homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

กินยาคุมกำเนิดแล้วสิวฝ้าขึ้น ทำไงดี


ยาคุมกำเนิด

ถ้ากินยาคุมกำเนิดกลัวว่าจะมีสิวฝ้าขึ้นเต็มหน้าจะทำยังไงดี (Woman's Story)

           วันนี้มีคำถามยอดฮิตจากคุณสาว ๆ ที่ทานยาคุมกำเนิด แล้วกลับมีสิวฝ้าขึ้นเต็มหน้า ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไรดี วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

           มีคำแนะนำว่า ถ้ากินยาคุมกำเนิดแล้วเริ่มมีฝ้าขึ้น ก็ให้เปลี่ยนขนาดยาให้มีเอสโตรเจนต่ำลง โดยให้ลดเหลือแค่ 20 ไมโครกรัม ระหว่างนี้ก็ต้องรักษาฝ้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม ก็ควรหลีกเลี่ยงการถูกแดดจัด ๆ และใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อป้องกันสิวฝ้าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

           แต่ถ้าทำตามวิธีข้างต้นแล้วก็ยังไม่ได้ผล แถมยังทำให้ประจำเดือนขาด ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีคุมกำเนิดแบบอื่นแทนค่ะ

http://health.kapook.com/view18977.html

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สวยเสี่ยงด้วยส้นสูง


รองเท้าส้นสูง


สวยเสี่ยงด้วยส้นสูง (ไทยโพสต์)

          รองเท้าส้นสูงเป็น "ตัวช่วย" สำหรับคุณสาว ๆ ที่อยากสวยมานานแสนนาน ทั้ง ๆ ที่การสวมรองเท้าส้นสูงอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ทั้งเส้นเลือดขอด อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม เกิดอาการนิ้วเท้าติดกัน เส้นประสาทบริเวณ เท้าที่ถูกกดทับ และปัญหาที่มองข้ามไม่ได้คือ โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน

          ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ประจำไคโรเมด สหคลินิก เปิดเผยว่า การยืนนาน ๆ บนรองเท้าส้นสูงจะต้องอาศัยการทรงตัวที่ดี แต่คุณสาว ๆ อาจไม่รู้ตัวเลยว่ากระดูกเชิงกรานของเราเกิดการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เพื่อให้เราสามารถรักษาสมดุลในการยืนทรงตัวได้ ร่างกายเราจึงวางตัวในรูปแบบที่ผิดไปจากปกติ จนเกิดการกดทับของหมอน รองกระดูก และอาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนต่อมาในที่สุด

          นอกจากนี้ อาการปวดหลังยังถือเป็นโรคยอดฮิต โดยเฉพาะสาวออฟฟิศหรือผู้ต้องอยู่ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน และหนึ่งในสาเหตุของการปวดที่สำคัญและหลายคนอาจยังไม่รู้คือ หมอนรองกระดูกเคลื่อน โดยอาการปวดเหล่านี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงเลยถ้าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และสะสมรุนแรงเป็นอาการเรื้อรัง โดยอาการปวดต่าง ๆ เป็นเหมือนเครื่องเตือนภัยถึงสภาวะความผิดสมดุล หรือการใช้งานโอเวอร์โหลด (Overload) ของร่างกาย ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงก้าวแรกของปัญหาที่เรา เรียกว่า "โครงสร้างที่ผิดปกติ" (Postural Disorder) นั่นเอง

          ดร.มนต์ทณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า อิริยาบถและท่าทางซึ่งผิดลักษณะของเราในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน การเดิน การก้ม การเอียงตัว การออกกำลังกาย ซึ่งมากกว่า 80% ก็มาจากการที่เราขาดการดูแลตัวเองให้ดี รวมไปถึงการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ อีกทั้งเรื่องอาหาร และการพักผ่อนที่ขาดความเอาใจใส่ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงสร้างของเราถูกใช้งานอย่างไม่ค่อยถูกต้อง

          ซึ่ง อิริยาบถ และการใช้งานร่างกายแบบผิด ๆ เหล่านี้ พัฒนาเป็นลักษณะท่าทางที่ผิดสมดุล และจะพัฒนาเป็นอาการปวดต่าง ๆ ได้ ซึ่งปล่อยนานเท่าไรอาการเหล่านี้ก็จะแสดงได้ชัดเจนขึ้น กลายเป็นอาการเรื้อรังสะสมต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างของแนวหมอนรองกระดูกเกิดภาวะผิดสมดุล และเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม พอนานเข้าก็พัฒนาเป็นความเสื่อมสภาพจนเป็นที่มาของหมอนรองกระดูกเคลื่อน ส่งผลให้เกิดเป็นอาการได้หลายอย่าง เช่น การปวดหลัง การปวดลงขา อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ อาการชาต่าง ๆ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

          ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวกระดูกสันหลัง และหมอนรองกระดูกนั้น ส่วนใหญ่กว่า 80% อาจจะไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัด เนื่องจากว่าถ้าเราสามารถลดปัจจัยความเสี่ยงหรือลดแรงเสียดทานของตัวข้อให้ น้อยลงได้ ปัญหาอาการปวดต่าง ๆ ก็จะแก้ได้เช่นกัน ดังนั้น การดูแลลักษณะการทำงานของตัวโครงสร้าง รวมทั้งการดูแลความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จึงเป็นหนึ่งในการดูแลปัญหาของหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          แต่ ถ้าจะให้สาว ๆ เลิกใส่รองเท้าส้นสูงคงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ดร.มนต์ทณัฐจึงขอฝากข้อแนะนำว่า การเลือกรองเท้ามีความสำคัญอย่างมาก โดยแนะนำให้เลือกรองเท้าที่รองรับอุ้งเท้าเต็มที่ เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักร่างกายอย่างสมดุล ซึ่งการเดินด้วยรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดแรงกดที่ข้อเท้า แรงกระแทกจะเคลื่อนขึ้นไปกดดันภายในหัวเข่า นานวันเข้าอาจทำให้ข้อเสื่อม

          สำหรับผู้ที่ใส่รองเท้าที่มีความสูงมากกว่า 2 นิ้วขึ้นไป จะทำให้ข้อต่าง ๆ เปลี่ยนตำแหน่งไป เช่น ตาตุ่ม เข่า สะโพก และลำตัว ทำให้เกิดแรงเค้นที่แผ่นหลังส่วนล่าง โครงสร้างเสียสภาพจากแนวที่สมดุล จึงควรเลือกสวมรองเท้าส้นสูงที่มีความสูงไม่เกิน 2 นิ้ว และใส่สลับกับรองเท้าส้นเตี้ยที่สวมใส่สบาย หรือพยายามอย่าใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงควบคู่ไปกับความสวยงาม


http://health.kapook.com/view18940.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

แพทย์เตือน 2 โรค สำหรับคนวัยทำงาน




แพทย์เตือน 2 โรคสำหรับคนวัยทำงาน (ไทยโพสต์)

        ความอ้วนนั้นนอกจากจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานแล้ว ยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคอื่นๆ ตามมามากมาย และหนึ่งในนั้นประกอบด้วยโรคกรดไหลย้อนและโรคนอนกรน ซึ่งเป็นโรคที่มักพบได้ในกลุ่มของคนวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 35-40 ปี และหากไม่รักษาอาจเสี่ยงต่อความจำเสื่อมและหัวใจวายฉับพลันได้

        นายแพทย์ฆนัท ครุฑกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจ หลอดเลือด และเมตาบอลิก รพ.รามาธิบดี กล่าวถึงโรคกรดไหลย้อนว่า เป็นโรคที่มักพบได้ค่อนข้างบ่อย โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น เกิดจากภาวะที่มีกรดในกระเพาะมากจนเกินไปจนทำให้กรดดังกล่าวล้นออกมา และเกิดการไหลย้อนออกมายังบริเวณส่วนต่างของร่างกาย หรืออีกสาเหตุหนึ่งคือ การที่ภายในกระเพาะของเรามีกรดอยู่แล้ว ประกอบกับกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารคลายตัวมากจนผิดปกติ จึงทำให้กรดที่มีอยู่ไหลย้อนออกมาได้เช่นกัน

        ซึ่งลักษณะอาการของโรคกรดไหลย้อนนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลำคอ ขณะเดียวกันหากกรดไหลย้อนไหลเข้าไปยังบริเวณหลอดอาหารและเส้นเสียง ก็จะทำผู้ป่วยประสบกับปัญหาเสียงแหบ หรือมีอาการหอบหืดตามมาได้เช่นกัน หรือพูดง่ายๆ ว่าหากกรดไหลย้อนไหลเข้าไปยังบริเวณอวัยวะส่วนใดของร่างกาย ก็จะทำเกิดความผิดปกติกับอวัยวะส่วนนั้น ๆ ได้
  
