สาว ๆ ฟังไว้ น้ำอัดลม 1 ขวด ต้องวิ่งเบิร์นถึง 50 นาที

Lisa 






ผลวิจัยเผย น้ำอัดลม 1 ขวด = วิ่ง 50 นาที

เล่น เอาสาว ๆ ที่กลัวอ้วนไม่กล้าดื่มน้ำอัดลมกันไปเลยล่ะสิ เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ การศึกษาตีพิมพ์ใน American Journal of Public Health เปิดเผยว่า คนเรามักจะประเมินแคลอรีที่ตัวเองกินเข้าไปผิดพลาด และแทนที่อาหารจะติดฉลากอาหารว่ามีแคลอรีเท่าไหร่นั้น ฉลากที่เขียนว่าต้องวิ่งเพื่อเบิร์นพลังงานกี่นาทีจะได้ผลดีมากกว่า

งานวิจัยค้นพบว่า วัยรุ่นกว่าครึ่งรู้สึกไม่อยากดื่มน้ำอัดลม หากได้เห็นฉลากเตือนว่า จะต้องออกกำลังกายด้วยการวิ่ง 1 ชั่วโมงต่อการดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง โดย ดร.ซาราห์ เบลช ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า ผู้คนทั่วไปมักประเมินจำนวนแคลอรีที่ได้รับจากอาหารขยะต่ำไป แต่การเปรียบเทียบปริมานแคลอรีจากอาหารเป็นการออกกำลังกาย จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้น เช่น เปรียบจำนวนแคลอรีจากน้ำหวานเท่ากับการวิ่งกี่นาที

นักวิจัยจาก Johns Hopkin’s Bloomberg School of Public Health ชี้ว่า แม้น้ำอัดลมจะมีแคลอรีสูง แต่ก็มีสารอาหารเป็นศูนย์ ดังนั้น สำหรับคนหนัก 55 กิโลกรัม อาจต้องใช้เวลาวิ่งถึง 50 นาทีในการเบิร์นน้ำอัดลม 20 ออนซ์ ส่วนคนหนัก 75 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้เวลาถึง 40 นาที

...ไม่อยากคิดเลยว่าคนดื่มน้ำอัดลมทั้งวัน จะต้องวิ่งกี่ชั่วโมงกว่าจะเบิร์นหมด


Lisa 

อินไซด์ "สาว 30+" วัยที่ชีวิตสุดเฟอร์เฟกต์

credit มติชน






เมื่อก่อน เลข 3 เป็นเลขอายุที่สาวๆ หลายคนขยาด แต่เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไป เลข 3 กลายเป็นเลขที่ผู้หญิงหลายคนภูมิอกภูมิใจเพราะ
วัย 30+ นี่แหละ เป็นวัยที่ชีวิตกำลังประสบความสำเร็จ ทุกอย่างเฟอร์เฟกต์
ทั้งหน้าที่การงานที่มั่นคง ความมีเหตุผลทางอารมณ์ และการตัดสินใจที่ดีขึ้น


ยืนยันได้จากการสำรวจ "อยากเป็นแบบไหน? ในวัย 30+ ยังแจ๋ว"
ของ
สถาบันวิจัยพอนด์ส ร่วมกับบริษัท อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ จำกัด
สำรวจความคิดเห็นของผู้หญิงอายุ 28-41 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 50 คน

โดยสาวๆ
แสดงความเห็นในข้อความเปลี่ยน แปลง เลิศเลอเพอร์เฟกต์ ที่สุดในวัย 30+
อันดับหนึ่งร้อยละ 34 สาวๆ บอกว่าเธอมีเหตุผลมากขึ้น รองลงมาร้อยละ 28
เธอบอกว่าชีวิตเฟอร์เฟกต์และการงานก็กำลังรุ่ง สุดท้ายร้อยละ 24
ทุกคนเทคะแนนให้กับความมั่นใจที่มีมากขึ้นถึงร้อยละ 24

ส่วนของขวัญที่สาววัยนี้อยากได้มากที่สุด อันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นเรื่องสวยๆ งามๆ
ร้อยละ 34 อยากให้หน้าเด็กเสมอเหมือนสมัยเรียนหนังสือ และร้อยละ 20
อยากได้ของ แบรนด์เนม เช่น กระเป๋าชาแนล หลุยส์ วิตตอง
และเครื่องประดับเพชรหรือสร้อยทองหรูๆ สำหรับหนุ่มโสดในฝันของสาววัยนี้
มาแรงอันดับหนึ่ง ร้อยละ 62 ให้ความสำคัญกับผู้ชายที่จิตใจ ชอบผู้ชายอบอุ่น
ใจดี ร้อยละ 26 อยากให้เป็นสปอตแมน ปกป้องพวกเธอได้ มีเพียงร้อยละ 12
เท่านั้นที่ชอบผู้ชาย หล่อ รวย เทกแคร์เก่ง

จากผลสำรวจเห็นได้ว่า สาววัย 30 มีความกังวลเรื่องหน้าที่การงาน และชีวิตรักในระดับที่น้อยมาก

สาววัย 30 กะรัตอย่าง วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์
เผยว่า ในวัย 30 ปี สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือมีครอบครัวที่สม บูรณ์
การงานก็มั่นคงทุกๆ อย่างในชีวิตลงตัวแบบสมบูรณ์แบบ
สุขภาพก็แข็งแรงชีวิตก็มีความสุขมาก

ส่วน แพร วัชราภัย บอก
เสริมอีกว่า ในวัยนี้หน้าที่การงานเริ่มคงที่
ได้เรียนรู้ที่จะยืนและใช้ชีวิตด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกอย่างเต็มตัว
ส่วนของขวัญฉลองปี 2012
ของแพรในเมื่อทุกอย่างมันลงตัวแล้วจึงทำให้ไม่อยากได้อะไรเท่าไหร่
แต่สิ่งที่ขออยู่ทุกวันตั้งแต่เด็กจนโตคือ
ขอเป็นผู้หญิงที่มีผิวพรรณสวยตลอดไป

อย่างไรก็ตาม
ก็ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่สาววัยนี้กังวล อันดับหนึ่งร้อยละ 42
ก็ต้องยกให้เรื่องของหุ่นที่ไม่เฟิร์มเหมือนตอนสาวๆ รองลงมาร้อยละ 22
ผู้หญิงวัย 30+ กังวลเรื่องผิวพรรณ และกลัวถูกทักว่าหน้าแก่ และอีกร้อยละ
20 กลัวสุขภาพทรุดโทรม

ดร.พักตร์พิไล ทวีสิน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยของผิวพรรณ บอกว่า ย่างเข้าวัย
30+ สาวๆ ควรต้องยิ่งดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีกว่าเดิม
โดยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณที่บำรุงลึกถึงระดับเซลล์ผิวเป็นประจำ
เพื่อแก้ปัญหา ริ้วรอยแห่งวัยของสาววัย 30+ อย่างตรงจุด
พร้อมกับใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ และนอนหลับให้เพียงพอ
จะสามารถช่วยชะลอความเยาว์วัยของอายุได้ถึง 3-6 ปี
ควบคู่กับการหลีกเลี่ยงการใช้สารเพิ่มฮอร์โมนและไม่สูบบุหรี่
จะส่งผลให้สาวๆ ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้เฉลี่ย 1-2 ปี

สาวคนไหนที่เคยกลัวเลข 3 ลองสำรวจตัวเอง แล้วจะรู้ว่า ..อายุเป็นเพียงตัวเลข


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

วิธีง่าย ๆ เพื่อเช้าวันใหม่ที่สดชื่น

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ตื่นเช้า




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เชื่อ
ว่าหลาย ๆ คนคงเกลียดการตื่นเช้า
เพราะการผละจากเตียงนุ่มสบายเพื่อแต่งตัวไปโรงเรียนหรือทำงานนั้นไม่ใช่
เรื่องง่าย ๆ เลย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณรู้วิธีตื่่นที่ถูกต้อง
เช้าวันใหม่ของคุณจะสดชื่นขึ้นอย่างแน่นอน


1. เตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน

        
เตรียมอุปกรณ์ที่คุณต้องใช้พรุ่งนี้ให้พร้อมก่อนเข้านอน
ถ้าคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดไหนก็เอาออกมาแขวนไว้ในที่ ๆ มองเห็น
รวมทั้งเอกสารที่ต้องเอาไปก็ควรจะวางอยู่ใกล้ ๆ กัน
คุณจะได้ไม่ต้องมารีบเร่งตอนเช้า ทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใสขึ้นเยอะ

2. นอนให้เร็วขึ้น

        
ถ้าได้นอนเต็มอิ่มก็จะทำให้รู้สึกเพลียน้อยลง
ถ้าคุณกลัวว่าจะดูโทรทัศน์หรือเล่นอินเทอร์เน็ตเพลินจนลืมเวลานอน
จะลองตั้งนาฬิกาเตือนตัวเองดูก็ได้

3. อย่ากินเยอะก่อนเข้านอน

        
ถ้ารู้สึกหิวมากจริง ๆ ควรกินขนมทานเล่นหรือผลไม้ชิ้นเล็ก ๆ แทนจะดีกว่า
เพราะการกินก่อนจะเข้านอนทันที นอกจากจะทำให้กระเพาะทำงานหนักแล้ว
ยังทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4. เขียนแพลนของวันพรุ่งนี้ไว้ล่วงหน้า

        
การเขียนแพลนไว้ล่วงหน้าแบบนี้จะทำให้คุณมีความกระตือรือร้นมากขึ้น
เพราะมันช่วยเตือนให้คุณรู้ว่าวันพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปทำอะไรบ้าง

5. รู้จักจัดลำดับความสำคัญ

        
ตอนที่เขียนแพลนควรใส่เรื่องสำคัญ ๆ
หรือเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีมาเป็นอันดับแรก
จะช่วยทำให้วันต่อไปน่าสนใจมากขึ้น
และทำให้คุณรู้สึกมีกำลังใจที่จะตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่

6. ตื่นทันทีที่นาฬิกาปลุกดัง

        
การกดปิดนาฬิกาและนอนต่ออีก 5 นาทีไม่ได้ทำให้คุณเพลียน้อยลง
มีแต่จะทำให้คุณไปสาย และทำให้เช้าวันใหม่ยุ่งยากกว่าเดิมเสียเปล่า ๆ
เพราะฉะนั้นเวลานาฬิกาปลุกดังควรกดปิดมันแล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที

          อ่าน
จบกันแล้วก็ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดู
เผื่อว่าจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ตื่นนอน
จะได้เตรียมตัวรับเช้าวันใหม่ได้สดใสมากกว่าเดิมยังไงล่ะจ๊ะ
 

"การออกกำลังกาย" ที่เหมาะสมตาม "อายุ"

ที่มา thaiza.com 
ด้วยวัยที่ต่างกัน สภาพร่างกายก็ย่อมแตกต่างกัน การออกกำลังกายที่เหมาะสมก็ต้องเหมาะกับวัยต่างๆ มิฉะนั้นก็อาจเกิดโทษได้

วัยเด็ก

เด็กๆ ก่อนวัยอนุบาล ควรปล่อยให้เล่นตามใจชอบ การวิ่ง กระโดด ปีนป่ายเป็นวิธีของธรรมชาติสำหรับส่งเสริมการเติบโต ผู้ใหญ่คอยแต่ระวังป้องกันอันตราย เด็กที่ไม่ชอบเล่นควรกระตุ้นและชักจูงให้ออกกำลังบ่อยๆ จนเปลี่ยนนิสัยได้
ในวัยอนุบาลเด็กๆ ควรหัดท่ากายบริหารง่ายๆ อาจจัดในรูปของการฟ้อนรำหรือการเล่นสนุก การปีนป่ายเป็นเรื่องของธรรมชาติและมีประโยชน์ ควรระวังเพียงไม่ให้กระทำอย่างเสี่ยงอันตราย การออกกำลังหนักยังไม่ควรให้ทำเพราะหัวใจยังเจริญไม่เต็มที่ ควรปล่อยให้วิ่งเล่นตามใจโดยไม่พยายามบีบบังคับ การพักผ่อนภายหลังเล่นควรจะกำหนดให้พอเพียงเสมอ
เด็กในวัยประถม (อายุ ๗-๑๒ ปี) ควรมีเวลาเรียนพลศึกษาสัปดาห์ละ ๒-๓ ชั่วโมง และเล่นกีฬาที่ยากขึ้นเป็นลำดับ ให้เหมาะกับสภาพของสมองและร่างกาย การวิ่งและกระโดดช่วยเสริมการเติบโตและทำให้ความอดทนดีขึ้นเรื่อยๆ ในวัยนี้ยังไม่ต้องแยกเด็กชายกับเด็กหญิง แต่ต้องระวังการเล่นหนักเกินไปและต้องแน่ใจว่าได้รับอาหารและการพักผ่อน เพียงพอ
เด็กในวัยมัธยม (อายุ ๑๓ ปีขึ้นไป) ควรแยกระหว่างหญิงกับชาย เพราะความแตกต่างระหว่างเพศเริ่มปรากฏชัดเจน เด็กหญิงควรให้เล่นกีฬาที่ส่งเสริมทรวดทรงให้สวยงาม การเคลื่อนไหวนุ่มนวลชดช้อยนาฎศิลป์ (ซึ่งเป็นการออกกำลังแบบหนึ่ง) ของไทยเรามีประโยชน์ในเรื่องนี้ไม่แพ้การเต้นรำปลายเท้าหรือบัลเล่ต์ของ ฝรั่ง กีฬาของเด็กชายบางอย่างก็ใช้ได้สำหรับเด็กหญิง แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะสม เช่น ตะกร้อฟุตบอล ซึ่งนอกจากไม่เหมาะในเรื่องความงดงามทางจิตใจแล้ว ยังอาจทำอันตรายต่อสุขภาพด้วย สำหรับเด็กชายในวัยนี้กล่าวโดยสรุปว่าเล่นได้เหมือนผู้ใหญ่เว้นแต่ ต้องลดความหนักและรุนแรงลงบ้าง ต้องระวังการตกจากที่สูงและหกล้มรุนแรง เพราะอาจทำอันตรายต่อแนวงอกของกระดูก ทำให้การเติบโตชะงักงัน

วัยหนุ่มสาว (อายุ ๑๘-๒๕ ปี)

ระยะนี้เป็นเวลาที่สมรรถภาพทางกายดีที่สุด การออกกำลังกายจะใช้วิธีใดก็ได้ทั้งนั้น แต่พึงระวังไม่ให้หนักหรือมากเกินสมควร ในปัจจุบันนี้มีความโน้มเอียงที่ผู้หญิงจะทำตนเสมอกับผู้ชาย ในเรื่องอื่นๆ เป็นการสมควรอยู่ แต่ในเรื่องการกีฬาหรือออกกำลังกายเป็นการไม่สมควรเพราะธรรมชาติสร้าง ผู้หญิงมาเป็น "แม่" มีความอ่อนหวานนุ่มนวล จิตใจอ่อนโยน ส่วนผู้ชายนั้นเป็น "พ่อ" ผู้ต้องหาอาหารและปกป้องครอบครัว ร่างกายบึกบึนและมีจิตใจเข้มแข็ง องอาจ การที่ผู้หญิงจะเล่นกีฬาเหมือนผู้ชายไปเสียทั้งหมด นอกจากขัดกับประเพณีนิยม ยังอาจมีผลร้ายต่อร่างกายเนื่องจากความรุนแรง ความหนัก หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะและผลทางใจอีกด้วย

