“ฟองดูว์ เฮ้าส์” บ้านของคนรักฟองดูว์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์7 มิถุนายน 2555 12:58 น.

บรรยากาศโต๊ะนั่งแบบสบายๆ ภายในร้านฟองดูว์ เฮ้าส์
       “ฟองดูว์” (Fondue) เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวสวิสเซอร์แลนด์ ที่มักจะนิยมกินกันในฤดูหนาว โดยนำเอาชีสมาตั้งไฟและหลอมละลายรวมกับไวน์ขาว และก็มีส้อมหรือเหล็กแหลมเสียบขนมปังแล้วจุ่มชีสร้อนๆ กิน เพื่อเสริมสร้างพลังงานและให้แคลอรีที่สูงมากๆ
      
       สำหรับเมืองไทยเราแล้วหากนักกินคนไหนคิดอยากจะกิน “ฟองดูว์” คงไม่ต้องรอให้ถึงหน้าหนาว เพราะหน้าหนาวบ้านเราเรียกว่าแทบจะไม่หนาวเลย หรือหนาวน้อยวันก็ว่าได้ แต่ว่าเราสามารถเลือกที่จะกินฟองดูว์ได้ตลอดทุกหน้า และได้ทุกวันตามใจปรารถนา
บรรยากาศโต๊ะนั่งดูอบอุ่น
       เพียงแค่พากันมาที่ “ฟองดูว์ เฮ้าส์” (Fondue House) ก็จะได้ลิ้มรสฟองดูว์เลิศรสกันแล้ว ซึ่งที่นี่เป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักของคนไทยมากว่า 30 ปีแล้ว มีฟองดูว์สไตล์สวิสเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสขนานแท้ให้ได้ลิ้มรส และยังมีอาหารยุโรปให้ได้ลิ้มลองกันด้วย
ฟองดูว์ชีส
       ว่าแล้วเมื่อมาถึงร้านแล้วก็อย่ามัวรอช้าสั่งฟองดูว์มาลิ้มรสกันเลยดีกว่า เริ่มด้วย ฟองดูว์ชีส (600 บาท+/หม้อ) เป็นฟองดูว์สไตล์สวิสฯ แท้ๆ เสิร์ฟมาแบบครบชุด คือมีหม้อตั้งไฟ ที่ภายในหม้อเป็นชีสจากสวิสฯ ที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษ นำมาผสมกับไวน์ขาว และเหล้า คนผสมรวมกันกว่าครึ่งชั่วโมง เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังอบที่ทางร้านทำเอง เวลากินให้คนชีสไปเรื่อยๆ แล้วใช้แท่งเหล็กยาวปลายแหลมจิ้มขนมปังอบแล้วจุ่มลงไปในชีสร้อนๆ แล้วเอาขึ้นมาจะเห็นได้ถึงสัมผัสของชีสที่เหนียวยืด พอส่งเข้าปากกินแล้วละมุนลิ้นกับชีสหอมๆ รสเข้มข้นนุ่มยืดเข้ากับขนมปังกรอบเป็นที่สุด
ฟองดูว์น้ำมัน
       แล้วก็ตามติดมาด้วย ฟองดูว์น้ำมัน (400 บาท+/คน) เป็นฟองดูว์น้ำมันสไตล์ฝรั่งเศส ที่เสิร์ฟมาแบบครบชุดเช่นกัน คือมีหม้อสเตนเลสที่ใส่น้ำมันลัมตั้งไฟมา และก็มีเนื้อสัตว์ให้เลือกต่างๆ ซึ่งใน 1 ชุด สามารถเลือกเนื้อได้ 4 อย่าง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะนำเข้าจากออสเตรเลียหมักกับไวน์และบรั่นดีสูตรพิเศษ เนื้อไทยส่วนสันในที่คัดสรรมาอย่างดีหมักด้วยเครื่องสูตรพิเศษ กุ้ง ไก่ เนื้อหมู ตับ หอยนางรมห่อเบคอน ปลากะพง เวลากินก็นำเนื้อสัตว์จุ่มลงไปในน้ำมันร้อนๆ พอสุกได้ที่ก็นำขึ้นมาจิ้มกับซอสรสเด็ดที่ทางร้านทำเอง ซึ่งมีหลายรสชาติ คือ ทาร์ทาร์ซอส บาร์บีคิวซอส เทาซันด์ไอส์แลนด์ซอส ซอสแตงกวา และยังมีสลัดผักและขนมปังกระเทียมเสิร์ฟมาให้กินเคียงกันด้วย
ฟองดูว์ชอคโกแลต
       จากนั้นสลับรสชาติจากของคาวมากินของหวาน คือ ฟองดูว์ชอคโกแลต (300 บาท+/ที่) เป็นฟองดูว์สไตล์ฝรั่งเศสเช่นกัน โดยมีหม้อใส่ชอคโกแลตที่ทางร้านคัดสรรสชอคโกแลตแท้ๆ อย่างดี นำมาผสมกับบรั่นดีด้วย และจุดไฟมาพร้อมกับผลไม้สด อย่างกล้วยหอม สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ล และขนมปังกรอบเป็นแท่งๆ ที่ทางร้านทำเอง เวลากินก็ให้นำผลไม้จุ่มลงไปในชอคโกแลต แล้วส่งเข้าปากจะสัมผัสได้ถึงรสชาติอันเข้มข้นของชอคโกแลตแท้ๆ ที่หอมหวานได้ใจ
ซุปหัวหอม
       และใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ฟองดูว์เลิศรสให้ได้ลิ้มลองเท่านั้น เพราะว่ายังมีเมนูยุโรปอื่นๆ ที่ชวนกินไม่แพ้กันด้วย ไม่ว่าจะเป็น ซุปหัวหอม (150 บาท+) สไตล์ฝรั่งเศสที่ตัวน้ำซุปได้จากน้ำสต็อกเนื้ออย่างดี ใส่หัวหอมลงไปเคี่ยวด้วยนานกว่า 5-6 ชม. และใส่ขนมปังที่อบมากับชีสลงไปในซุปด้วย เสิร์ฟมาแบบร้อนๆ เป็นซุปหัวหอมที่เข้มข้นหวานหอมกลมกล่อมละมุนลิ้นเป็นยิ่งนัก
ลีลาการปรุงเครปซูเซท
       เครปซูเซท (320 บาท+) เป็นอีกหนึ่งของหวานสไตล์ฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อของทางร้าน ที่ถ้าสั่งเมื่อไหร่จะได้เห็นขั้นตอนการทำ ซึ่งทางร้านจะโชว์การทำซอสส้มตามสูตรเด็ดที่จะนำมาราดลงบนแป้งเครปที่ทาง ร้านทำเอง เสิร์ฟคู่มากับไอศกรีมรสวนิลา โรยด้วยอัลมอนด์และใส่เชอร์รี่ ลิ้มรสแป้งเครปนุ่มนิ่มชุ่มซอสส้มเปรี้ยวหวาน กินคู่กับไอศกรีมเย็นๆ สดชื่นปากดีจริง
เครปซูเซท
       นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่น่าลองลิ้มอีก อาทิ สเต็กคาเฟเดอปารีส (400 บาท+) สันในหมูราดซอสเห็ดเนยแข็ง (320 บาท+) เนื้อแกะนิวซีแลนด์ (400 บาท+) เป็ดซอสส้ม (300 บาท+) ไก่ย่างอบชีส (200 บาท+) ฯลฯ เรียกว่าหากใครที่ชื่นชอบกินฟองดูว์สไตล์สวิสฯ และฝรั่งเศสแท้ๆ ก็อยากให้ลองแวะเวียนมาที่ ”ฟองดูว์ เฮ้าส์” เพราะไม่แน่ที่นี่อาจจะกลายเป็นร้านประจำของคนรักฟองดูว์อย่างคุณไปเลย
โต๊ะนั่งด้านนอกรับลมเย็นๆ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ”ฟองดูว์ เฮ้าส์” (Fondue House) ตั้งอยู่ที่ 25/4 ซ.ชำนาญอักษร ถ.พหลโยธิน9 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. การเดินทางจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีอารีย์ ลงฝั่งมุ่งหน้าไปสะพานควาย ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซ.พหลโยธิน 9 ตรงเข้ามาในซอยประมาณ 200 เมตร แล้วให้เลี้ยวซ้ายเข้าซ.ชำนาญอักษร ตรงเข้ามาอีก 50 เมตร ร้านฟองดูว์ เฮ้าส์จะอยู่ด้านซ้ายมือ เปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 18.00-23.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร .มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2279-4731

“Sushicyu & Carnival Yakiniku” อร่อย 2 สไตล์ อาหารญี่ปุ่นรสแท้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์14 มิถุนายน 2555 15:01 น.

บรรยากาศโต๊ะนั่งเคาน์เตอร์ซูชิร้าน Sushicyu & Carnival Yakiniku
       เห็นซูชิหลากหลายหน้าก็อยากกิน!! ส่วนยากินิกุปิ้งย่างร้อนๆ ก็อยากกิน!!
      
       หากว่าแฟนๆ นักกินคนไหนกำลังเกิดอาการอยากกินอาหารญี่ปุ่นทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กันในมื้อเดียวขึ้นมาแบบ “ตระเวนกิน” แล้วล่ะก็ อยากจะขอจูงมือพามาอิ่มอร่อยให้สมใจปรารถนากันที่ร้าน “Sushicyu & Carnival Yakiniku” ตั้งอยู่ที่โครงการ Ei8ht Thonglor
      
       มาที่นี่ที่เดียวจะได้ลิ้มรสทั้งซูชิสารพัดหน้าแบบญี่ปุ่นแท้ๆ รวมถึงยังมีอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ อีกด้วย ส่วนยากินิกุก็เป็นแบบสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้เช่นกัน ซึ่งวัตถุดิบส่วนใหญ่ต้องสั่งตรงมาจากญี่ปุ่นโดยเฉพาะ และเน้นคัดสรรแต่วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ
บรรยากาศโต๊ะนั่งกินยากินิกุ
       เมื่อมาถึงร้านก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศร้านที่แบ่งโซนเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ในส่วนของซูชิจะมีเคาน์เตอร์ซูชิให้ได้เลือกนั่ง และมีห้องส่วนตัวบริการ ส่วนอีกด้านเป็นส่วนของยากินิกุที่มีโต๊ะให้เลือกนั่งแบบสบายๆ และที่โต๊ะจะมีเตาที่เลือกใช้ถ่านและมีระบบดูดควันไว้ด้วย แต่ก็ยังพอให้ได้กลิ่นของเนื้อเวลาย่างหอมๆ ชวนกินเสียจริง
      
