“The Orient @ ทองหล่อ” อร่อยรสไทย สไตล์โมเดิร์น

บรรยากาศด้านในร้าน “The Orient @ ทองหล่อ”        ยามใดที่หิวๆ แล้วได้แวะเวียนมาที่ซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) “ตระเวนกิน” ไม่ เคยผิดหวังเลยกับเรื่องอาหารการกินเลย เพราะว่าตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยทองหล่อ คลาคล่ำไปด้วยร้านอาหารเล็กใหญ่มากมาย และมีอาหารหลากหลายสัญชาติให้ได้เลือกกินตามใจชอบ

โต๊ะนั่งมุมสวนด้านนอก        แล้วในมื้อนี้เราก็เลือกที่จะขอลงเอยกับการลิ้มรสอาหารไทย อันเป็นอาหารประจำชาติที่ถูกปาก ยังร้าน “The Orient Since 1981 @ ทองหล่อ” เป็น ร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงมานาน และได้ทำการย้ายมาอยู่ที่ซอยทองหล่อ พร้อมกับปรับปรุงร้านใหม่ให้มีความทันสมัยขึ้น ตัวร้านได้รับการตกแต่งใหม่ให้ดูโมเดิร์น โปร่งโล่งสบายชวนให้มานั่งกินอาหารเอามากๆ มีบรรยากาศโต๊ะให้เลือกนั่งถึง 4 โซน มีโซนด้านในร้านเป็นห้องแอร์เย็นๆ มีทั้งชั้นบนและชั้นล่าง และยังมีโซนสวนด้านนอกร้านนั่งรับลมเย็นๆ หรือโซนโต๊ะนั่งแบบโซฟา นั่งชิลล์ ชิลล์ สบายอารมณ์               ความโดดเด่นของอาหารไทยที่ร้านดิโอเรียน@ทองหล่อ ภูมิใจนำเสนอคือเป็นอาหารไทยสูตรชาววัง และยังมีอาหารไทยสูตรพิเศษที่ทางร้านสืบทอดสูตรต้นตำรับกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น ซึ่งอาหารไทยของที่นี่มีการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งวัตถุดิบชั้น ดี รวมถึงมีขั้นตอนการปรุงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของทางร้าน ทำให้ได้อาหารไทยจานเด็ดที่มีรสชาติอันชวนลิ้มลองมากมาย

แกงแขกซี่โครงหมูอ่อนกับโรตี        อย่างที่เราได้เลือกสั่งมากินในมื้อนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจานเด่นประจำร้านทั้งนั้นเลย เริ่มด้วยเมนูแรก แกงแขกซี่โครงหมูอ่อนกับโรตี (145 บาท++) เป็นแกงที่ปรุงด้วยเครื่องแกงมีส่วนผสมของเครื่องเทศไทยหลายอย่างที่ทางร้าน โขลกขึ้นมาเองตามสูตรเด็ด และใส่ซี่โครงหมูอ่อนลงเคี่ยวรวมกัน โรยหน้าด้วยหอมเจียว และกินคู่กับโรตีที่ทางร้านทำเองเช่นกัน แล้วทอดมาเหลืองกรอบ ชิมแล้วก็ถูกปากไปกับแกงแขกอันเข้มข้นออกรสเปรี้ยวนิดๆ กระดูกหมูนุ่มเปื่อยกำลังดี กินกับโรตีกรอบนอกนุ่มใน โดนใจดีจริง

อุ๊กไก่หมั่นโถ        ตามมาด้วยเมนู อุ๊กไก่หมั่นโถ (195 บาท++) เป็นแกงทางภาคเหนือ ที่ทางร้านโขลกเครื่องแกงเอง นำมาแกงกับเนื้อไก่ส่วนสะโพกติดน่อง เป็นแกงที่มีรสชาติจัดจ้านเข้มข้นถึงเครื่องพริกแกงมากๆ และยังมีหมั่นโถทอดร้อนๆ เนื้อกรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับแกงช่างเข้ากันดีมากๆ

ข้าวหน้าไก่หม้อดิน        แล้วมาอิ่มท้องกับ ข้าวหน้าไก่หม้อดิน (145 บาท++) เสิร์ฟมาร้อนๆ ในหม้อดินที่ภายในมีข้าวหอมมะลิเม็ดนุ่มราดด้วยหน้าไก่สูตรพิเศษของทางร้าน ที่เลือกใช้เนื้อไก่ส่วนสะโพกไม่มีหนังมาหมักกับเครื่องปรุงให้หอมเอามาผัด กับเห็ดฟางด้วย มีกุนเชียง กับไข่ดาวโปะหน้ามาด้วย และมีต้นหอมกับพริกมาให้กินเคียงกัน ชิมแล้วโดนปากตรงที่หน้าไก่รสชาติกลมกล่อมกำลังดี

Sticky Date        จากอาหารคาวมากินของหวานกันบ้างซึ่งที่นี่มีเค้กโฮมเมดให้เลือกกินด้วย อย่างSticky Date (100 บาท++) เป็นเค้กที่มีส่วนผสมของเนื้ออินทผาลัมอยู่ในเนื้อเค้กด้วย ชิมแล้วเนื้อเค้กนุ่มเบากินคู่กับคาราเมลหอมหวาน

Chocolate Cake        อีกตัวเป็น Chocolate Cake (125 บาท++) เป็นเค้กชอคโกแลตล้วนๆ ที่เนื้อเค้กเบานุ่มได้รสชาติชอคโกแลตอันเข้มข้น

ไอศกรีมเกล็ดหิมะรสชาเชียว        แล้วก็ยังมี ไอศกรีมเกล็ดหิมะรสชาเชียว (65 บาท++) เป็นไอศกรีมรสชาเขียว ที่ทางร้านำไปเข้าเครื่องทำไอศกรีมสไลด์ออกมาเป็นเกล็ด กินไอศกรีมเย็นๆ หอมกลิ่นชาเขียวและได้รสชาเขียวที่หวานกำลังดี

น้ำใบเตย        หรือจะมาเย็นชื่นใจกับน้ำสมุนไพรไทยๆ ก็มีแนะนำ น้ำใบเตย (55 บาท++) ที่ทางร้านนำใบเตยสดมาต้มและคั่น กรองเอาแต่น้ำแล้วใส่ไซรัปและน้ำแข็ง ดื่มแล้วหวานหอมกลิ่นใบเตยสดชื่นดีจริง

โต๊ะนั่งชั้น 2        และทางร้านก็ยังมีเมนูอาหารไทยจานเด็ดอื่นๆ ที่ชวนลองลิ้มอีกหลายเมนู อาทิ ข้าวซอยไก่ (145 บาท++) ผัดไทเกี๊ยวกรอบ (135 บาท++) ปลาเนื้ออ่อนจิ้มน้ำพริกผัด (245 บาท++) ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น/หมูตุ๋น (125 บาท++) ฯลฯ เรียกว่าหากใครชอบกินอาหารไทย ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ สไตล์โมเดิร์น เชิญชวนมากันได้ที่ร้าน “The Orient @ ทองหล่อ”

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *               “The Orient Since 1981 @ ทองหล่อ” ตั้งอยู่ที่ อาคารซัมเมอร์เซต ถนนสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. การเดินทางจากถ.สุขุมวิท ขับตรงมาที่สุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ ตรงเข้ามาจนถึงทองหล่อซอย 3 และทองหล่อซอย 5 จะเห็นอาคารซัมเมอร์เซตอยู่ริมถนน จุดสังเกตตรงข้าม Tops Marketplace ร้าน The Orient จะตั้งอยู่ใน อาคารซัมเมอร์เซต มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดวันอังคารถึงอาทิตย์ เวลา 11.00- 23.00 น. วันศุกร์ถึงเสาร์ เปิดถึง 24.00 น. (ปิดวันจันทร์) โทร. 0-2381-6667-8, 08-6339-3409

“Wagyuyaki” สเต็กรสเด็ด สวรรค์ของคนรักเนื้อ

บรรยากาศภายในร้านวากิวยากิ        เนื้อวัวมีหลายประเภท หลายเกรด หลายราคาให้ได้เลืองลิ้มรสกันตามใจชอบ แต่ถ้าจะพูดถึงเนื้อวัวที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในวงการเนื้อว่ามีรสชาติอันดีเยี่ยม เนื้อหวานนุ่มฉ่ำละมุนลิ้น และมีราคาค่อนข้างสูง หนึ่งในนั้นก็คือ “เนื้อวากิว” ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น

โต๊ะนั่งโซนเทปันบาร์สามารถดูเชฟปรุงอาหารได้        สำหรับคนชอบกินเนื้อทั้งหลาย เชื่อว่าหลายคงก็คงอยากจะลองลิ้มรสชาติของเนื้อวากิวกันว่าจะอร่อยสมคำร่ำ ลือไหม?? ซึ่งถ้าหากใครอยากจะลิ้มรสเนื้อวากิวอันแสนอร่อย ขอบอกว่าไม่ต้องบินไปกินไกลถึงญี่ปุ่นแล้ว เพียงแค่ขับรถมาที่ซอยสุขุมวิท 24 ตรงเข้ามาก็จะเจอกับร้านอาหารน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน ชื่อว่า “Wagyuyaki Steak House” (วากิวยากิ สเต็กเฮ้าส์) ที่นี่ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนชอบกินเนื้อสเต็กก็ว่าได้

ลีลาเชฟปรุงอาหาร        หากมาที่ร้านวากิวยากิแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความเป็นสเต็กเฮ้าส์แบบญี่ปุ่นโมเดิร์น ตกแต่งร้านสไตล์คอนเท็มโพรารี่ ตัวร้านมี 2 ชั้น ชั้นล่างมีโต๊ะนั่งโซนเทปันบาร์ที่จะได้เห็นเชฟปรุงอาหาร มีมุมเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ให้ได้นั่งดื่มเครื่องดื่มอันหลากหลาย มีโซนโต๊ะนั่งมุมสบายๆ ซึ่งที่โต๊ะจะมีเตาปิ้งย่างแบบไร้ควันให้บริการด้วย และยังมีห้องส่วนตัวบริการ ส่วนชั้นบนมีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายมุม และมีเคาน์เตอร์บาร์เช่นกัน

มุมบาร์บริการเครื่องดื่มครบครัน        เอาล่ะมาดูเมนูเนื้อสเต็กของร้านวากิวยากิกันดีกว่า ทางร้านได้นำเข้าเนื้อวากิวแท้ๆ ส่งตรงมาจากฟาร์มที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และได้คัดสรรเนื้อวากิวที่ดี มีคุณภาพ ลักษณะของเนื้อมีความนุ่มมาก มีไขมันแทรกเป็นริ้วเหมือนลายหินอ่อน ซึ่งเป็นไขมันแบบไม่อิ่มตัว อุดมไปด้วยโอเมกา-3 และโอเมกา-6

เนื้อวากิวที่ทางร้านสั่งตรงมาจากญี่ปุ่น        และนอกจากเนื้อวากิวแล้วทางร้านก็ยังมีเนื้อวัวนำเข้าจากอีกหลาย ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจากอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ให้คอรักเนื้อได้อร่อยกันตามใจชอบ รวมถึงยังมีเนื้อหมู ไก่ และซีฟู้ด ที่จะเลือกสั่งเมนูมาให้เชฟปรุงเป็นแบบสเต็ก หรือจะเลือกไปปิ้งย่างเองที่โต๊ะก็ได้

