homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

ไขข้อสงสัย เรื่องยาเลื่อนประจำเดือน


สุขภาพ


ยาเลื่อนปจด.กินเมื่อจำเป็น-มีเซ็กส์ป้องกัน (สสส.)
โดย กิตติยา ธนกาลมารวย

          สาว ๆ หลายคนอาจกังวลใจไม่น้อย หากมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องทำกิจกรรมในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น ไปเข้าค่าย เที่ยวทะเล หรือจำเป็นต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ การเลื่อนประจำเดือนออกไปจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ เพิ่มความสะดวกและความคล่องตัวในการทำกิจกรรมระหว่างวัน....

          โดยตัวช่วยที่ผู้หญิงเลือกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว คือ "ยาเลื่อนประจำเดือน" ที่ นิยมใช้ทั่วไปเป็นฮอร์โมนโปรเจสโตเจน หรือฮอร์โมนโปรเจสโตโรน เมื่อผู้หญิงกินยาประเภทนี้แล้ว จะช่วยยืดเวลาให้รอบเดือนช้าออกไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์

ทำไมยาดังกล่าวถึงมีประสิทธิภาพทำให้ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้?

          จากการได้พูดคุยกับรศ.นพ.อภิชาติ จิตเจริญต์ อาจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นารีเวชวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในช่วงก่อนการมีประจำเดือนระดับฮอร์โมนโปรเจสโตโรนในร่างกายจะลดลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีการหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ดังนั้นยาเลื่อนประจำเดือน จึงมีประสิทธิภาพทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสโตโรนในร่างกายผู้หญิงไม่ลดลง การมีรอบเดือนจึงถูกเลื่อนออกไปนั่นเอง

          นอกจากนี้ยาเลื่อนประจำเดือนโดยทั่วไป อาจใช้เป็นยาคุมกำเนิดแบบธรรมดาได้ แต่ไม่นิยมใช้ป้องกันการมีบุตร เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่อร่างกายมากกว่า เนื่องจากการใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เลือดออกกะปริบกะปรอย รอบเดือนแปรปรวน จึงไม่แนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้

          บางคนเมื่อกินยาเข้าไปแล้ว อาจมีอาการคลื่นไส้ คัดตึงเต้านม อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นบางเวลาก็เป็นได้ ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น  ควรจะใช้ลักษณะชั่วครั้งชั่วคราว ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยได้ผลตามต้องการ?

          สำหรับวิธีการใช้ รศ.นพ.อภิชาติ แนะนำว่า จะต้องกินยาล่วงหน้าก่อนจะมีประจำเดือนอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพราะถ้ากินในช่วงวันใกล้มีประจำเดือน อาจจะไม่ได้ผลในการเลื่อนรอบเดือนออกไป ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงยาประเภทลดกรดในกระเพาะอาหาร เพราะจะมีผลทำให้การดูดซึมยาลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเลื่อนประจำเดือนต่ำ

          ส่วนวิธีใช้ยากิน วันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น ติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้ หลังหยุดยาแล้วประจำเดือนจะไม่มาในทันที ทิ้งช่วงเวลาไปประมาณ 2-3 วันต่อจากนั้น ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ

มีเซ็กส์ในช่วงกินยาเลื่อนประจำเดือนเสี่ยงท้องไหม?

          ในกรณีที่คุณผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กินยาเลื่อนประจำเดือน คุณหมอบอกว่า โอกาสการตั้งครรภ์นั้นมีน้อย แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ ควรใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการมีเซ็กส์ด้วยจะเป็นการดี เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความสุ่มเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

          หากต้องการเลื่อนประจำเดือนและคุมกำเนิด การทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงละ 21 เม็ด กินโดยไม่ต้องเว้นหรือหยุดยา จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และเลื่อนประจำเดือนได้ไปพร้อมกัน แต่ถ้าเลือกกินยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 28 เม็ด เมื่อทานยาคุมไป 21 เม็ดแล้ว ให้เริ่มทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องรับประทาน 7 เม็ดที่เหลือในแผงเดิม เนื่องจากยา 7 เม็ดที่เหลือไม่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน และในผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อหยุดทานยาปะจำเดือนจะมาตามปกติในอีกประมาณ 2-3 วัน

          ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพของผู้คุณหญิง ในแง่ของการรับประทานยาอย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสม ไม่ใช่เพียงแค่ยาเลื่อนประจำเดือนเท่านั้นนะคะ แต่หมายรวมถึงการใช้ยาในทุก ๆ ประเภท สาว ๆ ควรศึกษาข้อมูลวิธีใช้ก่อนบริโภคเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความปลอดภัยและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา!


http://health.kapook.com/view18705.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อาการน่าเป็นห่วงเมื่อสุขภาพขาดสมดุล


สุขภาพ


อาการน่าเป็นห่วงเมื่อสุขภาพขาดสมดุล (Good Food Good Life)

          คุณ เคยสังเกตไหมว่า ทำไมอยู่ ๆ คุณ หรือสมาชิกในครอบครัวถึงรู้สึกมีอาการไม่สบายขึ้นมา มีอาการแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคอะไร …

          นั่น แหละค่ะ อาการแปลก ๆ หลายอย่างก็คือสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า สุขภาพตอนนี้เกิดความไม่สมดุลขึ้นแล้วนะ ซึ่งความไม่สมดุลนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดมาจากจิตใจมากกว่าเกิดจากสาเหตุของร่างกายจริง ๆ โดย เฉพาะอย่างยิ่งความเครียด ที่เป็นสาเหตุตัวร้ายที่จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายได้ง่าย และมากที่สุด ที่เรียกว่า ใจป่วย-กายป่วย เพราะร่างกายกับจิตใจนั้นสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว

          เมื่อเวลาที่เกิดความเครียดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องลูกติดเกมส์ สามีติดกิ๊ก งานไม่รุ่ง หมุนเงินไม่ทัน หรือแม้กระทั่งข่าวการเมืองชวนปวดหัว และเรื่องต่าง ๆ อีกสารพัดจะถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำให้เกิดการสะสมความเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ธรรมชาติของร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ออกมา ทำให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น การย่อยอาหารช้าลง เกิดน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น หรือเหงื่อออกมากขึ้น และหากความเครียดยังคงอยู่เรื้อรังยาวนาน ก็อาจเกิดโรคทางจิตใจ และร่างกายตามมามากมายสารพัดอย่างที่จะเกิดขึ้นได้

          เมื่อ ร่างกายขาดสมดุลขึ้นแล้ว ร่างกายกับจิตใจจะส่งสัญญาณเป็นอาการเตือนต่าง ๆ ทำให้รู้ตัวว่า เริ่มจะไม่สมดุลกันถึงขั้นรุนแรงแล้วนะ ต้องรีบแก้ไขด่วนมิเช่นนั้นจะผันแปรเป็นโรคต่าง ๆ ได้ โดยที่คุณต้องสังเกตตัวเองหรือคนที่คุณรักว่า

          มีความวิตกกังวล หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ควบคุมอารมณ์ตัวเองยากขึ้น

          ปวดศีรษะ มึนงง ตึ๊บ ๆ สมองไม่โล่ง

          ตื่นเต้น ตกใจง่ายมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          หลับไม่สนิท ฝันร้าย หรือในทางกลับกัน ก็หลับทั้งวัน ง่วงนอนตลอดเวลา นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ

          เบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอะไร แต่บางคนก็มีอาการตรงข้ามคือ รับประทานแหลกเลยทีเดียว

          ใจสั่น

          หายใจไม่อิ่ม ถอนหายใจบ่อย ๆ แบบไม่รู้ตัวเอง

          ท้องผูก หรือท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ

          ปวดต้นคอ หรือไหล่ ปวดเมื่อยตามตัว

          เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียบ่อย ๆ

          ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

          ประจำเดือนไม่ปกติ เดี๋ยวเลื่อนเดี๋ยวเร็ว เอาแน่นอนไม่ได้

          สมรรถภาพทางเพศลดลง

          หากมีอาการเตือนเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ทางออกก็คือ จะต้องเร่งหาวิธีคลายเครียดตัวต้นเหตุของอาการเหล่านี้โดยด่วนค่ะ ก่อนที่โรคต่าง ๆ จะถามหา ควรคิดว่าปัญหาทุกอย่างมีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้แบกนะคะ ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องดูแลสุขภาพ และใส่ใจกับคนที่คุณรักกันแล้วค่ะ



http://health.kapook.com/view19134.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เผยกลุ่มชายรักชายเสี่ยงติดเอดส์ 1 ใน 3


ชายรักชาย


เอดส์ไทยไม่ลด "เกย์-ตุ๊ด" 1 ใน 3 (ไทยโพสต์)

          ศูนย์ วิจัยเอดส์เผยสถานการณ์เอดส์ไทยในช่วง 6-7 ปีไม่ลด กลุ่มชายรักชายเสี่ยงติดเอดส์สูงถึง 1 ใน 3 เผยวิธีตรวจใหม่ "แน็ท" รู้ผลการติดเชื้อระยะเฉียบพลันได้