       แต่ก่อนที่จะไปกินยากินิกุ เราสั่งซูชิของที่นี่มาลิ้มรสกันก่อนดีกว่า ซึ่งที่นี่เน้นซูชิที่มีสารพัดหน้า และมีความหลากหลายตามแต่เชฟจะรังสรรค์ขึ้นมา และเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทุกเดือนเพื่อจะได้ไม่จำเจ
Nigiri Omakase
       สำหรับซูชิที่สั่งมากินจนติดใจและอยากแนะนำให้ชิมกันก็คือ Nigiri Omakase (1,460 บาท++) มาแบบจัดเต็ม มีซูชิหลายหลากหน้ากว่า 10 อย่างในจานเดียว ที่วัตถุดิบสั่งตรงมาจากญี่ปุ่นทั้งหมด มีหน้าปลาไหลทะเล หน้าไข่ปลาแซลมอนห่อสาหร่าย หน้าไข่หอยเม่นห่อสาหร่าย หน้าโทโร่ หน้าปลาฮามาจิ หน้าเนื้อก้ามปู หน้าหอยปีกนก แล้วมีมากิหน้าโทโร่สับ และไข่หวานด้วย เรียกว่ากินเมนูนี้แล้วอิ่มท้องกับซูชิรสชาติดี มีความสดอร่อยของวัตถุดิบชั้นยอด
Ayu Shioyaki
       เมนูต่อมาเป็นอาหารจานพิเศษมีให้ลิ้มรสถึงแค่เดือนมิ.ย. นี้ Ayu Shioyaki (320 บาท++) เป็นปลาอายุจากญี่ปุ่นนำมาคลุกเคล้ากับเกลือแล้วย่างจนปลาสุกหอม ลิ้มรสเนื้อปลาแน่นนุ่มหวานและได้รสชาติเค็มนิดๆ จากเกลือ มาพร้อมกับน้ำจิ้มสูตรพิเศษ และมีมะนาวมาให้บีบเพิ่มรสชาติ
Tokujyo Karubi
       จากนั้นมากินเมนูยากินิกุกัน ซึ่งมีเนื้อหลากหลายให้เลือกสั่งมาย่างกิน แต่ที่เราสั่งมาลิ้มลองก็มี Tokujyo Karubi (760 บาท++) เป็นเนื้อวัวส่วนสันคอที่คัดมาแบบดีที่สุด สไลด์มาเป็นชิ้นราดด้วยน้ำซอสหมักเนื้อสูตรเฉพาะ ย่างเนื้อบนเตาถ่านร้อนๆ เนื้อสุกได้ที่ส่งเข้าปากเคี้ยวนุ่มละลายในปาก จิ้มกินคู่กับน้ำจิ้มโชยุรสเด็ด หรือถ้าใครชอบเผ็ดก็มีพริก กระเทียมให้ใส่เพิ่ม
Toku Tan Shio
       Toku Tan Shio (390 บาท++) เป็นลิ้นวัวคัดมาเป็นพิเศษสไลด์มาแบบชิ้นใหญ่หมักกับเกลือ แล้วโรยหน้าด้วยพริกไทยกับเกลืออีกที นำมาย่างพอสุกแล้วจะได้ลิ้มรสลิ้นวัวเนื้อนุ่มเด้งกรึบ
Tontoro
       แล้วถ้าใครอยากกินเนื้อหมูแนะนำ Tontoro (250 บาท++) เป็นเนื้อหมูส่วนสันคอคัดมาอย่างดีสไลด์มาเป็นชื้นราดด้วยน้ำหมักหมูสูตร เฉพาะ นำมาย่างบนเตาร้อนๆ เนื้อหมูสุกได้ที่หอมน่ากิน ชิมแล้วเนื้อหมูนุ่มมีมันแทรกกำลังดี
อร่อยกับเมนูยากินิกุร้อนๆ
       มื้อนี้ทำเอาเราอิ่มท้องทั้งกับซูชิและยากินิกุอร่อยๆ แต่อย่างที่บอกว่าที่นี่ยังมีอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ที่ชวนลิ้มรสอีกมากมาย อาทิ Gindara Saikyo Yaki (390 บาท++) Syabu Syabu Wagyu (1,800 บาท++) Kimuchi Soup (180 บาท++) Yukke (280 บาท++ ) เรียกว่าหากใครเป็นแฟนอาหารญี่ปุ่นมาที่ร้าน “Sushicyu & Carnival Yakiniku” ไม่มีคำว่าผิดหวังเป็นได้อิ่มอร่อยกลับบ้านกันไป
บรรยากาศโต๊ะนั่งแบบห้องส่วนตัว
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “Sushicyu & Carnival Yakiniku” (ซูชิชูแอนด์ คาร์นิวัล) ตั้งอยู่ที่ โครงการ Ei8ht Thonglor (เอท ทองหล่อ) 88/1 ถ.สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) ซ.ทองหล่อ 8 คลองตันเหนือ วัฒนา กทม. การเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ เลี้ยวเข้าถ.สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) ตรงมาที่ ซ.ทองหล่อ 8 จะเห็นโครงการ Ei8ht Thonglor ให้เข้ามาในโครงการฯ แล้วขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเห็นร้าน Sushicyu & Carnival Yakiniku มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30-14.00 น. และ 18.00-22.30 น. เสาร์-อาทิตย์ 11.00-22.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.จองโต๊ะก่อน โทร. 0-2713-8312 และยังมีอีก 1 สาขาอยู่ที่ All Seasons Place โทร. 0-2251-1995 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sushicyu.com

“Mellow” อร่อยดีฟรีสไตล์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์21 มิถุนายน 2555 16:58 น.

บรรยากาศโต๊ะนั่งมีให้เลือกหลายสไตล์ที่ร้าน “Mellow”
       ไลฟ์สไตล์ในวันหยุดของ “ตระเวนกิน” การที่ได้ชวนพรรคพวกคนชอบกินด้วยกัน ออกไปตระเวนหาร้านอาหารชวนนั่ง มีอาหารอร่อยๆ ที่ชวนกิน มันช่างเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีความสุขเป็นยิ่งนัก
      
       เหมือนที่ในมื้อนี้เมื่อเราได้ชวนผองมิตรนักกิน ออกมาตระเวนกินกันที่ร้าน “Mellow” ตรง Crystal Park ซึ่งเหตุผลที่พวกเราเลือกมาที่ร้านเมลโล่แห่งนี้ ก็เพราะว่าที่นี่เป็นร้านอาหารที่มีคอนเซปต์ว่า “ฟรีสไตล์” ที่สามารถตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของเหล่านักกินได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศโต๊ะนั่งด้านนอกรับลมเย็นๆ
       ไม่ว่าจะด้วยบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ มีหลายโซนให้เลือกนั่งตามใจชอบ หากใครชอบแบบนั่งสบายๆ ได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน ก็มีโต๊ะ เก้าอี้ โซฟาหลายหลากรูปแบบให้เลือกนั่งตามใจปรารถนา หรือจะนั่งโซนโต๊ะนั่งสบายๆ ใกล้มุมเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเครื่องดื่มบริการแบบหลากหลายถูกใจนักดื่มกัน เป็นแน่ แต่ถ้าใครชอบนั่งแบบรับลมธรรมชาติก็มีโซนโต๊ะนั่งตรงโซนระเบียงให้ได้รับลม เย็นสบาย
      
       อีกทั้งถ้าใครชื่นชอบการฟังเพลงมาที่นี่ก็จะได้เคลิบเคลิ้มไปกับบท เพลงเพราะๆ จากวงดนตรีที่จะมาบรรเลงเพลงแจ๊สให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน วันศุกร์-เสาร์ เวลา 20.00-22.00 น. วันอาทิตย์ เวลา 12.30-14.00 น. และในทุกวันจะมีดีเจมาเปิดแผ่นตั้งแต่ 21.00 น. เป็นต้นไป เรียกว่าการได้ฟังเพลงอันไพเราะช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการกินอาหารได้อย่างดี เยี่ยม
      