วัยผู้ใหญ่หรือวัยฉกรรจ์ (อายุ ๒๖-๓๕ หรือ ๔๐ ปี)

ในครึ่งระยะเวลาแรกร่างกายกำลังแข็งแกร่งเต็มที่ พ้นจากนั้นแล้วก็เริ่มเสื่อม ในระยะแข็งแกร่งจะเล่นกีฬาอะไรก็ได้ รวมทั้งกีฬาแข่งขันต่างๆ แต่ใน ระยะหลังต้องลดความหนักลงและงดการแข่งขันในประเภทหนักมากๆ

วัยกลางคน (อายุ ๓๕ หรือ ๔๐-๕๕ ปี)

ในวัยนี้กำลังความคิดขึ้นสูงเต็มที่ แต่กำลังกายและสมรรถภาพทางกายลดลงเรื่อยๆ ผู้ที่เคยออกกำลังมาก่อนแล้วพึงระลึกถึงความจริงข้อนี้ มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายเนื่องจากออกกำลังหนักเกินไป เพราะคิดว่ายังแข็งแรงเช่นแต่ก่อน

วัยสูงอายุ (อายุ ๕๕ ปีขึ้นไป)

เมื่ออายุย่างเข้าขั้นนี้ความตกต่ำของร่างกายมักปรากฏชัดเจน แต่ก็ยังออกกำลังได้ และจำเป็นต้องออกกำลัง เพื่อรักษาสภาพและ "ชะลอชรา" การออกกำลังและการกีฬาของคนปูนนี้จำเป็นต้องกำหนดเป็นพิเศษ ให้เหมาะกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในร่างกาย มีข้อที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ
(1 หลีกเลี่ยงการออกกำลังที่มีการแบ่งหรือออกแรงหนักอย่างกะทันหัน เช่น ยกน้ำหนัก กระโดด ฯลฯ
(2 หลีกเลี่ยงการแข่งขันแม้แต่ฉันมิตร (ยกเว้นผู้ที่เคยแข่งขันติดต่อมาตั้งแต่ยังหนุ่ม)
(3 หลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้ความเร็วสูง
(4 หลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หนักและติดต่อไปเป็นเวลานาน

ปลาเค็มผัดไข่หมูสับ ข้าวต้มรุ่งโรจน์ บางโพ

credit tangmo_tsu bloggang.com
ร้านข้าวต้มเก่าแก่ย่านบางโพ ต้องยกให้ร้านข้าวต้มรุ่งโรจน์ เปิดให้บริการมากว่า 30 ปี

รุ่งโรจน์ จารีตนิเวศน์ เจ้าของร้านและต้นตำรับข้าวต้มลือชื่อ กล่าวว่า ข้าวต้มของทางร้าน มีทั้ง ต้ม ผัด แกง และทอด เน้นวัตถุดิบสดใหม่วันต่อวัน และต้องคัดคุณภาพเกรดเอ ทุกอย่างเน้นคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อประโยชน์ของลูกค้า ที่เข้ามากินอาหารที่ร้าน

คุณรุ่งโรจน์จ่าย ตลาดเองทุกวัน เพื่อจะได้คัดเลือกวัตถุดิบที่ต้องการ โดยพ่อค้าแม่ค้าก็เป็นเจ้าประจำที่ค้าขายกันมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน จนทำให้รู้ใจกันว่าควรที่จะนำวัตถุดิบอย่างไรมาขายตนถึงซื้อ หากไม่ได้คุณภาพก็จะไม่ซื้อมาให้เสียชื่ออย่างเด็ดขาด

