homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

ผ่อนคลายสายตา แก้ปัญหาตาแห้ง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2555 06:48 น. 
ผศ.พญ.สุมาลี หวังวีรวงศ์
       ภาควิชาจักษุวิทยา
      
       การผ่อนคลายสายตา เป็นการป้องกันโรคตาแห้งที่ได้ผลดี เพื่อให้ดวงตาสดใสอยู่เสมอ เรามีวิธีป้องกันตาแห้งและถนอมดวงตามาฝากค่ะ
      
       น้ำตาของคนเรานั้น มีประโยชน์ในการช่วยเคลือบและคลุมผิวตาไม่ให้แห้ง หล่อลื่นดวงตาให้เกิดความสบายตา ลดการระคายเคืองทุกครั้งที่เรากะพริบตา และที่สำคัญคือ มีสารซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค หากน้ำตาน้อยจะทำให้เกิดภาวะตาแห้ง ส่งผลให้เกิดความไม่สบายตาและตามัว
      
       อาการตาแห้งมีหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อย คือ มีการสร้างน้ำตาลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากขึ้น การรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด การใส่คอนแทกต์เลนส์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกวิธี ภูมิแพ้ที่ตาหนังตาหรือเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่เคยทำเลสิก ผ่าตัดตา ผู้มีปัญหาหลับตาไม่สนิท ตลอดจนช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้ง ลมแรง ดื่มน้ำน้อย การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็สามารถทำให้น้ำตาระเหยไปได้เช่นกัน
      
       ดังนั้น การดูแลและป้องกันตาแห้ง ควรดูตามสาเหตุค่ะ
      
       - หากต้องใช้สายตาหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ควรพักสายตาทุก 30-60 นาที ด้วยการหลับตา 1-2 นาที กะพริบตาบ่อยๆ
       - ผู้ที่ใส่คอนแทกต์เลนส์ก็ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
       - ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่แก้แพ้เป็นประจำ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมช่วย
       ดื่มน้ำมากๆ
       - หลีกเลี่ยงที่ที่มีลมแรง แต่ถ้าต้องอยู่ในที่ที่อากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมพัด ควรสวมแว่นเพื่อ
       กันแดดและลมที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้งได้
      
       นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา พวกผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารทะเล
       ที่มีกรดไขมันที่จำเป็น หรือโอเมก้า-3 จะช่วยให้น้ำตาระเหยช้าลง
       อย่างไรก็ตาม เราควรทะนุถนอมดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะๆ ไม่ใช้สายตาติดต่อกัน
       นานๆ หลายชั่วโมง และกะพริบตาบ่อยๆ ให้มีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา เพราะถ้าเราปล่อยให้ตาแห้งมากๆ จะทำให้กระจกตาไม่เรียบใส ผิวกระจกตาอักเสบ จะทำให้มีอาการระคายเคืองและตาพร่ามัวได้ค่ะ
 

เพชฌฆาตเงียบ! ไวรัสตับอักเสบบี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2555 01:59 น.
 อ.นพ.วัชรศักดิ์ โชติยะปุตตะ
       ภาควิชาอายุรศาสตร์
      
       ปัจจุบันคาดคะเนกันว่า มีคนไทยประมาณ 5 ล้านคน ที่ติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเชื้อจะซ่อนตัวอยู่ในคนและก่อให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ ดูแล้วน่าตกใจไม่น้อยทีเดียว
ผู้ป่วยตับแข็ง
       จากสถิติ 100 คน พบว่ามีผู้เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีอยู่ 5-7 คน ซึ่งผู้ที่เป็นพาหะนั้น ไม่ได้เป็นโรค ไม่มีอาการเจ็บป่วย เพียงแต่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยผู้นั้นสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ และเกือบร้อยละ 30 จะมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยเฉพาะมะเร็งตับจะมีความเสี่ยงสูง กว่าคนปกติ 100-200 เท่า ซึ่งผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงจะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย นานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป ถ้าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีขณะอายุน้อย ร้อยละ 90 จะมีการพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง แต่ถ้า ติดเชื้อเมื่อโตขึ้นแล้วหรือในวัยผู้ใหญ่ โอกาสที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังจะมีเพียงร้อยละ 10
      
       ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีจะมีอาการ แสดงแตกต่างกัน ถ้ามาด้วยอาการตับอักเสบเฉียบพลัน จะรู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี พบผู้ป่วยเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ ส่วนผู้ป่วยอีกกลุ่มที่มี อาการตับอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการใดๆ จะรู้ว่าเป็นโรคนี้จากการตรวจเลือด แล้วพบการทำงานของตับผิดปกติ หรือถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดง อาจมีแค่อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายเท่านั้น กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน จะมีการทำลายเซลล์ตับมากๆ จนตับเสื่อมและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด โดยมีอาการผอม ผิวแห้ง ผมบางเหมือนขาดสารอาหาร ท้องโตจากการมีน้ำในท้อง ตาตัวเหลือง และในระยะยาวอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้
ไวรัสบี
       
ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ใช้รักษาเพื่อ กำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้หมดจากร่างกายได้ ยาที่มีรักษาเป็นเพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการเสื่อมของตับเท่านั้น โดยอาจเป็นยาฉีดหรือยากิน สำหรับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นอันตรายต่อตับ และควรได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของตับเป็นระยะๆ เพื่อหาความผิดปกติในเลือด รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกชนิดจะถูกทำลายที่ตับ และทุกครั้งที่พบแพทย์ต้องแจ้งให้ทราบว่าเป็นตับอักเสบ เพื่อกำหนดการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม
      
       สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี เพศชายที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป เพศหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะตับแข็งแล้ว หรือผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งตับควรรับการตรวจสุขภาพ การตรวจเลือดรวมถึงการตรวจอัลตราซาวนด์ในช่องท้องอย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาโรคมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งตับสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่ม อื่นๆ

ผ่าตัดริดสีดวงทวารแบบใหม่... เจ็บน้อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กุมภาพันธ์ 2555 04:50 น. 
ผศ.ดร.นพ.วรุตม์ โล่ห์สิริวัฒน์
       ภาควิชาศัลยศาสตร์
      
       วิทยาการทางการแพทย์ ทำให้การผ่าตัดริดสีดวงทวาร เจ็บแผลน้อย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว
      
       “ริดสีดวงทวาร” เป็น โรคที่พบบ่อย ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดแดงสด หรือมีก้อนโผล่ขณะถ่ายอุจจาระ ริดสีดวงทวารเกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบุช่องทวาร หนัก รวมถึงมีการหย่อนยานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของเยื่อบุช่องทวารหนักด้วย ปัจจุบันเชื่อว่า มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร เช่น ภาวะท้องผูก และการเบ่งอุจจาระนานๆ เป็นต้น ส่วนการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย อาหารรสจัด หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจกระตุ้นอาการของริดสีดวงทวารให้มากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก
      
       ริดสีดวงทวารแบ่งตามตำแหน่ง ออกเป็น 2 ชนิดคือ 1) ริดสีดวงทวารชนิดภายนอก (external haemorrhoids) ซึ่งปกคลุมด้วยชั้นผิวหนัง บ้างก็เรียกว่าติ่งเนื้อปากทวารหนัก และ 2) ริดสีดวงทวารชนิดภายใน (internal haemorrhoids) ซึ่งปกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้
      
       ปัจจุบันมีวิธีมากมายในการรักษาโรคริดสีดวงทวาร ที่สามารถขจัดปัญหาโดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของริดสีดวงทวาร โดยหลักๆ แล้วมีการรักษาอยู่ 3 วิธี คือ การใช้ยา การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด และการรักษาโดยการผ่าตัด
      