เนื้อวากิว เซอลอยน์สเต็ก        ในมื้อนี้เราก็มีเมนูสเต็กจานเด่น และเมนูจานเด็ดที่น่ากินของทางร้านมาแนะนำอยู่หลายเมนูด้วยกัน เริ่มด้วยจานเด่นที่มาแล้วต้องไม่พลาดสั่ง เนื้อวากิว เซอลอยน์สเต็ก (ราคา ตามน้ำหนักชิ้นเนื้อ 100 กรัม 1,500 บาท) เป็นเนื้อวากิวส่งตรงจากญี่ปุ่น ชิ้นใหญ่กำลังดี เชฟนำมากริลล์บนกระทะ ใส่เกลือนิดหน่อย กริลล์จนเนื้อสุกได้ที่ (หรือตามแต่จะสั่ง) แล้วสไลด์เป็นชิ้นมาให้กินแบบพอดีคำ พร้อมกับมีผักย่างเป็นเครื่องเคียง กินคู่กับซอสญี่ปุ่นที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ หอมกับกระเทียมซอยและหอมหัวใหญ่ปรุงรส และมายองเนสผสมไข่ขาวกับหอมใหญ่ คีบชิ้นเนื้อวากิวเข้าปากเคี้ยวแล้วสัมผัสได้ถึงความหอมของเนื้อและรสชาติ เนื้อที่นุ่มหนึบหนับหวานฉ่ำปากมากๆ

สลัดเนื้อวากิว        จานต่อมานำเสนอ สลัดเนื้อวากิว (500 บาท) ทางร้านเลือกใช้แต่ผักไฮโดรโพนิกส์สดกรอบหลายชนิด มาพร้อมกับน้ำสลัดใสสไตล์ญี่ปุ่นสูตรเด็ดของทางร้าน กินคู่กับเนื้อวากิวที่สไลด์มาเป็นชิ้นพอดีคำที่นำไปผัดกับซอสสูตรพิเศษที่ ทางร้านปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ เมนูนี้ถูกปากทั้งสลัดผักสดกรอบชุ่มน้ำสลัดรสดี เนื้อวากิวช่างนุ่มลิ้นได้รสชาติน้ำซอสรสกลมกล่อมที่ซึมถึงในเนื้อ

แฮมเบอร์เกอร์เนื้อวากิว        จากนั้นมาชิม แฮมเบอร์เกอร์เนื้อวากิว (250 บาท) เป็นการนำเอาเนื้อวากิวมาบดผสมกับเครื่องปรุงแล้วปั้นเป็นก้อนแบบ แฮมเบอร์เกอร์ และเอามากริลล์จนสุก แล้วราดด้วยซอส ที่ปรุงรสตามสูตรเด็ดของทางร้าน ใส่เห็ดเข็มทอง และเห็ดหอมด้วย และมีผักสลัดมาให้กินเคียง ลิ้มรสแฮมเบอร์เนื้อวากินเคี้ยวแน่นหนึบปากได้รสชาติที่ดี เข้ากันดีกับซอสรสกลมกล่อมลิ้น

ฮันนี่ริป        มากินเนื้ออย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อวัวบ้าง ฮันนี่ริป (200 บาท) เป็นซี่โครงหมูที่คัดมาอย่างดีเอาไปทอดแล้วนำมาผัดคลุกเคล้ากับซอสญี่ปุ่น และน้ำผึ้ง โรยหน้าด้วยงาขาว เสิร์ฟมาร้อนๆ ชิมซี่โครงหมูเนื้อนุ่มหอมกลิ่นน้ำผึ้งขึ้นจมูก และออกรสน้ำผึ้งหวานลิ้นจริงๆ

สเต็กไก่สมุนไพร        ต่อด้วยเมนู สเต็กไก่สมุนไพร (250 บาท) ทางร้านนำเนื้อไก่ส่วนสะโพกมาคลุกแป้งทอด แล้วก็มีน้ำราดที่ปรุงด้วยเครื่องสมุนไพรไทย ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ที่นำมาผัดกับเนย พริกไทย โชยุญี่ปุ่น สาเกญี่ปุ่น นำมาราดบนเนื้อไก่ กินแล้วเนื้อไก่นุ่มชุ่มรสซอสหอมกลิ่นเครื่องเทศมากๆ

คานิซุป        แล้วมาซดซุปร้อนๆ คานิซุป (150 บาท) เป็นซุปมิโซะที่มีปูถึงครึ่งตัวใส่มาด้วย รสชาติซุปหอมๆ ออกเค็มนิดๆ กินเข้ากันดีกับเนื้อปูสดๆ

มุมโต๊ะนั่งสบายๆ ชั้น 2        และก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่น่าลองลิ้มอีก อาทิ สลัดซีฟู้ด (300 บาท) สเต็กปลาแซลมอน (450 บาท) เนื้อยูเอส สตริปลอยน์สเต็ก (ราคาตามน้ำหนักชิ้นเนื้อ 100 กรัม 450 บาท) เนื้อนิวซีแลนด์ ริปอายยากิ (ราคาตามน้ำหนักชิ้นเนื้อ 100 กรัม 300 บาท) ฯลฯ รวมถึงยังมีโปรโมชั่นเครื่องดื่มในช่วงเวลา 17.00-20.00 น.               เอาเป็นว่าหากใครเป็นคอกินเนื้อสเต็ก ขอบอกว่าลองมาที่ร้าน “Wagyuyaki” แล้วจะติดใจในรสชาติของเนื้อวากิวอร่อยๆ และอีกหลายเมนูอาหารจานเด็ดที่ทางร้านยินดีนำเสนอให้ลิ้มลองกันด้วยตัวเอง

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *               “Wagyuyaki Steak House” (วากิวยากิ สเต็กเฮ้าส์) ตั้งอยู่ที่ 45/1 ซ.สุมขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กทม. การเดินทางถ้านั่งรถไฟฟ้าBTS ลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินมาที่ซ.สุขุมวิท 24 และตรงเข้ามาในซอยจะเห็นร้านวากิวยากิตั้งอยู่ซ้ายมือ จุดสังเกตตรงข้ามกับLe Raffine' Service Aprartment มีที่จอดรถด้านในร้าน เปิดทุกวัน เวลา 17.00-01.00 น. กลางเดือนมิ.ย. นี้ ทางร้านจะเปิดขายอาหารกลางวันญี่ปุ่นเป็นเซ็ท ตั้งแต่ 11.00 น. เป็นต้นไป โทร. 0-2258-5746 ถ้าหากว่ามากินอาหารที่ร้านแล้วบอกว่าอ่านมาจากนสพ. ASTVผู้จัดการรายวัน ทางร้านยินดีมอบส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มให้ 10% ถึง 30 มิ.ย. นี้

ละเลียดรสอาหาร ละมุนรสไวน์ ที่ “Vintage Silom”

บรรยากาศภายในร้านวินเทจ สีลม        หากว่าใครเป็นคออาหารอิตาเลียน ที่พิสมัยในรสชาติของอาหารอิตาเลียนที่ละเมียดละไมลิ้น แล้วก็ยังชอบที่ดื่มไวน์รสนุ่มละมุนละไมควบคู่ไปด้วย “ตระเวนกิน” อยากจะแนะนำให้เดินทางกันมาที่ร้านนี้ “Vintage Silom Bar & Restaurants” ตั้งอยู่ตรงซอยสีลม 21 ที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งนัดพบของคนรักไวน์และอาหารอิตาเลียนก็ว่าได้               เมื่อมาที่ร้าน “Vintage Silom” (วินเทจ สีลม) จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของร้านที่ดูอบอุ่นชวนนั่ง เพราะทางร้านนำเอาบ้านเก่าอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี มาดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารที่น่ารัก ตกแต่งภายในร้านสไตล์วินเทจ มีมุมโต๊ะนั่งหลากหลายมุมให้เลือกนั่ง แฝงไว้ด้วยความสบายราวกับว่ามาเหมือนมานั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านตัวเอง หรือบ้านเพื่อนก็ไม่ปาน แถมยังมีห้องไพรเวทส่วนตัวที่ชั้นสองสามารถมาจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ได้

ห้องเก็บไวน์ มีไวน์มากมายให้เลือกดื่ม        นอกจากบรรยากาศที่ดีอันชวนนั่งแล้ว ทางร้านยังเพิ่มอรรถรสให้กับการนั่งกิน นั่งดื่ม ด้วยการมีวงดนตรีมาเล่นเพลงโฟล์คซองให้ฟังแบบเพลินๆ ทุกวัน เวลา 20.00-22.30 น. แถมหลังจากนั้นก็ยังเปิดให้มีคาราโอเกะได้ครวญเพลงกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย               อีกทั้งอย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมคนรักไวน์ ฉะนั้นที่ร้านนี้จึงมีห้องเก็บไวน์ที่ภายในห้องมีไวน์มากมายจากหลายประเทศ ทั่วโลก และเน้นไวน์จากอิตาลีเป็นพิเศษ มาให้นักดื่มไวน์ได้เลือกสั่งมาดื่มกันอย่างถูกปากถูกใจ และยังมีกูรูผู้รอบรู้เรื่องไวน์อย่าง อาจารย์ไพรัช อินทะพุฒน์ มาทำการสอนเรื่องไวน์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องไวน์แบบครบวงจร ให้ถูกใจคอดื่มไวน์กันไป               มีไวน์ดีให้ได้ดื่มแล้ว ก็ต้องมีอาหารเลิศรสให้กินคู่กันไปด้วย ซึ่งที่นี่มีอาหารอิตาเลียนเลิศรสให้บริการ และก็ยังมีอาหารฝรั่งเศสด้วย แต่จะเน้นที่อาหารอิตาเลียนแบบรสชาติแท้ๆ จากต้นตำรับมากกว่า ซึ่งวัตถุดิบส่วนใหญ่ในการปรุงอาหารก็นำเข้ามาจากอิตาลี และอีกจากหลายประเทศที่ทางร้านคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นดีมาปรุงเป็นอาหารจาน เด็ดที่ชวนกินมากมาย

Mixed Appetizers        อย่างที่เราได้ลองลิ้มรสและติดใจจนต้องนำมาบอกต่อกันก็มีอยู่หลายเมนู จานแรกเป็น Mixed Appetizers (2,500 บาท++) ที่จานใหญ่มาก มีอาหารหลายอย่างในจานให้เลือกกิน มีแซลมอนโรล เป็นเนื้อปลาแซลมอนรมควันห่อกับเนื้อปูปรุงรสชาติ ด้านบนมีวาซาบิ กินแล้วเนื้อปลาแซลมอนนุ่มๆ รสกลมกล่องเข้ากับเนื้อปูรสดีออกเผ็ดลิ้นนิดๆ จากซอสวาซาบิ มีสลัดผักร็อคเกตที่ราดด้วยน้ำสลัดบาซามิครสชาติดีแถมยังมีกั้งทอดกับ บรั่นดีเนื้อนุ่มหวานให้กินเข้ากันด้วย และยังมีหอยเชลล์อเมริกาเอามาผัดกับซอสสูตรเด็ดของทางร้าน กินแล้วหอยเชลล์เนื้อนุ่มหวานเข้ากันดีกับซอส สุดท้ายเป็นตับห่านทอดราดด้วยซอสราสเบอร์รี่หอมหวานเนื้อตับนุ่มลิ้นมากๆ

Lobster Bique Soup        จากนั้นมาชิม Lobster Bique Soup (350 บาท++) เป็นซุปกุ้งล็อบสเตอร์น้ำข้นที่ทางร้านใส่ครีม บรั่นดี และเคี่ยวนานกว่า 3 ชม. กินคู่กับขนมปังแป้งพิซซ่าทอด ชิมซุปกุ้งร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมขึ้นจมูก รสชาติละมุนลิ้นได้รสชาติกุ้งดีจริงๆ

Arrabbiata Tiger Prawn        ต่อด้วยเมนูจานเส้นอย่าง Arrabbiata Tiger Prawn (480 บาท++) ทางร้านนำเอาสปาเก็ตตี้ผัดกับสไปซี่ซอสที่ทางร้านปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ และมีกุ้งลายเสือตัวใหญ่ย่างจนสุกและผัดกับสไปซี่ซอสเหมือนกัน ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากเคี้ยวเส้นนุ่มเด้งได้รสชาติซอสรสกลมกลอมลิ้น กินคู่กับกุ้งเนื้อแน่นถูกปากดีแท้

Wagyu Rib eye Steak        ตามมาอิ่มท้องกับ Wagyu Rib eye Steak (1,900 บาท++) เป็นสเต็กจานใหญ่ ที่มีทีเด็ดอยู่ที่เนื้อนำเข้ามจากออสเตรเลีย เอามากริลล์ โรยเกลือ พริกไทย โรสแม่รี่ กริลล์จนเนื้อสุกได้ที่ ก็ราดด้วยน้ำซอสเกรวี่ไวน์แดงใส่สมุนไพรที่ทางร้านปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ เสิร์ฟพร้อมกับพริกย่าง ผักโขม และมันอบ แล่ชิ้นเนื้อสเต็กเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากได้รสชาติของเนื้อที่ดีมากๆ ผสานกับรสชาติของน้ำซอสเกรวี่ที่เข้มข้นถูกลิ้นมากๆ

Pizza Four Season        และก็ต้องไม่พลาดสั่ง Pizza Four Season (380 บาท++) เป็นพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ แป้งบางกรอบที่มีหน้าให้เลือกกินถึง 4 หน้าในถาดเดียว มีหน้าแซลมอนรมควัน หน้าซาลามีอิตาเลี่ยน หน้าซีฟู้ด และหน้าเห็ดชิตาเกะ ที่ล้วนแล้วแต่มีรสชาติอันถูกปากโดนใจคนชอบกินพิซซ่ากันไป

Fruit Flambe        ปิดท้ายมื้อล้างปากด้วยของหวานขึ้นชื่อ Fruit Flambe (380 บาท++) ที่ทางร้านจะมาปรุงให้เห็นกันถึงโต๊ะ เป็นเครปสไตล์ฝรั่งเศส ที่ทางร้านทำแป้งเครปเอง และมีผลไม้ต่างๆ อย่างมะม่วง ลูกพีช ปรุงมาในซอสส้มสูตรพิเศษ เสิร์ฟมาคู่กับไอศกรีมรสวนิลา กินแล้วแป้งเครปนุ่มลิ้นมากๆ ชุ่มซอสส้มเปรี้ยวๆ หวานๆ กลมกล่อมเข้ากับผลไม้ และไอศกรีมเย็นๆ

โต๊ะนั่งมุมสบายๆ        แนะนำมาก็หลายเมนูแล้ว แต่ว่าก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ที่น่าลองลิ้มอีกมากมาย อาทิ Risotto Porcini (380 บาท++) Snow Fish (550 บาท++) Lamb Shank (590 บาท++) Spaghettini Vintage (380 บาท++) ฯลฯ เรียกว่ามาที่ร้าน “Vintage Silom” เป็นได้เต็มอิ่มกับอาหารรสดี และดื่มด่ำกับไวน์รสเลิศ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *               “Vintage Silom” (วินเทจ สีลม) ตั้งอยู่ที่ 19 ซอยสีลม 21 ถ.สีลม บางรัก กทม. การเดินทางจากศาลาแดงผ่านแยกโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ จะเห็นซอยสีลม 21 อยู่ด้านซ้ายมือ แต่เข้าซอยนี้ไม่ได้เพราะเป็นวันเวย์ ต้องเลยไปเข้าซอยสีลม 23 เข้าไปจนสุดซอยแล้วเลี้ยวขวาจะเห็นร้านวินเทจสีลม อยู่ด้านขวามือ มีที่จอดรถด้านข้างร้าน เปิดทุกวัน เวลา 17.30-23.00 น. ทางร้านรับจัดงานเลี้ยงด้วย และควรโทร.มาจองโต๊ะล่วงหน้า โทร. 0-2630-2244, 0-2630-2255 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.vintage-silom.com/

สูตรเครื่องดื่ม มิสออเร้นจ์

ส่วนผสม น้ำส้มแช่เย็นจัด ไอศกรีมรสวานิลลา เหล้าคอนโทร น้ำโซดาแช่เย็นจัด สีผสมอาหาร ส้มซันคิสต์ เชอร์รี่แดง และใบสะระแหน่สำหรับแต่ง 1 2 1/4 กระป๋อง ลูก ถ้วยตวง วิธีทำ - ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันในเชคเกอร์ เขย่าแรง ๆ เทลงในแก้วสำหรับเสิร์ฟ แต่งสวยด้วยส้มซันคิสต์ เชอร์รี่แดง และใบสะระแหน่ - ดื่มได้ทันที