       มาถึงเรื่องอาหารของที่นี่ก็ต้องบอกว่าเป็นอาหารแนวฟิวชั่นแบบฟรี สไตล์ คือทางร้านได้คิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาเองโดยเฉพาะ สร้างสรรค์ให้อาหารมีความแปลกใหม่ แต่ก็ยังใส่ความเป็นไทย และในการปรุงอาหารแต่ละเมนูก็เน้นคัดสรรวัตถุดิบที่มีความสดใหม่ มีคุณภาพ และยังเลือกใช้วัตถุดิบออร์แกนิค นำมาปรุงเป็นเมนูจานเด่นที่ชวนกินมากมาย
Mellow Wings
       และมื้อนี้พวกเราก็ได้เลือกสั่งเมนูเด่นๆ มากินกันหลายอย่าง จานแรก คือ Mellow Wings (150 บาท++) สั่งมากินแล้วไม่ผิดหวังกับปีกไก่บนและกลางที่กรอบนุ่มซึมลึกถึงรสชาติของ ซอสพริกสูตรเด็ดของทางร้านอันจัดจ้าน ช่างเผ็ดได้ใจถึงพริกถึงเครื่องจริงๆ
Crab Cake
       เมนูถัดมา Crab Cake (180 บาท++) เป็นเมนูใหม่ที่ชวนกิน ทางร้านนำปูทะเลก้อนเกรดเอมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงตามสูตรเด็ดและคลุก เกล็ดขนมปังทอด เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสพีชสูตรพิเศษ กินทอดมันปูกรอบนอกนุ่มในเต็มปากเต็มคำกับเนื้อปู จิ้มซอสพีชที่หอมหวานลงตัวเข้ากันดีแท้
Pizza Truffle with Parma Ham
       ถ้าชอบพิซซ่าขอบอกว่าไม่ควรพลาดเมนูนี้ Pizza Truffle with Parma Ham (280 บาท++) เป็นพิซซ่าโฮมเมดสไตล์อิตาเลียน ทางร้านตีแป้งพิซซ่าเอง ทาด้วยซอสมะเขือเทศปรุงเอง แต่งหน้าด้วยพาร์มาแฮมนำเข้าจากอิตาลี และพิเศษตรงที่ใช้ชีสนมควายที่มีความเข้มข้น หอมมัน และหวานนิดๆ นำมาคลุกเคล้ากับเห็ดทรัฟเฟิลดำโรยหน้าพิซซ่า และราดด้วยน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลเพิ่มความหอมอีกที เสิร์ฟมาร้อนๆ พิซซ่าแป้งบางกรอบชีสนุ่มยืดหอมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลขึ้นจมูกเวลากัดพิซซ่าเข้า ปาก ได้รสชาติพาร์ม่าแฮมนุ่มอร่อย
Calzone Larb Clam Cheese
       ตามติดมาชิม Calzone Larb Clam Cheese (180 บาท++) คล้ายพิซซ่าแต่ว่ามาแบบพับครึ่ง และข้างในสอดไส้ด้วยหอยลายรมควันที่นำมาปรุงแบบครบเครื่องลาบของไทย อบเสิร์ฟมาร้อนๆ กินแล้วรสชาติแปลกใหม่ตรงที่แป้งนุ่มๆ ชุ่มด้วยหอยลายรสลาบจัดจ้านแบบไทยๆ
Stuffed Pork Chop Mustard Sauce
       จากนั้นมาลิ้มรส Stuffed Pork Chop Mustard Sauce (300 บาท++) เป็นพอร์คชอพเกรดเอไซด์ใหญ่ ข้างในยัดไส้ด้วยแฮมเห็ดหอมสด และมอสซาเรลลาชีส เข้าอบจนสุกได้ที่แล้วราดด้วยเกรวี่มัสตร์าดครีมซอสสูตรพิเศษ หั่นพอร์คชอพเจอไส้ข้างในกินแล้วอร่อยได้ใจ เนื้อหมูนุ่มกำลังดี ฉ่ำไส้ข้างในรสกลมกล่อม เข้ากับน้ำเกรวี่รสนุ่มละมุน กินเคียงกับสลัดและมันฝรั่งทอดถูกปากโดนใจกันไป
Black Sesame Panna Cotta & Mix Fruits
       ปิดท้ายด้วยของหวาน Black Sesame Panna Cotta & Mix Fruits (120 บาท++) เป็นพานาคอตต้าสูตรทางร้านที่ใช้หัวกะทิสด ใส่เจลาตินและงาดำเคี่ยวไฟจนได้ที่ ใส่พานาคอตต้าเสิร์ฟมาในแก้ว แต่งหน้าด้วยผลไม้สดนานาชนิด ลิ้มรสพานาคอตต้าเนื้อเนียนนุ่ม ได้กลิ่นงาดำอ่อนๆ หอมกะทิหวานมันรสชาติลงตัวเข้ากับผลไม้สด
      
       เหล่านี้ถือว่าเป็นเมนูเด่นของทางร้านที่พวกเราได้เลือกสั่งมากินกัน จนอิ่มหนำ แต่ก็ยังเห็นว่ามีเมนูเด็ดอื่นๆ ที่น่าลองลิ้มอีกอาทิ New York Cheese Cake (140 บาท++) Linguine Tom Yum River Prawn (280 บาท++) Pear & Blue Cheese Pizza (200 บาท++) Duck Pomelo Salad (180 บาท++) 24-Hour Marinated B.B.Q. Pork Spareribs (300 บาท++) และอีกสารพัดเมนูที่หมุนเวียนเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งหากมิตรรักนักกินคนไหน มีไลฟสไตล์ที่ชอบกินเหมือนอย่าง “ตระเวนกิน” ขอแนะนำว่าให้ลองมาที่ร้าน “Mellow” แห่งนี้ เพราะที่นี่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างสบายๆ
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *
      
       
“Mellow” (เมลโล่) ตั้งอยู่ที่ The Crystal Park  เฟส2  201, 203 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. การเดินทาง จากทางถนนพระราม 9 เลี้ยวซ้ายเข้าถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แล้วตรงไปเรื่อยๆ ข้ามสะพานข้ามถ.ลาดพร้าว ตรงไปเจอเทสโก้โลตัสแล้วชิดซ้ายไว้ จะเห็นคริสตัล พาร์ค อยู่ซ้ายมือ ตรงเข้ามาด้านในคริสตัล พาร์ค เฟส2 จะเห็นร้านเมลโล่อยู่ด้านลานจอดรถ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.00-01.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-01.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2515-0748 และมีอีกสาขาอยู่ที่ ซ.ทองหล่อ 16 โทร. 0-2382-0065