คุณเป็น Burnout syndrome หรือเปล่า

kapook.com
ทำงาน


คุณเป็น Burnout syndrome หรือเปล่า (Lisa)

          หาก ใครก็ตามที่เคยเป็นคนขยันขันแข็ง กระตือรือร้น แล้วกลายเป็นคนอารมณ์บูดบึ้ง และไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะ Burnout syndrome ก็ได้

          ทั้งนี้ ดร.มันเฟรด เนลติ้ง  จิตแพทย์ในเมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี ได้กล่าวเตือนว่า ทุกคนสามารถเกิดอาการที่ว่านี้ได้ การป้องกันไม่ให้เกิด  Burnout syndrome จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยไฟร์บวร์ก พบว่า 50% ของพยาบาลที่ต้องดูแลคนไข้โรคเอดส์ มะเร็ง และผู้ป่วยอาการหนัก มักมีอาการ  Burnout syndrome

          นอกจากนี้ก็ยังมีแพทย์ ครู อาจารย์ นักเรียนที่เตรียมตัวเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และผู้ที่มีตำแหน่งผู้จัดการ ก็มีอาการที่ว่านี้ได้ ได้แก่ การ นอนไม่หลับ เครียด ตื่นเช้าขึ้นมาจึงรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง และเครียดหนักขึ้นเมื่องานไม่คืบหน้า และจะส่งผลต่อสุขภาพตามมา เช่น ปวดหลัง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ จึงหันเข้าหาแอลกอฮอล์ ยาเสริมกำลัง หรือออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่ก็ไม่อาจช่วยได้ และโรคนี้ก็ยากแก่การวินิจฉัย เพราะคนมักไม่ยอมรับความจริงจนกระทั่งมีอาการรุนแรง

          ผู้ ที่ช่วยได้เป็นคนแรกคือ แพทย์ ดังนั้น เราจึงควรป้องกันโรคนี้ก่อนจะเกิดขึ้น ด้วยการพูดคุยกับคนรัก และเพื่อน ๆ ไปเที่ยวพักผ่อน ทานอาหาร เดินเล่น หรือเล่นกีฬาที่สนุกสนาน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ

kapook.com
ว่ายน้ำ


ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ (Health Plus)

          เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง กระชับกล้ามเนื้อช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย คุณประโยชน์ทั้งหมดนี้หาได้จากสระว่ายน้ำ

          หากคุณกลัวข้อต่อบาดเจ็บขณะจ๊อกกิ้ง หรือไม่ชอบเต้นเร็ว ๆ จนเหงื่อหยดติ๋ง ๆ แบบแอโรบิก ถ้าเช่นนั้นว่ายน้ำคือคำตอบในการออกกำลังกายของคุณ ว่ายน้ำไม่เพียงช่วยให้ร่างกายฟิตแข็งแรงเท่านั้น หากยังช่วยให้คุณผ่อนคลาย ความเครียดที่สะสมมาตลอดวันถูกชะล้างให้มลายหายไปได้กับสายน้ำ ที่น่าทึ่งคือการว่ายน้ำไปกลับในสระ 2-3 รอบสามารถเปลี่ยนความคิดแง่ลบให้กลายเป็นการคิดบวกได้

ทำไมต้องว่ายน้ำ

          การ ว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมัน ลดน้ำหนัก ผู้ที่ยังว่ายน้ำไม่เก่ง สามารถเกาะแผ่นช่วยว่ายน้ำ แต่ต้องว่ายน้ำต่อเนื่อง 15-20 นาที การว่ายน้ำเป็นประจำมีประโยชน์ดังต่อไปนี้

          ช่วยให้หัวใจแข็งแรง การว่ายน้ำทำให้หายใจแรงและเร็ว ซึ่งจะทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตและโลหิตไหลเวียนดี ช่วยให้ความดันโลหิตต่ำ

          กระชับกล้ามเนื้อ การว่ายน้ำช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงทำให้กล้ามเนื้อฟิตกระชับและหุ่นดี การว่ายน้ำช่วยกระชับกล้ามเนื้อสำคัญ ๆ อย่าง กล้ามเนื้อลำตัว กล้ามเนื้อช่วงไหล่ และต้นขาด้านหลัง งานวิจัยของสหรัฐฯ ระบุว่าเพราะแรงต้านทานในน้ำที่มีมากกว่าในอากาศ 10 เท่า จึงทำให้การว่ายน้ำสามารถเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น

