homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

ยาคุมชนิดแผ่นแปะ ทางเลือกคุมกำเนิดของหญิงยุคใหม่


ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะ

ยาคุมชนิดแผ่นแปะ ทางเลือกคุมกำเนิดของหญิงยุคใหม่ (Momypedia)

          ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะ อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสาวยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการคุมกำเนิด แก้ปัญหาลืมกินยาในสาวขี้ลืม และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยแผ่นแปะยังคงออกฤทธิ์ช่วยคุมกำเนิดได้ผลใกล้เคียงกับวิธีอื่น ๆ

          ในยุคนี้การคุมกำเนิดเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคุณสาว ๆ หรือคุณแม่ที่ต้องการเว้นระยะการตั้งครรภ์หลังจากที่คลอดลูกแล้ว การคุมกำเนิดมีหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป เช่น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมที่สุดนั้น ต้องรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน ซึ่งเป็นปัญหาในสาวขี้ลืม ที่หากลืมกินยาประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงไป เพื่อช่วยลดปัญหานี้ปัจจุบันมียาคุมชนิดแผ่นแปะผิวหนัง โดยใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะสัปดาห์ละ 1 แผ่น ในระหว่างที่ใช้แผ่นแปะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่น อาบน้ำ ว่ายน้ำ ออกกำลังกายได้ตามปกติ โดยไม่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา

          แผ่นแปะคุมกำเนิดนี้มีฮอร์โมนที่จะค่อย ๆ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง ส่งผลให้เมือกที่บริเวณปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น ทำให้อสุจิผ่านเข้ามาผสมกับไข่ได้ยากขึ้น และมีผลทำให้เยื่อบุมดลูกบางลง ไม่เหมาะต่อการฝังตัวของไข่ นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการตกไข่ด้วย

วิธีการใช้

          ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ใช้แปะผิวหนังใน 1 รอบเดือน โดยรอบเดือนปกติของผู้หญิงจะมีระยะเวลาประมาณ 28 วัน หรือ 4 สัปดาห์ ให้แปะแผ่นยาคุมกำเนิด 3 สัปดาห์ติดต่อกัน สัปดาห์ละ 1 แผ่น และหยุดแปะ 1 สัปดาห์ จึงเริ่มแปะแผ่นใหม่

          การ เริ่มแปะแผ่นยามี 2 วิธีคือ วิธีแรกเริ่มใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดภายใน 24 ชั่วโมงในวันแรกที่รอบเดือนมา และนับวันที่แปะแผ่นคุมกำเนิดในวันนี้เป็นวันที่หนึ่งของการใช้ยาคุมกำเนิด และเปลี่ยนแผ่นยาในวันเดิมในสัปดาห์ถัดไป การแปะแผ่นยาแบบนี้มีผลในการคุมกำเนิดทันทีที่แปะ ไม่ต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย

          อีกวิธีหนึ่งคือ เริ่มแปะแผ่นยาในวันอาทิตย์ ระหว่างสัปดาห์ที่มีประจำเดือนมา โดยเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะในวันอาทิตย์ ส่วนรอบต่อไปก็เปลี่ยนแผ่นแปะทุกวันอาทิตย์ หากใช้วิธีนี้ในช่วง 7 วันแรก ควรใช้การคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัย

          สำหรับบริเวณที่เหมาะสมในการแปะแผ่นยาคุมกำเนิดคือ สะโพก หน้าท้อง ต้นแขนด้านนอก หรือแผ่นหลังช่วงบน แต่ห้ามแปะบริเวณหน้าอก

ผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์

          การคุมกำเนิดวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายคล้ายการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ในครั้งแรกที่ใช้แผ่นแปะอาจพบอาการคันเล็กน้อยในตำแหน่งที่แปะ ภายใน 3-4 วันอาการคันจะทุเลาลง อาจพบมีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ในรอบเดือนแรกของการใช้ยา

          อย่าง ไรก็ ตามสำหรับคนที่ยังไม่เคยคุมกำเนิด หรือห่างหายจากการคุมกำเนิดไปนาน ก่อนที่จะเริ่มคุมกำเนิดอีกครั้งควรไปพบสูตินรีแพทย์ หรือพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านอนามัยเจริญพันธุ์ เพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่เท่ากัน ดังนั้นควรได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจภายใน และตรวจเลือด เพื่อดูว่าควรเลือกคุมกำเนิดวิธีใดให้เหมาะสมกับร่างกายที่สุด

http://health.kapook.com/view18105.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

แพทย์ชี้ผู้สูงอายุ เสี่ยงกระดูกสะโพกหักสูง


ผู้สูงอายุ


แพทย์ชี้ผู้สูงอายุเสี่ยงกระดูกสะโพกหักสูง (กระทรวงสาธารณสุข)


         แพทย์กระดูกชี้ผู้สูงอายุไทย เสี่ยงกระดูกสะโพกหักสูงเพิ่มตามอายุ เหตุร้อยละ 90 มาจาก "หกล้ม" ชี้ผู้ที่มีปัญหากระดูกพรุน เสี่ยงอาการรุนแรง ต้องเร่งป้องกันตั้งแต่วัยหนุ่มสาว

          นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรมกระดูก ประจำโรงพยาบาลลำปาง ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "อุบัติการณ์กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง ผลการศึกษา 10 ปี และการพยากรณ์" ซึ่งจะเป็นข้อมูลวิชาการประกอบการวางแผนการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุไทย ซึ่งมีทิศทางเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นวัยที่อยู่ในภาวะเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ จึงต้องมีการวางแผนการดูแลอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้กระดูกสะโพกหัก เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ พบผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหากระดูกพรุนอยู่แล้ว จะมีอาการรุนแรงกว่าผู้สูงอายุทั่วไป ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เสียชีวิต และเสียค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลรักษา

          ขณะนี้ มีรายงานพบปัญหากระดูกสะโพกหักสูงสุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ กลุ่มสแกนดิเนเวียและอเมริกาเหนือ ส่วนในทวีปเอเชียพบมากที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่นและไต้หวัน นักวิจัยได้คาด ประมาณว่า จำนวนผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักทั่วโลกใน พ.ศ.2568 จะมีมากถึง 2 ล้าน 6 แสนราย โดยร้อยละ 37 อยู่ในทวีปเอเชีย และในพ.ศ.2593 หรืออีก 40 ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็น 4 ล้าน 5 แสนราย ซึ่งร้อยละ 45 อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก จะมีอัตราเสียชีวิตภายในปีแรกร้อยละ 17-28 และมีรายงานที่โรงพยาบาลรามาธิบดีว่า ผู้ป่วยดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารายละประมาณ 116,000 บาทต่อปี

          นาย แพทย์ณัฐพงศ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอุบัติการณ์กระดูกสะโพกหักสูงขึ้น เพราะประชาชนมีอายุยืนขึ้น จำนวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 7 ล้านคน แต่ที่ผ่านมา สถิติการเกิดกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ ยังต่ำกว่าความเป็นจริงมาก พบได้ประมาณแสนละ 7 คน โดยยังไม่เคยมีรายงานการศึกษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก และคาดประมาณจำนวนผู้ป่วยในอนาคตมาก่อน ดังนั้นจึงได้ทำการศึกษา ปัญหาดังกล่าวของจังหวัดลำปาง เพื่อหาลักษณะและอัตราการเกิดกระดูกสะโพกหักในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปของจังหวัดลำปาง ระหว่างพ.ศ. 2540-2549 และคาดทำนายจำนวนผู้ป่วยในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อนำมาวางแผนป้องกัน และจัดการกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม

          ในการศึกษาครั้งนี้ ได้เก็บข้อมูลจากผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป อายุสูงสุดคือ 80 ปีที่ได้รับการวินิจฉัยว่ากระดูกสะโพกหัก และรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง ระหว่างพ.ศ. 2540-2549 พบมีผู้ป่วยทั้งหมด 2,572 ราย เป็นหญิง 1,822 ราย ที่เหลืออีก 750 รายเป็นชาย จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 13 ต่อปี ผู้หญิงจะเริ่มป่วยอายุประมาณ 75 ปี ขณะที่ผู้ชายเริ่มเมื่ออายุประมาณ 74 ปี

          นาย แพทย์ณัฐพงศ์ กล่าวต่อไปว่า จุดที่เกิดการหักของกระดูกสะโพกมากที่สุดคือ บริเวณส่วนหัวของกระดูกขาท่อนบน ที่มีชื่อว่าโทรแชนเตอร์ (Trochanter) ซึ่งกระดูกส่วนนี้จะเป็นส่วนที่รองรับกับเบ้ากระดูกสะโพกทั้ง 2 ข้าง โดยส่วนปลายกระดูกจะมีลักษณะเป็นหัวกลม ๆ และคอค่อนข้างกิ่วคล้ายกับหัวค้อน เมื่อโดนแรงกระแทกจึงหักง่าย พบมากถึงร้อยละ 59-66 ยิ่งอายุมากก็ยิ่งพบปัญหามาก โดยในรอบ 10 ปี เพศหญิงป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 153 ส่วนชายป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 136

          นายแพทย์ณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ผลจากการศึกษาปัญหากระดูกสะโพกหักตลอด 10 ปีในจังหวัดลำปาง สามารถพยากรณ์ได้ว่าผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกสะโพกหัก ซึ่งจังหวัดลำปางมีมีอัตราเพิ่มขึ้นของคนวัยนี้ร้อยละ 2.6 ต่อปี จึงคาดว่าในปี 2559 จังหวัดลำปางจะมีผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักจำนวน 1,568 ราย หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ประมาณ 3 เท่าตัว และจะเพิ่มเป็น 2,128 รายในปี 2569

          ทั้ง นี้สาเหตุกระดูกสะโพกหัก ส่วนใหญ่เกิดมาจากปัญหากระดูกพรุน ซึ่งคนไทยขณะนี้มีแนวโน้มใช้ชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น ออกกำลังกายน้อยลง กินอาหารที่ไม่ได้ส่งเสริมความแข็งแรงของมวลกระดูก เช่น กินอาหารจานด่วนที่มีแต่เนื้อ ไม่มีกระดูก โดยอาหารที่จะส่งเสริมให้มีมวลกระดูกมากขึ้น ก็คือ นม หรือจำพวกปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งตัว เพราะมีแคลเซียมมาก นอกจากนี้จะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยึดของกล้ามเนื้อกับกระดูกได้ดีขึ้น โดยการป้องกันปัญหาโรคกระดูกพรุน จะต้องเริ่มตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เพื่อสะสมความแข็งแรงไปเรื่อย ๆ เป็นต้นทุนสุขภาพ เมื่อก้าวสู่วัยสูงอายุก็จะมีปัญหาน้อยน้อยลง หรือไม่เกิดปัญหาเลย


http://health.kapook.com/view18033.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เตือนอย่าเชื่อน้ำมันรำข้าว อ้างรักษาได้ทุกโรค





อย.เตือนอย่าหลงเชื่อน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว โวสรรพคุณ รักษาสารพัดโรค (กระทรวงสาธารณสุข)

          อย.เตือน ผู้บริโภค อย่าตกเป็นเหยื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว" อ้างสรรพคุณรักษาโรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น อาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง ย้ำ! ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยารักษาโรค หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปกับการรักษา ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และอย่าเชื่อโฆษณาเกินจริงที่หวังผลทางการค้ามากเกินไป

          นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับการโฆษณาน้ำมันรำข้าว โดยได้รับการร้องเรียนจากสมาคมขายตรงเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว โดยระบุ สรรพคุณ รักษาโรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น มีการอ้างผลการทดสอบจากผู้รับประทาน และประสบการณ์จากผู้ป่วยที่ต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งจากการตรวจสอบไม่มีข้อเท็จจริงทางวิชาการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือ และเอกสารที่ปรากฏน่าจะเป็นการตัดต่อข้อมูลของกลุ่มสมาชิกผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่ง อย. ได้แจ้งเตือนไปยังผู้ทำการโฆษณาให้ระงับการโฆษณา และดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว

          อย่าง ไรก็ตาม อย.มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทาน เสริม นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติเท่านั้น จึงขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะมุ่งหวังรักษาโรคโดยเด็ดขาด อาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานอาจต้องตัดเท้า ผู้ป่วยมะเร็งมีอาการทรุดหนัก เป็นต้น

          หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปกับการรักษา ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่หวังผลทางการค้ามากเกินไป ทั้งนี้ โฆษณาส่วนใหญ่ เป็นการจำหน่ายในลักษณะขายตรง ซึ่งบางราย บางเครือข่ายอาจหาประโยชน์ที่ผิดกฎหมายในลักษณะแชร์ลูกโซ่ จึงขอให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมจริยธรรม

          เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ก็ตาม ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อโดยอ่านข้อมูลของอาหารนั้นบนฉลากทุกครั้งว่า มีสารอาหารอะไรตามที่ร่างกายขาด หรือต้องการเสริม แต่หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า สามารถรักษาโรคได้ หรือโฆษณาหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยการขายตรง ขอให้แจ้งเบาะแสโดยละเอียดผ่านสายด่วน อย. 1556 สำหรับในส่วนภูมิภาคแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อทางราชการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดต่อไป



http://health.kapook.com/view17972.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ตรวจก่อนแต่งงาน เพื่อสุขภาพความรัก


ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน


ตรวจก่อนแต่งเพื่อสุขภาพความรัก Sure Health Confirms Love (Woman Plus)

          แม้ความเชื่อใจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ ก็ควรต้องอาศัยความเชื่อมั่นในตัวบุคคล ที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงมาเป็นรากฐาน เพื่อให้ความเชื่อใจ ไม่ง่อนแง่น ว่ากันว่า ความสงสัยเปรียบเสมือนตัวมอดที่กัดแทะบ้านทั้งหลัง ดังนั้น ก่อนแต่งงานคุณจึงควรได้เคลียร์ทุกความตะขิดตะขวงอย่างรอบคอบ ชัดเจน เพื่อกำจัดตัวมอดที่จะทำลายความรักและชีวิตคู่ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจเช็กความพร้อมของสุขภาพ

          การ จูงมือกันไปตรวจสุขภาพ คือก้าวแรกของการแสดงความจริงใจที่สร้างความเชื่อมั่นในกันและกัน จึงควรให้ความสำคัญมากที่สุดพอ ๆ หรืออาจจะมากกว่าการจัดงานแต่งงาน เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสุขแบบยั่งยืนที่มีผลต่ออนาคตของคุณและลูกหลาน ใครอยากทราบว่าทำไม และควรทำอย่างไร อ่านเลย

4 เหตุผล…ทำไมต้องตรวจก่อนแต่ง

          เพื่อสกัดกั้นการส่งผ่านโรคสู่คนที่รัก เพราะโอกาสในการส่งผ่านโรคสู่กันและกันนั้นมีมาก ถ้าพบว่า ใครสักคนเป็นโรคที่จะสามารถติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรรักษาให้หายก่อน ไม่ว่าจะเป็นโรคเล็กน้อย หรือร้ายแรงเพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะบางโรค ซึ่งถ้าไม่ตรวจเลือดก็จะไม่รู้ เช่น ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และเอดส์ การตรวจก่อนแต่งจึงเท่ากับช่วยลดความเสี่ยง และอัตราแทรกซ้อนความเจ็บไข้ได้ป่วยของคู่ชีวิต

          เพื่อตรวจความพร้อมของคุณแม่ในการตั้งครรภ์

          เพื่อความปลอดภัยของลูก บางโรคสามารถส่งต่อถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปถึงลูกหลานได้ เช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โรคเลือดออกไม่หยุด การตรวจสุขภาพร่างกาย จะได้ทราบว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดที่ลูกจะเป็นโรคเหล่านั้น จะได้ตัดสินใจได้ถูกว่าควรมีลูกดีหรือไม่ ส่วนอีกโรคที่สำคัญมากสำหรับว่าที่คุณแม่ก็คือ หัดเยอรมัน เพราะจะทำให้ลูกน้อยคลอดออกมาแล้วมีความผิดปรกติได้สูง ดังนั้น ถ้าตรวจพบว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ ก็สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ทันที

          เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว จะมีอัตราความเสี่ยงของโรคมากขึ้น ถ้ามีการตั้งครรภ์ เช่น โรคหัวใจ โรคไตวาน โรคธัยรอยด์ ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า มีสภาวะเหมาะสมพอที่จะตั้งครรภ์ได้หรือไม่

5 โปรแกรมสุขภาพที่ต้องตรวจก่อนแต่งงาน

          ตรวจกรุ๊ปเลือด ให้ทราบว่า แต่ละคนมีเลือดกรุ๊ปใด เพื่อสะดวกในกรณีต้องการเลือดฉุกเฉิน ความเข้ากันของเลือด Hemoglobin Typing เป็นการหาความผิดปกติของ เฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงว่ามีความผิดปกติของโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ ซึ่งโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคที่เกิดจากการสืบทอดทางพันธุกรรม และเป็นโรคหนึ่งที่ตรวจพบมาก

          ตรวจชนิดของโรค [Rh Factor] คนไทยโดยทั่วไปจะมีค่า Rh+ แต่บางคนอาจพบได้ว่า มีชนิด Rh- ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีค่า Rh- เมื่อตั้งครรภ์จะทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้สูงมาก และต้องตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดดูว่า มีภาวะซีดหรือไม่ เพื่อดูแลร่างกายให้สมบูรณ์ก่อนตั้งครรภ์

          ตรวจหาภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากพบว่ามีเชื้อ แสดงว่าคุณเป็นพาหะนำโรค และถ้าหากคู่ของคุณไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรจะฉีดวัคซีน และสามารถใช้ชีวิตคู่ได้ตามปกติ มีบุตรได้ เพราะทารกทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อจากแม่อยู่แล้ว

          ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน หากไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดวัคซีนและคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน เพราะหากติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกพิการ หรือแท้งได้

          ตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ หากพบเชื้อ จะไดป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัย และคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการติดต่อไปสู่ลูก

          โปรแกรมการตรวจต่าง ๆ เหล่านี้เราสามารถที่จะตรวจได้ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งมีไว้บริการสำหรับคู่บ่าวสาว แต่ถ้าหากโรงพยาบาลใดไม่มีบริการเหล่านี้ ก็สามารถปรึกษาได้กับสูตินารีแพทย์ของโรงพยาบาลได้ ค่าใช้จ่ายสำหรับโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉลี่ยประมาณ 1,400-2,700 บาท

Did you know?

          ไวรัสตับอักเสบบี สามารถส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าเชื้อเอดส์ถึง 100 เท่า เนื่องจากปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดมีสูงกว่าไวรัสเอดส์มาก เช่น ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นเอดส์เพียงครั้งเดียว แบบไม่มีการป้องกัน จะมีโอกาสติดเชื้อ 0.3-0.5% แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นไวรัสอักเสบบี แบบไม่มีการป้องกันเพียงครั้งเดียว มีโอกาสติดเชื้อสูงถึง 10-20% ยิ่งกว่านั้น แม่ที่ติดเชื้อสามารถส่งผ่านโรคสู่ลูกได้มากถึง 70%

          ปัจจุบัน จำนวนคนไทยที่ได้รับเชื้อมากกว่า 5% หรือประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งโรคนี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ นอกจากไปตรวจเลือดถึงจะรู้ ทำ ให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสในการรักษา หรือมาตรวจอีกที ก็พบว่าอาการอยู่ในระยะที่ 2-3 แล้ว ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็ง หรือถึงขั้นเป็นมะเร็งตับในที่สุด


http://health.kapook.com/view17935.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เกาหลีใต้คลั่งผอม กินยาลดความอ้วนมากที่สุดในโลก



 
ยาลดความอ้วน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
         ถึงแม้ว่าหน่วยงานควบคุมเวชภัณฑ์ในยุโรป จะสั่งระงับการจำหน่ายยาลดความอ้วนที่มีชื่อว่า "ซิบูทรามีน" ตั้งแต่วันที่ 21มกราคม ที่ผ่านมา เนื่องจากยาดังกล่าวมีผลต่อสมอง และถ้าใช้มากเกินไป หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะเกิดอาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว และเกิดอาการเครียด แต่ที่ประเทศเกาหลีใต้กลับใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะ Korea Food and Drug Administration (KFDA) ซึ่งทำหน้าที่ประเมินและรับรองยาระบุว่าไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงผลข้างเคียงจาก การกินยา "ซิบูทรามีน" เพียงแต่ห้ามจ่ายยาให้คนวัย 65 ปีขึ้นไป หรือต่ำกว่า 15 ปีเท่านั้น

        ทำให้การกินยาลดความอ้วนและยาลดความอยากอาหารของคนเกาหลีใต้ ใกล้จะขึ้นทำเนียบสูงสุดของโลกแล้ว หลังพบว่าการ ผลิตและการนำเข้ายาลดความอ้วน "ซิบูทรามีน" เพิ่มขึ้น 11 เท่า จากมูลค่าเดิม 4,400 ล้านวอน หรือเกือบ 1,200 ล้านบาท เมื่อปี 2546 เป็น 49,000 ล้านวอน หรือราว 1,300 ล้านบาท เมื่อปี 2551 ขณะวงเงินในตลาดซื้อขายยาระงับความอยากอาหาร ที่ถูกคณะกรรมการควบคุมสารเสพติดนานาชาติ จัดให้เป็นยาเสพติด ได้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า

         รายงานอ้างผลการสำรวจชาวเกาหลี 1,000 คน โดย คอนซูเมอร์ โคเรีย พบว่า 86 เปอร์เซ็นต์ ของคนเกาหลี ผ่านการลดน้ำหนัก หรืออยู่ระหว่างลดน้ำหนักมาตั้งแต่ปี 2551 อีก 13 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าต้องพึ่งพายาลดน้ำหนัก ปัญหาคือ แม้แต่คนที่มีน้ำหนักมาตรฐานก็ยังกินยาลดความอ้วน และแพทย์ก็จ่ายยาให้โดยไม่ไตร่ตรอง

http://health.kapook.com/view17964.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก