อร่อยบวกฮา “เบนิฮานา”เทปันยากิ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2555 16:03 น. 
บรรยากาศห้องอาหารเบนิฮานา
       5..5..5
      
       เสียงหัวเราะดังอย่างครื้นเครงของ “ตระเวนกิน” และผอง เพื่อนร่วมก๊วนกิน กำลังสนุกสนานกับการกินอย่างเพลิดเพลิน เพราะในมื้อนี้เราได้ชวนกันมาอิ่มหนำอย่างสำราญกับอาหารญี่ปุ่นสไตล์เทปันยา กิ กันที่ห้องอาหารเบนิฮานา อนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งที่นี่มีทั้งอาหารอร่อย และความฮาต้อนรับลูกค้าทุกคนที่มากิน
โซนโต๊ะนั่งกินซูชิ
       “เบนิฮานา” (ดอกไม้สีแดง เบนิ แปลว่า สีแดง ฮานา แปลว่า ดอกไม้) เป็นห้องอาหารญี่ปุ่นเทปปันยากิสเต็กเฮ้าส์ ที่มีจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีที่ไหนเหมือน ด้วยการบริการอาหารที่มีรสชาติชั้นเยี่ยม และโดดเด่นที่มีการแสดงจากเชฟฝีมือดี ลีลาเด็ดที่จะมาโชว์การทำอาหารให้เห็นต่อหน้าถึงโต๊ะเทปันยากิที่เรานั่งกัน โดยมีสโลแกนที่ว่า “ทุกมื้ออาหารคือการแสดง” ซึ่งเชฟทุกคนยินดีมอบความสนุกสนานให้แบบจัดเต็มตลอดมื้ออาหาร
      
       ห้องอาหารเบนิฮานาตกแต่งแบบญี่ปุ่นสวยงามทันสมัย เน้นโทนสีดำแดงแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นชวนนั่งสบายๆ ภายในห้องมีเคาน์เตอร์หินแกรนิตขนาดใหญ่ 2 ตัว เป็นเคาน์เตอร์บาร์บริการเครื่องดื่มแบบครบครัน และเคาน์เตอร์ซูชิบาร์ ที่เชฟจะทำซูชิและซาชิมิสดใหม่พร้อมเสิร์ฟต่อหน้า หรือจะเลือกไปนั่งมุมโต๊ะนั่งกินซูชิที่มองเห็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น และใจกลางห้องมีชุดกิโมโนขนาดใหญ่และชั้นวางสาเก ที่มีสาเกนานาชนิดจากญี่ปุ่นให้เลือกดื่มตามใจชอบ และมีโต๊ะเทปันยากิแบบส่วนตัวที่มาพร้อมเครื่องดูดควันสีทองเหลือง
ลีลาการปรุงอาหารของเชฟณัฐวัชร์
       สำหรับอาหารของที่นี่มีเทปันยากิเป็นอาหารเด่นดัง มีให้เลือกลิ้มรสมากมายกว่า 40 ชนิด หลากหลายไปด้วยเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งเนื้อวัวนำเข้าจากหลายประเทศ เนื้อปลาและอาหารทะเลสดๆ ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี เน้นเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่นาปรุงเป็นอาหาร รวมถึงยังมีอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ซูชิและซาซิมิสดๆ ให้ได้เลือกชิมกันด้วย
      
       ในมื้อนี้เราก็ได้เลือกสั่งมาทั้งเมนูเทปันยากิ ซูชิและซาซิมิมากินกันแบบเต็มที่ เอาล่ะได้เวลามาอิ่มหนำกับเทปันยากิของที่นี่กันแล้ว พวกเราเข้านั่งประจำที่โต๊ะเทปันยากิ เชฟก็จะเข็นรถอุปกรณ์มาเข้าที่ ซึ่งในมื้อนี้เราได้เชฟอารมณ์ดี มากด้วยลีลาเด็ด นามว่าณัฐวัชร์ จันทะวงศรี หรือมีฉายาเก๋ๆ ว่าเชฟอาจารย์กู้ มาปรุงอาหารให้ถึงโต๊ะกันเลย
หอยเชลล์อบชีส
       แต่ก่อนที่จะกินเทปันยากิและชมลีลาเด็ดของเชฟ มาชิมเมนูเรียกน้ำย่อยกันก่อน หอยเชลล์อบชีส (425 บาท++) เป็นหอยเชลล์ญี่ปุ่นตัวใหญ่ ราดด้วยเครื่องต่างๆ มีมอสซาเรลราชีส พาเมซานชีส หอมแดงสับ และพริกชี้ฟ้า ทาด้วยซอสสลับกับวางหอยเชลล์เป็นชั้นๆ แล้วอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ หอมกลิ่นชีส กินแล้วหอยเชลล์เนื้อหวานนุ่มเข้ากับชีสอร่อยถูกปาก
ปลาแซลมอนแอตแลนติก
       จากนั้นมากินเทปันยากิกัน ที่สั่งมาคือ ปลาแซลมอนแอตแลนติก (950 บาท++) เป็นปลาแซลมอนจากแอตแลนติก นำมาปรุงด้วยเกลือ พริกไทย เนยจืด และมะนาว ปรุงร้อนๆ บนเตาเทปันยากิ และถ้าสั่งชุดเทปันยากิจะเสิร์ฟมาพร้อมซุปหัวหอม สลัดผัก กุ้งผัดกับเนย กระเทียม พริกไทย และมะนาว แถมมีทีเด็ดที่หางกุ้งทอดสไตล์เบนิฮานา ผัดผักแบบเบนิฮานา ข้าวสวย และชาเขียว
      
       เชฟอาจารย์กู้โชว์การปรุงทำปลาแซลมอนด้วยลีลาอันน่าตื่นเต้น คล่องแคล่วในการใช้อุปกรณ์ทำครัวและภาชนะต่าง ๆ มีการโยนอุปกรณ์ต่างๆ ใส่กระเป๋าเสื้อ ใส่หมวกที่อยู่บนหัวเรียกเสียงปรบมือในความแม่นยำ และขณะปรุงก็โยนกระปุกเกลือ พริกไทย แบบสนุกสนาน แถมยังให้เราได้ลองความแม่นด้วยการโยนใส่หมวกกของเชฟเอง และส่งมุขขำๆ ให้ได้หัวเราะกันอย่างครื้นเครง พอปรุงปลาแซลมอนเสร็จก็ตักเสิร์ฟลงจานที่อยู่ตรงหน้าเรา ชิมแล้วสัมผัสได้ถึงความนุ่มของเนื้อปลาที่สดหวานอยู่ในตัว และมีซอสเทอริยากิหอมหวาน และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของเบนิฮานาให้เลือกจิ้มกินอยู่ 3 แบบ มีซอสขิง ซอสครีมมัสตาร์ด ซอสเผ็ด
เนื้อสันใน ตับห่าน หน่อไม้ฝรั่งขาว และซอสเห็ดทรัฟเฟิล
       เทปันยากิชุดต่อมาคือ เนื้อสันใน ตับห่าน หน่อไม้ฝรั่งขาว และซอสเห็ดทรัฟเฟิล (1,750 บาท++) เป็นเนื้อสันในจากสหรัฐอเมริกา ตับห่านจากฝรั่งเศส เสิร์ฟกับหน่อไม้ฝรั่งสีขาว เชฟจะปรุงให้บนเตาเทปันยากิ พร้อมกับวาดลวดลายการปรุงอย่างสนุกสนาน ปล่อยมุขหยอกล้ออย่างขำขันให้เราได้สนุกไปกับการกินอย่างเต็มที่ แถมยังมีโชว์เด็ดๆ อย่างมายากลที่เชฟแสดงให้ดูเล่นเอาอึ้งทึ่ง กับความสามารถของเชฟไปเลย
      
       พอปรุงเนื้อและตับห่านเสร็จเชฟก็เสิร์ฟใส่จาน ลิ้มรสเนื้อสันในเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากมาก กินคู่กับซอสเห็ดทรัฟเฟิลรสดีเช้ากันจริงๆ ส่วนตับห่านด้านนอกกรอบนิดๆ เนื้อในหวานนุ่มมากกินคู่กับซอสสาหร่ายหวานหอมเข้ากัน หน่อไม้ฝรั่งขาวก็หวานกรอบ
ลูกค้าได้ร่วมสนุกสนานไปกับเชฟด้วย
       และใช่ว่าเชฟจะโชว์การแสดงให้เราดูอย่างเพลิดเพลินในขณะกินอาหาร เพียงอย่างเดียว ยังมีการเชิญชวนให้เราได้ออกไปร่วมสนุกกันด้วย มีการโชว์หมุนไข่ไก่ และโยนรับไข่ไก่ให้ได้โดยไม่แตก เรียกว่าสร้างความสนุกสนานและความประทับใจที่ได้มากินเป็นอย่างมากเลย
ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปูอลาสก้าคลุกด้วยเกล็ดเทมปุระ
       แล้วนอกจากเมนูเทปันยากิแล้ว เรายังได้สั่งซูชิและซาซิมิมากินด้วย มีข้าวห่อสาหร่ายไส้ปูอลาสก้าคลุกด้วยเกล็ดเทมปุระ (350 บาท++) ทำเหมือนแซนวิสเปิดหน้า เป็นข้าวญี่ปุ่นวางบนสาหร่าย ข้างในสอดไส้ปูอลาสก้า ปลาฮามาจิ ปรุงรสด้วยมายองเนส เกล็ดขนมปัง แตงกวาญี่ปุ่น ไข่กุ้ง ไข่ปู ด้านบนโรยเกล็ดขนมปัง ไข่กุ้งสามสี กินแล้วเคี้ยวเต็มปากเต็มคำกรอบนุ่มรสดีถูกปากจริง
ข้าวห่อสาหร่ายไส้สลัดทูน่า ราดซอสเผ็ด
       ข้าวห่อสาหร่ายไส้สลัดทูน่าราดซอสเผ็ด (350 บาท++) เป็นข้าวปั้นญี่ปุ่นปั้นเป็นก้อนกลมๆ ห่อด้วยปลาทูน่า คลุกด้วยงาดำ ราดด้วยซอสเผ็ดสูตรเด็ดเฉพาะ ใส่แผ่นทอง และมีอโวคาโด้ ปลาทูน่าปรุงกับซอสพริกสูตรพิเศษและมายองเนส มาให้กินเป็นเครื่องเคียงกัน กินข้าวปั้นเคี้ยวนุ่มปากหวานปลาทูน่าออกรสเผ็ดนิดๆ จากซอสเผ็ด ส่วนเครื่องเคียงที่ให้มาก็อร่อยกินเข้ากันดี
ปลาหางเหลืองแล่บางทรงเครื่อง
       แถมท้ายด้วย ปลาหางเหลืองแล่บางทรงเครื่อง (450 บาท++) เป็นปลาฮามาจิจากญี่ปุ่นสไลด์เอาแต่เนื้อบางๆ ปรุงรสให้เผ็ดด้วยพริกดอง พริกชี้ฟ้า ใส่ผิวมะนาวเหลือง ราดน้ำมันงาและไข่ปลาแซลมอน ชิมเนื้อปลาฮามาจินุ่มหวานผสานรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยวนิดๆ กลมกล่อมโดนใจ
บรรดาเชฟอารมณ์ดีของห้องอาหารเบนิฮานา
       เรียกว่ามื้อนี้เราได้ทั้งอิ่มท้องกับเทปันยากิและอาหารญี่ปุนรสดี พร้อมกับอิ่มสุขกับความเพลิดเพลินสนุกสนานในการกิน ซึ่งหากใครอยากจะสัมผัสความสุขสนุกสนานในการกินอาหารแบบนี้บ้าง ขอบอกว่าให้จูงมือกันมาที่ “เบนิฮานา” ซึ่งทุกคนจะได้รับทั้งความอร่อยและความฮา
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “เบนิฮานา” (Benihana) ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ถ.เจริญนคร กทม. การเดินทางสามารถเดินทางจากสะพานตากสินข้ามมายังฝั่งธนบุรี เมื่อลงสะพานแล้วให้เลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งตรงไปจนเจอสามแยก ให้เลี้ยวขวา ตรงไปตาม ถ.เจริญนคร จนถึงเจริญนคร 59 สังเกตุขวามือจะเห็นสถานีตำรวจบุคคโล และจะเห็นโรงแรมฯอยู่ทางซ้ายมือ หรือหากเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS หรือเรือด่วนเจ้าพระยา ให้ลงที่สะพานตากสิน แล้วใช้บริการเรือรับส่งของทางโรงแรมฯ เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11.30 - 14.30 น. มื้อค่ำ 18.00 - 22.30 น. ถ้ามากินศุกร์-อาทิตย์ ควรโทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2476-0022 ต่อ 1416

ข้าวหมาก ขนมหวานไทยโบราณกินดีมีประโยชน์



รู้จัก “โปรไบโอติก” แบบไทย
เมื่อ เอ่ยถึง ข้าวหมาก จะว่าไปแล้วตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในงานสำคัญ งานมงคลต่างๆ ต้องมีสิ่งนี้อยู่แทบจะทุกวาระสำคัญ แต่กับเด็กยุคปัจจุบันคงส่ายหน้าหากถามถึง และเพื่อความกระจ่างในข้อมูลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับข้าวหมากนั้น

ภญ.ดร.สุ ภาภรณ์ ปิติพร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาภูมิปัญญาไทย มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูลว่า ข้าวของไทยสามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ซึ่งข้าวหมากก็เป็นภูมิปัญญาไทยในการแปรสภาพข้าวให้มีรสหวาน นำมาเป็นเครื่องปรุงรสกับอาหารหลายประเภท และด้วยความหลากหลายของสรรพคุณทำให้ในปัจจุบันมีการค้นพบ “โปรไบโอติก (Probiotics)” ในข้าวหมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาหารเสริมซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดย

การปรับกลไกจุลินทรีย์ในร่างกายให้มีความสมดุล
ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเชื้อธรรมชาติในกระเพาะและลำไส้ที่ช่วยให้การย่อยดีขึ้น
สร้างวิตามินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นตัวต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่างๆแก่ร่างกาย
ทั้งยังช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย


ปัจจุบัน มีการนำโปรไบโอติกบรรจุแคปซูลขายเพื่อส่งเสริมแก่ผู้รักสุขภาพ แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาที่แพงไม่ใช่เล่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วบ้านเราเองได้รับสารโปรไบโอติกมาอย่างช้านานจากข้าว หมากนั่นเอง ซึ่งคนโบราณอาจมีการนำแป้งข้าวหมากใส่เติมลงไปในยา หรือเป็นเครื่องปรุงในอาหารหลากหลายประเภท ดังนั้นคนไทยจึงมีการกินโปรไบโอติกมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในต่างประเทศก็เช่นกัน อย่าง ญี่ปุ่น ก็จะอยู่ในรูปของถั่วเน่า หรือ นัตโตะ, เกาหลีก็อยู่ในกิมจิ หรือแม้กระทั่งอินเดียก็มีโยเกิร์ต โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือโปรไบโอติกที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ”

เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี
ภญ.ดร.สุ ภาภรณ์ อธิบายต่อว่า ในอดีตเชื่อว่า ข้าวหมากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเจริญเติบโตในเด็กให้ดีขึ้น จึงต้องกินตอนเช้าเพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่น และกระตุ้นให้แบคทีเรียภายในร่างกายทำงาน โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่แข็งแรง เหงื่อออกง่าย อ่อนเพลีย ตัวสั่น ก็มักจะให้กินข้าวหมาก และในผู้ใหญ่ที่เป็นไข้ ไม่มีแรง ผอมแห้ง หมอยาพื้นบ้านก็จะแนะนำให้คนไข้กินข้าวหมากกับน้ำต้มเคี่ยวของแก่นขี้เหล็ก ซึ่งหากมองในปัจจุบันก็จะพบว่าสิ่งเหล่านี้แทบจะไม่ถูกพูดถึง เนื่องจากแป้งข้าวหมากหายาก คนที่จะทำแป้งข้าวหมากก็ไม่มี

สำหรับ วิธีการทำแป้งข้าวหมากนั้นอาจมีขั้นตอนที่ยุ่งยากแต่ก็สามารถทำได้ภายในครอบ ครัวโดยการ นำข้าวเจ้าไปแช่น้ำและตำให้ละเอียด แล้วนำมาคลุกกับเชื้อยีสต์ จากนั้นนำสมุนไพรที่มีทั้ง ข่า, ขิง, ชะเอม, อบเชย และ ดีปลี บดให้ละเอียดนำมาคลุกกับข้าวที่เตรียมไว้ จากนั้นบ่มทิ้งไว้ 2 วัน ขณะเดียวกันก็นำข้าวเหนียวมานึ่งแล้วมาล้างน้ำให้สะอาด นำแป้งผสมหัวเชื้อที่บ่มไว้คลุกลงในข้าวเหนียวที่นึ่งปิดฝาทิ้งไว้ระยะหนึ่ง เชื้อยีสต์ก็จะเจริญเติบโตในข้าวเหนียวที่นำไปคลุก และจะได้มาเป็นข้าวหมากในที่สุด

“ตอน นี้อาหารการกินได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง อาหารที่ได้มาจากธรรมชาติหมดไป แทนที่ด้วยอาหารสำเร็จรูปที่อุดมไปด้วยสารเร่งต่างๆ ซึ่งเด็ก เยาวชนเองก็เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอาหารเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาต้องกินข้าว และให้เวลากับการดูแลสุขภาพน้อยลง อีกทั้งการที่เด็กได้รับแต่ของหวานจากอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวทั้งหลายเป็นประจำ จะส่งผลให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้น ซึ่งยืนยันได้จากผลการวิจัยในต่างประเทศที่พบข้อมูลที่สำคัญนี้ ดังนั้น ทุกคนควรหันกลับมากินข้าวให้มากขึ้น เพราะข้าวนั้นยังมีสาร GABA ที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย นอนหลับ ป้องกันอัลไซเมอร์ และยังช่วยกระชับริ้วรอยต่างๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เราจะได้รับเมื่อเราหันมากินข้าวไทย”

http://kawmakpaphada.blogspot.com/

ขนมจีนน้ำยากะทิสด+ไข่ต้ม

ขนมจีนน้ำยากะทิสด+ไข่ต้ม
ส่วนผสมเครื่องแกง
พริกแห้งเม็ดเล็กแกะเม็ดแช่น้ำ 20 เม็ด
พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดแช่น้ำ 10 เม็ด
กระเทียม 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย 1/4 ถ้วยตวง
ตะไคร้ซอย 1/4 ถ้วยตวง
กระชายหั่น 1/4 ถ้วยตวง
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
กะปิ 1/2 ช้อนชา


ส่วนผสม
เส้นขนมจีน 1 1/2 กิโลกรัม
ปลาน้ำดอกไม้ 600 กรัม
มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
น้ำ 3 1/2 ถ้วยตวง
ตะไคร้หั่นท่อนขนาด 2 นิ้ว 5 ชิ้น
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ใบมะกรูดฉีก 1/2 ถ้วยตวง
ผักสด ผักลวก หรือ ผักดอง ไข่ต้ม