          ที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย จัดเสวนาเรื่อง "ผู้ติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน กับแนวทางการดูแลสุขภาพเชิงรุก" ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์ราว 500,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่ลดลงเลยในช่วง 6-7 ปี

          ขณะ ที่สถานการณ์ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในกลุ่มชายรักชาย ที่มาตรวจที่คลินิกสุขภาพชายของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2552-มิ.ย. 2553 มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 868 คน หรือ 1 ใน 3 ของเพศชายที่เข้ามาตรวจติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 12

          นอกจากนี้ยังพบว่า หญิงซึ่งแต่งงานแล้วติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าหญิงโสด แต่ที่น่าสนใจพบหญิงให้บริการ ซึ่งเป็นตัวกลางในการรับเชื้อและแพร่กระจาย มีตัวเลขการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งพบผู้ติดเชื้อมีอายุน้อยลง เนื่องจากขาดการรณรงค์

          "การมีเพศสัมพันธ์ของชายรักชายจะมีความเสี่ยงสูงกว่าชายรักหญิง เพราะชายรักชายจะใช้ช่องทวารหนักที่มีความเปราะบาง เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าช่องคลอดเพศหญิง และถ้าหากชายรักชายมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีจากคู่สูงถึงร้อยละ 30"

โรคเอดส์


          รศ.พญ.จินตนาถ อนันต์วรณิชย์ หัวหน้าหน่วยความร่วมมือ เพื่อการวิจัยระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฮาวาย (SEARCH) กล่าวว่า การหยุดการแพร่กระจายของเชื้อที่ ดีที่สุดคือ ตรวจหาเชื้อให้เร็วที่สุด โดยศูนย์วิจัยโรคเอดส์ได้นำวิธีการตรวจแน็ท (NAT) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจหาตัวเชื้อเอชไอวีโดยตรง จากพันธุกรรมสามารถตรวจเจอเชื้อ หลังมีพฤติกรรมเสี่ยงตั้งแต่ 5 วันขึ้นไป ซึ่งการตรวจเชื้อเอชไอวีวิธีเดิม เป็นการตรวจแอนติบอดี้ ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ กว่าจะทราบผล และบางรายตรวจหาเชื้อยังไม่พบ แต่เมื่อใช้วิธีแบบแน็ท สามารถตรวจใน 16,000 ราย ที่ไม่พบเชื้อเจอถึง 40 ราย ซึ่งช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ 1 ต่อ 5 หรือ 200 คน

          "การตรวจในระยะเฉียบพลันหากพบเชื้อเร็ว จะสามารถดูแลสุขภาพได้ในระยะเริ่มต้น แต่หากไม่พบเชื้อในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนเป็นไข้ แต่ไม่มีน้ำมูก หรือเจ็บคอ ซึ่งประมาณ 6 สัปดาห์จะหาย และไม่มีอาการอีก 6 ปี แต่หลังจากนั้น ภูมิคุ้มกันของผู้ได้รับเชื้อเอชไอวีจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่การเป็นโรคเอดส์ในระยะเรื้อรัง"



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นั่งนาน ๆ รวยโรค ไม่รู้ตัว




นั่งนาน ๆ "รวยโรค" ไม่รู้ตัว (ไทยโพสต์)


          ใครที่ชอบนั่งทำงาน หรือนั่งจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป พิจารณาข่าวนี้ให้ดี ๆ เพราะล่าสุดมีนักวิจัยทางการแพทย์สหรัฐออกมาบอกว่า การนั่งทำงานรวดเดียวเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ถึงแม้จะออกกำลังกายประจำ ก็ยังเสี่ยงอายุสั้นอยู่ดี

          งานวิจัยข้างต้น แพทย์หญิงกรุณา อธิกิจ อายุรกรรมทั่วไป โรงพยาบาลปิยะเวท ได้กล่าวว่า การนั่งนาน ๆ เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ชายที่นั่งทำงานอยู่กับที่มากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 2 เท่า และเสียชีวิตจากโรคหัวใจเทียบกับการทำงานที่ต้องเดิน สอดรับกับการศึกษาจากสมาพันธ์มะเร็งอเมริกา ที่ทำการศึกษาถึงเวลานั่งและการออกกำลังกาย กับอัตราการเสียชีวิตองอาสาสมัครระหว่างปี 1993-2006 ของอาสาสมัครชายหญิงจำนวน 53,440 และ 69,776 คนตามลำดับ ซึ่งไม่มีใครเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพาต และโรคปอดเลย

          โดย ระหว่างช่วงทำการศึกษาทีมวิจัยพบว่า ยิ่งนั่งพักนานเท่าไรยิ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง มีรายงานว่าผู้หญิงที่นั่งเกินวันละ 6 ชม. เสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงที่นั่งวันละ 3 ชม. หรือประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ชายที่นั่งนานเกินวันละ 6 ชม. มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายที่นั่งวันละ 3 ชม. หรือประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์

          อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่เปลี่ยนแปลงหลังหักลบเวลาออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังพบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจมากกว่าโรคมะเร็ง ดังนั้นไม่ว่าจะออกกำลังกาย 30-60 นาที แต่หากใช้เวลาที่เหลือของวันกับการนั่งนาน ๆ ย่อมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและเสียชีวิตได้

          ไม่เพียงแค่โรคหัวใจเท่านั้น การนั่งนาน ๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง แพทย์สาขาอายุรกรรมท่านนี้บอกต่อว่า ยังเพิ่มปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคระบบหลอดเลือด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกได้ง่าย ส่วนมากจะเกิดกับผู้โดยสารบนเครื่องบินที่ต้องบินเป็นระยะเวลานานนับสิบ ชั่วโมงโดยไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือคนขับรถเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง

          นอก จากนี้ยังรวมไปถึงโรคทางระบบเมตาโบลิก (ระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายช้าลง) เป็นสาเหตุให้เกิดโรคน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง โรคเบาหวานชนิดที่สอง ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้สูง ตลอดจนโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น

          อย่างไรก็ดี การลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวนั้น แพทย์สาขาอายุรกรรมรายนี้ แนะนำสมาชิกทุกบ้านว่าควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ได้ทุกวัน ประมาณวันละ 30-60 นาที ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญควรลดการเวลาการนั่งนาน ๆ ด้วยการเปลี่ยนท่วงท่า หรือเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง

          "คนที่ชอบนั่งทำงานอยู่กับที่ติดต่อกันหลายชั่วโมงควรเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ โดยทุก 1 ชม. ควรใช้เวลาเดินเล่นหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เช่น เดินขึ้นลงบันได 1-2 ชั้น หรือลดการพูดคุยสื่อสารทางอีเมล์ แต่ใช้การสื่อสารโดยตัวท่านเองในระหว่างเพื่อนร่วมงาน" แพทย์หญิงกรุณาฝากทิ้งท้าย



http://health.kapook.com/view19100.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สธ. ตรวจฟรีคนเป็นเบาหวาน - ความดันตลอดปี 54




สธ. ตรวจฟรีคนเป็นเบาหวาน - ความดันตลอดปี 54 (ไอเอ็นเอ็น)

          ปลัด สธ. เผยจัดโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัย ในหลวงทรงห่วง ปชช. ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ตรวจฟรีตลอดปี 2554

          นาย แพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมสาธารณสุขอำเภอทั่วประเทศ จำนวน 200 คน เพื่อมอบนโยบายการรณรงค์สร้างสุขภาพประชาชน ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

          ทั้งนี้ นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัย ในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชนเป็นปีที่ 2 ดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค. 2553 จนถึง ธ.ค. 2554 เป้าหมายหลักเพื่อตรวจสุขภาพประชาชนชาย หญิง ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนประมาณ 45 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อค้นหาผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง และสกัดผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วย ไม่ให้กลายเป็นป่วย เนื่องจาก 2 โรคนี้ เป็นภัยเงียบของคนไทย มักพบในวัยผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ เมื่อป่วยแล้วจะรักษาไม่หายขาด และมีโรคแทรกเกิดตามมาได้หลายโรค หากไม่เร่งแก้ไขจะทำให้คนไทยอายุสั้นลงเรื่อย ๆ จำนวนผู้พิการจะมีมากขึ้น

          ขณะ นี้มีประชาชนเจ็บป่วยจาก 2 โรคนี้ และเข้ารักษาใน ร.พ. ปีละกว่า 2 ล้านราย เสียชีวิตรวม 10,188 ราย จึงต้องเร่งรณรงค์ป้องกันการเจ็บป่วยทุกวิถีทาง ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวนี้ ได้ให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ร่วมกับ อสม. กว่า 9 แสนคน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจวัดความดันโลหิตฟรี เพื่อให้การดูแลอย่างต่อเนื่องทั้งคนปกติ คนเสี่ยง คนป่วย โดยในวันที่ 5 ธ.ค. 2553 จะจัดหน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ออกคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อำเภอละ 1 ทีม พร้อมกัน รวม 878 ทีมทั่วประเทศ


http://health.kapook.com/view19114.html