          ถนอมข้อต่อ ข้อดีประการหนึ่งของการว่ายน้ำคือไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บข้อต่อที่รับ น้ำหนัก แม้จะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้พละกำลังมากก็ตาม แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อข้อเข่า ข้อสะโพก และกระดูกสันหลัง The Arthritis Research Campaign กล่าวว่า การว่ายน้ำเหมาะกับคนที่เป็นโรคข้ออักเสบหรือข้อเสื่อม เพราะได้บริหารข้อต่อ จึงช่วยลดอาการปวดข้อได้

          แต่ เนื่องจากการว่ายน้ำไม่ใช่การออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight bearing exercise) จึงไม่ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน The National Osteoporosis Society แนะให้ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนออกกำลังกายด้วย การว่ายน้ำเป็นประจำควบคู่ไปกับการวิ่งเหยาะ ๆ หรือการกระโดด

          ช่วยให้ร่างกายเกิดความยืดหยุ่น ว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนวัย 40 ปีขึ้นไป เพราะช่วยให้ร่างกายเกิดความยืดหยุ่นขับไล่ความแข็งตึงของกล้ามเนื้อ เมื่ออายุมากขึ้น ข้อต่อจะติดกัน ซึ่งการว่ายน้ำช่วยให้ข้อต่อแยกห่างออกจากกัน

          ไล่ความเครียด เราทุกคนรู้กันดีว่าน้ำช่วยคืนความสดชื่น แค่หลับตาสักครู่และฟังเสียงน้ำกระทบขอบสระก็ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้นได้ เมื่อว่ายน้ำเสร็จให้ผ่อนคลายด้วยการลอยตัวอยู่ในน้ำ แล้วคุณจะขึ้นจากสระด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

          ได้พบปะสังสรรค์ การว่ายน้ำเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้พบปะผู้คนแนะนำให้ไปว่ายน้ำกับเพื่อน จะได้สังสรรค์พูดคุย เพื่อเป็นการสร้างความท้าทายและช่วยกระตุ้นซึ่งกันและกัน


ว่ายน้ำ

ได้ประโยชน์สูงสุด

          สนุกกับการว่ายน้ำแล้ว อย่าลืมหาเวลาคุยกับผู้ฝึกสอนว่ายน้ำ ซึ่งจะช่วยแนะเทคนิคดี ๆ ในการว่ายน้ำ เพราะการว่ายน้ำผิดวิธีอาจทำให้กล้ามเนื้อไหล่และข้อต่อบาดเจ็บได้ ขณะที่การฝึกด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย

          เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรว่ายน้ำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะที่ท่าฟรีสไตล์ช่วยให้หัวใจสูบฉีดโลหิต จึงดีต่อหลอดเลือดหัวใจ ท่ากรรเชียงช่วยเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น และหากต้องการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สมองแจ่มใส แนะนำให้ว่ายท่าผีเสื้อ

เสียค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน

          การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ประหยัด แค่เสียค่าสมาชิกไม่กี่บาทก็ลงสระได้แล้ว เพียงแค่ลงทุนซื้อชุดว่ายน้ำคุณภาพดีที่สวมใส่สบาย ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

          ของ ใช้อื่น ๆ ที่ควรนำติดตัวไปด้วยคือ แว่นกันน้ำ ซึ่งจะช่วยกันไม่ให้มาสคาร่าไหลเข้าตา โดยเฉพาะถ้าว่ายท่าฟรีสไตล์ หากสวมคอนแทคเลนส์ ควรถอดออกก่อนลงสระ เพราะอาจทำให้ตาติดเชื้อได้ ดังนั้นควรปรึกษาจักษุแพทย์เกี่ยวกับเรื่องแว่นกันน้ำ หรือสวมแว่นตาแทนเวลาลงสระ

          แน่นอนข้อเสียของการว่ายน้ำเป็นประจำก็มีเช่นกัน นั่นคือ ทำให้ผมเสียการพยายามว่ายน้ำโดยชุดคอเหนือน้ำเหมือนหงส์ วิธีนี้ถึงแม้จะช่วยไม่ให้ผมเสีย แต่อาจทำให้กลายเป็นโรคปวดคอแทน ลงทุนซื้อหมวกคลุมผม และใช้แชมพูที่เหมาะกับนักว่ายน้ำซึ่งช่วยป้องกันผมเสียจากคลอรีนดีกว่า

จำไว้

          ว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อหลอดเลือดหัวใจ ช่วยขจัดความเครียดเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อ ควรว่ายสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง แต่หากคุณเป็นคนไม่หยุดนิ่งและไม่ชอบความจำเจ ลองออกกำลังกายแบบแอโรบิกในน้ำ (aqua-aerobics) แค่มีชุดว่ายน้ำคุณภาพดีและแว่นกันน้ำสักอันก็เดินลงสระได้เลย

ข้อควรระวัง

          ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีโรคผิวหนัง ไม่มีบาดแผล ไม่มีโรคหัวใจระยะอันตราย ไม่มีปัญหาเรื่องแพ้คลอรีน ไม่มีโรคเกี่ยวกับตา แก้วหู ทะลุ หรือการติดเชื้อในช่องหู

สเตลลา แมทธิว..."สุขภาพดีเพราะว่ายน้ำ"

          "ฉันออกกำลังกายด้วยการจ๊อกกิ้งมานานหลายปี แต่พออายุมากขึ้น ก็เริ่มมีอาการปวดข้อ เพื่อนคนหนึ่งชวนดันให้ไปว่ายน้ำแทน แต่ฉันกลับกังวลไม่กล้าสวมชุดว่ายน้ำ ในที่สุดก็เลยเลือกลงสระรอบที่มีแต่เฉพาะผู้ใหญ่ ก็เลยไม่เป็นจุดสนใจของใคร แรก ๆ ว่ายไปได้แค่ 2 รอบก็หมดแรง ตอนนี้ฉันว่ายได้ 20 รอบ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง การว่ายน้ำทำให้ฉันลืมเรื่องเครียด ๆ ในที่ทำงานได้ ฉันรู้สึกว่าสะโพกและต้นขาดูกระชับมากขึ้น"



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปัสสาวะเล็ด...ปัญหาผู้หญิง 35 ปีอัพ ต้องเจอ

ปัสสาวะเล็ด...ปัญหาผู้หญิง 35 ปีอัพ ต้องเจอ (ไทยโพสต์)
ปัสสาวะเล็ด


ปัสสาวะเล็ด...ปัญหาผู้หญิง 35 ปีอัพ ต้องเจอ (ไทยโพสต์)

           ภาวะปัสสาวะเล็ดราด หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "อาการช้ำรั่ว" นั้นมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบในผู้หญิง 25% ทั่วโลก และสำหรับประเทศไทยจะมีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 20 ของผู้หญิงตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งภาวะนี้ทำให้คุณภาพชีวิตผู้หญิงแย่ลง ส่งผลกระทบทั้งทางสังคมและจิตใจ เกิดการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจากต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก สมาธิการทำงานหมดไปกับการเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง รวมทั้งเกิดความกลัวในการเดินทางเนื่องจากกังวลเรื่องห้องน้ำ ทำให้ผู้มีปัญหาปัสสาวะเล็ดมักมีอาการซึมเศร้า ปิดตัวจากสังคมร่วมด้วย

           รศ.นพ.สุวิทย์ บุณยเวชชีวิน สูตินรีแพทย์ สาขานรีเวชศาสตร์อุ้งเชิงกรานและการผ่าตัดซ่อมเสริม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการเสวนาหัวข้อ "หัวเราะรับเรื่องซึม ๆ กับปัญหาปัสสาวะเล็ดของผู้หญิง" ในงานแถลงข่าวเปิดตัว "POISE" (พ้อยส์) แผ่นซึมซับปัสสาวะ ถึงสัญญาณเตือนภัยหรืออาการของภาวะปัสสาวะเล็ด ว่า

           "อาการภาวะปัสสาวะเล็ดจะมากน้อยต่างกันออกไป 4 ประเภทกลุ่ม กลุ่มแรกคือ อาการปวดราด (Urge Incontinence) เป็นชนิดที่มีอาการปวดปัสสาวะรุนแรงจนเล็ดราดออกมา ไม่สามารถรอไปเข้าห้องน้ำได้ทัน ซึ่งมักเกิดกับผู้หญิงวัยทำงาน โดยต้องรักษาด้วยการกินยา และการเปลี่ยนพฤติกรรม

           กลุ่มที่ 2 อาการไอจามปัสสาวะเล็ด (Stress Incontinence) เป็นชนิดที่มีปัสสาวะเล็ดราดออกมาก เมื่อ มีการเพิ่มความดันในช่องท้อง เช่น ไอ จาม หรือหัวเราะ อาการลักษณะนี้มักพบในผู้หญิงที่เริ่มมีอายุ น้ำหนักมาก เคยมีประวัติคลอดบุตรยาก เคยมีการผ่าตัดบริเวณรอบท่อปัสสาวะ หรือเคยรับการฉายรังสีรักษาบริเวณนั้นมาก่อน ประเภทนี้ใช้การรักษาหลักด้วยวิธีการผ่าตัด และการฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

           กลุ่มที่ 3 Mixed Incontinence เป็นกลุ่มที่มีอาการทั้งสองกลุ่มข้างต้นร่วมกัน ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือชนิดที่มีปัสสาวะเล็ดราด ร่วมกับมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะในปริมาณมาก แล้วไหลล้นออกมา ซึ่งถ้าหากคุณผู้ชายมีอาการปัสสาวะเล็ดก็มักจะอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากต่อมลูกหมากโต หรือในผู้ป่วยที่มีระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะเสียไปจากอุบัติเหตุ เนื้องอก หรือโรคเบาหวานที่รุนแรงบางประเภท"

           ศ.นพ.สุวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ แนวทางรักษานั้นต้องดูตามอาการและสาเหตุของปัญหา มีทั้งกินยา การใช้ฮอร์โมนทดแทน การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการขมิบช่องคลอด หรือแม้แต่การผ่าตัด โดยการคล้องท่อปัสสาวะด้วยสายเทปขนาดเล็ก ซึ่งจะมีแผลผ่าตัดเล็กประมาณ 1 ซม. ซึ่งแพทย์จะทำการใช้อุปกรณ์ที่ได้ออกแบบมา สอดคล้องท่อปัสสาวะเพื่อปรับความตึงให้พอดี พักฟื้น 1-2 วันก็กลับบ้านได้ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การลดน้ำหนัก อย่าให้ท้องผูก งดสูบบุหรี่ งดดื่มกาแฟ โซดา น้ำอัดลม เนื่องจากมีสารกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายบ่อย

           และในอดีตพบว่าผู้หญิงไทยแก้ไขปัญหาภาวะปัสสาวะเล็ดโดยการใช้แผ่นอนามัย หรือผ้าอนามัยมาเป็นแผ่นซึมซับ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ เพราะผ้าอนามัยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการซึมซับปัสสาวะโดยเฉพาะ ดัง นั้นการใช้แผ่นซึมซับปัสสาวะที่เหมาะสม ก็ถือเป็นทางเลือกที่สะดวก ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย อีกทั้งยังทำให้คุณผู้หญิงสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ

           "ภาวะ ปัสสาวะเล็ดไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือน่าอับอาย หากคุณผู้หญิงมีความรู้ความเข้าใจ และพร้อมจะรับมือกับปัญหาได้อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถใช้ชีวิตทุกวันด้วยความมั่นใจ" รศ.นพ.สุวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

4 กฎเหล็ก ปราบตัวการเพิ่มคอเลสเตอรอล

4 กฎเหล็ก ปราบตัวการเพิ่มคอเลสเตอรอล (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก
สูตรลดน้ำหนัก

4 กฎเหล็ก ปราบตัวการเพิ่มคอเลสเตอรอล (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

         หาก รู้สึกตัวว่าอ้วนขึ้นกว่าเดิม เพราะหมู่นี้เมนูยามบ่ายจากผลไม้กลายเป็นอาหารจำพวกขนมปัง มันฝรั่งทอดกรอบ ไอศกรีม หรือแม้แต่นมสดเย็น ๆ หนึ่งขวด ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันร่างกายคุณแย่แน่ เพราะอีกไม่นาน คุณอาจป่วยเป็นโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจได้ โดยไม่รู้ตัว ซึ่ง 4 กฎเหล็กต่อไปนี้จะมาช่วยเตือนสติในการบริโภคของคุณได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้แพทย์เตือน ไม่ต้องรอให้มีสัญญาณสุขภาพอันตรายคุณก็สามารถเริ่มป้องกันตัวเองจากโรค เรื้อรังได้ทันทีแล้ว