       สำหรับการรักษาโดยการผ่าตัดนั้น เหมาะสำหรับรักษาริดสีดวงทวารชนิดภายใน ระยะที่ 3 (ริดสีดวงทวารยื่นพ้นปากทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และจะกลับเข้าที่ได้โดยต้องใช้นิ้วดันกลับ) และระยะที่ 4 (ริดสีดวงทวารยื่นออกมาตลอดเวลาไม่สามารถดันกลับเข้าที่ได้) นอกจากนี้ ยังใช้ผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวารในรายที่มีภาวะการเกิดลิ่มเลือดเฉียบพลัน ซึ่งแพทย์อาจเลือกวิธีการระงับปวดในขณะผ่าตัดโดยให้ยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง (บล็อกหลัง) หรือฉีดยาชาเฉพาะที่รอบรูทวารหนัก ร่วมกับการฉีดยา หรือรับประทานยาแก้ปวดก่อนการผ่าตัด สำหรับเทคนิคการผ่าตัด ขึ้นกับจำนวนและชนิดของริดสีดวงทวารและความชำนาญของศัลยแพทย์ เช่น
      
       1. ริดสีดวงทวาร 1-2 ตำแหน่ง อาจใช้อุปกรณ์พิเศษ Ligasure™ หรือ Harmonic scalpel™ ช่วยในการตัดริดสีดวงทวารโดยไม่ต้องใช้ไหมเย็บ หรือเย็บแผล
      
       2. ริดสีดวงทวาร 3 ตำแหน่งขึ้นไป หรือมีการยื่นของเยื่อบุช่องทวารหนักออกมาทั้งหมด อาจใช้เครื่องมือตัดต่อเยื่อบุลำไส้ชนิดกลม ที่เรียกว่า stapled haemorrhoidopexy ในการตัดริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งประกอบด้วย อุปกรณ์ที่สำคัญ 3 ส่วน คือ เครื่องมือสอดและถ่างทวารหนัก เครื่องมือช่วยเย็บ และเครื่องมือตัดเย็บหัวริดสีดวง โดยการตัดและเย็บนี้จะเกิดตามแนวเส้นรอบวงของช่องทวารหนัก ทำให้สามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัวและไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง อีกทั้งแนวการเย็บแผลอยู่สูงกว่าปากทวารหนัก ผู้ป่วยจะไม่มีแผลภายนอกเลย และมีอาการปวดก้นหลังการผ่าตัดน้อยด้วย อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดวิธีนี้ต้องเลือกผู้ป่วยให้เหมาะสมจึงจะได้ผลดี มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการผ่าตัด เช่น อาจเกิดภาวะรูทวารตีบ หรือมีรูทะลุจากช่องทวารหนักไปยังช่องคลอด เป็นต้น
      
       รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าคุณไม่อยากให้ตัวเองถึงขั้นผ่าตัดล่ะก็ ทำได้ง่ายกว่า ควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากขึ้น และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ดื่มน้ำมากๆ วันละ 8-10 แก้ว ลดอาหารประเภทไขมัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระนานๆ หรือนั่งอ่านหนังสือในขณะขับถ่าย เนื่องจากช่องทวารหนักจะขยาย และมีความดันต่อเยื่อบุช่องทวารหนักเพิ่มขึ้น หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ท้องผูกหรือท้องเสีย เป็นต้น และเมื่อมีอาการขับถ่ายผิดปกติ หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดให้มาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรค อย่านิ่งนอนใจ เข้าทำนอง “เป็นน้อย รักษาไว ได้ผลดีกว่า” ครับ
      
       พบกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช ที่ปฏิบัติธรรมวันมาฆบูชางานสัปดาห์ปฏิบัติธรรมวันมาฆบูชา
      
       27 ก.พ. - 2 มี.ค.55 ชุมนุมพุทธธรรมศิริราช จัดงานสัปดาห์ปฏิบัติธรรมวันมาฆบูชา ณ โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ รพ.ศิริราช เวลา 09.00-18.00 น. • 28 ก.พ.55 สภาอาจารย์ศิริราช จัดบรรยายให้ความรู้เรื่อง “มหันตภัยน้ำท่วม : ความเข้าใจและการเตรียมรับ” โดย รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เวลา 13.00-16.00 น.ณ อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15
 

อยู่อย่างคนต้อหิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มีนาคม 2555 09:35 น.
ลานสายตาผู้ป่วยต้อหินจะเสียรอบนอกก่อน
       รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์
       ภาควิชาจักษุวิทยา
      
       แค่คิดว่าถ้าเราเป็นต้อหิน แล้วต้องอยู่ในโลกมืดมิด ไม่เห็นอะไรเลย จะทำอย่างไรดี
      
       ต้อหิน เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตา ซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตาและสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้ จะทำให้ขอบเขตในการมองเห็นค่อยๆ แคบลง และมองไม่เห็นในที่สุด ซึ่งเป็นผลให้ตาบอดได้
      
       โรคต้อหิน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
      
                ประเภทแรก ไม่ทราบสาเหตุ อาจ เกิดจากกรรมพันธุ์ โดยมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคต้อหิน หรือเกิดจากความเสื่อมของวัย ปัจจัยเสี่ยงสำหรับต้อหินประเภทนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือยาวมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นต้อหินชนิดมุมตาเปิด ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในช่วงแรกจะไม่มีปัญหาในการมองเห็น จะรู้ก็เมื่อระยะของโรคอยู่ในขั้นรุนแรง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อหินประเภทนี้ สามารถตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพตา ส่วนคนเป็นต้อหินชนิดมุมตาแคบอาจไม่มีอาการอะไร หรือเป็นต้อหินเฉียบพลันที่จะพบความดันภายในตาสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการตาแดง ตามัว ปวดตาโดยเฉพาะเวลาพลบค่ำ อาจเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ หรือมีอาการปวดศีรษะ ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว อาจตาบอดได้
      
               ประเภทที่สอง ชนิดที่ทราบสาเหตุ โดย เป็นโรคทางตาอื่นและทำให้เกิดต้อหิน ได้แก่ โรคเบาหวานขึ้นตา ต้อกระจกสุก หรือผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุ รวมถึงผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์เป็นประจำ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหินได้
ต้อหินเฉียบพลันจะมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว
       อย่างไรก็ดี จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ การยับยั้งไม่ให้มีอาการมากขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้การมองเห็นที่เสียไปกลับคืนมา แต่สามารถยับยั้งไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ โดยลดระดับความดันตาให้อยู่ในระดับที่เส้นประสาทตาสามารถทนได้ ซึ่งมียาหลายชนิดที่สามารถลดความดันตาได้ แต่บางรายอาจต้องใช้แสงเลเซอร์รักษา หรือการผ่าตัดเข้าช่วยหากไม่ตอบสนองต่อการรักษาใดๆ อย่างไรก็ตามต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอครับ
      
       ในรายที่สายตาเลือนราง ต้องระวังเรื่อง “อุบัติเหตุและการหกล้ม” โดยลดปัจจัยเสี่ยงให้ปลอดจากสิ่งที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ จัดของมีคมให้เป็นระเบียบ วางในที่ที่ปลอดภัย ปรับสภาพที่อยู่อาศัย เช่น พรมเช็ดเท้า หรือพื้นภายในห้องน้ำที่ลื่น ใช้กล้องหรือแว่นขยายช่วยในการมองเห็น เครื่องใช้ควรมีสีแตกต่างกันอย่างชัดเจนเพื่อสายตาจะสามารถแยกสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้อง และติดไฟให้สว่างโดยเฉพาะบริเวณทางเดิน รวมถึงปัญหาการทรงตัวก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หกล้ม และยิ่งโรคนี้มีมักเกิดกับผู้สูงอายุ พบว่า ร้อยละ 4 สำหรับผู้มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป หรือร้อยละ 6 ของผู้ที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป จะมีผู้เป็นโรคต้อหิน และมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเองเป็นต้อหิน ดังนั้นการตรวจ สุขภาพตาเป็นประจำจึงช่วยป้องกันตาบอดจากต้อหินได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อรวมทั้งหมั่นฝึกการทรงตัวเป็นประจำ และควรบริโภคผักผลไม้ ซึ่งให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสามารถต้านทานโรค และช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้เป็นปกติ
      
       ดูแลสุขภาพกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพใจด้วย เพื่อไม่ให้ผู้เป็นต้อหินเกิดความกังวล ทำจิตใจให้มีความสุขเสมอๆ นะครับ
       
ประชาสัมพันธ์แนบท้ายบทความ
       
เพื่อสุขภาพตาที่ดี - 14 มี.ค.2555 เวลา 09.00-15.00 น.ขอเชิญประชาชนร่วมกิจกรรมวันต้อหินโลก รับการตรวจสุขภาพตา เพื่อคัดกรองโรคต้อหินฟรี และฟังเสวนา “อยู่อย่างคนต้อหิน” พร้อมคำแนะนำการดูแลสุขภาพตาจากจักษุแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ รพ.ศิริราช

เมนูเปี่ยมคอลลาเจน แต่ต้องรู้วิธีกิน...

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 มีนาคม 2555 07:01 น. 
By Lady Manager
       เพราะเรื่องอาหารการกินสำคัญสุดๆ จะสุขภาพดีผิวดี ก็อยู่ที่แต่ละมื้อที่คุณๆ ทานนี่แหละ และหากอยากผิวสวยเด้ง ก็คงต้องหมั่นหา “คอลลาเจน” มาทานกันสักหน่อย
      
       
หลายท่านคุ้นเคยดีกับคำว่า “คอลลาเจน” (Collagen) เพราะได้ยินตามคำโฆษณาสินค้ามามากมาย ทั้งคอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมแบบเม็ด, แบบน้ำบรรจุเป็นขวด ไปจนถึงครีมทาผิวก็ยังผสมคอลลาเจน... ทว่าอาจจะยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วคอลลาเจนก็แฝงกายอยู่ในอาหารที่คุณทานนี่เอง หากเลือกทานกันดีๆ ก็ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อหา คอลลาเจนแบบอาหารเสริมด้วยซ้ำ
      
       
“จริงๆ แล้ว หลักการกินให้ผิวสวยง่ายๆ เลยคือ เมื่อไหร่ที่คอลลาเจน ลา ...ตีนกาจะเกิด เพราะฉะนั้นเราต้องกินอาหารที่ได้คอลลาเจน แต่ได้คอลลาเจนอย่างเดียวไม่พอ หลักการกินคอลลาเจนคือ ต้องให้มันดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไปสร้างเป็นคอลลาเจนที่ผิวได้จริงๆ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักเพื่อนของคอลลาเจน นั่นคือ วิตามินซี ให้จำง่ายๆว่า วิตามินซี (Vitamin C) มันจะไปช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย”
      
       นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เกริ่นนำถึงเรื่องของ คอลลาเจน

       ต้มยำไก่ ซุปเปอร์ขาไก่ เมนูเปี่ยมคอลลาเจนและวิตามินซี
       คุณหมออธิบายต่อว่าคอลลาเจนมักอยู่ใน โปรตีนที่เป็นเนื้อสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ที่หาทานกันได้บ่อย จนคุณหมอแนะนำให้เป็นซุปสวยใกล้ตัวก็คือ ต้มยำไก่, ซุปเปอร์ขาไก่ เพราะนอกจากจะเปี่ยมคอลลาเจนแล้ว ยังมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนได้ด้วย
      
       
“ในอาหารที่มีทั้งคอลลาเจน และวิตามินซี มันจะต้องมีรสเปรี้ยว และมีเรื่องของโปรตีน ที่เป็นคอลลาเจนด้วย เช่น ต้มยำไก่, ต้มซุปเปอร์ขาไก่ แบบไทยๆ นี่แหละ เป็นซุปที่เรียกว่า ซุปสวยเลย เพราะมันจะมีทั้งเรื่องของตัวคอลลาเจนจากน้ำซุปไก่จากกระดูกอ่อนไก่ และมีเรื่องของวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปด้วย แล้วไหนจะสมุนไพรอีก เพราะฉะนั้นต้มยำไก่, ต้มยำขาไก่, ต้มยำปีกไก่ นี่แหละ เป็นซุปสวยเลย
      
       สังเกตว่า ต้มน้ำซุปพวกนี้ ตักมันหน้าออกพอทิ้งไว้สักครู่ให้เย็น เราจะเห็นน้ำซุปนั้นกลายวุ้นๆ นั่นแหละ เป็นคอลลาเจนแล้ว”
      
       
ส่วนอิลาสติน (Elastin) ที่เรามักได้ยินควบคู่กันมากับคอลลาเจนนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์อายุรวัฒน์อธิบายว่า สองสิ่งนี้ได้จากอาหารประเภทเดียวกันนี่แหละ
      
       
“อาหารที่ให้คอลลาเจน ก็จะให้อิลาสตินด้วยเช่นกัน ซึ่งคอลลาเจนและอีลาสตินนั้น คล้ายแต่ไม่เหมือน ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพคือ หากเราดึงหนังที่หลังมือขึ้นมา ตัวที่ทำให้หนังที่หลังมือคงอยู่ตัวได้คือ คอลลาเจน แต่พอเราปล่อยมือ แล้วหนังที่ดึงมามันเด้งกลับที่เดิม อันนั้นคือ อิลาสติน
      
       
นั่นคือ คอลลาเจนจะเหมือนโครงกระดูกผิว ที่ทำให้ผิวมันคงรูปอยู่ได้ แต่อิลาสตินคือ ตัวที่ทำให้มันยืดหยุ่นได้ แต่พออายุมากขึ้นแล้ว มันจะไม่ค่อยมีทั้งสองตัวนี้ เลยทำให้เมื่อดึงผิวที่หลังมือออกมาแล้ว จะยืดแล้วยืดอีก เด้งกลับช้า”
       งดแป้ง ทานแต่โปรตีน ได้คอลลาเจนสูงและผิวใสจริงหรือ?
       ปัจจุบันเทรนด์ลดความอ้วนด้วยวิธีงด ทานแป้ง เน้นทานแต่โปรตีน (เช่น ทานแต่สเต็ก แทบทุกมื้อ) กำลังได้รับความนิยม เพราะนอกจากเชื่อว่าทานแล้วจะไม่อ้วน ยังมีผลพลอยได้คือ ได้รับคอลลาเจนจากเนื้อสัตว์ที่ทานเข้าไปอีกต่างหาก สำหรับเรื่องนี้คุณหมอหนุ่มอธิบายว่า
      
       
“การทานที่เน้นโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ต่างๆ ก็ถือว่าได้คอลลาเจนครับ แต่การทานแบบนี้อาจจะไปรบกวนไตของเราได้ ถ้าไม่มีแป้ง หรือสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เลย แล้วได้รับโปรตีนเยอะเกินไป ไตก็จะต้องทำงานหนัก จะสังเกตได้ว่า เวลาไปตรวจสุขภาพ หากไตคุณทำงานไม่ดี มันจะมีตัวโปรตีนไข่ขาว ที่เรียก อัลบูมิน (Albumin) หลุดออกมาจากไต ปนอยู่ในปัสสาวะได้
      
       ซึ่งอัลบูมินนี้จะออกมาได้ในกรณีที่หนึ่ง-ไต ทำงานไม่ดี สอง-เรากินโปรตีนเยอะเกินไป หัวกรองไตก็จะทำงานได้ไม่ค่อยดี ลองสังเกตง่ายๆ ว่า หากเรากินโปรตีนเยอะๆ ปัสสาวะจะเป็นฟองเลย มื้อไหนกินไข่ขาว, กินหมูกระทะ หรือขาหมูเยอะๆ ปัสสาวะจะเป็นฟองเลย เพราะร่างกายเราจะขับขยะโปรตีนออกมาในรูปของแอมโมเนีย (Ammonia) ทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน และเป็นฟอง”
       

       ดังนั้นได้คอลลาเจนจากสเต็กก็จริง แต่ต้องทานอย่างอื่นด้วย เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะได้โปรตีนเยอะเกินไป จนเกิดผลเสียได้เช่นกัน
      
       โดยส่วนตัว ผมคิดว่าอาหารไทยจะดีกว่าอาหารฝรั่งตรงที่ว่า เรารู้จักเอาทั้งเนื้อที่เป็นโปรตีนและผักมารวมตัวกันได้อย่างเพอร์เฟค อย่างสเต็ก ฝรั่งเขาไม่สันทัดที่จะเอาผักมาผัดกับหมู เขาก็กินเนื้อก้อนหนึ่ง แกล้มกับผักสลัดขยุ้มหนึ่งกันเลี่ยน แค่นั้นเอง ซึ่งตรงนี้ ถ้าสลัดที่ทานแกล้ม เป็นสลัดผักสด ในผักสดมันก็จะมีไฟเตต (Phytate) ที่เป็นตัวยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม และวิตามินอีกหลายตัวเลย ดังนั้นแม้จะได้ผักกับเนื้อก็ตาม แต่ก็อาจไม่ได้คุณค่าเต็มที่เพราะมันอยู่ที่วิธีการปรุงด้วย ฉะนั้นหากจะทานเสต็กก็ควรจะต้องทานกับผักลวกอย่างนี้เป็นต้น”

      
       “เรื่องของการทานให้ได้คอลลาเจน ผมแนะนำเป็นแบบไทยๆ เช่น ต้มซุปเปอร์ขาไก่, ปีกไก่, ต้มยำไก่ก็ยังได้ เพราะมันมีวิตามินซี ที่ช่วยดึงคอลลาเจนเข้าไป หรือจะเป็นต้มยำซีฟู้ด, ต้มยำสาหร่ายทะเลก็ยังได้ เพราะสาหร่ายทะเลก็มีคอลลาเจนที่มาจากทะเลน้ำลึกเช่นกัน หรือทานปลากระดูกอ่อน เช่น ปลาฉลาม ปลากระเบน พวกนี้มีคอลลาเจนเพียบเลย เพราะเรากินกระดูกอ่อนได้ หรือแม้แต่ปลาเล็กๆ น้อยๆ ที่มีก้าง ที่กินได้ เราก็จะได้คอลลาเจนเหมือนกัน”
      
       
คอลลาเจนแบบเม็ด จำเป็นต่อคุณแค่ไหน ?
       

       “การที่คนจะได้รับคอลลาเจนเพียงพอหรือไม่ ต้องดูที่ไลฟ์สไตล์ (lifestyle) อย่างเช่น คนทำงานออฟฟิศ (office) อาจจะไม่มีเวลาไปนั่งกินผัดปลาฉลาม หรือว่าไม่มีเวลาไปนั่งกินซุปเปอร์ขาไก่, ปีกไก่บ่อยนัก แต่มันก็มีวิธีกินง่ายๆ เช่น หากจะกินก๋วยเตี๋ยว ก็กินก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมู พวกนี้เราก็จะได้น้ำซุปที่ทำจากกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ถ้าอยากจะกินเป็นเม็ด ก็จะต้องแน่ใจว่า เรากินอาหารสดเพียงพอ
      
       
เพราะอย่าลืมว่าคอลลาเจนคือ โปรตีน เมื่อทานเข้าไปแล้วมันถูกน้ำย่อย ซึ่งเป็นกรดเกลือ หรือไฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid) ของเราสลายอยู่แล้ว คอลลาเจนที่เหลือจริงๆ น้อยมาก อาจดูดซึมได้ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าจะให้ผลดีจริงๆ ก็อาจจะต้องทานร่วมกับวิตามินซีชนิดเม็ด หรือกินจากอาหารสดร่วมด้วย” คุณหมอกฤษดาอธิบายปิดท้าย
       *แถมท้าย* ตัวอย่างอาหารเปี่ยมคอลลาเจน
       สัตว์น้ำ -> ปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส
       

       สัตว์บก -> พบมากในกระดูกอ่อนไก่, กระดูกอ่อนหมู
       

       พืชผัก ผลไม้ -> สาหร่าย ทะเล, เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด, เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง, เห็ดหูหนู, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล (คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์)