homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

นํ้าอัดลม-นํ้ามะนาว-มะเขือเทศ มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการเสียวฟัน

credit thairathnews


นํ้าอัดลม-นํ้ามะนาว-มะเขือเทศ มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการเสียวฟัน

หนุ่มๆ สาวๆ ไทยรุ่นใหม่หันมาใส่ใจกับสุขภาพฟันกันมากขึ้น เพราะถือเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง ที่ช่วยส่งบุคลิกหน้าตาให้สวยหล่อชวนมองได้ ทญ.ดร.เรวดี มีวศิน หมอฟันขวัญใจอเมริกันชนประจำอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพฟันมาฝาก โดยเฉพาะเรื่องของอาการ “เสียวฟัน” ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ฟันคุณมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว และจากผลการสำรวจพบว่า คนไทยกว่าร้อยละ 69 เผชิญอาการ “เสียวฟัน” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน! ซึ่งปัจจุบันก็มียาสีฟันสำหรับลดอาการเสียวฟันขึ้นโดยเฉพาะอย่าง “เซ็นโซดายน์”

คุณหมอเรวดีบอกว่า อาการเสียวฟันโดยทั่วไปเกิดจากการกระตุ้นของสิ่งเร้า อาทิ ความร้อน ความเย็น ความหวาน ไปกระทบประสาทฟันผ่านเนื้อฟันที่ถูกเปิดออก และมีท่อเนื้อฟันซึ่งเป็นรูเล็กๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น บางคนอาจเกิดอาการเสียวฟันชั่วครั้งชั่วคราว หรือเป็นๆหายๆ เกิดจากการก่อตัวของหินปูน เมื่อทันตแพทย์ขูดออกแล้วปัญหาเสียวฟันก็อาจหายไปได้ แต่ถ้ายังไม่หายไป นั่นแปลว่าอาการเสียวฟันของคุณ เนื่องมาจากเนื้อฟันถูกเปิดออก ซึ่งต้องจัดการกับอาการเสียวฟันอย่างถูกวิธี ตามหลักทันตกรรมสากล วิธีง่ายสุดคือ การใช้ยาสีฟันสำหรับลดอาการเสียวฟันโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีสารประกอบช่วยลดอาการเสียวฟัน เช่น โปแตสเซียมไนเตรต, แคลเซียม โซเดียม ฟอสโฟซิลิเกด หรือสตรอนเตียม คลอไรด์ เมื่อแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีสารดังกล่าว ก็จะไปอุดรูเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่บนเนื้อฟันที่เปิดออก เพื่อปิดกั้นประสาทฟันจากการกระตุ้น



สำหรับ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการเสียวฟัน คุณหมอเรวดีบอกว่า มีทั้งเรื่องของอายุ ซึ่งตามสถิติพบว่า คนในช่วงวัย 20 ถึง 40 ปี จะมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนสำคัญที่ ก่อให้เกิดอาการเสียว เช่น มะนาว น้ำอัดลม และมะเขือเทศ อาหารเหล่านี้จะกัดเซาะเคลือบฟัน ทำให้เนื้อฟันถูกเปิดออก จนเกิดอาการเสียวฟันในที่สุด โดยเฉพาะคนที่ชอบดูดน้ำมะนาวสดๆ ดังนั้น เมื่อเกิดอาการเสียวฟัน นอกจากหันมาใช้ยาสีฟันสำหรับลดอาการเสียวฟันแล้ว ควรหมั่นไปพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือนเพื่อตรวจเช็กสุขภาพฟันและช่องปาก เพราะถึงแม้ว่าอาการเสียวฟันโดยทั่วไปอาจไม่อันตราย แต่บางกรณีอาจเป็นอาการเบื้องต้นที่นำไปสู่โรคทางทันตกรรมที่ร้ายแรงขึ้นก็ ได้.

credit  thairathnews

แพทย์ชี้ 'ยาจีน' ช่วยป้องกันเซลล์มะเร็งแพร่กระจาย บรรเทาผลข้างเคียง - ฟื้นฟูผู้ป่วยซึมเศร้าได้ชะงัก

ผู้จัดการออนไลน์
แพทย์จีนชี้ 50% ของผู้ป่วยมะเร็งระยะแรกที่รักษาหายแล้วภายใน 5 ปีสามารถเกิดโรคซ้ำ และแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ แนะยาจีนช่วยฟื้นฟูสุขภาพและป้องกันการกำเริบ บรรเทาผลข้างเคียงและความเจ็บปวดจากการรักษาแผนหลัก พร้อมช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยท้อแท้มีอาการซึมเศร้า

ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรทั่วโลก และมีข้อมูลที่น่าตกใจว่าช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2005-2015 หากไม่กระทำการใดๆ จะมีประชากรเสียชีวิตจากโรคมะเร็งถึง 84 ล้านคนทั่วโลก แพทย์จีนเผย ยาจีนช่วยเสริมการรักษาแผนหลักจาก 3 ปัญหาใหญ่ได้ “ผลข้างเคียง-ดื้อยาเคมีบำบัด-การกำเริบซ้ำ”

แพทย์จีน มาลิน ปิยะชินวรรณ เผยในการบรรยายเรื่อง "ใช้ยาจีนอย่างไรเสริมการรักษามะเร็งให้ได้ผล" ซึ่งจัดโดยชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า ยาจีนเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากการรักษามะเร็งแผนหลักพบปัญหาใหญ่ 3 ประการ คือ

1. ผลข้างเคียง

2. เซลล์มะเร็งกำเริบซ้ำ ใช้ยาเดิมไม่ได้ผล และ

3. ไม่สามารถทำลายเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้

“ยาจีนสามารถเสริมการรักษามะเร็งได้ผล เพราะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของการรักษามะเร็งแผนหลัก และการแพทย์จีนเห็นว่า การแพร่กระจายหรือการเกิดซ้ำของโรคมะเร็ง เป็นปัญหาจากระบบภูมิคุ้มกันเป็นหลัก

จึงมีการใช้ยาจีนส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันไปพร้อมกันซึ่ง ยาจีนจะเห็นผลช้าแต่ผลข้างเคียงน้อยมาก ผู้ป่วยจึงต้องมีความตั้งใจจริง”

ยาจีนช่วยป้องกันมะเร็งเกิดซ้ำ

จุดเด่นของแพทย์แผนจีน คือ การรักษาโรคโดยเน้นให้ความสำคัญกับการปรับสภาพของร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการก่อให้เกิดโรค แนวความคิดแพทย์จีน ถือว่า มะเร็งเป็นโรคที่สภาวะและสภาพของร่างกายเป็นตัวก่อขึ้นมา

ดังนั้น การรักษามะเร็งให้ได้ จึงไม่ใช่สนใจเฉพาะก้อนเนื้อร้ายเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับสภาพร่างกายทั้งหมด ถ้าไม่ปรับสภาพร่างกายทั้งหมดไปพร้อมๆ กัน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและการกำเริบซ้ำได้

แพทย์จีนมาลิน บอกอีกว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนหายแล้ว ก็มีโอกาสเกิดซ้ำได้อีก ตามสถิติโดยเฉลี่ยแล้วผู้ป่วยมะเร็งมีการกำเริบซ้ำของโรคภายใน 5 ปี ถึงร้อยละ 50 และในจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เกิดโรคซ้ำยังมีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 90 อีกด้วย

นอกจากนั้น การกำเริบซ้ำครั้งที่ 2 มักพบว่ามีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ซึ่งเป็นสาเหตุของการคร่าชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่หากสามารถป้องกันยับยั้งได้ หลังจาก 5 ปีไปแล้วอัตราส่วนที่จะกำเริบซ้ำมีน้อยมาก

ดังนั้น การรักษามะเร็งที่สำคัญที่สุด คือการป้องกันการกำเริบซ้ำของโรค แต่สิ่งนี้มักถูกละเลยไปทั้งจากแพทย์และตัวผู้ป่วยเอง

สาเหตุการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง คือ เซลล์มะเร็งเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) เซลล์มะเร็งสามารถแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อใกล้เคียง และลุกลามไปสู่อวัยวะที่ไกลออกไป

“ผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งระยะแรกมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ป้องกันหลังจากรักษาแล้ว

เซลล์มะเร็งซึ่งมีขนาดก้อนเนื้อประมาณ 0.2 เซนติเมตร ซึ่งยากแก่การตรวจสอบเจอนั้น จะมีความสามารถในการสร้างเส้นเลือด (angiogenesis) เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง และชักนำเซลล์มะเร็งไหลผ่านหลอดเลือดเล็ก ๆ กระจายไปสู่ส่วนอื่นของร่างกาย

ดัง นั้น มะเร็งระยะแรกแม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่เซลล์มะเร็งอาจไม่ถูกทำลายไป เพราะส่วนของเซลล์มะเร็งที่ยังคงมีอยู่อาจกระจายไปทางหลอดเลือดใหม่แล้ว และหลุดรอดจากการผ่าตัด เป็นเหตุให้เกิดการกำเริบซ้ำของมะเร็งได้”

แพทย์จีนมาลินระบุว่า ยาจีนถูกนำใช้ในการฟื้นฟูสุขภาพและการป้องกันเป็นหลัก เนื่องจากการรักษาด้วยยาจีนจะสามารถปรับสมดุลของ ยิน-หยาง ปรับสมดุลชี่เลือด อวัยวะจ้างฝู่ เส้นลมปราณ และเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยกลุ่มยาจีนเพื่อเสริมการรักษาโรคมะเร็ง ประกอบด้วย

1. ตัวยาขับร้อนถอนพิษต้านมะเร็ง อาทิ ไป๋ฮวาเสอเสอเฉ่า ป้านจือเหลียน ชิงไต้

2. ตัวยาสลายก้อนกระจายปมแข็ง อาทิ เทียนหนานชิง เชี่ยคูเฉ่า ห่ายจ่าว

3. ตัวยากระจายเลือดคั่ง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อาทิ ชื่อเสา ตานเซิน เซื่อเชียง

4. ตัวยาละลายเสมหะต้านมะเร็ง อาทิ ป้านเชี่ย จวี๋เกิง จื่อชูจื่อ

5. ตัวยาขับน้ำ ระบาบความชื้น อาทิ ฝูหลิง จูหลิง เจ๋อชี

6. ตัวยาเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงเลือดลม อาทิ โสมคน หลิงจือ หวงฉี







นอก จากนั้นยังมีกลุ่มยาอื่นๆ เช่น กลุ่มยาระงับปวด ยาห้ามเลือด แล้วแต่ว่าผู้ป่วยแต่ละรายจะมีสภาวะร่างกายอย่างไร และการพัฒนาของโรคเน้นไปทางด้านใด

วิธีการรักษามะเร็งของแพทย์จีนคือ การใช้ยาจีนประสานก่อนและหลังการผ่าตัด บรรเทาผลข้างเคียงจากรังสีรักษาและบรรเทาผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด

“การใช้ยาจีนก่อนการผ่าตัดจะช่วยปรับสภาพร่างกายไม่ให้ทรุด เพราะยาจีนจะช่วยเตรียมพร้อมให้กับร่างกาย และทำให้ฟื้นเร็ว โดยเคยมีกรณีทดลองในโรงพยาบาลรักษาโรคมะเร็งของประเทศจีนคือ

เอาผู้ ป่วยมะเร็ง 20 คน มาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ใช้ยาจีนก่อนการผ่าตัดสัก 2-3 สัปดาห์ อีกกลุ่มหนึ่งไม่ใช้อะไรเลย แล้วเข้าห้องผ่าตัด ผลจากการทดสอบพบว่า

ระหว่าง การผ่าตัด ผู้ป่วยในกลุ่มที่ใช้ยาจีนเสริมสุขภาพก่อนการผ่าตัดมีความดันปรกติ เลือดออกน้อย การผ่าตัดผ่านไปอย่างราบรื่น ความเจ็บปวดมีไม่มาก

ส่วน กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้ยาจีนเลย จะเจ็บปวดมาก และมีเลือดออกมาก และแผลจากการผ่าตัดฟื้นฟูช้า แสดงให้เห็นว่า การใช้ยาจีนก่อนและหลังผ่าตัด หรือไม่ได้ใช้เลย มีผลต่างกันมาก”

บรรเทาผลข้างเคียง
ลดเจ็บปวดชะงัด

ยาจีนสามารถบรรเทาผลข้างเคียงจากรังสีรักษา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือด เกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนั้น รังสีรักษาบริเวณใบหน้าและลำคอจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร เนื้อเยื่อช่องปาก ระหว่างรังสีรักษา

ผู้ป่วยจึงควรได้รับยาจีนที่ ช่วยเสริมพละกำลัง ปรับสมดุลม้ามและกระเพาะอาหาร และหลังรังสีรักษา ควรใช้ยาจีนเพื่อขับร้อนถอนพิษ รักษาพิษร้อนตกค้างในร่างกาย

ส่วนผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตัวยาเคมีบำบัดไม่ได้เจาะจงทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ทำลายเซลล์ปรกติด้วย และก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายเป็นเวลานาน ทัศนะแพทย์จีนเห็นว่า เคมีบำบัดทำลายชี่เลือดเป็นหลัก

ดังนั้น ต้องเสริมบำรุงชี่เลือด เสริมม้าม และกระเพาะอาหารให้ทำงานสมดุลกัน บำรุงตับและไต ถ้าใช้วิธีแก้ไขให้เหมาะสม ผลข้างเคียงต่างๆ จะค่อยๆ หายไป

มีกรณีศึกษาผู้ป่วยชาย อายุ 80 ปี เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ลุกลามกระดูกสะโพกกระดูกสันหลัง ผ่าตัดไม่ได้ ทำเคมีบำบัด 2-3 ครั้งทำต่อไม่ไหว เปลี่ยนเป็นยารับประทานแต่ผลข้างเคียงก็มาก ผู้ป่วยจึงปฏิเสธการรักษาแผนปัจจุบัน

และทดลองใช้ยาจีนประมาณ 4-5 วัน เริ่มเจริญอาหาร หลังจากนั้น 7 วัน อาการปวดน้อยลง นอนหลับดี อาการคลื่นไส้หายไป คุณภาพชีวิตดีขึ้น เมื่อสุขภาพดีขึ้นจึงกลับไปให้ยาเคมีบำบัดอีก อาการไม่พึงประสงค์เดิมๆ จึงกลับมาอีก

ผู้ป่วยจึงขอใช้ยาจีนอย่างเดียว และยาจีนช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตในระยะสุดท้ายด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ทรมานตลอด 2 เดือน

ผู้ป่วยที่รับประทานยาจีนมีข้อห้ามเรื่องอาหารการกินเช่นกัน อาหารทุกอย่างมีคุณลักษณะเฉพาะตัว ส่งผลกระทบไม่มากก็น้อยต่อโรค ดังนั้น การใช้ยาจีนบางชนิดควรเลี่ยงอาหารบางอย่าง เพราะจะกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษาหรืออาจเกิดบทบาทตรงข้ามกัน

เช่น เพื่อให้ยาจีนใช้รักษาได้อย่างเห็นผล ควรงดเว้นอาหารย่อยยาก เช่น อาหารดิบ อาหารแช่เย็น อาหารมัน อาหารคาวจัดหรือมีรสจัด

ผู้ป่วยซึมเศร้า
แผนจีนรักษาได้

แพทย์จีนมาลิน บอกอีกว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนไม่น้อยที่มีอาการของโรคซึมเศร้า เพราะความหมดหวังท้อแท้ต่อการรักษา ซึ่งแพทย์แผนจีนสามารถช่วยนำมาเสริมการรักษาอาการซึมเศร้าได้เช่นกัน

กระบวนการเกิดโรคซึมเศร้า เกิดจากภาวะอารมณ์และจิตใจที่ถูกกระทบ ทำให้พลังชี่เคลื่อนตัวไม่สะดวก พลังตับไม่เคลื่อน แล้วค่อยๆ ก่อให้เกิดความไม่สัมพันธ์กันของอวัยวยะตันทั้งห้า แต่จะมาจากอวัยวะหลัก 3 อย่างคือ ตับม้าม และหัวใจ เป็นสาคัญ

และการเสียดุลยภาพของระบบชี่ (พลัง) และเลือด หลักการรักษาของแพทย์จีน คือขับเคลื่อนและเปิดทางให้พลังชี่ในระบบเคลื่อนตัวได้คล่อง แต่วิธีการรักษาทางคลินิกนั้น ต้องแยกแยะให้ถูกต้องว่าเป็นโรคลักษณะแบบพร่องหรือแบบแกร่ง

ถ้าเป็นแบบแกร่ง อาการสำคัญ ได้แก่ อารมณ์ไม่สดชื่น วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน ชอบถอนหายใจ เจ็บแน่นหน้าอก เรอ ท้องอืด ไม่เจริญอาหาร หากเป็นสตรีระบบประจำเดือนไม่ปรกติ บางรายจะมีอาการคอแห้งปากขม ท้องผูก หงุดหงิดโมโหง่าย ตาแดง หูอื้อ

การรักษาต้องปรับสมดุลตับ ต้องขับเคลื่อนพลังตับให้หมุนเวียนสะดวกเป็นสิ่งสาคัญสุด โดยใช้ตำรับยาที่ขับเคลื่อนการหมุนเวียนเลือด ยาขับเสมหะ ขับชื้น ขจัดร้อน ยากลุ่มช่วยย่อยอาหาร

ถ้าเป็นแบบพร่อง อาการสำคัญคือ มักจะเหม่อลอย จิตใจไม่สงบ โศรกเศร้ากลัดกลุ้ม ชอบร้องไห้ หรือหาวนอนบ่อย ย้ำคิดย้ำทำ ขี้ตกใจ นอนไม่หลับ หลงลืมง่าย อ่อนเพลีย เวียนศรีษะ ไม่เจริญอาหาร การรักษาต้องบำรุงชี่ (พลัง) และเลือด ร่วมกับ กลุ่มยาเสริมม้าม หล่อเลี้ยงหัวใจ สงบจิตประสาท เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีวิธีการรักษาเสริมอื่นๆ เช่น การรำมวยไทเก๊ก หรือชี่กง และการฝังเข็ม เพื่อระบายชี่ตับ เสริมม้าม และสงบจิต เป็นต้น


ขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์
ภาพ : อินเทอร์เน็ต

คานาเป้ ของว่างไม่อ้วน

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ในสัปดาห์ ที่ผู้อ่านส่วนใหญ่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องเช่นนี้ หลายท่านคงเพลิดเพลินกับการพักผ่อนและสนุกกับเรื่องการกิน หรือที่เรียกว่า เอนจอย อีตติ้ง จนน้ำหนักอาจพุ่งพรวด พาลต้องมานั่งกลุ้มใจ หาวิธีลดในตอนหลัง

คานาเป้ ของว่างไม่อ้วน

มุมสุขภาพ-กินดี มีคำแนะนำดี ๆ มาย้ำเตือนเรื่องการกินเพื่อสุขภาพอย่าให้อ้วน โดยยึดหลักแคลอรีจากอาหารที่รับประทาน

การ จะรู้ค่าจำนวนแคลอรีที่เหมาะสมนั้น ผู้อ่านต้องใช้น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) คูณด้วย 25 จึงจะได้ค่าปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม นำ 50 x 25 ผลลัพธ์ คือ 1,250 กิโลแคลอรี

แต่มีปัญหาอยู่ว่า ผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมเกินไปนั้นควรคำนวณอย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นต้องหาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมเสียก่อน ด้วยสูตรง่าย ๆ คือ ส่วนสูง(เซนติเมตร) ลบ 100 (ผู้ชาย) หรือ 110 (ผู้หญิง) เช่น คุณเอ เป็นผู้หญิง มีน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม สูง 158 เซนติเมตร หาปริมาณแคลอรีด้วยการนำ ส่วนสูง 158 - 110 ผลลัพธ์ คือ 48 กิโลกรัม

จาก นั้นนำน้ำหนักตัวที่เหมาะสมไปเข้าสูตรคำนวณแคลอรี คุณก็จะทราบว่า ในแต่ละวันร่างกายมีความสามารถในการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปเพียงใด เพราะหากรับประทานเกินความจำเป็น พลังงานที่เผาผลาญไม่หมดจะกลายเป็นไขมันสะสมจนอ้วน อีกนัยหนึ่ง คือ การรับประทานอาหารที่คำนวณแคลอรีตามน้ำหนักตัวที่ควรจะเป็นสามารถควบคุม น้ำหนัก ลด หรือเพิ่มได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กินดี มีสูตรอาหารว่างอย่าง คานาเป้ ที่ผ่านการคำนวณแคลอรีของส่วนผสมแต่ละอย่างจากทีมโภชนาการโรงพยาบาลนครธน นำมาสาธิตในกิจกรรมเสวนา เอจจิ้ง สลิมมิ้ง ค้นพบเคล็ดลับสาว 40+ กินอย่างไร ไม่อ้วน ไม่แก่ ซึ่งจัดโดยส่วนงานรักลูก วูแมน ในเครือรักลูกกรุ๊ป

โดยส่วนผสมของการทำคานาเป้ ที่ต้องเตรียมตามส่วนเพื่อให้ได้ปริมาณแคลอรีตามสูตร ประกอบด้วย...
# แครกเกอร์ 3 ชิ้น ให้พลังงาน 60 แคลอรี
# แครอทต้มสุกหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 5 แคลอรี
# มันฝรั่งต้มสุกหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 8 แคลอรี
# ปลาทูน่า 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 15 แคลอรี
# เนื้อไก่ต้มสุกหั่นชิ้นเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 15 แคลอรี
# ซาลารี พอประมาณ ไม่คิดพลังงาน
# ผักกาดหอม พอประมาณ ไม่คิดพลังงาน
# น้ำสลัด (สูตรไขมันต่ำ) 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 45 แคลอรี

ขั้น ตอนในการปรุง เริ่มจากการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปคลุกเคล้าที่ชามผสม จากนั้นตักแบ่งใส่แครกเกอร์ที่เตรียมไว้ สามารถรับประทานเป็นอาหารว่างร่วมกับน้ำสำรองที่มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในร่าง กาย โดยน้ำชนิดนี้หากดื่มแบบที่ไม่ปรุงแต่งให้เสียรส จะไม่คิดพลังงาน

เพราะ ฉะนั้น อาหารว่างมื้อนี้ คุณผู้อ่านจะได้พลังงานจากอาหารซึ่งนำปริมาณแคลอรีของส่วนผสมทั้งหมดมารวม กันได้ 148 กิโลแคลอรี เท่านั้น.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
 

8 พฤติกรรมทำแล้วอ่อนเยาว์ 1-6 ปี

8 พฤติกรรมทำแล้วอ่อนเยาว์ 1-6 ปี (Health plus)
แม้ร่างกายจะได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืนแล้ว แต่พอคุณตื่นและลุกจากที่นอน เชื่อหรือไม่ว่ายังมีสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกมากมายกำลังจ้องที่จะพรากความอ่อนเยาว์ไปจากคุณ ไม่เว้นแม้กระทั่งอากาศที่คุณกำลังหายใจเข้า-ออกอยู่นี้ หากคุณเป็นหนึ่งในสมาชิกสาว 30+ คลับแล้วล่ะก็ ควรอ่านคอลัมน์นี้อย่างยิ่ง เพราะเราจะพาไปดูกันว่า พฤติกรรมในแต่ละวันส่งผลให้ดูแก่หรืออ่อนกว่าวัยมากเพียงใด และนี่คือ 8 พฤติกรรมที่จะทำให้คุณแลดูอ่อนกว่าวัย

คำเตือนก่อนอ่าน : มองไปรอบตัวสิว่า คุณนั่งอยู่ในที่ที่ปลอดมลพิษ แสงแดด หรือเสียงรบกวนให้ต้องหงุดหงิดใจหรือเปล่า

ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้เฉลี่ย 3-6 ปี

1.หลีกเลี่ยงรังสีจากแสงแดด เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรแสงแดดก็จะตามคุณไปทุกที่และยังทะลวงผ่านชั้นผิวหนังของ เราได้เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ตีนกา มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น รังสี ยูวี เอ ในปริมาณน้อยก็สามารถทะลุผ่านชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินได้มากและเมลานินนี้จะไปปกป้องผิวจากการถูก ทำลายอีกต่อหนึ่ง ส่วนรังสียูวี บี ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดงได้เป็นส่วนใหญ่ด้วยเหตุนี้ ปริมาณรังสียูวี เอ ที่มาถึงโลกจึงมีมากกว่ารังสียูวี บีมาก รังสี ยูวี เอ ที่สูงนี้เองที่ทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างผิว เช่น คอลลาเจนและอีลาสติน เป็นต้น ทำให้เกิดผิวหนังหมองคล้ำ หย่อนยาน เกิดรอยตีนกาหรือที่เรียกว่า แก่ก่อนวัยอันเกิดจากแสงแดด

Note : จะเลี่ยงแดดได้อย่างไร 1) เลี่ยงออกแดดหลัง 10.00 น.-17.00 น. เพราะยังมีปริมาณแสงยูวีทุกชนิดสูง 2) ควรกันแดดแม้จะออกไปข้างนอกเพียงระยะสั้นๆ ก็ตาม 3) ถ้ากังวลกับริ้วรอยรอบดวงตาควรใส่แว่นกันแดดชนิดที่ขนาดเลนส์ค่อนข้างกว้าง เพื่อปกปิดผิวหนังรอบ ดวงตาและก่อนซื้อควรสังเกตที่มีสติ๊กเกอร์ติดคำว่า 100% UV Protection หรือ UV400

2.ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำ หลายคนยังไม่รู้ว่า ค่า SPF ที่เหมาะกับตนเองควรใช้เท่าไหร่ อันดับแรกเลย ต้องดูที่ไลฟ์สไตล์ อย่างผิวคนไทยควรใช้อย่างน้อย SPF15 ขึ้นไปและเลือกที่มีค่า PA ซึ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันผิวคล้ำหรือแดงจากแสงยูวีเอด้วย หากอยู่ในที่ที่มีแสงแดดจ้า อย่างเช่นทะเล ค่าของ SPF จะสูงประมาณ 40-50 และค่าPA ++ ถึง +++ ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ทาให้หนากว่าปกติ ใช้เนื้อครีมประมาณ 1 กรัม หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วก้อยต่อพื้นที่ผิวทั่วหน้า ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่มีสารสะท้อนแดดออก (Physical Sunscreen)

Note : ลักษณะสีผิวเดิมของคนในเอเชียจะไม่เหมือนกับสีผิวคนในยุโรป ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดก็จะต่างกัน คนสีผิวขาวผิวหนังจะถูกทำลายโดยแสงแดดได้ง่ายกว่าคนผิวดำ เพราะคนผิวดำมีเม็ดสีเมลานิน ช่วยในการดูดซับแสงได้มากกว่า ผิวหนังจึงถูกทำลายได้ยากกว่า

3.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นประจำเพื่อผิวอ่อนเยาว์ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสิ่งที่สาวๆ ทุกคนอยากได้คืออยากดูอ่อนกว่าวัย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตอบโจทย์ได้ดีต้องมีสารให้ความชุ่มชื้นภายในชั้นผิว หนัง ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท 1) สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง ซึ่งในโลชั่นมักใช้สารชนิดนี้อยู่แล้ว เพื่อช่วยให้ชั้นผิวหนังกำพร้าอุ้มน้ำได้ดี เหมาะกับผิวแห้งและต้องการความชุ่มชื้นอย่างอย่างเร่งด่วน 2) สารป้องกันการระเหยของน้ำจากชั้นผิว ส่วนใหญ่มักเป็นน้ำมัน ขี้ผึ้ง ไขสัตว์หรือซิลิโคน ข้อดีคือมีคุณสมบัติคล้าย้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ลื่น แต่มีข้อเสียคือไขมันบางตัวอาจอุดตันรูขุนขนอาจทำให้เกิดสิวได้ หรือถ้ามีปริมาณมากก็จะเหนียวเหนอะหนะ 3) สารดูดความชื้นจากบรรยากาศเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เช่น น้ำผึ้ง กลีเซอรีน กรดแลคติค ฯลฯ สารชนิดนี้จะช่วยดูความชื้นในอากาศเข้าสู้ผิวหนังชั้นขี้ไคลเมื่อความชื้นใน อากาศสูงกว่า 70% แต่หากความชื้นในอากาศต่ำสารกลุ่มนี้จะดึงน้ำออกจากผิวสู่บรรยากาศ จึงกลับทำให้รู้สึกผิวแห้งมากขึ้น

หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกลุ่มนี้ต้องเลือกที่มีส่วนผสมพอเหมาะ ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือช่วยอุ้มน้ำและดึงน้ำจากชั้นหนังแท้ไปสู่ชั้นหนัง กำพร้าได้ ทำให้ผิวชั้นนอกมีความชุ่มชื้นมากขึ้น แต่ถ้าต้องการลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยแผลเป็นบนใบหน้า มีข้อมูลล่าสุดระบุว่า วิตามินบางชนิดสามารถต่อสู้กับการเกิดริ้วรอยได้ ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, Vitamin A, Beta-Caroteen, Vitamin B3, Coenzyme Q10, Flavanoids Compounds

Note : การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับกลางคืน ควรปฏิบัติให้เป็นนิสัย เพราะเมื่อเซลล์ผิวได้รับสารบำรุงต่างๆ จากตัวครีมที่มีประโยชน์แล้ว การสร้างเซลล์ผิวใหม่ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไนท์ครีมกับมอยส์เจอไรเซอร์หรือเดย์ครีมมีข้อแตกต่างกัน เพราะมีส่วนผสมของสารบำรุงที่เข้มข้นกว่า โดยเฉพาะพวกวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

4.เป็นคนนอนหลับง่าย แต่ละวัยจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนอนไม่เท่ากัน สาว 30+ ต้องการการพักผ่อนต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ถ้านอนไม่พอความอยากนอนจะสะสมเพิ่มในวันต่อๆ ไป ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้านอนคือไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะฮอร์โมนที่จำเป็นต่างๆ จะสร้างตามเวลา ถ้านอนดึกร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนออกมาได้อย่างเต็มที่

Note : หากคุณนอนหลับยาก แนะนำว่า 1. ฝึกสมาธิทำจิตใจให้ผ่อนคลาย 2. ห้องนอนไม่ควรมีเสียงและแสงสว่างมารบกวน 3. หลีกเลี่ยงคาเฟอีนหลัง 16.00 น. 4. ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น นม น้ำธัญพืช 5. เสี่ยงการนอนกลางวัน 6. อย่าทานอาหารหนักก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 7. อาบน้ำอุ่นก่อนนอน

ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้เฉลี่ย 1-2 ปี

1.ทานอาหารที่มีประโยชน์และผัก ผลไม้เป็นประจำ สาววัยทำงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเท่าไหร่ ดังนั้นอาหารที่ทานจึงเป็นกลุ่มแป้งและน้ำตาลที่อิ่มนานมากกว่า ตามหลักแล้วสาวๆ กลุ่มนี้พวกเธอสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวัน และขาดการออกกำลังกายพฤติกรรมการกินแบบนี้ควรเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง โดยพยายามทานผักผลไม้ให้ได้มากๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้ออาหารในกลุ่มที่ควรเพิ่มนี้เป็นกลุ่มที่อุดมไปด้วย วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะวิตามิน เอ ที่ประกอบด้วย เรตินอยด์ และแคโรทีนอยด์ หรือเบตาแคโรทีนนั่นเอง รวมถึงวิตามิน บี-คอมเพล็กซ์ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์และกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย

Note : สารประกอบโทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) เป็นส่วนหนึ่งของวิตามิน อี เป็นสารประกอบใหม่ล่าสุดที่มีการค้นพบเมื่อไม่นานนี้และเชื่อกันว่า สามารถช่วยเรื่องการชะลอความแก่ชราได้ดี ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นลดการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง พบมากในผักใบเขียวเข้ม มันฝรั่ง มะม่วง ปลาแซลมอนฯ

2.ไม่ใช้สารเพิ่มหรือเร่งฮอร์โมน ฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก็คือยาในกุ่มยาคุมกำเนิด ซึ่งจะขอพูดถึงยาเม็ดคุมกำเนิด คือ ยาที่ทานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ คือโปรสเจสโตเจน หรือโปรเจสติน ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตามธรรมชาติกับฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโต รเจน ซึ่งอัตราส่วนของเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนจะแตกต่างกันแล้วแต่ผลิตภัณฑ์ของ แต่ละบริษัท การทานยาฮอร์โมนคุมกำเนิดมักจะเกิดอาการข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศีรษะ, วิงเวียน เลือดออกกะปริบกะปรอย, ตึงคัดเต้านม, เป็นผ้า, น้ำหนักเพิ่มขึ้นและการใช้ฮอร์โมนไปนานๆ โดยไม่มีข้อบ่งขี้ นอกจากจะทำให้มีบุตรยากในอนาคต แล้วก็อาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในเพศหญิงหรือเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย ได้ ซึ่งการใช้ยาฮอร์โมนต่างๆ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

Note : มีข้อห้ามออกมาว่าผู้หญิงที่เป็นโรคของถุงน้ำดี โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด (ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น) โรคตับ โรคไต โรคไทรอยด์ มีเลือดออกในโพรงมดลูก ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดเด็ดขาด

3.ไม่สูบบุหรี่ มีข้อเขียนของ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ด สาขาโรคผิวหนัง ระบุไว้ว่า ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่จะเกิดรอยตีนกาได้ง่าย เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยงผิวหนังหดตัว ผิวพรรณจึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ในขณะเดียวกันของเสียจากเซลล์ผิวหนัง คือ คาร์บอนไดออกไซด์จะสะสมในเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองไม่ได้

Note : การสูบบุหรี่ทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา เพราะภัยของบุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหดรั้งตัว จึงเกิดรอยย่นรอบดวงตา ตามหน้าผากและรอบปาก ทำให้เล็บมือมีสีเหลือง ฟันมีคราบสีน้ำตาล มีกลิ่นปาก ซึ่งล้วนทำลายบุคลิกภาพ และยังทำให้หลอดเลือดอุดตัน เกิดแผลเรื้อรังที่มือและขาได้

4.ไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเมื่อมีปัญหา

ประเทศที่ถือว่าตื่นตัวในเรื่องของการดูแลผิวพรรณมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา แม้ว่าระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา หนุ่มสาวเอเชียเข้รับคำปรึกษาปัญหาเรื่องผิวและสุขภาพกันมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าประเทศในแถวยุโรปและอเมริกา ทั้ง ๆ ที่วิธีที่ดีที่สุดเมื่อผิวมีปัญหา คือ การพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัย รักษาและให้ยาที่เหมาะสม หากซื้อยาทาสิว ฝ้าหรือแก้ปัญหาผิวมาใช้เอง อาจใช้ยาไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะกับผิวหรือมีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ซึ่งอาจทำให้ผิวมีปัญหามากไปกว่าเดิมได้
 

นอนมาก...
 เสี่ยงตายเร็ว!

ขอขอบคุณ : นิตยสาร woman plusผู้สนับสนุนเนื้อหา 



คุณรู้หรือไม่ว่า 
คนที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืน
มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตเร็วขึ้น
และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
และโรคหัวใจอีกด้วย
ทั้งนี้คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองซานดิเอโก
มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาพฤติกรรมการนอนของชาวอเมริกันซึ่งมีอายุระหว่าง
30-102 ปี จำนวนกว่า
หนึ่งล้านคน ภายในระยะเวลา 6 ปี พบว่า คนที่นอน 
8
ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มจะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ใช้เวลานอน 7
ชั่วโมงต่อคืน มากถึง 12% ส่วนคนที่นอนมากกว่า 
8 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 4
ชั่วโมงครึ่งต่อคืน ก็มีแนวโน้มว่า
จะเสียชีวิตเร็วขึ้นมากถึง 15%


สาวๆ คนใดที่ขี้เซาก็ควรรีบลืมตาตื่น ไม่ควรนอนมากจนเกินไป
แต่สำหรับสาวคนใดที่นอนน้อยในแต่ละคืนก็อย่าเพิ่งดีใจไป
เพราะการอดนอนหรือนอนน้อยก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน
ไม่ว่าจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 
โรคเบาหวาน รวมถึงโรคอ้วนอีกด้วย
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วสาวๆ 
ก็ควรนอนในเวลาที่พอเหมาะ
เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายใดๆ
ด้วย