        คุณหมอระบุด้วยว่า โรคกรดไหลย้อนมักพบได้ในผู้ที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มากและอิ่มจน เกินไป หรือรับประทานอาหารแล้วนอนทันที รวมทั้งการลุกขึ้นมารับประทานอาหารในขณะที่กำลังนอน ดังนั้น พฤติกรรมต่างเหล่านี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้เช่นกัน และที่สำคัญโรคกรดไหลย้อนนั้น มักพบได้กับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 35-45 ปี โดยคนในช่วงอายุดังกล่าวมีปัจจัยเสี่ยงมาจากการมีน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก นั่นเอง    
        ส่วนวิธีการป้องกันและรักษาโรคกรดไหลย้อนนั้น คุณหมอแนะนำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากจนเกินไป พร้อม ๆ กับการออกกำลังกายเป็นประจำ ขณะเดียวกันก็ต้องเลือกรับประทานที่ไม่ไปกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหลั่งกรด เช่น หลีกเลี่ยงการรับประทานชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ รวมถึงช็อกโกแลต ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคนี้ ที่สำคัญไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป
   
        สำหรับการรักษาโดยการวิธีการผ่าตัดนั้น คุณหมอกล่าวว่า ในส่วนนี้ต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ หากอาการไม่รุนแรงมากก็รักษาโดยการรับประทานยา แต่ถ้าป่วยเป็นโรคนี้แล้วและมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย ก็ต้องรักษาโดยการผ่าตัดตามขั้นตอนที่แพทย์วินิจฉัยเป็นพิเศษต่อไป
    
        นอกจากนี้ "โรคนอนกรน" หรือภาวะที่หยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเกิดจากการอุดกลั้นของการหายใจในขณะที่นอนหลับ ก็สามารถพบในผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานได้เช่นกัน โรคนี้มักพบได้กับคนอ้วนรวมถึงผู้ที่มีประวัติการนอนกรน จึงทำให้เวลาตื่นนอนแล้วรู้สึกมีอาการไม่สบายตัว และหายใจไม่สะดวก รู้สึกอ่อนเพลีย มีอาการง่วงคล้ายคนนอนไม่เต็มที่ ซึ่งปัญหาการนอนกรนนี้มีความเกี่ยวข้องจากความอ้วนเป็นสาเหตุหลัก
    
        ส่วนวิธีการรักษาโรคนอนกรนได้ดีที่สุดนั้น ก็หนีไม่พ้นการควบคุมน้ำหนักให้ลดลงเช่นเดียวกับโรคกรดไหลย้อน ขณะเดียวกันวิธีการรักษาอีกหนึ่งวิธีก็คือการผ่าตัด หากผู้ป่วยรายใดจำเป็นต้องผ่าตัด คุณหมอได้ให้รายละเอียดว่าการผ่าตัดจะประกอบไปด้วย 1.การผ่าตัดลิ้นไก่ 2.การผ่าตัดเพื่อขยายท่อทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ทางแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการรักษาต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากการผ่าตัดในกรณีของการผ่าตัดลิ้นไก่แล้ว หากผู้ป่วยไม่ควบคุมน้ำหนักก็สามารถกลับมานอนกรนได้อย่างเดิม

        ขณะเดียวกันหากปล่อยให้อาการนอนกรนเรื้อรังต่อไปเรื่อย ๆ คุณหมอกล่าวว่า จะส่งผลต่อเรื่องของระบบประสาท เนื่องจากสมองนั้นจำเป็นต้องได้รับออกซิเจนแม้ในขณะที่นอนหลับ แต่ถ้าหากขาดออกซิเจนก็จะส่งผลให้ระบบประสาทมีความผิดปกติ จนปอดและหัวใจทำงานหนักขึ้น เมื่อหัวใจทำงานหนักมากก็จะส่งผลให้ประสบกับภาวะหัวใจวาย และปอดทำงานมากผิดปกติเช่นกัน นอกจากนี้ การขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองยังทำให้ผู้ป่วยโรคนอนกรนนั้น เสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อมได้อีกด้วย
   
         จึงอาจได้กล่าวว่า โรคสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน 2 โรคนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากความอ้วนทั้งสิ้น ดัง นั้น วิธีป้องกัน 2 โรคนี้ที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยการหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต และไม่รับประทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไป เพียงเท่านี้ก็สามารถลดโอกาสการเกิด 2 โรคนี้ได้อย่างแน่นอน




http://health.kapook.com/view19530.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สัตว์เลี้ยงในห้องนอน...อันตรายต่อสุขภาพคน



สัตว์เลี้ยง


มีสัตว์เลี้ยงในห้องนอน...อันตรายต่อสุขภาพคน (Lisa)

