“ปฐมโอชา” เลิศรสก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น

 




 คำว่า “โอชา” ที่แปลว่า “อร่อย” นั้นใช้กับอาหารเลิศรสทั้งหลายที่เมื่อผ่านการลิ้มลองแล้วก็ต้องบอกว่า “อร่อยมาก” อย่างร้านไหนที่ใช้ชื่อว่าโอชา ก็สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าต้องอร่อยแน่นอน เหมือนร้านที่ “ผ่านมาแวะกิน” จะพาไปลองชิม ก็ใช้ชื่อว่า “ปฐมโอชา” ที่เมื่อลองชิมแล้วต้องบอกว่าโอชาในเรื่องก๋วยเตี๋ยวเป็ดจริงๆ
      
       ร้าน “ปฐมโอชา” เปิดมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 (ลองนับดูกันเล่นๆ ว่ากี่ปี) โดย คุณนิวัฒน์ รุ่งรักไทย เป็น ผู้ก่อตั้ง ซึ่งนอกจากชื่อที่มาจาความโอชาแล้ว คำว่าปฐมที่นำมาใช้นั้นก็มาจากการที่คุณนิวัฒน์เป็นชาวนครปฐมที่ขึ้นชื่อ เรื่องเป็ดนั่นเอง
ก๋วยเตี๋ยวเป็ดต้มยำ
       ก๋วยเตี๋ยวเป็ดของร้านนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นสไตล์จีน เป็นเป็ดตุ๋นน้ำแดง ที่ในภายหลังพลิกแพลงมาเพิ่มเติมหมูกรอบ และปรุงรสเป็นต้มยำลงไปเพิ่มความอร่อยแปลกใหม่ด้วย
      
       สำหรับน้ำซุปที่ใช้ทำก๋วยเตี๋ยวจะเคี่ยวจากกระดูกเป็ดผสมกับกระดูก หมู และเนื้อเป็ด เคี่ยวพร้อมกับเครื่องยาจีนและเครื่องเทศไทย ปรุงรสตามสูตรของทางร้าน ก็จะได้น้ำซุปแดงยาจีนที่หอมชวนกิน ส่วนเป็ดนั้นเลือกใช้เป็ดไทย เป็นเป็ดแก่นำมาต้มกับน้ำ แล้วสับเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ตุ๋นกับน้ำซุปให้เข้าเนื้อ
ก๋วยเตี๋ยวเป็ดแห้งต้มยำ
       ส่วนเครื่องในเป็ด ทั้งกึ๋น ไส้ และตับ นำมาทำความสะอาดแล้วต้มกับน้ำซุป นอกจากนี้ก็ยังมีหนังหมู ที่นำไปใส่ในก๋วยเตี๋ยวก็นำมาตุ๋นกับน้ำซุปเช่นกัน ส่วนหมูกรอบ ที่อร่อยไม่แพ้เป็ดตุ๋นนั้นเลือกใช้หมูสามชั้น หมักกับเครื่องเทศ ปรุงรส แล้วนำไปทอด
      
       ดูเครื่องเคราส่วนผสมกันไปแล้ว ก็ต้องลองชิมของจริงว่าจะโอชาแค่ไหน เริ่มจากเมนูเด็ด ก๋วยเตี๋ยวเป็ดต้มยำ (45 บาท) ที่มีเส้นให้เลือกทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ และบะหมี่ ใส่เครื่องเคราทั้งเป็ดตุ๋น หมูกรอบ หมูสับ กุ้งแห้ง หนังหมู เลือดเป็ด เห็ดหอม ไส้ กึ๋น และตับ ใส่น้ำซุปแดงยาจีน ปรุงรสใส่น้ำตาลทราย พริกป่น ถั่วป่น และมะนาว ลองชิมรสชาติแซ่บอร่อยโดนใจ
เป็ดตุ๋นและไส้เป็ด
       หรือถ้าสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดแห้งต้มยำ (45 บาท) ก็ใส่เครื่องเครามาเหมือนกัน และปรุงรสต้มยำได้จัดจ้าน หอมมันถั่วป่น แล้วขอน้ำซุปร้อนๆ มาซดก็ยิ่งอร่อย เครื่องในไม่เหม็นไม่คาว เคี้ยวนุ่มปาก เลือดเป็ดนุ่ม หมูกรอบกรอบอร่อย
      
       ส่วนใครที่อยากลองลิ้มเนื้อล้วนๆ ให้อิ่มใจ ก็ต้องสั่ง เป็ดตุ๋น (60 บาท) ที่มีให้เลือกทั้งเนื้อเป็ด ปีก ขา คอ และลิ้น หรือจะเลือกผสมกันก็ได้ ชิมแล้วเนื้อนุ่ม ไม่แข็งไม่สาบ หอมกลิ่นยาจีน หรือจะชิม ไส้เป็ด (60 บาท) ที่เคี้ยวแล้วเด้งกรุบกินเพลิน
เป็ดพะโล้
       แล้วยังมี เป็ดพะโล้ (60 บาท) ที่ทางร้านจะใช้เป็ดเชอรี่มาตุ๋นกับเครื่องพะโล้อยู่เกือบชั่วโมง จากนั้นก็แล่ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้กินง่าย ลองชิมเป็ดเนื้อนุ่มอร่อย ได้รสชาติเค็มนิดๆ กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็ยิ่งอร่อย แต่ถ้าไม่พอก็ขอแนะนำให้สั่ง หมูกรอบ (60 บาท) มากินคู่กันด้วย จะได้ความกรอบนอกนุ่มใน รสชาติโดนใจจริงๆ
      
       อร่อยโอชา ถูกใจถูกปากแบบนี้ ก็ต้องมาชิมก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นกันที่ร้าน “ปฐมโอชา” ซึ่งนอกจากจะมีที่สาขา ถ.กาญจนาภิเษกแห่งนี้แล้ว ก็ยังมีอีกสาขาที่ ถ.ราชพฤกษ์ อีกด้วย
หมูกรอบ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “ปฐมโอชา” ตั้งอยู่ที่ 443 ถ.กาญจนาภิเษก แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. การเดินทางจาก ถ.บรมราชชนนี ให้เลี้ยวเข้าสู่ ถ.กาญจนาภิเษก มุ่งหน้าเดอะมอลล์บางแค ผ่านเดอะมอลล์ ขึ้นสะพานข้ามถนนเพชรเกษม วิ่งตรงไป จากนั้นให้กลับรถที่สะพานกลับรถ แล้วชิดซ้าย สังเกตซ้ายมือจะเห็นร้านตั้งอยู่ริมถนนก่อนถึงศาลเจ้าแม่ทับทิม มีป้ายให้เห็นชัดเจน สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. โทร. 0-2803-5431, 08-1832-2768 ส่วนสาขา ถ.ราชพฤกษ์ มุ่งหน้าออก ถ.บรมราชชนนี จะอยู่ทางซ้ายมือ โทร. 08-1912-4245, 08-9494-0696 สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ ร้านปฐมโอชา สาขา ถ.กาญจนาภิเษก ปิดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 - 4 มกราคม 2555 ส่วนสาขา ถ.ราชพฤกษ์ เปิดทุกวัน

"น้ำทับทิม" ป้องกันสมองเสื่อม


credit karnoi bloggang.com




ทับทิม
เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ
ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง





นอกจาก
ทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก
มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี
ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย

สรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....
- ทับทิม
- แตงโม
- มะนาว
- ส้ม
- สับปะรด

ขั้น
ตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง
บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน
เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน
จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่
ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที

ที่มา : ที่นี่ดอทคอม

พิษปลาปักเป้า



credit bangkokseen1 bloggang.com




พิษปลาปักเป้า

ปลาปักเป้ามีพิษก็เพราะว่ากินอาหารตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพืช หอยเม่น
หอยทะเล หนอนทะเล ซึ่งมีเชื้อแบคทีเรีย
ทำให้ปลาปักเป้าเกิดการสร้างพิษสะสมในตับ ไข่ ต่อมเพศ หนัง กระเพาะ
และลำไส้ เรียกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยพิษ
แต่ปริมาณพิษจะรุนแรงสุดที่รังไข่กับตับ
กินเข้าไปจะรู้สึกชาและคันที่ริมฝีปาก ลิ้นและปลายนิ้วกระตุก ระคายคอ
ปวดท้อง อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเบา และเสียชีวิตในที่สุด


การกินปลาปักเป้าต้องรู้หลักและวิธี
คือจะต้องชำแหละไม่ให้เครื่องในและน้ำดีในตัวปลาสัมผัสแตะต้องกับเนื้อปลา
คือต้องเป็นคนทำเป็นจริงๆ ถึงจะปลอดภัย


เมื่อปี พ.ศ. 2485 มีผู้สกัดสารพิษจากปลาปักเป้าที่เรียกว่า
เตโตรโดทอกซิน ซึ่งสะสมอยู่ในไข่ ตับ น้ำดี กระเพาะ ลำไส้ ผิวหนัง
รวมทั้งอาจมีอยู่ในเนื้อปลาด้วย หากรับประทานเข้าไป อย่างเร็ว 10 นาที หรือ


อย่างช้าไม่เกิน 4 ชั่วโมง พิษก็จะแสดงอาการ
และที่สำคัญพิษนี้จะทนต่อความร้อนมาก แม้ว่าจะใช้
ความร้อนที่อุณหภูมิสูงถึง 70 องศาเซลเซียล นาน 10 นาที
ก็ไม่อาจทำลายพิษนี้ได้


สำหรับสารเตโตรโดทอกซินจะทำลายระบบปราสาทของคนที่กินปลาปักเป้า
โดยขัดขวางการเคลื่อนที่ของโซเดียมอิออนที่อยู่บริเวณผนังเซลล์ปราสาท
และทำให้เส้นปราสาทไม่ทำงาน โดยผู้ป่วยที่รับพิษมีอาการ 4 ขั้น


ขั้นที่ 1 เริ่มจากอาการชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ปลายนิ้ว คล้ายฉีดยาชา คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียน กระสับกระส่าย

ขั้นที่ 2 จะมีอาการชา และอาเจียนมากขึ้น แขนขาอ่อนแรงหรือเดินไม่ได้

ขั้นที่ 3 แขน ขา เคลื่อนไหวไม่ได้ กล้ามเนื้อกระตุก คล้ายอาการชัก พูดลำบากออกเสียงเป็นอัมพาต แต่ผู้ป่วยยังมีสติอยู่

ขั้นที่ 4 มีอาการหายใจไม่ออก เพราะกล้ามเนื้อที่ช่วยหายใจเป็นอัมพาต ลำตัวเขียวคล้ำ หมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีก็จะเสียชีวิต

ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษดังกล่าวเลย

สำหรับผู้ที่กินปลากปักเป้าแล้วเกิดพิษนั้น ไม่ได้มาจากการแพ้
แต่เพราะกินสารพิษเตโตรโดทอกซิน อาการจะมาหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า
รับสารพิษเข้าร่างกายมากหรือน้อย และกินส่วนใดของปลา เช่นถ้ากินไข่
หรือตับจะได้รับสารพิษมาก หากกินเนื้อและหนังจะได้รับสารพิษน้อยกว่า


ดังนั้นหากกินสารพิษเข้าไปในปริมาณมาก ก็จะเกิดอาการพิษทุกราย
ไม่มีการยกเว้นว่าแพ้หรือไม่แพ้ปลาปักเป้ารวมถึงการกินปลาปักเป้าในฤดูวาง
ไข่ ซึ่งเป็นฤดูที่ปลาผลิตสารพิษสูงตามไปด้วย


ทางที่ดีถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ควรรับประทานจะดีกว่า ปลอดภัยที่สุด

“ข้าวมันไก่เจ๊วา” อร่อยโดนใจคนชอบไก่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2547 15:37 น.
บรรยากาศภายในร้านที่จะเห็นมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายมานั่งกิน
       “ยอม ยอมเป็นข้าวมันไก่ กิน กินฉันให้อร่อย”
      
       มื้อนี้ “ผ่านมาแวะกิน” ขอฮัมเพลงนี้ของพี่เจมส์ไปพร้อมๆกับการกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อย ถึงจะรู้ว่าเป็นมารยาทที่ไม่ค่อยงามนัก แต่ก็อดใจไม่ไหวจริงๆ เพราะ “ข้าวมันไก่เจ๊วา” ที่อยู่ตรงข้ามเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยฯ นั้นอร่อยไม่แพ้ใครเลย และนอกจากจะมีข้าวมันไก่แล้ว ยังมีของดีของเด็ดในร้านอีกหลายเมนูให้ลิ้มลอง เอาล่ะ !! ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอสาธยายให้รู้กันเลยว่าที่บอกอร่อยๆนั้นเป็นยังไง เพราะขืนมัวชักช้าเดี๋ยว วัยรุ่นเซ็ง
ข้าวมันไก่ ไก่นุ่ม ข้าวมัน
       จานแรกเป็น ข้าวมันไก่ (25-30 บาท) ถามกูรูข้าวมันไก่ว่าสุดยอดความอร่อยของข้าวมันไก่อยู่ตรงไหน ก็ได้คำตอบว่า ข้าวมันไก่จะอร่อยได้ก็ต้องอร่อยตั้งแต่ น้ำจิ้ม น้ำซุป ข้าวมัน ยันไปถึงเนื้อไก่ ซึ่งเมื่อได้ทานแล้วก็ต้องยกนิ้วให้ เพราะที่ร้านนี้เขาเลือกใช้ไก่ตอนคัดพิเศษ เนื้อไก่จึงทั้งนุ่มและแน่น ไม่ออกอาการยุ่ยเละหรือเหนียวหนืดให้รำคาญใจ สูตรเด็ดเคล็ดอร่อยของไก่ที่นี่ ก็คือจะเอาไก่ไปต้มตลอด เนื้อไก่จะได้ไม่แห้งเพราะถูกแขวนรับลมค้างเติ่งจนแข็งโป๊ก
      
       ส่วนข้าวมันที่หอมนุ่มจนสามารถทานเล่นๆ ได้เลยนั้น แทนที่จะใช้น้ำกะทิมาทำ ก็เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชและเจียวกระเทียมหอมๆ เข้าไปแทน ยิ่งได้น้ำจิ้มรสเข้มข้นที่ทางร้านทำขึ้นเองก็แซบสะระตี่เข้าไปใหญ่ เรียกว่าเผ็ด เปรี้ยว หวาน กำลังดี พร้อมกับซดน้ำซุปร้อนๆ ซึ่งก็ใช้น้ำต้มไก่นั่นเองมาทำ จึงได้รสชาติความหอมมันเข้ากั๊น เข้ากัน จนต้องร้องขอน้ำจิ้มและน้ำซุปเพิ่มอีกถ้วย
ข้าวมันไก่ทอด แป้งกรอบไก่เนื้อนุ่ม
       จานถัดมาเป็น ข้าวมันไก่ทอด (25-30 บาท) ที่หอมยั่วน้ำลายจนอดใจไม่ไหว ยิ่งเห็นสะโพกขาวๆอวบๆของไก่ชุบแป้งทอดน้ำมันร้อนๆ ยิ่งต้องรีบเจี๊ยะ แล้วก็ต้องยกนิ้วให้ในความนุ่มกรอบของแป้งทอดและเนื้อไก่ จานนี้ก็มีน้ำจิ้มและน้ำซุปมาเป็นตัวช่วยเพื่อให้ทานได้คล่องคอยิ่งขึ้น
      
       ไปต่อกันที่ ข้าวหมูอบ (25-30 บาท) นี่ก็ใช้เนื้อหมูส่วนสะโพกหมักกับเครื่องเทศทั้งผงพะโล้ พริกไทย รากผักชี ให้ค่อยๆ ซึมเข้าเนื้อหมูแบบทั่วถึง แล้วนำไปอบอีกเป็นชั่วโมง เนื้อหมูจึงเปื่อยยุ่ยได้ที่ แค่แตะรสลิ้นก็เพลินไปถึงไหนๆ ยิ่งได้กลิ่นหอมฉุยเตะจมูกเป็นระยะๆ ฉับพลันทันใดข้าวหมูอบก็หายวับไปกับตา แต่มาหนักตรงกระเพาะแทนเพราะความอิ่มแบบเต็มที่นี่เอง
      
       สำหรับใครที่อยากทานเป็นเมนูดับเบิ้ลทานหนึ่งได้ถึงสอง จะเป็นไก่ต้มคู่ไก่ทอด ไก่ทอดคู่หมูอบ หมูอบคู่ไก่ต้ม หรืออะไรก็แล้วแต่แค่ 35 บาทเท่านั้น และนอกจากจะมีเมนูข้าวแล้วยังมีเมนูก๋วยเตี๋ยวสารพัน ทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ ต้มยำ น้ำใส เย็นตาโฟ หรือถ้าอยากจะซื้อกลับบ้านเป็นพิเศษ ก็มีไก่ต้มกิโลละ 150 บาท ส่วนหมูอบหรือไก่ทอดก็ราคา 40-100 บาท เรียกว่าอยากทานอะไรแบบไหนก็สั่งได้เลย
      
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 
       ร้าน “ข้าวมันไก่เจ๊วา” อยู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งตรงข้ามเซ็นเตอร์วัน อยู่เชิงสะพานลอยคนข้ามถนน เรียกว่าลงจากสะพานลอยก็เจอร้านเลย ร้านเปิดตั้งแต่ 07.00-21.30 น. โทร. 0-2245-8900, 0-26409891

“แดรี่ โฮม” บ้านนี้อาหารอบอวลชวนกิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2547 17:55 น.

บรรยากาศร้าน แดรี่ โฮม
       เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับ “ผ่านมาแวะกิน”าไปเที่ยวตามจังหวัดไหนๆก็มักจะถามเจ้าของพื้นที่ถึงร้านอาหารอร่อย ที่อวลด้วยบรรยากาศน่านั่งแทบทุกครั้งไป
      
       อย่างครั้งนี้มีโอกาสผ่านไปทางถนนเส้นมวกเหล็ก จ.สระบุรี ก็ถามไถ่ผู้ที่คุ้นเคยในพื้นที่ถึงร้านอาหารน่าสนใจ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าน่าจะลองไปนั่งร้านชื่อ “แดรี่ โฮม” สักหน่อย เพราะร้านนี้เขามีอาหารและของกินเล่นรสดีให้กินเพียบ
      
       ได้ความดังนั้นก็ตรงดิ่งไปยังร้าน แดรี่ โฮม พอถึงร้านเห็นบรรยากาศร้านที่ตกแต่งด้วยไม้เก๋ๆ ดูอบอุ่นชวนนั่ง เราก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ยิงสั่งเมนูจากเด็กเสิร์ฟเป็นชุด เริ่มด้วยของกินเล่นอย่าง ชีสทอดกรอบ (50 บาท) ชีสมอสซาเร่ล่าปั้นเป็นก้อนกลมชุบแป้งสูตรเด็ดของทางร้านทอดจนสุกหอม ส่งก้อนชีสเข้าปาก กรอบนอกนุ่มใน รสกลมกล่อมนัก
ขาหมูเยอรมัน
       จากนั้นก็ตามต่อด้วยอีกเมนูที่น่าสนใจ คือ ไส้กรอกรวม (150บาท) เป็นไส้กรอกที่ทางร้านภูมิในนำเสนอมาก เพราะนอกจากจะทำเองแล้ว ยังแปลกเอาเรื่อง อย่างไส้กรอกไวน์แดง(สีแดง) ไส้กรอกไวน์ขาว(สีขาว) ที่นอกจากเนื้อหนุบแน่นแล้ว ก็ยังหอมด้วยกลิ่นไวน์แดงและไวน์ขาว กระตุ้นต่อมน้ำลายได้ฉกาจนัก นอกจากนี้ก็ยังมีไส้กรอกไวน์ขาวพริกไปอ่อน ที่ผสมเม็ดพริกไทยมาให้เคี้ยวกรุบกรอบปนเผ็ดร้อน ไส้กรอกกระเทียมสังเกตง่ายมีกลีบกระเทียมผสมอยู่ และสุดท้ายของไส้กรอกรวมก็คือ ไส้กรอกโชลิโช ที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศ ให้รสชาติเผ็ดร้อน
      
       อาหารที่ทยอยเสิร์ฟมาดูเหมือนจะทวีความหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมนูต่อมาที่ “ผ่านมาแวะกิน” เลือกสั่งก็คือ ขาหมูเยอรมัน (250 บาท) ซึ่งถึงแม้ว่าเยอรมันจะโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ ตกรอบแรกในบอลยูโร 2004 แต่ว่าขาหมูเยอรมันจานนี้กับให้รสตรงข้ามกับฟอร์มการเล่นของนักเตะเยอรมัน อย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือรสชาติยอดเยี่ยม หนังหมูนั้นกรอบนัก ส่วนเนื้อในก็นุ่มแต่ว่ามีความแน่นแฝงอยู่ในตัว เรียกว่ากินกับไวน์หรือสารพัดเบียร์นานาชาติที่ร้านนี้มีไว้เอาใจคอเบียร์ ก็ถือว่าเข้ากันดีมั่กๆ
ไส้กรอกรวม
       ยังที่นี่ยังมีเมนูที่น่าลิ้มลองอีกอย่างเช่น เนื้ออบซอสไวน์แอปเปิ้ล สเต็กแกะกับซอสพริกไทยดำ ยำเห็ดโคนน้อย แต่น่าเสียดายที่กระเพาะเรารับไม่ไหวแล้ว “ผ่านมาแวะกิน” จึงสลับอารมณ์การกินจากของหนักมาที่ของเบาๆอย่างไอศกรีมกันบ้าง
      
       แดรี่ โฮม มีไอศกรีมแปลกรสชาติดีให้เลือกหลายอย่าง ที่เด่นและน่าลิ้มลองก็มี ลิ้นจี่ไวน์ขาว สตอเบอรี่ไวน์แดง เชอรี่บรั่นดี ตาปูชิโน เลือกสั่งเลือกกินกันตามใจเถอะ รับรองไม่ผิดหวัง
      
       สุดท้ายก่อนจากร้าน แดรี่ โฮม “ผ่านมาแวะกิน” ไม่พลาด ที่จะสั่งนมสด(แต่ไม่ใช่นมจากเต้า)ที่มาจากฟาร์มโคนมของทางร้าน ที่มีทั้ง รสจืด หวาน สตอเบอรี่ และช็อคโกแลต ซึ่งแต่ละอย่างต่างก็มีความเด่นแตกต่างกันไป แต่ที่พิเศษก็คือ นมสดพวกนี้ได้มาด้วยกระบวนการที่ปลอดสารพิษทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในตัววัว การรีดนม หรือในอาหารอย่างหญ้า เรียกว่าดื่มนมส่งท้ายถือเป็นการสั่งลาร้าน แดรี่ โฮม ได้เป็นอย่างดี
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       แดรี่ โฮม” อยู่ปากทางถนนมิตรภาพเส้นมวกเหล็ก-ปากช่อง เลยตลาดจำหน่ายนม ร้านจะอยู่ปากทางถนนไปทางลัดขึ้นเขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน วันจันทร์-วันเสาร์ เวลา08.30-19.00 น.วันอาทิตย์ เวลา 08.30-20.00 น. สอบถามได้ที่โทร. 0-4436-2020, 0-4432-22228, 0-4432-2244