1.ใส่ใจไขมันในนมมากขึ้น

         แค่นมจืดธรรมดา (Plain Milk) ก็มีคอเลสเตอรอลสูงถึง 35 มิลลิกรัม รองลงมาคือนมพร่องมันเนย (Low Fat Milk) ที่มีคอเลสเตอรอลประมาณ 20 มิลลิกรัม แต่สำหรับนมขาดมันเนย (Non Fat Milk) กลับพบว่าไม่มีคอเลสเตอรอลเลย (0 มิลลิกรัม) ดังนั้นนมพร่องมันเนย (นมขาดมันเนย) จึงเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนัก และเหมาะกับคนที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป เพราะคนกลุ่มนี้ร่างกายเริ่มเผาผลาญพลังงานจากไขมันได้ช้าลง หากพลังงานที่ได้จากนมเป็นไขมัน 0% จะช่วยลดปัญหาการสะสมคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง

2.เมนูไข่ในตอนเช้าดีที่สุด

         ตามหลักทางโภชนาการแล้ว คอเลสเตอรอลที่แนะนำต่อวันกำหนดไว้ที่ 300 มิลลิกรัม ซึ่งในไข่ไก่สดเพียง 1 ฟอง ก็ให้คอเลสเตอรอลสูงถึง 213 มิลลิกรัม แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งหากคุณเป็นคนชอบกินไข่ แนะนำให้กินเมนูไข่ในตอนเช้า (ประมาณ 1-2 ฟองในวัยผู้ใหญ่) หรืออาจกินเมนูไข่สลับกันวันเว้นวันก็ได้ แต่ช่วงเย็นให้เน้นเมนูผัก งดเมนูเนื้อสัตว์ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว หมู และไก่

3.ไขมันอิ่มตัว (Trans Fat) ไม่จำเป็น ไม่ต้องกิน

         ตามข้อกำหนดของ FDA (องค์การอาหารและยา) ระบุไว้ว่าในแต่ละวันคนเราควรได้รับไขมันทรานส์ หรือกรดไขมันอิ่มตัวสูงต่ำกว่า 0.5 กรัม หรือประมาณ ½ ช้อนชาแต่ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ แต่สำหรับกลุ่มนักโภชนาการแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดไม่ควรบริโภคเลย อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวก มาการีน หรือเนยเทียมเป็นอันดับแรก เพราะมีไขมันทรานส์สูงถึง 2.7 กรัม อันดับสองคือ เนย มีไขมันทรานส์สูงถึง 2.3 กรัม อันดับสามคือขนมปังและเบเกอรี่อบ โดยเฉพาะที่ผสมเติมช็อกโกแลต ผสมน้ำตาลไอซิ่ง เพราะมีไขมันทรานส์สูงถึงร้อยละ 7 และอันดับสุดท้ายคือ อาหารขยะ เช่น ไก่ทอด แฮมเปอร์เกอร์ และพิซซ่า ที่มีไขมันทรานส์ประมาณร้อยละ 0.5-1 ต่อ 1 หน่วยบริโภค ซึ่งอาหารเหล่านี้มีจำนวนแคลอรี่สูงก็จริง แต่ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากเก็บสะสมเอาไว้เป็นไขมันอุดตันภายในร่างกาย

4.น้ำมันถั่วเหลืองใช้ผัด น้ำมันปาล์มใช้ทอด

         หากเป็นอาหารจานผัด ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อย เหมาะกับน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก แต่สำหรับอาหารทอด ควรใช้น้ำมันมาก และใช้ไฟแรงเพื่อให้อาหารสุกไว้เหมาะกับน้ำมันปาล์ม หรือ น้ำมันหมู เพื่อให้อาหารมีรสชาติอร่อย กรอบไม่เหม็นหืน และสำหรับการทำน้ำสลัดควรใช้น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันมะกอก ถ้าเลือกน้ำมันให้ถูกกับลักษณะการใช้แล้ว จะช่วยลดปริมาณสะสมคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขkapook.com

ไดเอทง่าย ๆ ด้วยน้ำขิง

Ginger Tea Diet (Woman Plus)
น้ำขิง

Ginger Tea Diet (Woman Plus)

          วันนี้เรามีวิธีการไดเอทตามแพทย์แผนอินเดียด้วยน้ำขิงมาฝากกันค่ะ

          เนื่องจาก "ขิง" เป็นสมุนไพรที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค และอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินบี 1 และ บี 2 ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดี ถ้าสาว ๆ จิบระหว่างวันทุกวัน หรือดื่มหลังมื้ออาหารก็จะช่วยสลายไขมันสะสมได้เร็วขึ้น

          แต่ ถ้าดื่มน้ำขิงด้วย และหมั่นออกกำลังกายด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้สาว ๆ Fit&Firm และมีสุขภาพที่ดีด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น สาว ๆ อย่าลืมหาน้ำขิงมาดื่มกันดูล่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก