอัดลมจากกระป๋อง โดยไม่ได้เช็ดหรือล้างก่อน จึงติดเชื้อโรคฉี่หนูที่เปื้อนกระป๋องจนป่วยหนักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนหลายคนกลัวฉี่หนูบนกระป๋องน้ำอัดลมกันอย่างจริงๆ จังๆ
           

           ผู้ที่ทำงานในวงการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งใช้อินเทอร์เน็ตในการเผยแพร่ข่าวสาร ได้วิเคราะห์และตีแผ่ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ไม่เป็นความจริงหลายๆ ชิ้น รวมทั้งฉี่หนูมรณะที่ว่านี้ด้วย โดยระบุว่าอาการของโรคฉี่หนูที่แท้จริงจะต่างจากอาการในฟอร์เวิร์ดเมล์ และฉี่หนูไม่ได้ติดกันง่ายๆ จากการดื่มกิน ยกเว้นว่ามีแผลในปาก แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก
          
           แม้แต่รายการดังอย่าง Myth Busters ก็ได้ทำการทดลองเรื่องนี้และสอบถามจากแพทย์ว่าเราสามารถเสียชีวิตจากการดื่ม น้ำอัดลมจากกระป๋องที่เปื้อนฉี่หนูได้จริงหรือไม่ ซึ่งแพทย์ก็ระบุตรงกันว่า โอกาสที่จะติดเชื้อโรคฉี่หนูจากกระป๋องน้ำอัดลมมีน้อยมาก และเชื้อโรคฉี่หนูนั้นจะตายอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในที่แห้ง นั่นหมายถึง แม้จะมีเชื้อโรคฉี่หนูอยู่บนกระป๋องน้ำอัดลมจริงๆ มันก็น่าจะตายไปก่อนที่จะมีใครมาดื่ม และถึงแม้ว่าเราจะเผลอกินเชื้อโรคที่ยังมีชีวิตเข้าไปจริงๆ เชื้อโรคก็จะตายด้วยกรดในกระเพาะอาหารของเรา
          
           อย่างไรก็ตาม คุณหมอให้ข้อคิดไว้ว่า ถ้าคิดจะดื่มน้ำอัดลมจากกระป๋อง ก็ควรจะเช็ดหรือล้างให้สะอาดเสียก่อน เพราะนอกจากฉี่หนูแล้ว เราไม่รู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง
          
           มาจนถึงวันนี้ วันที่หลายจังหวัดในประเทศไทยต้องประสบอุทกภัย น้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ เราจะเห็นภาพคนที่เดินลุยย่ำน้ำ ทั้งที่จำใจต้องลุยและที่ลุยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมทั้งเด็กๆ ที่เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน โดยลืมนึกถึงโรคร้ายหลายชนิด โดยเฉพาะโรคฉี่หนู ทั้งๆ ที่การติดเชื้อโรคฉี่หนูจากน้ำท่วมนั้น ง่ายกว่าฉี่หนูจากกระป๋องน้ำอัดลมเสียอีก
          
           โรคฉี่หนูในประเทศไทยพบระบาดรุนแรงในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่น้ำฝนชะล้างเอาเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม มารวมกันอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง
          
           โรคฉี่หนู (Leptospirosis) เป็นโรคระบาดในคนโดยติดต่อมาจากสัตว์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira ) เป็นเชื้อที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์พาหะซึ่งไม่ใช่แค่หนูเท่านั้น แต่ยังรวมถึง วัว ควาย หรือสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่างสุนัขและแมว
          
           การเล่นน้ำ ลุยน้ำ หรือแช่น้ำที่ท่วมขังเป็นเวลานานๆ ทำให้ติดเชื้อโรคฉี่หนูได้ โดยเชื้อแบคทีเรียจะอยู่ในน้ำหรือดินที่ชื้นแฉะ และเข้าสู่ร่างกายของเราทางบาดแผลที่ผิวหนัง หรือทางเยื่อเมือก เช่น ตาและปาก
           อาการของผู้ที่ติดเชื้อโรคฉี่หนู จะมี 2 แบบ คือ แบบที่ไม่รุนแรง จะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ปวดศีรษะ มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และแบบที่มีอาการรุนแรง หากเชื้อเข้าไปอยู่ในลูกตา จะทำให้มีอาการตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ หากเชื้อเข้าไปอยู่ในท่อไต จะทำให้ไตวาย หากเชื้อเข้าไปอยู่ในสมอง จะทำให้มีอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และหากมีการติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้มีเลือดออกในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
          
           โรคฉี่หนูมีการระบาด และมีรายงานการเสียชีวิตทุกปี สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากทุกปี อาจเนื่องมาจากอาการของโรคในเบื้องต้นคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา ทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจหรือแม้แต่แพทย์ก็วินิจฉัยโรคได้ค่อนข้างยาก
          
           ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่อง ขา เอว หลัง หรือมีอาการตาแดง และเป็นกลุ่มเสี่ยง คืออยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง เล่นน้ำ หรือย่ำน้ำในช่วงนี้ ไม่ควรชะล่าใจ ให้แจ้งข้อมูลกับแพทย์ด้วย เพื่อการตรวจและวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
          
           นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเล่นน้ำ แช่หรือลุยน้ำที่ท่วมขัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมรองเท้าบูทยาง หากระดับน้ำท่วมสูงเกินกว่าบูทยาง อาจสวมถุงดำไว้ข้างใน มัดด้วยเชือกฟางให้แนบติดกับขา แล้วสวมรองเท้าทับอีกชั้น สวมถุงมือยางหากต้องสัมผัสกับน้ำ และล้างมือ ล้างเท้า และอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด และเช็ดให้แห้งอยู่เสมอ
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทาง www.managerradio.com


    ระวังอุปกรณ์แต่งหน้า ทำงามหน้า!!! / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 13 พฤษภาคม 2554 14:23 น.

     ผิว หน้าที่สะอาดจะทำให้แต่งหน้าได้ง่ายและสวยขึ้น อุปกรณ์แต่งหน้าก็เช่นเดียวกัน ต้องหมั่นรักษาความสะอาด จึงจะช่วยให้แต่งหน้าได้สวย แถมยังปลอดภัยจากเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจจะซุกซ่อนอยู่อีกด้วย วันนี้มีวิธีทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าง่ายๆ มาฝากค่ะ
          
           พัฟฟ์หรือฟองน้ำ
           - ล้างน้ำเปล่าเพื่อชะล้างผงแป้งและสิ่งสกปรกออกครั้งหนึ่งก่อน
           - จากนั้นล้างด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ หรือแชมพู ขยี้เบาๆ เพื่อให้คราบแป้งหลุดออกให้หมด
           - หากยังไม่สะอาดให้แช่ลงไปในน้ำสบู่อุ่นๆ แล้วล้างจนสะอาด
           - จากนั้นนำมาล้างน้ำเปล่าให้สะอาด บีบน้ำออก แล้วนำไปวางบนผ้าขนหนูเพื่อซับน้ำออกให้แห้งหมาด
           - นำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท โดยอาจวางไว้บนตะแกรงที่โปร่งและสะอาด แต่ไม่ควรใช้ไม้หนีบ และไม่ควรตากแดด


           แปรงและพู่กัน
           - ก่อนนำไปล้าง ควรขจัดคราบเครื่องสำอางที่ติดอยู่ออกก่อนเพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด แปรงหรือพู่กันที่ใช้ปัดผงเมกอัพ เช่น แปรงปัดแก้ม พู่กันทาอายแชโดว์ ควรเคาะเอาเศษฝุ่นแป้งออกก่อน หรือปัดขนแปรงไปมากับทิชชูเพื่อให้ฝุ่นหลุดออก ส่วนพู่กันทาปากควรใช้ทิชชูเช็ดคราบลิปสติกออกก่อน
           - เตรียมน้ำอุ่นใส่ในขันหรืออ่างเล็กๆ แล้วนำแปรงหรือพู่กันจุ่มลงไป โดยจุ่มเฉพาะขนแปรง แกว่งวนไปมาเพื่อให้เครื่องสำอางหลุดออก
           - ผสมน้ำสบู่อุ่นๆ แล้วนำแปรงหรือพู่กันแต่งหน้าจุ่มลงไปอีกครั้ง ระวังอย่าจุ่มลึกลงไปทั้งด้าม แกว่งวนไปมา แต่อย่าให้ขนแปรงถูกับก้นภาชนะ เพราะจะทำให้เสียทรงได้ ใช้นิ้วบีบขนแปรงเบาๆ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกออก
           - จากนั้นนำแปรงหรือพู่กันมาจุ่มล้างในน้ำเปล่าจนกว่าจะสะอาด
           - ใช้นิ้วมือบีบที่ขนแปรงเบาๆ หรือสลัดน้ำออกจากแปรง ซับแปรงบนผ้าขนหนูเบาๆ เพื่อจัดรูปทรงให้อยู่ในสภาพเดิม แล้วผึ่งลมให้แห้ง โดยไม่ควรตากแดด
           - อาจใช้วิธีวางพาดกับโต๊ะ ให้ขนแปรงยื่นพ้นขอบโต๊ะออกมา ถ้าแขวนได้ก็ให้แขวนขนแปรงคว่ำลง ไม่ควรหงายแปรง เพราะน้ำจะไหลเข้าไปในด้ามจับ และถ้าตากโดยทิ่มขนแปรงลงในถ้วยก็จะทำให้ขนแปรงเสียรูปทรง
          
           ซองแปรง
           ในกรณีที่ทำจากหนัง ให้ใช้เบบี้ออยล์เช็ดคราบสกปรกออก ถ้าทำจากผ้าก็สามารถนำไปซักได้ตามปกติ หากมีกระเป๋าหรือกล่องสำหรับเก็บแปรงโดยเฉพาะ ให้เก็บไว้ในนั้น เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและแสงแดด จะช่วยให้ใช้ได้นานและไม่เสียรูปทรง หากเก็บแปรงไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ควรใส่ในถ้วยแก้วหรือกระบอก แล้วหาผ้าคลุมไว้ไม่ให้ฝุ่นจับ
          
           ที่ดัดขนตา
           ใช้สำลีชุบน้ำยาทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา หากไม่มีก็ใช้ครีมล้างหน้าก็ได้ เช็ดตรงส่วนที่เป็นโลหะที่สัมผัสกับขนตา จากนั้นเช็ดออกด้วยทิชชู ส่วนเนื้อยางนั้นให้เปลี่ยนทุก 2-3 เดือน
          
           ข้อแนะนำ
           - หลังการใช้งานทุกครั้งควรเคาะด้ามแปรงบนสันมือเบาๆ หรือปัดปลายแปรงลงบนกระดาษทิชชู เพื่อลดเศษแป้งหรือฝุ่นสีที่ติดค้างอยู่บนแปรง หากเป็นพู่กันทาลิปสติกให้ใช้กระดาษทิชชูเช็ดคราบลิปสติกออกทุกครั้งหลังใช้ งาน
           - ควรทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าทุกๆ 2-4 สัปดาห์
           - ขณะล้างแปรงและพู่กันควรระวังอย่าให้น้ำไหลเข้าไปในด้ามแปรง และไม่ควรแช่แปรงทิ้งไว้ในน้ำ เพราะน้ำอาจซึมเข้าไปในด้ามแปรงทำให้แปรงอับชื้น เป็นเชื้อรา หรือทำให้กาวที่ยึดขนแปรงไว้หลุดออก และพังได้ง่าย
           - หากล้างพัฟฟ์หรือแปรงแล้วห่อทิชชู หรือผ้าขนหนู โดยไม่ผึ่งไว้จนแห้งสนิทดี อาจทำให้เกิดเชื้อราได้
           - การตากแดดอาจทำให้ขนแปรงแข็งขึ้น อุปกรณ์อื่นๆ ก็จะเสื่อมสภาพได้ง่าย
           - น้ำยาทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าที่มีขายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางอาจไม่จำ เป็นนัก เพราะสามารถใช้น้ำสบู่แทนได้ แต่ถ้าคุณใช้อุปกรณ์แต่งหน้าอย่างดีราคาแพง การใช้น้ำยาทำความสะอาดโดยเฉพาะก็อาจช่วยถนอมและยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ได้ (ตามคำโฆษณา) แต่ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย
          
           อย่าลืมนะคะ อย่าใช้อย่างเดียวโดยไม่หมั่นทำความสะอาด เพราะอุปกรณ์แต่งหน้าสวยอาจกลายเป็นอุปกรณ์ทำหน้าเสียได้ค่ะ
          
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    เคล็ดลับลดพลังตด / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 20 พฤษภาคม 2554 12:04 น.
    ทุก คนล้วนเคยตด การตดเมื่ออยู่คนเดียวดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่เมื่อตดต่อหน้าธารกำนัลจะกลายเป็นเรื่องที่ผิดกาลเทศะ คนส่วนใหญ่จึงมักอายที่จะตดอย่างเปิดเผย และไม่ต้องการให้เสียงหรือกลิ่นล่วงรู้ไปถึงบุคคลอื่น มีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และให้คำแนะนำเราได้ว่าทำอย่างไรจึงจะตดให้น้อยและไม่เหม็น
    ภาพประกอบข่าว
           ตด หรือเรียกอีกอย่างว่า ผายลม เกิดจากมีอากาศหรือแก๊สในกระเพาะมากเกินไป คนทั่วไปตดประมาณวันละ 10-14 ครั้ง เรามักคิดว่าผู้ชายตดบ่อยกว่าผู้หญิง แต่ที่จริงแล้วทั้งชายและหญิงตดบ่อยพอๆ กัน เพียงแต่ตดของผู้หญิงมีปริมาตรน้อยกว่าผู้ชาย เพราะร่างกายเล็กกว่า และไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ตดเหม็นได้พอๆ กัน
          
           จากการศึกษา พบว่า 99% ของตดนั้นไม่มีกลิ่น กลิ่นเหม็นนั้นมาจากอีก 1% ที่เหลือเท่านั้น กลิ่นตดกับเสียงตดก็ไม่สัมพันธ์กัน นั่นหมายถึงตดที่ดังสนั่นไม่ได้มีกลิ่นเหม็นเสมอไป หรือคุณอาจตดเบาๆ ไม่มีใครได้ยิน แต่อาจส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจก็เป็นได้
          
           ข้อแนะนำเพื่อให้ตดแต่น้อยและไม่มีกลิ่น
           

           - อาหารบางประเภทไม่ควรกินมากเกินไป เช่น ไข่ เนื้อ และผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยให้เป็นแก๊สที่มีกลิ่นเหม็น
          
           - ถั่วและผักสดบางชนิดมีน้ำตาลที่ร่างกายย่อยไม่ได้ ซึ่งจะถูกส่งผ่านไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยน้ำตาลพวกนี้แทน และทำให้เกิดแก๊สขึ้น
          
           บางข้อมูลแนะนำให้กินถั่วและผักที่ปรุงสุกแล้ว หรือ ให้นำถั่วไปแช่น้ำ ให้น้ำท่วมถั่วสัก 2 นิ้ว คัดเมล็ดถั่วที่เสียหรือลอยน้ำทิ้งไป แช่ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง หรือทิ้งไว้ข้ามคืนเลยก็ได้ ถ้ามีเวลาน้อยหรือรอไม่ไหว ให้นำถั่วไปแช่ในน้ำร้อน 10-15 นาทีขึ้นไป แล้วล้างน้ำออกก่อนนำไปปรุงอาหาร หรืออีกวิธีก็คือ นำถั่วไปล้างน้ำ ต้ม 3 นาที แล้วปิดฝาทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยลดปัญหาผายลมจากการกินถั่วได้
          
           แต่บางข้อมูลก็บอกว่าถึงแม้จะนำถั่วมาต้มให้สุกหรือแช่น้ำอย่างไร ก็ยังคงตดมากและเหม็นเหมือนเดิม ยกเว้นว่าจะทำตามวิธีที่นักวิจัยทดลองทำ นั่นก็คือนำถั่วมาต้มนาน 3 นาที แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นนาน 2 ชั่วโมง จากนั้นเทน้ำทิ้ง แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นใหม่อีก 2 ชั่วโมง เทน้ำทิ้งแล้วแช่อีก 2 ชั่วโมง แล้วสะเด็ดน้ำทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาลในถั่ว 90% จะถูกกำจัดออกไป คราวนี้ตดจะไม่เหม็นมาก แต่ปริมาตรตดยังคงเท่าเดิม (ถ้าต้องทำถึงขนาดนี้ คงหายอยากหรือไม่ก็ยอมตด)
    ภาพประกอบข่าว
           - บางคนอาจผายลมเมื่อดื่มนมเข้าไป เพราะขาดเอนไซม์บางอย่าง เช่น แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม
          
           - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมฟรัคโทส เช่น เครื่องดื่มกระป๋อง น้ำผลไม้กระป๋อง บางคนอาจดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้ได้น้อย ทำให้ท้องอืดหรือผายลมมากขึ้น
          
           - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเติมแก๊ส เช่น น้ำอัดลม เบียร์ โซดา เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปเพิ่มปริมาณลมหรือแก๊ส ทำให้เรอและผายลมมากขึ้น
          
           - ลดอาหารไขมันสูง เพราะอาหาร ประเภทไขมันจะใช้เวลาย่อยนานกว่าอาหารประเภทอื่น จึงอาจอยู่ในกระเพาะได้นานถึง 2 ชั่วโมง แบคทีเรียมีเวลาเหลือเฟือในการสร้างแก๊สตด แต่ถ้ากินไขมันน้อยลง ลำไส้จะบีบตัวให้อาหารผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น แบคทีเรียสร้างแก๊สในลำไส้ได้ลดลง ก็จะช่วยป้องกันอาการท้องอืดและผายลมได้
          
           - อาหารค้างคืนที่นำออกจากตู้เย็นมาอุ่น ก็สามารถกระตุ้นให้แบคทีเรียในอาหารผลิตแก๊สได้ การกินอาหารที่อุ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงมีส่วนทำให้ตดบ่อย
          
           - อย่ากินอาหารหรือดื่มน้ำเร็วเกินไป เพราะระหว่างนั้นเราจะกลืนลมเข้าไปด้วย การกินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด จะช่วยให้กลืนอากาศเข้าไปน้อยลง
          
           - การอมลูกอม เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือสูบบุหรี่ ก็เช่นเดียวกัน เวลาที่เรากลืนน้ำลายหรือสูบบุหรี่ ก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย
          
           - การพูดมากๆ ก็อาจทำให้กลืนลมเข้าไปมากเช่นกัน
          
           - กินขิง อบเชย หรือเปปเปอร์มินท์ อาจช่วยลดแก๊สในกระเพาะได้
           

           - กินอาหารเครื่องดื่มที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี (probiotic) เป็นประจำ เช่น แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว เพื่อให้จุลินทรีย์ชนิดดีไปแย่งอาหาร และลดจุลินทรีย์กลุ่มที่ชอบสร้างแก๊ส โดยเลือกโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ
          
           - กินมื้อเล็กๆ แต่บ่อยขึ้น วันละ 5-6 มื้อ แต่ละมื้อกินไม่ต้องมาก หรือแค่เกือบอิ่ม
          
           - ดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยดื่มคราวละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ ตลอดวัน
          
           - การเดินหลังอาหารช้าๆ ประมาณ 10-15 นาที มีส่วนช่วยให้ลำไส้บีบตัวให้อาหารผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น แบคทีเรียมีเวลาสร้างแก๊สในลำไส้น้อยลง จึงช่วยลดการผายลมได้ การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวให้มากเป็นประจำยังทำให้ลำไส้และระบบย่อยทำงาน ได้ดีอีกด้วย
          
           ในขณะที่คนส่วนใหญ่ถูกสอนให้กระมิดกระเมี้ยนตด แพทย์ชาวฝรั่งเศส กลับบอกว่า อย่าอั้นมันไว้ “คน เราควรจะผายลมเพื่อกำจัดแก๊สที่เกิดขึ้นในตัวให้หมดในแต่ละวัน เพราะมันเป็นไปตามขบวนการตามธรรมชาติ การกลั้นเอาไว้อาจเป็นอันตรายกับลำไส้ อย่าได้อายในการระบายกลิ่นอายของร่างกายออกไป เพราะจะเป็นการรักษาสุขภาพของตนเองให้อยู่ดี”
          
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    คุณดื่มน้ำน้อยไปหรือเปล่า / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 3 มิถุนายน 2554 11:35 น.
           คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
          
           คนเราสามารถอดอาหารได้นาน เป็นเดือน แต่ถ้าขาดน้ำเพียงแค่ 3 วันก็ไม่รอดแล้ว น้ำมีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอย่างมาก เคยสังเกตไหมว่าในแต่ละวันคุณดื่มน้ำปริมาณมากน้อยแค่ไหน นักโภชนาการลงความเห็นว่า ปัจจุบันคนเมืองส่วนใหญ่ดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย บางคนให้เหตุผลว่าน้ำเปล่าไม่ซ่า ไม่หวาน ไม่อร่อย เหมือนน้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือชา กาแฟ ทำอย่างไรเราจึงจะดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นในแต่ละวัน
          
           ความต้องการน้ำของแต่ละคนจะต่างกันไปตามอายุ ขนาดของร่างกาย กิจกรรมที่ทำ สภาพแวดล้อม และสภาวะของร่างกาย เด็กจะต้องการน้ำมากกว่าผู้ใหญ่ สภาวะบางอย่างก็ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้น เช่น มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย มีเหงื่อออกมากกว่าปกติ เป็นต้น
          
           คำแนะนำสำหรับคนทั่วไปก็คือ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว นี่ถือว่าเป็นปริมาณน้อยแล้วถ้าเทียบกับสารพัดสูตรที่ออกมาใหม่ว่าให้ดื่ม น้ำวันละเท่านั้นเท่านี้ การดื่มน้ำมากๆ ไม่เป็นผลดีสำหรับทุกคนเสมอไป แต่การดื่มน้ำน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่ผลดีเช่นกัน
          
           บางคนอาจจะไม่ชินที่ต้องพยายามดื่มน้ำให้ได้ตามปริมาณที่แนะนำ และดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน แรงจูงใจในการดื่มน้ำให้ได้เพียงพอในแต่ละวันก็คือ ต้องไม่ลืมนึกถึงผลเสียที่จะตามมาหากร่างกายขาดน้ำ
          
           เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำให้ได้มากขึ้นในแต่ละวัน มีดังนี้
          
           - เมื่อตื่นนอนคุณมักจะกระหายน้ำ เป็นโอกาสดีที่จะดื่มน้ำตอนที่กำลังรู้สึกกระหาย เพราะคุณจะดื่มได้มากโดยไม่ลำบากเลย นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายอีกด้วย
          
           - อย่าดื่มน้ำเฉพาะเวลาที่รู้สึก กระหาย แต่ให้ดื่มทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ เพราะหากรอให้กระหายน้ำก่อน นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณเริ่มขาดน้ำแล้ว
          
           - ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งเดียวให้หมดแก้ว ให้ใช้วิธีจิบทีละนิด แต่จิบบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน จะไม่ทำให้รู้สึกจุกหรือปวดปัสสาวะหลังจากดื่มน้ำ
          
           - หาขวดน้ำและแก้วน้ำวางไว้ใกล้ๆ ตัว โดยเฉพาะเวลาทำงาน จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนลืมดื่มน้ำ
          
           - หากวางน้ำไว้ใกล้ตัวแล้วยังลืมอีก อาจจะลองใช้วิธีตั้งนาฬิกาเตือนให้ดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมง
          
           - หากไม่ชอบรสชาติจืดชืดของน้ำเปล่า ลองบีบมะนาวลงไปเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำเปล่า
          
           - หากคุณดื่มชากาแฟปริมาณมาก วันละหลายๆ แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อชดเชยน้ำในร่างกายที่อาจจะสูญเสียไปจากการ ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณมากมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย
          
           - ทุกครั้งที่เสียเหงื่อจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย อย่าลืมดื่มน้ำชดเชยกับที่ร่างกายต้องสูญเสียไป
          
           - เมื่ออยู่กลางแดดหรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ควรดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปเช่นกัน
          
           - หากรู้สึกหนาว ควรดื่มน้ำอุ่นก่อนที่จะนึกถึงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชนิดอื่น น้ำอุ่นจะช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมได้
          
           - น้ำช่วยลดความอยากอาหารลงได้ บางครั้งเมื่อเรานึกอยากกินอะไร มันอาจเป็นแค่ “ความอยาก” ไม่ใช่ “ความหิว” ดังนั้น ใครที่อยากลดน้ำหนัก หากรู้สึกหิวระหว่างมื้อ ลองดื่มน้ำเปล่าแทนก่อน ความอยากนั้นอาจจะหายไป
          
           - ดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้อ้วนเหมือนน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาหรือกาแฟ เพราะน้ำเปล่าไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลที่อาจจะสะสมเป็นส่วนเกินในร่างกาย
          
           - น้ำเปล่าช่วยให้ผิวสวย เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเซลและเนื้อเยื่อในร่างกาย การดื่มน้ำจะช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไป ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่เหี่ยวแห้งง่าย
          
           - ดื่มน้ำเปล่าช่วยไม่ให้ท้องผูก เพราะน้ำจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อุจจาระไม่แข็งและไม่ต้องเบ่งจนทำให้เป็นริดสีดวงทวาร
          
           - น้ำเปล่าราคาถูกกว่าน้ำดื่มอื่นๆ แถมบางแห่งมีบริการฟรีอีกด้วย
          
           - หมั่นตรวจดูปัสสาวะของตัวเอง หากปัสสาวะใสดี แสดงว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่หากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว
          
           คุณอาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้อย่างทันทีทันใด จากคนที่ดื่มน้ำน้อย มาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อค่อยๆ ปรับพฤติกรรม เริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าทุกวันจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้นจนกลายเป็นกิจวัตร เมื่อคุณดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ จะรู้สึกได้เลยว่าสุขภาพของคุณดีขึ้น
          
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    กลิ่นตัว กลิ่นเต่า เอายังไงดี / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 15 มิถุนายน 2554 15:18 น.
     ทุก คนล้วนมีกลิ่นตัวด้วยกันทั้งนั้น บางคนมีเพียงกลิ่นอ่อนๆ พอเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่บางคนกลับมีกลิ่นตัวแรงจนคนรอบข้างต้องเบือนหน้าหนี คนที่มีกลิ่นตัวแรงมักไม่ค่อยรู้ตัว เพราะคุ้นเคยกับกลิ่นของตัวเอง กลิ่นอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิธีป้องกันและขจัดกลิ่นตัวได้อย่างไร
          
           สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว
           

           กลิ่นตัวในแต่ละจุดของร่างกายจะแตกต่างกันไป เช่น กลิ่นตามข้อพับ กลิ่นเท้า กลิ่นบนหนังศีรษะ หรือกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ แต่กลิ่นตัวที่หลายคนเรียกว่า กลิ่นเต่าเจ้าปัญหา คือกลิ่นตัวบริเวณรักแร้ ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารที่หลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อ
    ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
           ปกติร่างกายของคนเราจะมีต่อมเหงื่ออยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นต่อมเหงื่อที่มีอยู่ตามผิวหนังทั่วตัว อีกชนิดหนึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีอยู่เฉพาะบางแห่งของร่างกาย เช่น รักแร้ บางส่วนของอวัยวะเพศ เป็นต้น เหงื่อที่ถูกขับออกมาจากต่อมเหงื่อชนิดนี้ เมื่อหมักหมมไว้จะถูกย่อยโดยแบคทีเรีย และทำให้เกิดกลิ่นตัวขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็จะมีกลิ่นเฉพาะตัว
          
           ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดกลิ่นตัว
           

           - สภาพอากาศที่ร้อนชื้นประกอบกับสุขอนามัยที่ไม่ดีพอ จะทำให้แบคทีเรียบนผิวหนังเจริญได้ดีและมีจำนวนมาก ทำให้กลิ่นตัวยิ่งแรงขึ้น
           - การสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ หรือตัดเย็บด้วยผ้าที่ระบายเหงื่อได้ไม่ดีพอ เช่น ผ้าใยสังเคราะห์ จะทำให้ผิวหนังมีความอับชื้น ปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนังจึงเพิ่มขึ้นและเกิดกลิ่นตัวได้ง่ายขึ้น
           - อาหารบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ ฯลฯ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว เพราะสารที่มีกลิ่นในอาหารเหล่านี้จะถูกขับออกมาทางเหงื่อ
           - เมื่อมีอารมณ์เครียด โกรธ ตกใจ ร่างกายจะกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ หน้าผาก และฝ่ามือ มีเหงื่อออกมากขึ้น และทำให้เกิดกลิ่นตัวขึ้นได้
          
           การรักษาความสะอาด
           

           - อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หากเหงื่อออกมากก็อาบได้บ่อยๆ และสระผมให้สะอาดเป็นประจำ
           - ชำระล้างร่างกายให้สะอาดด้วยสบู่ที่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค
           - ทาแป้งฝุ่นบริเวณข้อพับที่อับชื้น เพื่อช่วยให้ผิวแห้ง ลดความอับชื้นลง
           - พยายามให้เหงื่อออกน้อยที่สุด เช่น อยู่ในที่เย็น ระบายอากาศได้ดี ใช้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ
           - หลังทำงานกลางแจ้งหรือเล่นกีฬา ควรอาบน้ำ สระผม และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกครั้ง
           - หากไม่สามารถอาบน้ำได้ ควรใช้ผ้าเช็ดเหงื่อให้แห้งทุกครั้งหลังเหงื่อออก ไม่ควรปล่อยให้คราบเหงื่อแห้งติดตัวเป็นเวลานาน
           - สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี โดยเฉพาะหากสภาพอากาศร้อน ควรใช้ผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย แทนผ้าใยสังเคราะห์
           - เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วควรซักให้สะอาด และตากแดดให้แห้งสนิท
           - กลิ่นตัวที่เหม็นติดเสื้อผ้า ให้นำไปแช่ในน้ำส้มสายชูสักครู่ ก่อนจะนำไปซักตามปกติ กลิ่นเหม็นจะจางหายไป เสื้อผ้าบริเวณรักแร้ที่เป็นคราบเหลือง นำน้ำส้มสายชูมาทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม ยังช่วยขจัดคราบได้อีกด้วย
           - หมั่นซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มให้สะอาดเป็นประจำ
           - รับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวแต่น้อย
    ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
           วิธีการขจัดกลิ่น
           

           หลายคนอาจจะเลือกใช้น้ำหอมในการกลบกลิ่นตัว แต่หากมีเหงื่อออกมาก และไม่ได้ชำระล้างออกก่อน จะทำให้กลิ่นน้ำหอมนั้นกลายเป็นกลิ่นฉุนมากยิ่งขึ้นไปอีก
          
           ส่วนผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นตัวที่มีขายใน ท้องตลาดนั้นมีหลายประเภท ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวออกมาว่า โรลออนประเภท “Antiperspirants” หรือโรลออนลดการขับเหงื่อ ซึ่งระงับกลิ่นกายด้วยการใช้สารที่ไปปิดกั้นรูขุมขน ทำให้ไม่มีเหงื่อออก ไม่เกิดกลิ่นตัว แต่ผลวิจัยชี้ว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดซีสต์ เนื้องอก และมะเร็งเต้านม
          
           คำแนะนำ คือ ให้ใช้โรลออนธรรมดาประเภท “Deodorants” หรือโรลออนดับกลิ่นแทน แต่ก็มีงานวิจัยเล็กๆ อีกชิ้นที่ระบุว่าสารกันเสียในโรลออน ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวได้เช่นกัน
           อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากบริษัทผู้ผลิตยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีความปลอดภัย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคมะเร็งก็บอกเช่นกันว่า ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าสารต่างๆ ในโรลออนกับมะเร็งมีความสัมพันธ์กัน
          
           หลายคนที่ยังไม่วางใจกับผลิตภัณฑ์ สมัยใหม่ จึงหันมาใช้ตัวช่วยดั้งเดิมในการกำจัดกลิ่นตัวที่ใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณ อย่างสารส้ม ใช้ทาถูที่รักแร้หลังอาบน้ำทุกครั้ง โดยทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่
           นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรต่างๆ เช่น
          
           ใบพลู ซึ่งมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นำมาขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ
           ใบฝรั่ง นอกจากจะช่วยระงับกลิ่นปากได้แล้ว ยังช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน โดยนำใบฝรั่งประมาณ 10 ใบ มาโขลกให้ละเอียด แล้วทารักแร้ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วอาบน้ำให้สะอาด
           มะนาว ใช้มะนาวผ่าซีกทาบริเวณรักแร้ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
           มะขามเปียก คั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้ถูตัวขณะอาบน้ำ จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมม
           หากดูแลตัวเองตามนี้แล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    วิธีแก้คันและป้องกันรอยดำจากยุงกัด / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 18 มิถุนายน 2554 12:07 น.

    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
                 
           คำพูดที่ว่า “ยุง ร้ายกว่า เสือ” หลาย คนคงเห็นด้วย เพราะโอกาสที่เราจะประจันหน้ากับเสือคงไม่บ่อยนัก ผิดกับยุงที่แทบจะเจอกันทุกวัน แม้ไม่อยากเจอ เจ้ายุงตัวร้ายนอกจากจะกัดเจ็บแล้ว ยังทำให้คันยุบยิบ แถมบางครั้งยังทิ้งรอยดำไว้ให้ดูต่างหน้าอีก วันนี้มีวิธีแก้คันและป้องกันรอยดำหลังถูกยุงกัดมาฝากค่ะ
          
           ทำไมจึงคันเมื่อถูกยุงกัด
           เวลาที่ยุงกัด มันจะใช้ปากแทงลงไปใต้ผิวหนัง แล้วดูดเลือดขึ้นมา 1-2 หยด ระหว่างนั้นมันจะปล่อยของเหลวออกมาจากปากของมันเพื่อทำให้เลือดไม่แข็งตัว จะได้ดูดเลือดได้ง่ายขึ้น อาการคันที่เกิดขึ้นหลังจากถูกยุงกัดเกิดขึ้น เพราะบางคนแพ้สารเคมีในของเหลวที่ว่านี้นั่นเอง ทันทีที่ของเหลวนี้เข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังแม้เพียงเล็กน้อย ผิวหนังจะเป็นตุ่มบวมแดงและคัน ซึ่งบางคนอาจเรียกว่า แพ้น้ำลายยุง
           คำแนะนำเมื่อถูกยุงกัด
           - ล้างผิวหนังบริเวณที่ถูกยุงกัดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ เพื่อล้างสารเคมีจากน้ำลายยุงที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
           - ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็นประคบเพื่อลดอาการคัน
           - ทาคาลาไมน์โลชั่น หรือทายาบรรเทาอาการคัน หากมีตุ่มหนองซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนให้แต้มยาปฏิชีวนะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทิ้งรอยดำ หรือเป็นแผลเป็นได้ รอยดำที่เกิดขึ้นหลังจากถูกยุงกัดเกิดจากเม็ดสีที่ผิวหนังมีปริมาณมากขึ้น หลังเกิดการอักเสบ ซึ่งส่วนมากจะจางหายไปได้เอง แต่อาจใช้เวลานาน
           - ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอและหลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณที่ถูกยุงกัด เพราะอาจกลายเป็นรอยดำหรือแผลเป็นได้เช่นกัน
          
           สมุนไพรแก้คัน
           แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อ น้ำลายยุงต่างกันไป บางคนอาจไม่แพ้เลย ขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกคันมาก นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว อาจลองใช้สมุนไพรต่อไปนี้
           - ตำลึง นำใบตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วโขลกให้ละเอียด ผสมกับน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่เป็นตุ่ม ทาซ้ำบ่อยๆ จนกว่าจะหาย
           - ขมิ้น นำหัวขมิ้นมาล้างให้สะอาดแล้วโขลกให้ละเอียดทาบริเวณที่ยุงกัด หรือใช้ผงขมิ้นละลายน้ำทาบ่อยๆ บริเวณที่คัน
           - เปลือกกล้วย ใช้ผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ถูกยุงกัด อาจช่วยลดอาการบวมและคันได้
          
           วิธีป้องกันยุง
           ยุงอาจเป็นพาหะโรคติดต่อร้ายแรง ดังนั้นควรหาวิธีป้องกันเอาไว้ก่อน
           - ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อป้องกันยุงกัด
           - เลือกใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะผลการวิจัยพบว่า ยุงชอบสีเข้มๆ มากกว่าสีอ่อนๆ
           - ระวังไม่ให้ถูกยุงกัด เช่น นอนกางมุ้ง หรือติดมุ้งลวด
           - ใช้ยาป้องกันยุงชนิดที่ทำจากสารสกัดธรรมชาติ ไม่ควรใช้ชนิดที่เป็นสารเคมี เพราะอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าทายากันยุงบริเวณร่มผ้า ให้ทาบางๆ ที่แขนขา ฉีดหรือหยดลงบนเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม หรือผ้าอ้อมเด็ก
           - หากจะฉีดยากันยุงชนิดที่เป็นสารเคมี ควรฉีดในช่วงกลางวันหรือฉีดทิ้งไว้สักพักก่อนจะเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้น เพื่อความปลอดภัย
           - หลีกเลี่ยงมุมอับ ที่มืด และระมัดระวังช่วงเวลาที่ยุงจะชุมมากที่สุด นั่นก็คือช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ยกเว้นยุงลายที่ออกหากินเวลากลางวัน
           - กำจัดยุงและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน เช่น แจกันดอกไม้ จานรองขาตู้ ท่อน้ำ หรือบริเวณที่มีน้ำขัง
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 20 สิงหาคม 2554 12:20 น.
           คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
          
           น้ำผึ้ง นอกจากจะใช้แต่งกลิ่นแต่งรสในอาหาร ขนม และเครื่องดื่มแล้ว ยังใช้เป็นส่วนผสมในยาหลายขนาน รวมทั้งสูตรเสริมความงามอีกหลายสูตร เรียกได้ว่านำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีคุณค่าทางอาหารและมีสรรพคุณทางยา แต่การใช้น้ำผึ้งเพื่อให้ได้คุณค่าที่แท้จริงนั้น ต้องเลือกน้ำผึ้งแท้เท่านั้น ขณะที่ความต้องการน้ำผึ้งมีมากกว่าที่ผลิตได้ตามธรรมชาติ จึงมีคนทำน้ำผึ้งปลอมมาหลอกขายกัน วันนี้จึงมีวิธีสังเกตและทดสอบน้ำผึ้งแท้มาฝากค่ะ
          
           สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการรับประทานน้ำผึ้ง เพียงแค่สังเกตจากลักษณะและลองชิมดู ก็อาจทราบแล้วว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ชำนาญ คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไป น้ำผึ้งส่วนใหญ่ที่ขายตามห้าง ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงมานาน ก็ไม่น่าจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยง แต่สำหรับน้ำผึ้งที่ชาวบ้านหาบขายหรือวางขายตามร้านค้าตามบ้าน ก่อนจะเลือกซื้อต้องพิจารณาให้ดี
          
           วิธีพิสูจน์น้ำผึ้งแท้ที่เราเคยทราบกันมา เช่น หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู น้ำผึ้งแท้จะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็ว หรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเจือปนอยู่มาก หรือวิธีนำหัวไม้ขีดมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดที่ข้างกลักไม้ขีด ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติดเพราะจะดูดซึมน้ำเอาไว้ อีกวิธีก็คือหยดน้ำผึ้งลงในแก้วใส่น้ำเย็น น้ำผึ้งแท้จะจมลงก้นแก้วแล้วค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันที
          
           วิธีการต่างๆ เหล่านี้ที่จริงแล้วบอกได้เพียงความเข้มข้นของน้ำผึ้ง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ เพราะน้ำผึ้งที่ผสมแบะแซหรือคาราเมล ก็มีความข้นหนืดเหมือนน้ำผึ้งแท้ได้เช่นกัน
          
           การทดสอบน้ำผึ้งว่าเป็นของแท้หรือไม่ ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทดสอบเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน จึงจะทราบแน่ชัด ไม่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา อย่างไรก็ตาม มีหลักเกณฑ์ที่พอจะใช้สำหรับสังเกตน้ำผึ้งแท้ได้ ดังนี้
          
           - น้ำผึ้งต้องมีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล แต่ถ้ามีสีเข้มมากจนดำแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งคุณประโยชน์อาจจะลดน้อยลงไป ควรสังเกตวันหมดอายุที่ข้างขวดด้วย
          
           - น้ำผึ้งต้องใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีผึ้งปน ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี
          
           - เขย่าขวดดูฟองอากาศและการแยกชั้น น้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกชั้น ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก ลอยตัวช้า และมองเห็นการแยกตัวเป็นชั้น
          
           - น้ำผึ้งแท้จะมีความหนืด เหนียว ไหลช้าเวลาเท แม้จะอยู่ในสภาพอากาศร้อน
          
           - น้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลาก เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นลำไย นอกจากนี้ควรมีกลิ่นรสตามธรรมชาติ ไม่บูดเปรี้ยวหรือเป็นฟอง
          
           - สังเกตจากผลึกของน้ำผึ้ง หลายคนเข้าใจผิดว่า น้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึก แต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึกได้เหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบของผลึกจะแตกต่างกัน ผลึกของน้ำผึ้งแท้จะเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือคาราเมล ผลึกจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่ทำจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก น้ำผึ้งที่ตกผลึกก้นขวด อาจเป็นเพราะเก็บไว้นานแล้ว
          
           - ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลย ก็อาจสังเกตจากฉลากว่า มีชื่อผู้ผลิตและที่อยู่ชัดเจน บริษัทผู้ผลิตน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ โดย อย. ได้กำหนดให้น้ำผึ้งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด ห้ามเจือสีและห้ามใช้วัตถุเจือปนอาหารทุกชนิด ภาชนะบรรจุต้องสะอาด แห้ง ปิดสนิท ไม่มีสี ไม่มีสารพิษที่อาจละลายออกมา และสามารถมองเห็นน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ภายในได้ ปริมาณที่บรรจุต้องครบตามที่ระบุไว้ในฉลาก ที่สำคัญ ต้องมีเครื่องหมาย อย. บนฉลาก
          
           เมื่อเลือกซื้อน้ำผึ้งที่ดีได้แล้ว ก็ต้องเก็บให้ดีด้วย ควรเก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็น แต่ไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น และไม่ควรถูกแสงแดด เพราะจะทำให้น้ำผึ้งเสียคุณค่าทางอาหารก่อนที่เราจะรับประทานหมด ตามอายุการใช้งานแล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 2 ปี
          
           และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากรับประทานมากเกินไป แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจทำให้เกิดโทษได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่น้ำผึ้งแท้
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    ข้อเท็จจริงของ “ฝน หวัด ยาพารา และวิตามินซี”
    โดย เอมอร คชเสนี 19 กรกฎาคม 2554 12:15 น.
     สาเหตุ ของอาการหวัด คือ เชื้อไวรัสที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ หรือเกาะอยู่ตามที่ต่างๆ และบางส่วนที่อยู่ในร่างกายของเรา หากร่างกายของเรายังมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ก็จะไม่เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น แต่ช่วงนี้ฝนตกเฉอะแฉะทุกวัน หลายคนโดนละอองฝนก็เป็นหวัดกันได้ง่ายๆ แล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
           นพ.สมศักดิ์ หวานกิจเจริญ อธิบายว่า หวัดไม่ได้เกิดจากฝน แต่เกิดจากการที่ร่างกายของเราเปียกฝน โดยเฉพาะที่ศีรษะ จะทำให้อุณหภูมิที่เยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ใน ช่องจมูก
          
           ประกอบกับก่อนฝนตกมักจะมีลมแรง ลมจะพัดให้ไวรัสในสภาพแวดล้อมฟุ้งกระจายไปทั่ว หากเราอยู่ในบริเวณนั้น ก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อไวรัสที่มากับลมฝน ทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก
          
           เมื่อเชื้อโรคมีปริมาณมาก ภูมิต้านทานของร่างกายไม่อาจต้านทานได้ จึงเกิดการอักเสบบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดอาการคัดจมูก ร่างกายจะผลิตน้ำมูกขึ้นมาเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หากเชื้อโรคบุกไปได้ถึงลำคอ ก็จะทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ คออักเสบได้
          
           นอกจากนี้ อุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกัน หากเท้าของเราเปียกน้ำ หรือต้องแช่อยู่ในน้ำนานๆ ก็มีผลให้อุณหภูมิที่เยื่อบุจมูกลดลง และทำให้เป็นหวัดได้เช่นกัน
          
           ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด ก่อนฝนตกพยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกไว้ เมื่อฝนตกก็ควรกางร่มหรือหาที่หลบฝน
           หากเปียกฝน ควรอาบน้ำสระผมด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดหรือเป่าผมให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นหรือห่มผ้า หรืออาจแช่เท้าในน้ำอุ่น อย่านอนทั้งๆ ที่ผมยังไม่แห้ง เพราะนอกจากความเปียกชื้นจะทำให้เป็นหวัดได้แล้ว ยังทำให้เกิดเชื้อราได้อีกด้วย
          
           หากไม่สะดวกที่จะอาบน้ำ ต้องรีบเช็ดตัวให้แห้ง ควรเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เสื้อผ้าที่แห้งและอบอุ่น ถอดถุงเท้ารองเท้า อย่าปล่อยให้เท้าเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เป็นหวัดและเกิดเชื้อราได้เช่นกัน หากต้องเดินลุยน้ำท่วมน้ำขัง ควรล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วทาแป้งฝุ่นทับ จะช่วยให้เท้าสะอาด แห้งสบายขึ้น
          
           ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น น้ำขิงสักแก้ว และปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม เนื่องจากอากาศมีความชื้นและเย็นมากอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หลักการก็คือทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เพื่อไม่ให้ไวรัสแบ่งตัวแพร่กระจายได้
          
           หลายคนเมื่อเปียกฝนมา จะใช้วิธี “กินยากันไว้ก่อน” ส่วนใหญ่ก็คือยาพาราเซตามอล โดยหวังว่ายาจะช่วยป้องกันโรคหวัดได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว พาราเซตามอล คือ ยาแก้ปวด ลดไข้ จึงไม่ได้ช่วยป้องกันหวัดแต่อย่างใด และไม่มีความจำเป็นต้องกินล่วงหน้า
          
           และถึงแม้จะป่วยเป็นหวัดขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มียาอะไรที่จะรักษาโรคหวัดได้ เนื่องจากหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งยังไม่มียาใดที่จะฆ่าเชื้อไวรัสได้ ยาที่ใช้เป็นเพียงยาบรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้อักเสบ
          
           ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อลดไข้ ก็คือ ไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด และไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 5 วัน มิฉะนั้น อาจเกิดผลข้างเคียงต่อตับได้ ส่วนยาลดน้ำมูกบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม หากต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือขับขี่ยานพาหนะ ควรระมัดระวังให้มาก
          
           เมื่อเป็นหวัด สิ่งสำคัญคือ การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ นอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น จะช่วยให้อาการทุเลาขึ้นอย่างรวดเร็ว
          
           นอกจากการกินยากันไว้ก่อน บางคนยังใช้วิธีกินวิตามินซีเมื่อเป็นหวัด จริงอยู่ว่าสรรพคุณหนึ่งของวิตามินซีก็คือช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่าง กายและช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล แต่การปล่อยให้ป่วยเสียก่อนค่อยมากินวิตามินซี ดูจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง
          
           เราควรจะรับประทานวิตามินซีให้เป็นปกตินิสัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะช่วยให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายๆ อาหารที่มีวิตามินซีสูง ก็คือ ผักสด เช่น ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด ผักกาดและผักใบเขียวทั้งหลาย ผลไม้สด เช่น ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป ส้ม แอปเปิล มะเขือเทศ สับปะรด
          
           ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้มีสุขภาพดีในระยะยาวด้วย
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    ศัตรูในคราบมิตรที่ชื่อว่า “เหล้า”
    โดย เอมอร คชเสนี 15 กรกฎาคม 2554 11:17 น.
    ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
           คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
          
           วันเข้าพรรษาเวียนมาถึงอีก ครั้งหนึ่งแล้ว หลายคนใช้โอกาสนี้ในการลด ละ เลิก เหล้า ในขณะที่อีกหลายคนยังคงมองไม่เห็นโทษของการดื่มเหล้า บางคนเห็นเหล้าเป็นเพื่อน อาศัยเหล้าแก้เหงา อาศัยความมึนเมากลบเกลื่อนความทุกข์ แต่ลืมไปว่าพอสร่างเมาก็ต้องกลับสู่ชีวิตจริง วันนี้จึงถือโอกาสวันเข้าพรรษามาบอกเล่าถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
          
           ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.ระบุว่า เมื่อเราดื่มเหล้าเข้าไป แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งจะสามารถตรวจ พบแอลกอฮอล์ในเลือดได้ภายในเวลาเพียง 5 นาทีหลังจากเริ่มดื่ม ก่อนจะส่งต่อไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ของเหลวทุกแห่งในร่างกาย และอวัยวะต่างๆ ภายในเวลา 10-30 นาที และส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่
          
           - ช่องปากและลำคอ
           เกิดอาการระคายเคืองในช่องปากและลำคอ อย่างที่เรียกกันว่า เหล้าบาดคอนั่นเอง
          
           - ผิวหนังและหลอดเลือด
           หลอดเลือดจะขยายตัวเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หน้าแดง ตัวแดง แต่บางคนอาจมีอาการเส้นเลือดหดตัว ทำให้หน้าซีด ซึ่งมีอันตรายต่อชีวิตมากกว่า
          
           - กระเพาะอาหาร
           โรคที่พบบ่อยในหมู่นักดื่ม คือ โรคกระเพาะ แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นต่ำจะกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะและลำไส้ ขณะที่แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นสูง จะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน เมื่อดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นสีดำ อุจจาระดำ บางรายจะพบการฉีกขาดของเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งเกิดจากการอาเจียนอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะอาเจียนมีเลือดปนออกมาบ่อยๆ อาจเสียเลือดมาก ต้องรักษาโดยผ่าตัดเย็บรอยฉีกขาดของเยื่อบุดังกล่าว

    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
           - หัวใจ
           หัวใจจะถูกกระตุ้นให้สูบฉีดโลหิตเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น ในระยะยาวจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจแปรปรวน เมื่อหัวใจทำงานหนักขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจจะเริ่มหนาขึ้น เกิดโรคหัวใจโต มีอาการหัวใจวายหรือหัวใจล้มเหลวตามมาในที่สุด
          
           - เซลล์
           การไหลเวียนของเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายจะเร็วขึ้น เซลล์ทุกเซลล์จะทำงานไวขึ้นกว่าปกติจนเกินความจำเป็น ทำให้การทำงานของอวัยวะแปรปรวนไปจากปกติในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ต่อมาฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกดการทำงานของเซลล์ และทำลายเซลล์ไปในที่สุด
          
           - สมอง
           แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์สมองขยายตัว เกิดอาการที่เรียกว่า สมองบวม นานเข้าจะเกิดการสูญเสียของเหลวในเซลล์สมอง เซลล์สมองลีบเหี่ยว เสื่อม และตายลง จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากสุรา จะพบภาวะเนื้อสมองลีบเหี่ยว มีสีซีดจาง เห็นได้อย่างชัดเจน
          
           - ตับ
           ตับเป็นอวัยวะที่ได้รับพิษจากแอลกอฮอล์มากที่สุด เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีไขมันเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดการคั่งของไขมันในตับซึ่งนำไปสู่อาการตับอักเสบ ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น เมื่อเซลล์ตับตายลงถึงระดับหนึ่ง จะมีการสร้างพังผืดขึ้นที่บริเวณนั้น ลักษณะคล้ายแผลเป็น ทำให้เนื้อตับที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งตัวขึ้น เกิดอาการที่เรียกว่า “ตับแข็ง” ในที่สุด การสูญเสียเซลล์ตับเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ไม่มีการสร้างขึ้นทดแทน ความรุนแรงของโรคตับแข็งจึงขึ้นอยู่กับปริมาณของเนื้อตับที่สูญเสียไป ยิ่งเนื้อตับถูกทำลายมากเท่าไร โอกาสที่จะเสียชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
          
           - ระบบอวัยวะ
           แอลกอฮอล์ในเหล้าทำให้เกิดพิษต่อระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบประสาทซึ่งทำให้ขาดการควบคุม ระบบสืบพันธุ์ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง ทำำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น คนที่ดื่มจัดจึงแก่เร็ว
          
           นอกจากผลต่อร่างกายแล้ว แอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อระดับเชาว์ปัญญาและจิตประสาทอีกด้วย โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาและสมาคมป้องกันปัญหาจากสุราแห่งประเทศไทย หรือ สปส.ระบุถึงงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อายุยัง น้อย คือในช่วงอายุ 20-29 ปี จะทำให้ผู้ดื่มมีระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิวต่ำลง เกิดเชาว์ปัญญาเสื่อมมากกว่ากลุ่มที่เริ่มดื่มในช่วงอายุอื่นๆ ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดความเสื่อมของสติปัญญา ก็คือ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิธีการดื่ม การมีพ่อแม่เป็นนักดื่ม และมีอาการทางจิต
          
           จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทางจิตในแต่ละประเทศ มีสาเหตุมาจากสุรา สารพิษที่เกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายจะทำลายสารเคมีในสมองที่ช่วย ให้คนเรารู้สึกสงบสุข คนติดเหล้าจึงมักมีจิตใจและอารมณ์อ่อนไหว ความอดทนต่อความเครียดหรือภาวะกดดันลดน้อยลง ขาดสมาธิ และทำให้บุคลิกภาพเสื่อมโทรม
          
           สมองส่วนนอก (Cortex) ของคนที่ติดเหล้าเรื้อรังจะฝ่อลีบ ทำให้เกิดอาการเสื่อมทางจิต โรคจิตจากการดื่มมีหลายอาการและมักจะรักษาให้หายขาดยาก ได้แก่ โรคประสาทหลอน โรคหวาดระแวง โรคความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า โรคหวาดกลัวผิดปกติ ฯลฯ
          
           อาการทางจิตที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาวะตื่นกลัวที่เรียกว่า Panic Disorder ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ อาการผิดปกติของหัวใจ กระเพาะอาหาร และระบบประสาท
          
           แอลกอฮอล์ยังไปกดการทำงานของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ควบคุมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ จนสามารถก่อพฤติกรรมรุนแรงที่สร้างความเดือดร้อนและอันตรายต่อตนเองและผู้ อื่นได้โดยง่าย
          
           ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการ ก็คือ การดื่มแล้วขับทำให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพุ่งสูงขึ้น หน่วยจัดการความรู้เพื่อถนนปลอดภัยและศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุถึงผลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า แอลกอฮอล์ทำลายความสามารถในการขับขี่พาหนะในด้านต่างๆ ได้แก่ ทำให้ประมาท ทำให้การมองเห็นแคบลง มัวลง เห็นภาพซ้อน ผู้ขับขี่จึงรับรู้ต่อความเคลื่อนไหวรอบตัวได้น้อยลง และยังทำให้การสั่งการของสมองไปยังกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อคับขันจึงอาจแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ และหักรถหลบหลีกได้ช้ากว่าปกติ อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นเสมอ
          
           ขณะที่งานวิจัยที่ว่าการดื่มเหล้าแต่พอประมาณ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและทำให้อายุยืนขึ้น ก็ยังมีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับงานวิจัยดังกล่าว โดยชี้ว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้ และแม้ว่าการดื่มจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้จริง แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคตับ โรคมะเร็ง ฯลฯ
          
           ที่สำคัญ การดื่มแต่ “พอประมาณ” สำหรับนักดื่มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และพอประมาณสำหรับคนหนึ่ง อาจมากไปสำหรับอีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปว่า แค่ไหนถึงจะกำลังดี
          
           ดังนั้น คำแนะนำก็คือ สำหรับคนที่ดื่มหนักอยู่แล้ว จะเป็นการดีหากลดการดื่มลงมาเหลือแค่วันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ดื่ม ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหันมาดื่ม เพราะยังมีอีกหลายวิธีที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและช่วย ให้อายุยืนได้
          
           สำหรับคนที่ยังมองไม่เห็นพิษภัยของสุรา คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้ลด ละ เลิก เพราะจะอย่างไรเสีย บรรยากาศในวงเหล้าก็เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานหากเป็นไปในทางบวก หลายคนได้พบปะกระชับมิตร ได้แลกเปลี่ยนความคิดดีๆ ในวงเหล้า แต่ทุกสิ่งควรเป็นไปตามหลักทางสายกลาง หากดื่มหนักเกินไปก็ย่อมเกิดโทษดังที่ได้กล่าวแล้ว
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com



    ก้อนเล็กๆ เหลืองๆ เหม็นๆ ในคอ มันคืออะไร / เอมอร คชเสนี
    โดย เอมอร คชเสนี 23 มิถุนายน 2554 13:20 น.

           คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
          
           ใครเคยมีประสบการณ์ ก้อนเล็กๆ สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นเหม็นๆ หลุดออกมาจากในคอบ้างไหมคะ คนที่เคยประสบพบเจออาจจะนึกสงสัยว่าร่างกายของเรามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เจ้าก้อนเล็กๆ เหลืองๆ เหม็นๆ ที่ว่านี้ มันคืออะไร วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
          
           เจ้าก้อนปริศนานี้มาจากต่อมทอนซิล ดังนั้น ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับต่อมทอนซิลกันก่อน ต่อมทอนซิล คือ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านข้างลำคอตรงโคนลิ้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรค
          
           ปกติต่อมทอนซิลจะมีร่องหรือซอกหลืบ ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปติดอยู่ได้ นอกจากนั้น เซลล์ที่บุร่องหรือซอกนั้น อาจตายแล้วหลุดลอกออกมา แล้วมีแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และเอนไซม์ในน้ำลายเข้าไปย่อยสลาย จนเกิดเป็นสารลักษณะคล้ายก้อนแป้งอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล เมื่อสะสมไว้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งขึ้น ทางการแพทย์เรียกเจ้าก้อนนี้ว่า นิ่วทอนซิล (Tonsilloliths หรือ Tonsil Stones)
          
           ปัญหาดังกล่าวพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ผู้ที่มีเจ้าก้อนเล็กๆ นี้ติดอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล อาจรู้สึกรำคาญ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ และอาจทำให้มีกลิ่นปาก ในบางรายอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเป็นๆ หายๆ หรืออาจทำให้กลืนลำบากหากมีขนาดใหญ่มากๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนิ่วทอนซิลด้วย นอกจากนี้อาจทำให้ต่อมทอนซิลโต ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือมีอาการปวดร้าวไปที่หูได้
          
           วิธีการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและอาการต่างๆ ที่เป็นผลมาจากนิ่วทอนซิล รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แนะนำวิธีการแก้ปัญหานิ่วทอนซิลไว้ว่ามี 2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีไม่ผ่าตัดและวิธีผ่าตัด

           วิธีไม่ผ่าตัด
          
           -  กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ การกลั้วคอแรงๆ อาจช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา นอกจากนี้ น้ำเกลือยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากทอนซิลอักเสบ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับนิ่วทอนซิลอีกด้วย
          
           -  ใช้ไม้พันสำลี แปรงสีฟัน หรือไม้แคะหูที่สะอาด และไม่มีคม ค่อยๆ เขี่ยหรือกดบริเวณต่อมทอนซิล วิธีนี้ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจเกิดการบาดเจ็บได้
          
           -  ตัดเล็บและล้างมือให้สะอาด แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ ดันบริเวณส่วนล่างของต่อมทอนซิลขึ้น เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา
          
           -  ใช้ที่พ่นน้ำทำความสะอาดช่องปาก (water pick) ฉีดบริเวณต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออก
          
           -  ใช้นิ้วมือนวดใต้คางบริเวณมุมขากรรไกรล่าง ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา
          
           อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมาเสมอไป ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและตำแหน่งของซอกหลืบนั้นด้วย แต่ปกติแล้วเมื่อก้อนในร่องของต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่กว่าที่ร่องจะรับได้ ก็อาจหลุดออกมาเอง หรือบางครั้งเมื่อไอหรือขากเสมหะแรงๆ เจ้าก้อนนี้ก็อาจหลุดออกมาได้เองเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นบ่อยๆ รำคาญมากๆ หรือมีปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์อาจแนะนำวิธีผ่าตัด
          
           วิธีผ่าตัด
          
           วิธีแรก คือ การใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) หรือการใช้เลเซอร์ (Laser Tonsillotomy) จี้ต่อมทอนซิลเพื่อเปิดขอบร่องของต่อมทอนซิลให้กว้าง ไม่ให้มีซอกหลืบที่จะเป็นที่สะสมของสิ่งต่างๆ ได้อีก
          
           อีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอและกลืนลำบากอย่างน้อย 2-3 วันหลังการผ่าตัด วิธีนี้เป็นการรักษาที่หายขาด แต่มักจะทำในกรณีที่ใช้วิธีแรกแล้วไม่ได้ผล
          
           คงจะหายสงสัยกันแล้วว่าเจ้า ก้อนปริศนานี้ คืออะไร นิ่วทอนซิลที่มีขนาดเล็กและไม่ก่อปัญหาใดๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา การใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่ไม่สะอาดหรือมีคมเข้าไปล้วงแคะ อาจยิ่งก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า แต่ถ้าหากรู้สึกว่านิ่วทอนซิลของคุณก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้ค่ะ
          
           
           ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
           ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
           ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
           และ www.managerradio.com


    ร้อนสลับเย็น กับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

    อาบน้ำ

              หลังน้ำลด ลมหนาว เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องเตรียมรับมือ การบรรเทาลมหนาวโดยการอาบน้ำอุ่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ ใครจะรู้ว่าเทคนิคการอาบน้ำอย่างง่าย ๆ กลับส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง  นั่นคือวารีบำบัดแบบการอาบน้ำร้อนสลับเย็น หรือที่เรียกว่า Contrast Hydro Therapy  

              วารีบำบัดมีประวัติมายาวนาน แต่เริ่มมีแพร่หลายอย่างจริงจังเมื่อพระชาวเยอรมันชื่อ เซบาสเตียน คไนพ์ (1821–1897) ติด เชื้อป่วยเป็นวัณโรค ท่านรักษาตัวเองโดยการไปแช่ตัวในธารน้ำเย็นละแวกที่พำนัก แช่ทุกวันแม้ในวันที่อากาศหนาว จนชาวบ้านนินทาว่าท่านคงเพี้ยนและคงตายในเวลาอันสั้น แต่นอกจากไม่ตายท่านกลับดูแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เลยใช้วิชาแช่น้ำรักษาผู้ป่วยอื่น ๆ และต่อมาท่านพัฒนาเทคนิคการใช้น้ำในการรักษาแบบต่าง ๆ เช่น อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น เป็นต้น

              นอกจากทางยุโรปที่พบความมหัศจรรย์ของการอาบน้ำร้อนสลับเย็นแล้ว ศาสตร์ของวารีบำบัดก็เป็นที่แพร่หลายในประเทศตะวันออกเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นประเทศที่ถือว่าประชากรมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก

              โดย ผลการวิจัยยืนยันจาก Brain Functions Laboratory Inc. ประเทศญี่ปุ่น เมื่อทดลองจากการอาบน้ำร้อนสลับเย็น และทดสอบกับคลื่นไฟฟ้าสมอง และระดับการเต้นของหัวใจ พบว่าเมื่ออาบน้ำร้อนสลับเย็นระดับความโกรธและความเครียดลดลง  ความผ่อนคลายเพิ่มขึ้น และการเต้นของหัวใจที่ลดลง

              เนื่องจากว่าน้ำร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และทำให้เกิดเหงื่อรวมถึงการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น ส่วนน้ำเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัวและลดการไหลเวียนของโลหิต รวมถึงการเต้นของหัวใจที่ลดลง และเมื่อมีการอาบน้ำร้อน-เย็นสลับกันจะทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นเป็นรอบ ๆ โดยเริ่มจากระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทอัตโนมัติ / ระบบประสาทส่วนกลาง ปฏิกิริยาส่วนปลาย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นปฏิกิริยาของร่างกายนี้จะทำให้เซลล์ประสาทมีความนิ่งและส่งผลให้สภาพจิตใจมีการพัฒนาผ่อนคลาย

              ซึ่ง การอาบน้ำร้อนสลับเย็นเพื่อการผ่อนคลายให้ได้ผลต้องมีการสลับอย่างน้อย 10 รอบ โดยน้ำร้อน 30 วินาที และน้ำเย็น 30 วินาที  โดยเริ่มจากการอาบน้ำร้อนก่อน  การทำวารีบำบัดลักษณะนี้สามารถทำได้ง่าย และทำได้เองที่บ้าน  เพียงแค่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มี function การอาบน้ำร้อนสลับเย็นเท่านั้น

              1.สุดสายชล หอมทอง. "วารีบำบัด". สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา., มีนาคม 2006.
              2.Brain Functions Laboratory Inc. "Shower Sensibility Evaluation Test" , August 2010.