homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

น้ำตาเทียม..เลือกใช้อย่างไร/ เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 20 ธันวาคม 2552 12:34 น.
      
      
       โดยปกติน้ำตาตามธรรมชาติของคนเราสามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาเพียง พออยู่แล้ว แต่ในบางกรณีที่ทำให้ความชุ่มชื้นของดวงตาน้อยกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมเพื่อช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวง ตา

      
       น้ำตาเทียมจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติในการสร้างน้ำตาตาม ธรรมชาติ ทำให้มีน้ำตาน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายที่ปิดตาได้ไม่สนิท ผู้ที่มีความผิดปกติของเยื่อบุตาหรือกระจกตา ผู้ที่มีอาการตาแห้ง อาจเนื่องมาจากความเครียด ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุ 50% ของผู้ป่วยที่มีตาแห้ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น้ำตาระเหยง่าย เช่น แสงแดดจัด ร้อนจัด ลมแรง ความชื้นต่ำเช่นในห้องปรับอากาศ หรือมีสิ่งระคายเคืองต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เขม่าควัน การใช้คอนแท็กเลนส์ รวมทั้งการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ เช่น อ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
      
       น้ำตาเทียมจะช่วยหล่อลื่นดวงตาและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและ เยื่อบุตาขาว เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง ซึ่งจะมีอาการแสบตา เคืองตา รู้สึกว่าตาแห้งฝืด บางครั้งมีขี้ตาเป็นเส้นๆ เมือกๆ ทำให้ลืมตายาก อาการมักเป็นมากในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ หากมีอาการเรื้อรัง ขี้ตาเป็นเมือกติดแน่นที่กระจกตา ทำให้ผิวตาดำไม่เรียบ ติดเชื้อง่าย จะทำให้เกิดแผล หากไม่ได้รับการรักษาที่ดี จะทำให้แผลอักเสบถึงขั้นตาบอดได้
      
       น้ำตาเทียมเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นโดยให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
      
       - ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหนืดเพื่อให้ฉาบอยู่บนกระจกตาได้นานขึ้น แต่หากเป็นน้ำตาเทียมที่มีความหนืดมาก ระยะเวลาที่น้ำตาเทียมฉาบอยู่บนกระจกตานานๆ อาจทำให้มีอาการตามัว มองไม่ชัดหลังหยอดตาในระยะแรก
      
       - สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด ทำให้สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด
      
       - ส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลขององค์ประกอบอื่นในน้ำตาเทียม ปรับความเป็นกรดด่างให้พอเหมาะ ไม่แสบตาเวลาหยอด และช่วยคงสภาพของน้ำตาเทียม
      
       - ส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด เช่น ไกลซีน แมกนีเซียมคลอไรด์ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์ โซเดียมบอเรต และซิงค์
      
       น้ำตาเทียม มีอยู่ 2 ประเภท คือ
      
       - น้ำตาเทียมที่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในขวดใหญ่ ประมาณ 3 - 15 ซีซี สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด มีข้อเสียคือสารกันเสียอาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองต่อเยื่อบุตา หรือเกิดการปนเปื้อนในกรณีที่เก็บไว้นานๆ
      
       - น้ำตาเทียมที่ไม่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในหลอดเล็กๆ หลอดละ 0.3 - 0.9 ซีซี มีตั้งแต่ 20 - 60 หลอดต่อ 1 กล่อง แต่ละหลอดเมื่อเปิดใช้แล้ว ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่จะมีราคาสูงกว่า
      
       ปัจจุบันมีการพัฒนาน้ำตาเทียมโดยใช้สารกันเสียที่สามารถสลายตัวได้ เองเมื่อถูกแสงแดด กลายเป็นเกลือที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อเยื่อบุตา
      
       ควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิ 2 - 25 องศาเซลเซียส แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน หากเก็บไว้นอกห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำตาเทียม และไม่ควรใช้หลังจากหมดอายุที่ระบุไว้บนกล่อง
      
       การเลือกใช้น้ำตาเทียม
      
       การเลือกใช้น้ำตาเทียมนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็น ผู้ที่มีอาการตาแห้งธรรมดาโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ สัมผัสกับแสงแดด ลมแรง หรือใช้สายตานานๆ ก็สามารถเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดขวดใหญ่ที่มีสารกันเสียก่อนได้ หรือในบางราย เพียงแค่ปรับสภาพแวดล้อมหรือปรับพฤติกรรมตัวเองให้ดี อาการตาแห้งที่เป็นอยู่ก็อาจดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม
      
       แต่หากมีอาการตาแห้งรุนแรง ต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่า 4 ครั้งต่อวันเป็นเวลานานๆ หรือผู้ที่มีโรคของผิวกระจกตา เซลล์ของผิวกระจกตาไม่สมบูรณ์ หรือมีประวัติแพ้สารกันเสีย ก็ควรใช้น้ำตาเทียมหลอดเล็กๆ ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย
      
       เราสามารถใช้น้ำตาเทียมได้บ่อยครั้ง โดยไม่มีผลแทรกซ้อน ยกเว้นกรณีแพ้สารกันเสีย แต่การใช้น้ำตาเทียมก็ควรพิจารณาถึงความจำเป็นว่ามีปัญหาของน้ำตามากน้อย เพียงใด จะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และหากมีอาการตาแห้ง ควรไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียด ไม่ควรซื้อน้ำตาเทียมมาใช้เองเป็นเวลานานๆ โดยไม่หาสาเหตุที่แท้จริง

ตรวจร่างกายประจำปี จำเป็นแค่ไหน/ เอมอร คชเสนี

โดย เอมอร คชเสนี 22 มกราคม 2553 01:17 น.
   
      
       แพทย์มักรณรงค์ให้ตรวจร่างกายประจำปี อาจจะเป็นต้นปี ปลายปี หรือทุกๆ วันเกิด เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำเมื่อครบรอบปี เป็นการตรวจคัดกรองหาโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถรักษาได้ในระยะแรก ซึ่งการรักษาในระยะต้นๆ จะได้ผลดีกว่า และอาจช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ แต่แพทย์ก็แนะนำให้เลือกตรวจเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่า “เท่าที่จำเป็น”
       

       สำหรับคนทั่วไป การตรวจร่างกายประจำปีจะประกอบไปด้วยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ซึ่งจะช่วยประเมินภาวะน้ำหนักเกิน การวัดความดันโลหิตจะช่วยตรวจว่ามีความดันโลหิตสูงหรือไม่
      
       การตรวจเลือด จะทำให้ทราบความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ปริมาณเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ช่วยตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจาง วัดระดับน้ำตาลเพื่อตรวจหาเบาหวาน วัดระดับไขมันในเลือด คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด วัดระดับกรดยูริคซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดโรคเก๊าท์ รวมทั้งตรวจการทำงานของตับและไต
      
       การตรวจปัสสาวะว่ามีภาวะทางเดินปัสสาวะอักเสบหรือไม่ และตรวจคัดกรองโรคไตบางชนิด
      
       การตรวจอุจจาระเพื่อหาพยาธิในอุจจาระ และตรวจหาภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร หากมีเลือดในอุจจาระควรตรวจว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่
      
       การเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อตรวจสภาพปอดและหัวใจ ตรวจหาวัณโรค โรคปอดเรื้อรังบางชนิด หรือรอยโรคผิดปกติอื่นๆ
      
       การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจหรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ อาจจะเริ่มตรวจเมื่ออายุ 40 ปี และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ
      
       นอกจากนี้ยังควรตรวจตา หู และฟัน โดยตรวจสุขภาพฟันและช่องปากทุก 6 เดือน สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจตาทุก 2-3 ปี แต่หากมีประวัติโรคต้อหินในครอบครัวควรตรวจปีละครั้ง และเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไปอาจตรวจการได้ยินทุก 5 ปี
      
       ผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยการคลำต่อมลูกหมากและการเจาะเลือดเพื่อหาสาร PSA (Prostate Specific Antigen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากต่อมลูกหมาก
      
       สำหรับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจหามะเร็งปากมดลูก หรือแม้จะยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์แต่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ควรตรวจทุก 1-3 ปี
      
       การตรวจที่กล่าวมาเป็นการตรวจพื้นฐาน แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคบางอย่าง ก็อาจต้องตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม
      
       สำหรับผู้หญิงทั่วไป การตรวจคลำเต้านมของตัวเองเดือนละครั้งร่วมกับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ ก็จะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้ดี แต่แพทย์บางท่านก็จะแนะนำให้ตรวจ Mammogram ในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกปี ยกเว้นตรวจพบความผิดปกติ มีก้อนในเต้านม หรือในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมก่อนอายุ 40 ปี ก็ควรตรวจ Mammogram ก่อนอายุ 40 ปี
      
       การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ยกเว้นมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีความเสี่ยงสูงอาจตรวจ เร็วกว่านั้น
      
       การตรวจ EST (Exercise Stress Test) เป็นการตรวจการทำงานของหัวใจด้วยการวิ่งบนสายพาน ส่วนใหญ่แนะนำให้ตรวจในผู้ที่มีอาการหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เช่น มีอาการเจ็บหน้าอก หรือเหนื่อยหอบขณะออกกำลังกาย หรือผู้ที่ไม่มีอาการหลอดเลือดหัวใจอุดตัน แต่มีอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักบิน นักดับเพลิง หรือมีความเสี่ยงในเรื่องต่อไปนี้ 2 ประการขึ้นไป คือ สูบบุหรี่ เป็นโรคเบาหวาน มีไขมันสูง อ้วน มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจในครอบครัวที่เป็นตั้งแต่อายุยังน้อย
      
       การตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกในผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีประวัติในครอบครัวเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
      
       ดังเช่นที่กล่าวแล้วว่าการตรวจร่างกายประจำปีโดยละเอียดนั้นไม่จำ เป็นนักเพราะสิ้นเปลือง เลือกตรวจเฉพาะสิ่งที่สำคัญและจำเป็น ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคลทั้งเพศ อายุ ลักษณะอาชีพการงาน ประวัติการเจ็บป่วย รวมทั้งประวัติการเป็นโรคของคนในครอบครัวซึ่งอาจจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม จะดีกว่าเหมาตรวจเหมือนกันสำหรับทุกคน โดยอาจจะปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกการตรวจที่เหมาะสม
      
       การตรวจพิเศษบางอย่างอาจไม่คุ้มค่า เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งบางชนิด การตรวจเอกซเรย์เต้านมในคนที่ไม่มีข้อบ่งชี้ การตรวจมวลกระดูก การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ หรืออาจก่อให้เกิดผลเสียในกรณีที่ผลการตรวจขั้นต้นนั้นผิดปกติ แต่เมื่อตรวจเพิ่มเติมโดยละเอียดแล้วไม่พบโรค ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนมาก ดังนั้นอาจให้แพทย์ตรวจร่างกายดูก่อนว่าคุ้มหรือไม่กับการตรวจด้วยวิธีพิเศษ แม้แต่การตรวจเอกซเรย์ปอดซึ่งราคาไม่แพง แต่หากตรวจพร่ำเพรื่อเกินไปก็อาจสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
      
       อีกประการหนึ่ง มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ตรวจพบความผิดปกติเล็กน้อย แต่เก็บมาวิตกกังวลจนถึงขั้นเครียด แทนที่จะควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น
      
       นอกจากนี้ยังมีไม่น้อยที่หมอสั่งยาให้ทันทีหลังจากที่ตรวจพบความผิด ปกติเล็กน้อย แทนที่จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เจ็บป่วยอีก
      
       แพทย์อีกหลายท่านจึงแนะนำว่าการตรวจร่างกายประจำปีควรเป็นการตรวจหา ความเสี่ยงต่อโรค ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น เมื่อทราบความเสี่ยงแล้วก็ร่วมกันหาหนทางป้องกันความเสี่ยงอย่าให้เป็นโรค นั้น
      
       ดังนั้นหากเป็นไปได้ โรงพยาบาลควรมีระบบรองรับผู้ป่วย มีเวลาซักประวัติ เพื่อสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหารตลอดจนการไม่ออกกำลังกาย ทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เกิดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือผู้ที่ต้องทำงานยกของหนักอยู่ทุกวัน ส่วนใหญ่จะมีปัญหาปวดหลัง ปวดเข่า ก็ควรได้รับคำแนะนำว่าจะยกของหนักอย่างไรไม่ให้ปวดเมื่อย หรือหากต้องทำงานในโรงงานที่มีเสียงดังและเต็มไปด้วยฝุ่นละออง อาจเสี่ยงต่อโรคปอดหรือหูตึง ก็ควรได้รับคำแนะนำว่าจะทำงานอย่างไรในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นโดยไม่เจ็บป่วย ซึ่งจะได้ผลดีกว่าการตรวจเหมือนๆ กันตามแพคเกจที่โรงพยาบาลจัดไว้แล้ว
      
       อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคอีกมากที่การตรวจสุขภาพไม่สามารถตรวจพบโรคได้ในระยะแรกๆ ดังนั้นถึงแม้ผลการตรวจสุขภาพจะเป็นปกติดี ก็ยังควรใส่ใจรักษาสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา ยาเสพติด พักผ่อนให้เพียงพอ และปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

กำจัดเชื้อราภายในบ้าน ทำได้ยังไงบ้างนะ



ทำความสะอาด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หลัง จากเผชิญกับภาวะน้ำท่วมมานานเกือบ 2 เดือน ระยะนี้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แบบนี้ใครหลาย ๆ คนก็คงจะดีใจกันยกใหญ่ เพราะในที่สุดก็ได้กลับไปอยู่ในบ้านของตัวเองสักที อ๊ะ ๆ แต่อย่าสบายใจไปค่ะ เพราะไม่ว่าน้ำจะลด ที่บ้านมีความเสียหายน้อยยังไง สิ่งที่คุณ ๆ ต้องจัดการกันแน่ ๆ หลังจากบ้านเผชิญกับภาวะน้ำท่วม ก็คือความอับชื้น กลิ่นเหม็นอับ และเชื้อราที่ผุดขึ้นในบ้านนั่นเอง

          วันนี้ กระปุกดอทคอมก็เลยขอรวบรวมวิธีกำจัดเชื้อราในบ้านมาฝากกัน เพื่อให้ผู้ (เคย) ประสบอุทกภัยได้จัดการกับเชื้อราที่นำมาซึ่งอันตรายและเชื้อโรคอย่างหมดจด และถูกวิธีค่ะ

          1. เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นกับวัสดุที่เป็นพื้นแข็ง ให้ใช้น้ำสบู่ แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาขัดห้องน้ำล้าง และขัดให้ด้วยแปรงชนิดแข็งจนเชื้อราออกจนหมดจด จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหลาย ๆ รอบจนกว่าจะแน่ใจว่าสะอาด

          2. วัสดุที่เป็นเนื้ออ่อน เช่น หนังสือ กระดาษมัน พลาสติก กล่อง ให้ใช้สำลีชุบฟอร์มาลีนเช็ด แล้วตามด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด จากนั้นนำไปวางไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเท และมีแสงแดดส่องถึงเล็กน้อย แล้วปล่อยให้แห้ง



          3. พรม ฝ้า หรือที่นอน หาก มีเชื้อราขึ้น ให้โยนทิ้งจะปลอดภัยที่สุด เพราะวัสดุที่มีรูอย่างพรม ฝ้า และที่นอนนี้ เป็นวัสดุที่ล้างเชื้อราออกได้ยากมาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถล้างออกได้หมดจด 100% ซึ่งถ้าหากยังดันทุรังใช้ต่อไป ความชื้นในห้องก็อาจจะทำให้เชื้อราลุกลาม ฟักตัวได้กว้างขึ้น ทำให้เกิดโรคและเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของผู้อยู่อาศัยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่คุ้มกันเลยล่ะ

          4. อย่าทาสีหรือแลคเกอร์ทับในบริเวณที่เกิดเชื้อรา ให้ล้างออกให้สะอาดหมดจดก่อน จากนั้นค่อยเริ่มทาสีหรือแลคเกอร์

          5. กรณีที่เชื้อราผุดให้เห็นในข้าวของเครื่องใช้ประเภทเครื่องหนัง ให้ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดหลาย ๆ ครั้ง จนแน่ใจว่าสะอาด จากนั้นเช็ดครั้งสุดท้ายด้วยน้ำสะอาด น้ำส้มสายชูจะช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดี

          6. เฟอร์นิเจอร์ หรือของใช้ที่เป็นไม้เนื้ออ่อน โดยปกติวัสดุเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการขึ้นราเมื่อมีความชื้นอยู่แล้ว ซึ่งมันจะไม่เป็นอะไรมากนักหากนำมาล้างทำความสะอาดภายใน 24-48 ชั่วโมงที่พบเชื้อ หรือเริ่มสังเกตเป็นดอกเป็นดวงขึ้น แต่ในกรณีที่น้ำท่วมแล้วปล่อยบ้านไว้นานเป็นเดือน ๆ ขอแนะนำให้ทิ้งข้าวของเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้เนื้ออ่อนเหล่านั้นไปอย่างไม่ ต้องเสียดาย เพราะอาจจะฟักตัวเป็นเชื้อราที่อันตรายมากขึ้นได้


งานบ้าน
          7. ย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ที่มีราขึ้น (และตอนนี้ได้ทำความสะอาดแล้ว) ไปอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือที่แสงแดดส่องถึงสักระยะหนึ่ง คือประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหมั่นคอยตรวจสอบว่า หลังจากทำความสะอาดแล้วยังมีเชื้อราขึ้นอยู่อีกหรือไม่ หากไม่มีก็แสดงว่าสามารถแน่ใจแล้วว่าเราได้ทำความสะอาดเชื้อราออกไปได้อย่าง หมดจดแล้วจริง ๆ แต่หากยังพบร่องรอยของเชื้อรา ขอให้นำมาทำความสะอาดใหม่ เพราะมันจะลามได้ง่ายมากถ้าหากวันหนึ่งอากาศชื้นอีกครั้ง

          8. วอลเปเปอร์ ใช้กรดซาลิไซลิด ผสมกับแอลกอฮอล์ในอัตราส่วน 1:5 จากนั้นนำผ้ามาชุบไปเช็ดวอลเปเปอร์ซ้ำ ๆ ประมาณ 2 รอบ แต่ถ้าหากว่ามีเชื้อราอยู่มาก แนะนำให้รื้อทิ้งแล้วเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่จะดีกว่า

          9. เสื้อผ้า ผ้าม่าน และผ้าห่ม หาก พบเชื้อรา สามารถฆ่าเชื้อเบื้องต้นได้โดยใช้น้ำร้อน จากนั้นขยี้แล้วซักให้สะอาดหลาย ๆ ครั้ง และตากในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น เพื่อเป็นการฆ่าเชื้ออีกที

          10. งดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดความชื้นภายในบ้าน หากตัวบ้านเพิ่งมีราขึ้นและได้รับการทำความสะอาดไปใหม่ ๆ ไม่ควรต้มน้ำ ซักผ้า ตากผ้า เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจัด แต่ควรเปิดให้อากาศภายนอกได้ระบายเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันแดดจัด แม้ว่าจะทำให้คุณร้อนอบอ้าวไปบ้าง แต่แสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อราได้ดีเลยทีเดียว

          อย่าง ไรก็ดี การกำจัดเชื้อรานั้นต้องทำไปควบคู่กับการรักษาความสะอาดทุก ๆ จุด และสิ่งของทุก ๆ อย่างภายในบ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกที่บ้านยังคงเก็บความชื้นจากภาวะน้ำเอ่อท่วมไว้อยู่ ต้องคอยดูแลใส่ใจอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ รับรอง ว่าถ้าหากทำได้อย่างนี้แล้ว พอพ้นช่วง 2-3 สัปดาห์หลังน้ำท่วมเมื่อไหร่ คุณก็จะได้บ้านอบอุ่นและปลอดภัยปลอดเชื้อโรคหลังเดิมคืนอย่างแน่นอนค่ะ

น้องสาวจ๋าสะอาดหรือยังจ๊ะ



สุขภาพ

น้องสาวจ๋าสะอาดหรือยังจ๊ะ (e-magazine)

          สาว ๆ หลายคนประสบกับปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ในที่ลับ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการดูแลน้องสาวไม่ถูกวิธี ทั้ง ๆ ที่ใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น และแผ่นอนามัยก็แล้ว แต่ทำไมความรู้สึกไม่สะอาดยังคงมีอยู่ ดังนั้น เราจึงมีเคล็ดลับง่าย ๆ ในการดูแลทำความสะอาดจุ๋มจิ๋มแบบถูกวิธีมาฝากกัน

          1. ไม่ว่าจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจนไม่อยากเข้าห้องน้ำแต่สิ่งที่คุณห้ามพลาด เลยก็คือ ต้องทำความสะอาดน้องสาวทุกวัน ทั้งเช้าและเย็นด้วยน้ำและสบู่ จากนั้นจึงซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวที่สะอาดและอ่อนนุ่ม โดยไม่ควรเช็ดถูแรง ๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณดังกล่าวค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก

          2. เวลาที่ล้างทำความสะอาดอย่าได้มองข้ามบริเวณซอกหลืบและรอยพับของแคมนอก เพราะ อาจมีคราบไคลสะสมอยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดการหมักหมม จนเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรค ดังนั้นคุณจึงควรล้างด้วยน้ำอุ่น ๆ หรือจะใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ด หากจะใช้น้ำยาอนามัยควรเลือกที่มีความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับผิวหนัง คือประมาณ 5.5

          3. ห้ามสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง และสารเคมีในน้ำยาจะไปทำลายแบคทีเรียที่ชื่อว่า "แลคโตแบซิลลัส" ซึ่งมีหน้าที่ช่วยปรับสภาพในช่องคลอดให้เป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วช่องคลอดจะมีการทำความสะอาดภายในตัวเอง โดยจะขับสิ่งสกปรกออกมาเป็นตกขาว ซึ่งจะมีมากน้อยต่างกันไป

          4. เรื่องของขนอ่อน ๆ ที่อยู่ภายนอก ตามธรรมชาติแล้วมีไว้เพื่อความสวยงามและป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกมา คุณจึงไม่ควรถอน โกน หรือย้อมสีตามสมัยนิยม เพียงแค่ตัดเล็มเสริมแต่งให้พองามก็ดีแล้ว

          5. เมื่อถึงช่วงนั้นของเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนทุก ๆ 3 ชั่วโมง และ การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก็ควรเลือกแบบที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน ส่วนอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ไม่ควรเก็บผ้าอนามัยไว้ในที่อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย ส่วนแผ่นอนามัยที่สาว ๆ นิยมใช้เป็นประจำทุกวัน ความจริงแล้วไม่ใช่ของที่จำเป็นเลย เพราะจะทำให้น้องสาวของเราอับชื้นและติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น ใช้ในช่วงที่เพิ่งหมดประจำเดือนไม่กี่วันก็เพียงพอแล้ว

          6. สำหรับกางเกงในที่ใส่ควรมีเนื้อผ้าบางเบา เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อช่วยลดความอับชื้นของอวัยวะเพศ อย่าให้คับหรือหลวมจนเกินไป และควรซักตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อราและไม่ควรใช้กางเกงในร่วมกับคนอื่น ส่วนในยามค่ำคืน การนอนแบบไม่สวมกางเกงลิงจะช่วยให้น้องสาวของเรารู้สึกสบายยิ่งขึ้น

          7. ทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ควรใช้น้ำล้างให้สะอาด แล้วใช้กระดาษชำระซับให้แห้ง โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทวารหนัก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด

          8. รู้จักสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ บริเวณอวัยวะเพศ เช่น คันในช่องคลอด ตกขาวมากจนผิดสังเกต อวัยวะ เพศมีกลิ่นเหม็นมากตกขาวมีสีผิดไปจากเดิม หรือเวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บเหมือนปัสสาวะไม่สุด ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

          9. รับประทานอาหารที่มีคุณค่า ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ก็ช่วยให้ทั้งน้องสาว และสุขภาพของเราแข็งแรงได้อย่างแน่นอน




ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

ดื่มน้ำสะอาด...วิธีรับมือโรคที่มากับอุทกภัย



น้ำ


ดื่มน้ำสะอาด...วิธีรับมือโรคที่มากับอุทกภัย (ไทยโพสต์)

          ในช่วงที่มีน้ำท่วมขังอย่างนี้ การเตรียมพร้อมรับมือกับสารพัดโรคที่มาพร้อมน้ำท่วม เช่น โรค ทางเดินอาหาร โรคทางเดินหายใจ โรคอุจจาระร่วง โรคตาแดง โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู ฯลฯ นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็กเล็ก ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดและสังเกตอาการเบื้องต้นของโรค และรีบพบแพทย์ทันทีหากพบความผิดปกติรุนแรง สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคที่แฝงมากับน้ำท่วมลงได้

          รอ.นพ.พันเลิศ ปิยะลาศ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การดูแลตนเองและสังเกตอาการผิดปกติในเบื้องต้น จะช่วยป้องกันโรคได้ในระดับหนึ่ง ที่สำคัญควรดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น เช็ดตัวให้แห้ง หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันอันตรายจากไข้หวัดใหญ่และปอดบวม

          ขณะเดียวกันก็ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด หรืออาหารกระป๋องที่ยังไม่หมดอายุ กระป๋องไม่บวมหรือเป็นสนิม รวมทั้งดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำจากขวดที่ฝาปิดสนิท หรือน้ำต้มสุกเพื่อทำลายเชื้อโรคในน้ำ ใน ส่วนของน้ำใช้หากไม่แน่ใจว่ามีความสะอาดเพียงพอหรือไม่ ให้ใช้ผงปูนคลอรีนทำลายเชื้อโรคในน้ำ โดยคลอรีนสามารถทำลายเชื้อโรคได้มากกว่า 99% รวมทั้งเชื้อ อีโคไล (E.coli) และเชื้อไวรัส นอกจากนี้ผงปูนคลอรีนสามารถเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำได้ ซึ่งการใช้คลอรีนอย่างระมัดระวังจะไม่เกิดอันตราย และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระลงในน้ำ ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของโรคระบาด

          สำหรับการป้องกันตัวเองจากโรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส ที่เป็นโรคยอดฮิตในช่วงน้ำท่วมนั้น ควรหลีกเลี่ยงการลุยน้ำลุยโคลน และ ป้องกันไม่ให้บาดแผลสัมผัสถูกน้ำ โดยการสวมร้องเท้าบู๊ตยาง หากไม่สามารถเลี่ยงได้ควรรีบล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ แล้วเช็ดให้แห้งโดยเร็วที่สุด แต่หากพบอาการระคายเคืองบริเวณตา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตาแดง ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดทันที หรือถ้ามีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตาไม่ควรขยี้ตาด้วยมือที่สกปรก อย่าให้แมลงตอมตา และหลีกเลี่ยงที่จะใช้ของร่วมกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันการระบาดของโรค

           นอกจากนี้ อุบัติเหตุที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วมได้แก่ ไฟดูด จมน้ำ เหยียบของมีคม สามารถป้องกันได้โดยถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้า สับคัตเอาต์ตัดไฟฟ้าในบ้านก่อนที่น้ำจะท่วมถึง ขณะเดียวกันคุณหมอกล่าวว่า การเก็บกวาดขยะวัตถุแหลมคมในบริเวณอาคารบ้านเรือน และตามทางเดินอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากของมีคมได้แล้ว ยังช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นงู ตะขาบ แมงป่อง ซึ่งหนีน้ำมาหลบอาศัยในบริเวณบ้านเรือนได้ด้วย

          อย่าง ไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม คุณหมอกล่าวว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ มีสติ อย่าตกใจหรือกลัวจนขาดสติ ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ติดตามรายงานของทางราชการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนศึกษาขั้นตอนการอพยพ ระบบการเตือนภัยและเส้นทางการเคลื่อนย้ายในกรณีเร่งด่วน




ขอขอบคุณข้อมูลจาก