วิธีทำ
1. ล้างปลาและควักไส้และเหงือกออก พักไว้
2. คั้นมะพร้าวด้วยน้ำอุ่น 2 ถ้วย คั้นให้ได้หัวกะทิ 3 ถ้วย ใส่น้ำอุ่นอีก ½ ถ้วยคั้นให้ได้หาง 1 ถ้วยตวง จากนั้นเติมน้ำพร้อมกับใส่ตะไคร้ในในหม้อไฟปานกลางจนเดือดจัดใส่ปลาลงต้มนาน 15 นาที หรือจนมีกลิ่นหอมสังเกตุดูว่าเนื้อปลาล่อน ตักใส่จานเมื่ออุ่นแกะลงในโถปั่น ตามด้วยหัวกะทิ 1 ถ้วย ปั่นจนเนื้อละเอียด พักไว้
3. ทำน้ำยาโดยการปั่นเครื่องแกงทั้งหมด ตามด้วยทางกะทิปั่นด้วยกันให้ละเอียด เทลงใส่หม้อใส่หัวกะทิที่เหลือตามด้วยเนื้อปลา คนให้เข้ากันตั้งไฟปานกลาง เมื่อร้อนปรุงรสตามความชอบปิดไฟใส่ใบมะกรูด จัดขนมจีนใส่จานตักน้ำยากะทิสดราด เสิร์ฟพร้อมตะกร้าผักเหนาะ ไข่ต้ม แซ่บแท้

ข้าวแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น (Chikkin Kare Raisu)

ข้าวแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น (Chikkin Kare Raisu)

ซู้ด..ซู้ด..น้ำลายไหล นึกถึงแกงกะหรี่บ้านเราที่ทั้งหอมและสีชวนกินก็ต้องไม่พลาดเมนูนี้ ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นที่นิยมเลยนะ แต่ความเผ็ดร้อนคงสู้ของพี่ไทยไม่ได้แน่ มาลองทำดูกันเลยดีมั้ยคะ???



เครื่องปรุง

ข้าวสวยญี่ปุ่น
3
ถ้วย
สะโพกไก่
2
ชิ้น
แครอท, มันฝรั่ง
1/2
หัว
หอมใหญ่
2
หัว
มันฝรั่งต้มสุกบดละเอียด
1/2
หัว
กระเทียมสับหยาบ
1
ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น พริมไทยป่น
1/2
ช้อนชา
ซีอิ้วญี่ปุ่น
1/4
ถ้วย
ผงกะหรี่
1
ช้อนชา
น้ำซุปปลาแห้ง
1
ถ้วย
น้ำ
1
ถ้วย
เนย
2
ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ล้างสะโพกไก่ เลาะกระดูกและหนังออก หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม. พักให้สะเด็ดน้ำ
2. เคล้าเนื้อไก่กับเกลือ พริกไทยพอทั่ว หมักไว้ประมาณ 15 นาที
3. ล้างแครอท มันฝรั่ง ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม. ปอกเปลือกหอม-ใหญ่ ล้างน้ำ หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 2x2 ซม.
4. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟกลางพอร้อน ใส่เนื้อที่หมักไว้ในข้อ 2 ลงทอดพอตึงตัว ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
5. ต้มแครอท มันฝรั่ง พอสุก ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
6. ผสมซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำซุป น้ำ ตั้งไฟเคี่ยวประมาณ 10 นาที ใส่ผงกะหรี่ ใส่หอมใหญ่ แครอทต้ม มันฝรั่งต้ม ไก่ทอด เคี่ยวสักครู่
7. ใส่เนยลงในกระทะ ตั้งไฟกลางพอเนยละลาย ใส่กระเทียม เจียวพอหอม ใส่ลงในหม้อไก่ คนให้เข้ากัน ใส่มันฝรั่งบด เคี่ยวพอน้ำมีลักษณะข้นเหนียว ปิดไฟ
8. วิธีจัดเสิร์ฟ ตักข้าวสวยใส่จาน ตกแต่งด้วยใบชิโซ ตักแกงกะหรี่วางข้างๆ
วิธีทำน้ำซุปปลาแห้ง

เนื้อปลาโอขูดแห้ง
20
กรัม
น้ำ
15
ถ้วย
ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟกลางพอเดือด ใส่ปลาแห้ง เคี่ยวไฟอ่อนประมาณ 10 นาที ปิดไฟ กรองเอาแต่น้ำซุปใสๆ จะได้น้ำซุปประมาณ 15 ถ้วย

ที่มา http://www.siamkane.com/chicken_kare.php

เปรี้ยวปากกับ "ปลาสำลียำมะม่วง"




เมื่อ วันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาหลายๆ คนคงจะได้ไปเที่ยวเล่นสาดน้ำกันมาอย่างสนุกสนานเต็มอิ่มแล้ว ส่วนตัว "กุ๊กเล็ก" เองก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่เล่นสาดน้ำกับเด็กๆ แถวบ้าน แล้วก็ขลุกอยู่ในครัวหาเมนูอาหารอร่อยๆ มาฝากกันเช่นเคย

และพอดีว่าช่วงนี้มีมะม่วงเปรี้ยวดิบๆเยอะ กุ๊กเล็ก จึงนำมะม่วงมาทำเมนู "ปลาสำลียำมะม่วง" มาให้ลองทำลองชิมกัน สำหรับยำมะม่วงที่ใช้หม่ำกับปลาสำลีนั้นเป็นคนละสูตรกับยำมะม่วงที่กุ๊กเล็ก เคยนำเสนอไปเมื่อตอนที่แล้ว

ว่าแล้วก็อย่ารีรอไปเตรียมส่วนผสมปลาสำลียำมะม่วงกันเลย

ส่วนผสม

ปลาสำลีขนาดกลาง 2 ชิ้น
ไข่ไก่ 1 ฟอง
แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
เกล็ดขนมปังป่นสำหรับชุบปลาทอด 1 ถ้วย
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือเล็กน้อยสำหรับทาบนเนื้อปลา
พริกทอดสำหรับกินแกล้มตามชอบใจ

ส่วนผสมยำมะม่วง

มะม่วงดิบเปรี้ยว 1 ลูก
หอมแดง 5 หัว
พริกขี้หนู 5 เม็ด
น้ำตาล น้ำปลา ตามใจชอบ

วิธีทำ เริ่มจากนำปลาสำลีมาล้างให้สะอาด ทาเกลือเล็กน้อยให้ทั่วตัวปลาแล้วนำมาผึ่งไว้ให้แห้ง หลังจากนั้นนำปลาสำลีทั้งสองชิ้นมาคลุกกับเเป้งให้ทั่ว แล้วนำไปชุบไข่ที่เตรียมไว้ แล้วมาคลุกกับเกล็ดขนมปังให้ติดทั่วกันทั้งชิ้นปลา เสร็จแล้วหันมาตั้งกระทะใส่น้ำมันให้พอท่วมชิ้นปลา ตั้งไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อนดีแล้วก็นำปลาสำลีลงไปทอดจนเกล็ดขนมปังด้านนอกเริ่มเป็นสี เหลืองจึงตักออกมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน (ส่วนตอนจะกินให้โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับพริกทอดตามใจชอบเพื่อ เพิ่มรสชาติ)

คราวนี้หันมาจัดการกับยำมะม่วงกันบ้าง นำมะม่วงเปรี้ยว(จี๊ด)มาซอยให้เป็นเส้นเล็กๆ เท่าๆ กัน จับเอาหอมแดงและพริกขี้หนูมาซอยๆๆ เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมยำมะม่วงมาคลุกรวมกัน เติมน้ำปลา น้ำตาลชิมรสตามใจชอบ หรือจะทำน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้จิ้มกับปลาสำลีอีกอย่างหนึ่งด้วยก็ได้ ก็แค่เอาพริกขี้หนูและกระเทียมมาตำให้ละเอียด เติมน้ำปลาเล็กน้อย อยากให้รสเปรี้ยวหวานอย่างไรก็ใส่ได้ตามใจ

เป็นอันเสร็จเรียบร้อยกับเมนู "ปลาสำลียำมะม่วง" เนื้อปลาสำลีกรอบนอกนุ่มในกับยำมะม่วงรสเปรี้ยวปาก เมื่อกินคู่กันก็จะได้รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากัน แต่ของอย่างนี้ไม่ลองชิมลองทำเองก็คงไม่รู้


โดย : กุ๊กเล็ก

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์