อาหารของทาง ร้านมีหลายอย่าง แต่ที่นิยมกันแทบทุกโต๊ะ ที่เข้ามานั่งกินที่ร้านคือ ?ปลาเค็มผัดไข่หมูสับ? เป็นอาหารที่เข้ากันอย่างลงตัวด้วยวัตถุดิบ ใช้หมูสับตัดความเค็มของเนื้อปลาอินทรีเค็ม แล้วเพิ่มความหอมมันด้วยไข่ไก่ ผัดจนเข้ากันแล้วจึงปรุงรสชาติอาหารอีกเล็กน้อย จะได้เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน เป็นเมนูดูเหมือนธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดาเลยทีเดียว 1 จาน กินได้ 2-3 คน



?ปลา ดุกกรอบผัดพริกสด? เมนูประจำของทางร้านที่คุณรุ่งโรจน์ได้คิดเมนูเด็ดนี้ขึ้นมา จนเป็นอาหารประจำร้าน สำหรับเนื้อปลาดุกจะไม่ใช้ ปลาดุกสด แต่ใช้ปลาดุกย่าง นำมาสับแบบหยาบๆ ทั้งตัว ไม่ใช้ส่วนหัวปลา หลังจากนั้นนำไปทอดจนเนื้อปลาเหลืองกรอบ ก่อนที่จะนำไปผัดกับกระเทียมพริกขี้หนูสด ปรุงรสชาติตามสูตรของทางร้าน 1 จาน กินได้ 2-3 คน

เมนูที่ทุกคนต้องบอกเป็นสียงเดียวกันเลยว่าร้าน ข้าวต้มมีทุกร้าน คือผัดผักบุ้งจีนไฟแดง แต่ที่ร้านนี้นอกจากรสชาติอาหารที่ไม่ธรรมดาแล้ว การจัดเรียงผักบุ้งจีนไฟแดงหลังจากผัดแล้ว เรียงได้อย่างเป็นระเบียบ สวยงามน่ากิน ถือว่าเป็นเคล็ดลับที่สามารถดึงดูดใจลูกค้า ที่มานั่งกินอาหารต้องสั่งเมนูนี้ทุกโต๊ะเลยก็ว่าได้ 1 จาน กินได้ 2-3 คน

?ต้ม จืดบ๊วยหมูสับ? เป็นสูตรเฉพาะของทางร้านอาหาร ไม่แพ้เมนูอื่นๆ โดยเป็นสูตรจีนโบราณ ถ่ายทอดมาจากเจ้าของต้นตำรับชาวจีน ต้มกับเครื่องปรุงรสสูตรของทางร้าน ใส่หมูสับที่หมักเครื่องปรุงรสชาติกลมกล่อม อัดแน่นอยู่ในถ้วยเสิร์ฟ โรยด้วยต้นหอมหั่นเป็นท่อนๆ รสชาติน้ำซุปจะหอม เปรี้ยวน้ำบ๊วยเล็กน้อย ตัดด้วยความหวานนุ่มของหมูสับ กินแล้วรู้สึกเลยว่าชุ่มคอ 1 ถ้วย กินได้ 3-4 คน

?ต้มยำน้ำใสไก่? จัดจ้านด้วยเครื่องต้มยำ ขิง ข่า ตะไคร้ แล้วปรุงรสด้วยน้ำมะนาวแท้ น้ำปลา พริกขี้หนูบุบพอแตก หากต้องการรสชาติจัดจ้านมากน้อยเพียงใด สามารถบอกกับทางร้านได้เลย ทางร้านเสิร์ฟในหม้อไฟที่ร้อนตลอดเวลา ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยผักชีฝรั่งซอย 1 หม้อ กินได้ 3-4 คน

คุณรุ่งโรจน์ฝากบอกว่า มากินอาหารที่ร้านต้องใจเย็น เพราะพ่อครัวมีเพียง 2 คนเท่านั้น

ร้าน ตั้งอยู่ริมถนนประชาราษฎร์สาย 1 ปากซอยประชาราษฎร์ 26 หยุดทุกวันที่ 20 ของเดือน สอบถามเส้นทางหรือรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-2585-5987