          นอนร่วมกับหมาคุณอาจติดเชื้อโรคจากมันได้

          จากการศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์ในประเทศเยอรมนี พบว่า หากให้น้องหมาอยู่บนเตียงเดียวกับเด็ก ๆ จะทำให้เด็กป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ เช่น นอนกรน

          ทั้งนี้ คาร์ล ฟรังคลิน จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ Umea และผู้ร่วมงานได้ทำการสอบถามชาวสแกนดิเนเวียนที่เป็นโรคนอนกรน พบว่า 18% ของพวกเขานอนกรนอย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 คืน โดยพวกเขาบอกว่า เคยมีสัตว์เลี้ยงในห้องนอนในช่วงวัยเด็ก และพวกเขาก็เคยเป็นโรคติดเชื้อก่อนอายุ 2 ขวบ หรือเป็นโรคติดเชื้อในหู ซึ่งแพทย์คาดว่า สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเชื้อโรคจากสัตว์เลี้ยงทำให้ระบบทาง เดินหายใจขอคนอักเสบ และแปรเปลี่ยนเป็นโรคนอนกรน

          นอก จากนี้ นักวิจัยด้านการนอนหลับยังกล่าวว่า ในผู้ใหญ่ที่นอนร่วมเตียงเดียวกับสัตว์เลี้ยงก็มีผลกระทบกับการนอนหลับลึก เพราะความต้องการในการนอนหลับของคนและสัตว์ไม่ประสานกัน นั่นคือ น้องเหมียวมักตื่นตัวในตอนกลางคืน และชอบไปนอนบนศีรษะของคน

          ส่วนน้องหมาชอบย้ายที่นอนในตอนกลางคืนบ่อย ดื่มน้ำ หรือเดินไปมา และ 20% ของน้องหมามักนอนกรน และ 10% ของน้องเหมียวก็นอนกรนเช่นกัน หรือหากเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีคู่ของมันด้วย ก็จะยิ่งซุกซนจนทำให้เจ้าของนอนหลับไม่สนิท




http://health.kapook.com/view19520.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เมื่อร่างกายส่งสัญญาณ...โรคภัย



ปวดหัว


เมื่อร่างกายส่งสัญญาณ...โรคภัย (Momypedia)
โดย: พราว

          ทุก วันนี้เราต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันจนไม่มีเวลาดูแล และสังเกตตัวเองกันเลย ว่า สภาพร่างกายเราเป็นอย่างไร ทั้งที่บางครั้งอาการที่แสดงออกมาเล็กน้อยแล้วเราผ่านเลยไป อาจเป็นจุดกำเนิดโรคภัยร้ายแรงได้เหมือนกัน

          เช่น ถ้ามีอาการใจหวิว วิงเวียนหน้ามืด ใจสั่น เจ็บหน้าอก จุกแน่นเวลารับประทานอาหารอิ่ม หรือช่วงหลังอาหารเย็น มีอาการเหนื่อยง่าย และเจ็บแน่นบริเวณหัวใจ แสดงว่าหัวใจของคุณกำลังมีปัญหา และควรรีบตรวจเช็กเร็วพลัน เพราะมีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

          ถ้าจู่ ๆ น้ำหนักของคุณเพิ่ม หรือลดจากเดิมไปมาก หิวน้ำบ่อย กินจุ ปัสสาวะบ่อยและครั้งละมาก ๆ มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน มึนงง (เนื่องจากมีน้ำตาลและไขมันไตรกลีเซอไรด์คั่งค้างอยู่ในเลือดสูง) ให้สงสัยว่า คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวาน

          ถ้าเริ่มเบื่ออาหาร และรู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นไข้ ไอมีเสมหะ หายใจลำบาก และแน่นหน้าอก บางครั้งอาจมีอาการเจ็บด้านข้างปอดร่วมด้วย คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคติดเชื้อในทรวงอก

          ถ้าปวดศีรษะบ่อย ๆ และอาการปวดค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นปวดคงที่ทั่วทั้งศีรษะ และยิ่งปวดหนักมากขึ้นเมื่อก้มศีรษะไปข้างหน้า ร่วมกับมีไข้ อาเจียน ไวต่อแสง และคอแข็ง ควรรีบไปพบแพทย์ด่วน เพราะนี่เป็นอาการของคนที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

          ถ้ามีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องร่วง และปวดท้อง อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วมีอาการดีซ่าน ที่ทำให้ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง นี่เป็นสัญญาณของโรคตับอักเสบ

          ...ลองหยุดพัก แล้วสังเกตตัวเองดูบ้างนะคะ ว่าตอนนี้ร่างกายกำลังส่งสัญญาณใดแก่เราบ้าง


http://health.kapook.com/view19523.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก