พบชาวกรุงเป็นแผลอักเสบ-แนะสวมรองเท้าลุยน้ำ



น้ำท่วม

สธ.เผยพบผู้ประสบภัยในกทม.แผลอักเสบร้อยละ 30 และพบแผลเหยียบสิ่งของมีคมร้อยละ20 (กระทรวงสาธารณสุข)

          ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เผยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ใน กทม.พบผู้ประสบภัยแผลอักเสบร้อยละ 30 มีแผลจากการเหยียบของมีคมร้อยละ 20 โดยผู้ประสบภัยกว่าร้อยละ 90 เปลือยเท้าลุยน้ำ แนะให้สวมรองเท้าขณะเดินลุยน้ำทุกครั้ง หากเกิดบาดแผล วิธี การดูแลเบื้องต้น ขอให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไป เช่นน้ำดื่มบรรจุขวด และปิดแผลให้แน่นด้วยผ้าสะอาดเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจึงไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด       

          นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ออกให้บริการ ร่วมกับ กทม.ที่ย่านดอนเมือง กทม. มีปัญหาน่าห่วงพบผู้ประสบภัยที่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วน เริ่มมีการอักเสบมากขึ้น พบได้ประมาณร้อยละ 30 ของผู้เจ็บป่วยที่ไปรับบริการ และพบผู้มีบาดแผลจากการเหยียบสิ่งของมีคมร้อยละ 20

          ทั้ง นี้ จากการสังเกตพบว่าผู้ประสบภัยที่เดินลุยน้ำออกมาจากซอยต่าง ๆ กว่าร้อยละ 90 เดินเท้าเปล่า ซึ่งเสี่ยงต่อการเหยียบสิ่งของมีคมใต้น้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ที่น้ำสีดำคล้ำจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งแปลกปลอมใต้น้ำได้ จึงขอให้ผู้ประสบภัยสวมรองเท้าทุกครั้งที่เดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลที่เท้า

          นายแพทย์ธวัชชัย กล่าวต่อว่า เมื่อ เกิดบาดแผล วิธีการดูแลเบื้องต้น ขอให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไปเช่นน้ำดื่มบรรจุขวด และปิดแผลให้แน่นด้วยผ้าสะอาดเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจึงไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า การดูแลบาดแผลยังไม่ถูกต้อง และอาจมีอันตรายจากการติดเชื้อที่อยู่ในน้ำสกปรก อาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

          นาย แพทย์ธวัชชัย กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีบาดแผลหรือมีรอยขีดข่วนตามผิวหนัง ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เนื่องจากน้ำท่วมขณะนี้มีความสกปรกสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าแผล เพราะจะทำให้แผลอักเสบรุนแรง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังลุยน้ำขอให้ล้างให้สะอาดและซับให้แห้ง แผลจะค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนผู้ที่มีบาดแผลลึก ขอให้ทำแผลทุกวัน และให้สังเกตอาการผิดปกติ หากแผลอักเสบ บวมแดง มีหนอง หรือเนื้อที่ขอบแผลมีลักษณะซีด ขอให้ไปพบแพทย์ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด



ผลไม้

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด (สุขกายสบายใจ)
Fruitful Tips เรื่อง : สุธารัชฏ์ รัตนารามิก

          "ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

"ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

          ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
          โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

          เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67

          ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

          กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

          กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


ทับทิม


1.ทับทิม

          ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

แก้วมังกร

2.แก้วมังกร

          อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

สตรอเบอร์รี่

3.สตรอว์เบอร์รี่

          ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

กล้วย

4.กล้วย

          ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


แตงโม


5.แตงโม

          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

          ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิต เลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่ มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM

ฉบับ 08 ตุลาคม 2554



ปฐมพยาบาลอย่างไร เมื่อถูกงูพิษกัด



งูเขียว


เตือนประชาชนพื้นที่น้ำท่วมระวังงูพิษอันตรายกัดอาจถึงตายได้ (กรมควบคุมโรค)

          เภสัชกร เชิดเกียรติ  แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยว่า จาก สถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วมไปในวงกว้าง ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดโรคและภัยต่าง ๆ ที่มาจากน้ำท่วม ที่ผ่านมามีการรายงานว่ามีประชาชนในบางพื้นที่ถูกงูพิษกัดจนบาดเจ็บและบาง รายถึงกับเสียชีวิต

          ประชาชน จึงจำเป็นต้องระมัดระวังป้องกันรับมือกับงู ทั้งที่มีและไม่มีพิษที่อาจจะหนีน้ำแล้วเข้ามาหลบอาศัยอยู่ในบ้านหรือที่ อยู่พักอาศัย งูจะหนีน้ำมาหาที่แห้ง ๆ เมื่อมองไม่เห็นไปคนเหยียบหรือทำให้งูตกใจก็จะฉกกัด หากเป็นงูพิษร้ายแรงอาจทำให้ผู้ประสบภัยถึงแก่ชีวิตได้ ประชาชนควรเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าและระมัดระวังตนเอง ก็จะทำให้ปลอดภัยจากงูพิษ รวมทั้งควรรู้วิธีการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องเมื่อถูกงูพิษฉกกัด

          เมื่อถูกงูพิษกัด จะมีอาการแตกต่างกันไปตามชนิดของงูพิษ คือ พิษต่อประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง ทำให้ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ และที่สำคัญทำให้หยุดหายใจ  พิษต่อโลหิต เช่น งูแมวเซา งูกะปะ และ งูเขียวหางไหม้ ทำให้เลือดออกตามผิวหนัง ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด  พิษต่อกล้ามเนื้อ เช่น ทำให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อมาก และอาจถ่ายปัสสาวะเป็นสีดำ  และพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ

          เภสัชกรเชิดเกียรติ  กล่าวต่อว่าผู้ถูกงูพิษกัดควรดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้น ดังนี้ 

          1) ตั้งสติให้ดีอย่าตกใจเกินเหตุ เนื่อง จากผู้ถูกงูกัด บางรายที่ถูกงูพิษกัดอาจไม่ได้รับพิษ เพราะงูไม่ปล่อยพิษออกมา หรืองูพิษตัวนั้นได้กัดสัตว์อื่นมาก่อนและไม่มีน้ำพิษเหลือ ในกรณีที่ได้รับพิษงูผู้ถูกงูกัดจะไม่เสียชีวิตหรือมีอาการอันตรายร้ายแรง ทันที ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที จึงจะเริ่มมีอาการรุนแรง 

          2) ล้างแผลงูกัดด้วยน้ำสะอาด หรือแอลกอฮอล์และทิงเจอร์ ห้ามทำสิ่งต่อไปนี้ กรีดแผล ดูดแผล ใช้บุหรี่หรือไฟไฟฟ้าจี้ที่แผล โปะน้ำแข็ง สมุนไพรพอกแผล ดื่มสุรา กินยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของแอสไพริน เพราะการกระทำเหล่านี้ไม่ช่วยรักษา แต่กลับจะมีผลเสียคือเพิ่มการติดเชื้อ เนื้อตาย และจะทำให้เสียเวลาที่จะนำส่งผู้ถูกงูกัดไปสถานพยาบาลโดยไม่จำเป็น และห้ามดื่มเหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง

          3) นอนนิ่ง ๆ จัดท่าให้ส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ อย่าเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็นโดยเฉพาะบริเวณถูกงูกัด เพื่อชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองและเส้นเลือดดำไหลเวียนเข้า หัวใจ ให้หาไม้ดามบริเวณที่ถูกงูกัดแล้วใช้ผ้าพันให้แน่นพอประมาณเหนือแผลงูกัด ประมาณ 5-15 ซม. แต่ไม่ควรทำการขันชะเนาะ เพราะอาจทําให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้น ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดเนื้อตายได้ 

          4) รีบนำผู้ถูกงูกัดส่งสถานบริการสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุด และโดยเร็วที่สุด โดย ระหว่างการนำส่งสถานบริการสาธารณสุขถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการช่วยหายใจ เช่น การช่วยแบบเป่าปากต่อปาก จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้นานพอ จนไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลได้ เพราะงูพิษบางชนิด เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม พิษจะทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัว ผู้ถูกงูกัดจะเสียชีวิตจากการหยุดหายใจ

          ผู้ ประสบเหตุควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงลักษณะงูที่กัด และกัดบริเวณใด เมื่อไร ถ้านำซากงูไปด้วยก็จะดีมาก แต่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาและถึงกับไล่ตีงูเพื่อนำไปด้วย เพราะจะทำให้เสียเวลาในการรักษาโดยไม่จำเป็น ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว หรือเคยมีประวัติแพ้ยาหรือสารใด ๆ ให้แจ้งแพทย์ทราบด้วย ผู้ถูกงูกัดไม่จำเป็นต้องได้รับเซรุ่มแก้พิษงูทุกราย แพทย์จะให้เซรุ่มแก้พิษงูเฉพาะในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น

วิธีการป้องกัน

          ผู้ประสบภัยน้ำท่วมควรหลีกเลี่ยงการเดินซอกแคบ ๆ โพรงไม้ ซอกหินแคบ เดินลุยบริเวณที่มีน้ำขังและมองไม่เห็นพื้นดิน ในที่รกมีหญ้าสูง ในป่าหรือทุ่งนาเวลากลางคืน หากจำเป็นให้เตรียมไฟฉายไปด้วย แล้วใส่กางเกงขายาว ควรมีไม้ตีหญ้าข้างหน้าไว้ ต้องสวมรองเท้าบูทเสมอ และให้ระวังป้องกันรองเท้าบูทมิให้งูหรือสัตว์มีพิษเข้าโดยการพับหรือใช้ยาง มัดไว้

          รวมทั้งหมั่นสำรวจตรวจตราดูแลบ้านเรือนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ปล่อยให้สกปรกรุงรัง ระวังเป็นพิเศษในการยกหิน กองเสื้อผ้าเก่า ๆ หรือกองหญ้า เพราะเป็นที่งูชอบอาศัย แต่ หากตนเองหรือบุคคลในครอบครัวมีประสบเหตุงูกัดให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่ สุด ก่อนที่อาการจะลุกลามและเกิดอันตรายต่อชีวิต แล้วรีบโทรแจ้งที่ เบอร์ 1422 หรือ 1669 และเน้นย้ำให้ประชาชนเคร่งครัดปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือตามประกาศของทางราชการ 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



พบชาวกรุงเป็นแผลอักเสบ-แนะสวมรองเท้าลุยน้ำ



น้ำท่วม

สธ.เผยพบผู้ประสบภัยในกทม.แผลอักเสบร้อยละ 30 และพบแผลเหยียบสิ่งของมีคมร้อยละ20 (กระทรวงสาธารณสุข)

          ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เผยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ใน กทม.พบผู้ประสบภัยแผลอักเสบร้อยละ 30 มีแผลจากการเหยียบของมีคมร้อยละ 20 โดยผู้ประสบภัยกว่าร้อยละ 90 เปลือยเท้าลุยน้ำ แนะให้สวมรองเท้าขณะเดินลุยน้ำทุกครั้ง หากเกิดบาดแผล วิธี การดูแลเบื้องต้น ขอให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไป เช่นน้ำดื่มบรรจุขวด และปิดแผลให้แน่นด้วยผ้าสะอาดเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจึงไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด       

          นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ออกให้บริการ ร่วมกับ กทม.ที่ย่านดอนเมือง กทม. มีปัญหาน่าห่วงพบผู้ประสบภัยที่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วน เริ่มมีการอักเสบมากขึ้น พบได้ประมาณร้อยละ 30 ของผู้เจ็บป่วยที่ไปรับบริการ และพบผู้มีบาดแผลจากการเหยียบสิ่งของมีคมร้อยละ 20

          ทั้ง นี้ จากการสังเกตพบว่าผู้ประสบภัยที่เดินลุยน้ำออกมาจากซอยต่าง ๆ กว่าร้อยละ 90 เดินเท้าเปล่า ซึ่งเสี่ยงต่อการเหยียบสิ่งของมีคมใต้น้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ที่น้ำสีดำคล้ำจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งแปลกปลอมใต้น้ำได้ จึงขอให้ผู้ประสบภัยสวมรองเท้าทุกครั้งที่เดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลที่เท้า

          นายแพทย์ธวัชชัย กล่าวต่อว่า เมื่อ เกิดบาดแผล วิธีการดูแลเบื้องต้น ขอให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไปเช่นน้ำดื่มบรรจุขวด และปิดแผลให้แน่นด้วยผ้าสะอาดเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจึงไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า การดูแลบาดแผลยังไม่ถูกต้อง และอาจมีอันตรายจากการติดเชื้อที่อยู่ในน้ำสกปรก อาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

          นาย แพทย์ธวัชชัย กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีบาดแผลหรือมีรอยขีดข่วนตามผิวหนัง ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เนื่องจากน้ำท่วมขณะนี้มีความสกปรกสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าแผล เพราะจะทำให้แผลอักเสบรุนแรง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังลุยน้ำขอให้ล้างให้สะอาดและซับให้แห้ง แผลจะค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนผู้ที่มีบาดแผลลึก ขอให้ทำแผลทุกวัน และให้สังเกตอาการผิดปกติ หากแผลอักเสบ บวมแดง มีหนอง หรือเนื้อที่ขอบแผลมีลักษณะซีด ขอให้ไปพบแพทย์ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

KAPOOK.COM



10 Tips ดูแลสุขภาพจิต ฝ่าวิกฤติน้ำท่วม กทม.



น้ำท่วม

10 Tips ดูแลสุขภาพจิต ฝ่าวิกฤติน้ำท่วม กทม. (ไทยโพสต์)

          จากสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม.เพื่อลดความตื่นตระหนก และดูแลจิตใจประชาชนให้สามารถปรับตัวรับสถานการณ์ได้ "กรมสุขภาพจิต" ได้ออกมาแนะแนวทางดูแลจิตใจ 10 ข้อที่น่าสนใจดังนี้

          1.หายใจเข้า-ออกช้า ๆ 2-3 นาที เพื่อทำให้ออกซิเจนเข้าสู่สมองแล้วความเครียดจะลดลง

          2.การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้เกิดการตัดสินใจที่ดีขึ้น หากต้องติดตามข้อมูลข่าวสารควรผลัดเปลี่นหมุนเวียนกัน

          3.การยืดเหยียดในท่าที่ผ่อนคลายจะช่วยให้การนอนหลับได้ดีขึ้น

          4.ความเครียดทำให้เรารับฟังกันน้อยลง จึงต้องดูแลตัวเองด้วย

          5.แปลงความกังวลเป็นการลงมือทำ รวมพลังครอบครัวและชุมชมเตรียมรับสถานการณ์วิกฤติ

          6.ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่ทับถม อย่าให้ความหวังดีเป็นความขัดแย้งและทำร้ายกัน

          7.ความกังวลใจจะลดลงได้หากได้ช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ที่เป็นอาสาสมัครพบว่ามีปัญหาสุขภาพจิตน้อย

          8.อย่าลืมมีเวลาเล่นเล่านิทานกับลูก เพราะว่าเด็กก็เครียดเป็น

          9.การใส่ใจคนรอบข้างทำให้เราทุกข์น้อยลง

          10.แบ่งเวลาทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ สร้างความสงบให้จิตใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
KAPOOK.COM



หลัก 10 ประการ ดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม




หลัก 10 ประการ ดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม (ไอเอ็นเอ็น)

          รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แนะหลัก 10 ประการ ดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม

          พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สำนักอนามัย กทม. ได้สรุปภาวะสุขภาพและปัญหาด้านสาธารณสุขของประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพอนามัยในช่วงภาวะวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ด้วยหลักปฏิบัติดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม 10 ประการ ประกอบด้วย

          1. หมั่นดูแลความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะเท้า ซึ่งต้องล้างด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง หลังการเดินลุยน้ำ และล้างมือบ่อยๆ หรือใช้เจลล้างมือแทน

          2. กรณีต้องเดินลุยน้ำ ควรใส่รองเท้าบูท และทายาป้องกันน้ำกัดเท้าทุกครั้งก่อนลงน้ำ และมีไม้ตีน้ำเป็นระยะเพื่อไล่สัตว์มีพิษที่อาจอยู่บริเวณที่เดิน

          3. ระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าตา เพื่อป้องกันโรคตาแดง

          4. การดูแลภาชนะใส่อาหารและช้อนส้อมให้สะอาดป้องกันโรคทางเดินอาหาร

          5. เลือกรับประทานอาหาร ถ้ามีกลิ่นไม่ดี ใกล้บูด ไม่ควรรับประทาน

          6. ระวังบุตรหลานไม่ให้เล่นน้ำ หรืออยู่ใกล้น้ำ

          7. กรณีเจ็บป่วย เช่น เป็นหวัด ตาแดง ควรเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้อื่น เพื่อป้องกันการติดต่อ ล้างมือบ่อยๆ และใส่หน้ากากอนามัย

          8. ป้องกันกรณีไฟฟ้ารั่วและไฟชอร์ต ถ้ามีน้ำท่วมถึงปลั๊กไฟต้องตัดสะพานไฟทุกครั้ง

          9. ใช้ถุงทรายอุดปิดโถส้วมป้องกันการไหลย้อน ใช้สุขาชั้น 2 หรือใช้ถุงดำเป็นส้วมสนาม แล้วมัดปิดเก็บไว้กำจัดภายหลังน้ำลด อาจใส่ปูนขาว หรือ EM ก่อน

          10. ฝึกการคลายเครียดด้วยตนเอง เช่น การพูดระบายความเครียด ฟังเพลงคลายเครียด ฝึกการหายใจคลายเครียด เป็นต้น


KAPOOK.COM

4 ขั้นตอนลดความเครียด รับมือกับภาวะน้ำท่วม

น้ำท่วม

เผยเคล็ดง่ายสี่ขั้นตอนลดความเครียดรับมือกับภาวะน้ำท่วม (กรมควบคุมโรค)

          นางจิตติมา ศรศาสตร์ปรีชา นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ กลุ่มพัฒนาวิชาการ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทั้งที่ท่วมมานานหลายเดือนและน้ำลดแล้ว พบว่ามีผู้ประสบภัยที่มีภาวะความเครียดเพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก เพราะผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องเผชิญปัญหาหลายด้านพร้อม ๆ กัน เช่น ความไม่สะดวกในการดำรงชีวิต ความเสียหายของบ้าน รถยนต์ และทรัพย์สินเงินทอง พื้นที่ทำการเกษตร มีภาระหนี้สิน หรือบางคนเกิดการเจ็บป่วย สูญเสียญาติพี่น้อง ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง วิตกกังวล และอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้  สำหรับอาการที่พบได้ในผู้ที่มีอาการเครียดคือ ปวดศีรษะ กระวนกระวาย ไม่ค่อยมีสมาธิ หลง ๆ ลืม ๆ บางรายอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย

          นางจิตติมา กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นประชาชนผู้ประสบภัยควรได้มีแนวทางฟื้นฟูสุขภาพจิตใจที่ได้รับผลกระทบ จากภาวะน้ำท่วม โดยมีคำแนะนำดังนี้

          1) ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจและยอมรับ ว่าภัยพิบัติไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราไม่ใช่เป็นผู้เคราะห์ร้ายอยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกจำนวนมาก อาจจะต้องใช้เวลาบ้างในการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น "ท้อแท้ได้ แต่อย่านาน และต้องลุกขึ้นเดินต่อ"

          2) จัดลำดับความสำคัญของปัญหา พยายามนั่งพักให้จิตใจสงบนิ่ง แล้วรวบรวมสติมองปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า การอยู่ การกิน การนอน เรื่องการขับถ่าย  การป้องกันโรคและสัตว์มีพิษ เป็นต้น

          3) พยายามใช้ชีวิตเรียบง่าย ผู้ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมต้องปรับวิธีคิด และปล่อยวางเรื่องทรัพย์สินสิ่งของนอกกาย อนาคตยังมีโอกาสหาใหม่ได้ พยายามใช้ชีวิตเรียบง่ายเพื่อลดความรู้สึกเครียดลงบ้าง บางคนห่วงทรัพย์สินจนไม่ยอมอพยพ ควรมีการชั่งน้ำหนักข้อดีและเสีย "ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ชีวิตเรามีค่าสำหรับคนที่คุณรักและคนที่รักคุณ"
          4) เอาใจใส่ ดูแลกันและกัน คนที่แข็งแรงกว่าต้องช่วยคนที่อ่อนแอ ต้องคอยให้กำลังใจกับคนที่รู้สึกหมดแรง ท้อแท้ ได้ระบายความรู้สึกแล้วก็ให้กำลังใจกัน

          สำหรับ บางคนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราจะต้องผ่านเหตุการณ์ภัยธรรมชาตินี้ไปให้ได้ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งหลัก ตั้งสติให้ได้ แล้วลุกขึ้นเดินต่อ ร่วมมือร่วมใจกัน เป็นกำลังใจให้กัน เพื่อฟันฝ่าวิกฤตไปให้ได้ ดังนั้นขอให้ผู้ประสบ ภัยทุกคนมีความหวัง ให้เวลาเยียวยาจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอน ในส่วนของการเยียวยาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยนั้นต้องทำควบคู่กัน ไปทั้งในส่วนของภาครัฐ สังคมรอบข้าง และที่สำคัญคือตัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบเอง
          นอกจากเยียวยาจิตใจแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การดูแลสุขภาพร่างกายช่วงน้ำท่วมให้ปลอดภัยจากโรคและภัยสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคน้ำกัดเท้า ไข้หวัด อุจจาระร่วง ตาแดง ไข้เลือดออก ไข้ฉี่หนู ฯลฯ หาก ประชาชนมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือกรณีฉุกเฉินสามารถโทรติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422 และบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์ 1669

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

“เตี๋ยวเหอะ” ก๋วยเตี๋ยวเรือรสจัดจ้านโดนใจ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 ตุลาคม 2554 18:46 น.
บรรยากาศในร้านเตี๋ยวเหอะ
       “ไปกินเตี๋ยวกันเหอะ” เป็นประโยคที่ “ผ่านมาแวะกิน” ใช้ชักชวนเพื่อนอยู่บ่อยๆ ในยามที่เริ่มหิว ซึ่งในมื้อนี้ เราก็อยากจะชักชวนท่านนักกินด้วยประโยคนี้เช่นกัน และจะพาไปลองชิมก๋วยเตี๋ยวเรือรสชาติจัดจ้านอร่อยโดนใจกันที่ร้าน “เตี๋ยวเหอะ” ที่เพียงแค่ฟังชื่อก็คล้ายจะเชิญชวนให้เดินเข้าร้านแล้ว
      
       “เตี๋ยวเหอะ” เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือรสชาติดุเด็ด ตามแบบฉบับก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรดั้งเดิม แต่นำมาเสนอในรูปแบบใหม่ให้มีลูกเล่นมากขึ้น เน้นที่วัตถุดิบคุณภาพ สด สะอาด และหลากหลาย ซึ่งทางร้านก็มีให้เลือกทั้งหมูและเนื้อ โดยจะแยกหม้อ แยกชาม ชามสีดำเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ส่วนชามสีขาวเป็นก๋วยเตี๋ยวหมู และมีเส้นให้เลือกทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ และบะหมี่
เตี๋ยวลิ้นเนื้อกรึบ
       มาดูที่เมนูเด็ดของร้าน เริ่มที่ เตี๋ยวลิ้นเนื้อกรึบ (110 บาท) ใช้เนื้อลิ้นวัวมาหมักกับเครื่องเทศและซอสต่างๆ นานข้ามวัน จากนั้นจึงจะนำมาย่างบนเตาโดยใช้น้ำมันรำข้าวทาขณะย่างเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ส่วนน้ำซุปได้จากการต้มกระดูกวัวและเศษเนื้อ พร้อมด้วยเครื่องเทศทั้งไทยและจีนหลากหลายชนิด ตุ๋นข้ามคืนจนได้น้ำซุปกลิ่นหอม ผสมกับเลือดแล้วจึงตักใส่ชาม และสูตรเด็ดของก๋วยเตี๋ยวเรือก็อยู่ที่การปรุงรสมาให้เสร็จสรรพ ลองชิมจากน้ำซุปที่หอมหวนชวนหิว รสชาติปรุงมาจัดจ้าน อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ส่วนลิ้นวัวก็เด้งกรึบสมชื่อ ได้รสชาติสมุนไพรทุกคำ
เตี๋ยวเรือเนื้อน่อง
       จากนั้นก็มาลองชิม เตี๋ยวเรือเนื้อน่อง (55 บาท) เลือกใช้เนื้อน่องจากเนื้อโคขุนที่มีจุดเด่นอยู่ที่มีเอ็นแทรกอยู่ นำเนื้อมาสไลด์บางๆ ลวกพอสุก ชิมแล้วเคี้ยวนุ่มปาก นอกจากนี้ในชามก็ยังใส่เนื้อเปื่อย ตับ และลูกชิ้น มาด้วย แน่นอนว่าชามนี้ก็ต้องปรุงรสมาแล้ว ได้รสชาติออกเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ หอมกลิ่นน้ำซุป
เตี๋ยวเรือน้ำสันนอกหมู
       อร่อยจากชามเนื้อแล้ว ก็มาลองชิมเมนูหมูกันบ้าง เตี๋ยวเรือน้ำสันนอกหมู (55 บาท) ที่มีจุดเด่นตรงที่เลือกใช้เนื้อสันนอกหมูปลอดสารมาสไลด์ แล้วลวกพอสุก ใส่ลูกชิ้นหมู ตับ และหมูตุ๋นลงไปในชามด้วย ส่วนน้ำซุปของก๋วยเตี๋ยวหมูนั้นก็ต้มจากกระดูกหมู และเคี่ยวจนได้ที่เช่นกัน ชิมเนื้อหมูเคี้ยวนุ่ม รสชาติน้ำซุปก็ปรุงมาถูกปากดีแล้ว
เตี๋ยวเรือแห้งสันคอหมูจี่ไฟ
       ส่วนชามสุดท้ายนี้ต้องลองให้ได้ เตี๋ยวเรือแห้งสันคอหมูจี่ไฟ (55 บาท) ที่ทางร้านใช้เนื้อสันคอหมูปลอดสารมาสไลด์ แล้วจี่ไฟบนกระทะเคลือบด้วยน้ำมันรำข้าวปรุงพิเศษแค่พอเนื้อสุก และในชามก็ยังมีลูกชิ้นหมู ตับ และหมูตุ๋นที่เปื่อยนุ่ม ก๋วยเตี๋ยวเรือแห้งก็ปรุงมาด้วยเช่นกัน โดยใส่ซีอิ้วดำ พริกน้ำส้ม น้ำตาลอ้อย น้ำปลา พริกป่นและถั่วลิสงคั่วเองสดใหม่ และที่ขาดไม่ได้คือกากหมูกระเทียมเจียวหอมกรอบเคี้ยวมัน ใส่ผักกาดหอมสดมากินคู่กันด้วย ชามนี้ก็อร่อยโดนใจไม่แพ้กัน
      
       แต่หากใครชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือแบบดั้งเดิม (25 บาท) ทางร้านก็มีให้ชิมเช่นกัน หรืออยากกินข้าวก็ขอแนะนำ ข้าวกะเพราหมูตุ๋น (50 บาท) ที่เสิร์ฟมาในหม้อดิน และยังมีเมนูกินเล่นที่น่าสนใจไม่น้อยทั้ง ลูกชิ้นหมู/เนื้อ ปิ้งหรือทอด (ไม้ละ 12 บาท) เกี๊ยวกรอบหมูเด้งไก่ขมิ้น (60 บาท) ส่วนเมนูเครื่องดื่มที่ทางร้านชงเองก็หอมอร่อยชื่นใจทั้ง น้ำแดงมะนาวโซดา (25 บาท) และ ชามะนาวน้ำผึ้ง (25 บาท)
      
       เห็นเมนูน่ากินแบบนี้ก็อยากจะเชิญชวนมาลองลิ้มก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดกันที่ร้าน “เตี๋ยวเหอะ” จะได้มาอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “เตี๋ยวเหอะ” ตั้งอยู่เลขที่ 7 อารีย์ซอย 4 (ฝั่งเหนือ) ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. การเดินทาง จากถนนพหลโยธิน เลี้ยวเข้าซอยพหลโยธิน 7 ประมาณ 200 เมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยอารีย์ 4 (ฝั่งเหนือ) สังเกตหน้าปากซอยมีร้านข้าวใหม่ปลามัน ตรงเข้าไปจนสุดซอย เจอทางบังคับให้เลี้ยวขวา จากนั้นให้เลี้ยวซ้าย ร้านเตี๋ยวเหอะอยู่ด้านขวามือ หรือถ้าเข้าทางซอยพหลโยธิน 9 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยชำนาญอักษร ตรงมาเกือบสุดซอย ร้านเตี๋ยวเหอะอยู่ด้านซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-16.00 น. ส่วนวันพฤหัสบดี-เสาร์ เปิดช่วงเย็นเพิ่มเติม เวลา 18.00-21.00 น. โทร. 0-2278-3411

“เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ทีเด็ดเนื้อตุ๋นรสโดนใจ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2554 13:56 น.
บรรยากาศแบบบ้านไม้เก่าภายในร้าน
       หากว่าพูดถึงก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น คิดว่าหลายๆ คนคงมีร้านเด็ดอยู่ในใจกันบ้าง ส่วนหนึ่งในร้านเด็ดของ “ผ่านมาแวะกิน” นั้นก็คือร้าน “เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ซึ่งมีชื่อเรื่องความอร่อยของเนื้อตุ๋นมานานแล้ว ตั้งอยู่ที่ ถ.ราชพฤกษ์ แต่ร้านที่จะพาไปชิมกันในวันนี้เป็นสาขา 2 ตั้งอยู่ที่โครงการสนามบินน้ำ มาร์เก็ต พาร์ค
      
       “เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ที่สาขานี้ตกแต่งร้านใน บรรยากาศเหมือนบ้านไม้โบราณ ใช้โต๊ะเก้าอี้เป็นไม้ มีการตกแต่งด้วยโคมไฟ รูปภาพ และกระจกสี ที่ทำให้ดูนั่งสบายในห้องแอร์เย็นฉ่ำ
ภายนอกร้าน
       แน่นอนว่าเมนูเด็ดของร้านนั้นก็ต้องอยู่ที่เนื้อตุ๋น ซึ่งเราก็สั่ง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (45 บาท) มาลองชิมกัน มีให้เลือกทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่ฮ่องกง เส้นโซบะ และวุ้นเส้นญี่ปุ่น เครื่องเคราที่ใส่ก็มีทั้งเนื้อเปื่อย ลูกชิ้นเนื้อ เนื้อสดที่เป็นเนื้อโคขุนส่วนสันใน และเอ็นแก้ว และความเด็ดอีกอย่างก็อยู่ที่น้ำซุปเนื้อซึ่งปรุงรสด้วยเครื่องเทศยาจีนกว่า 20 ชนิด เคี่ยวกันทั้งคืนไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ทำให้ได้น้ำซุปที่เข้มข้นคล่องคอ ชิมเนื้อเปื่อยก็นุ่มเปื่อยสมชื่อ ลูกชิ้นเนื้อเด้งแน่น เนื้อสดไม่เหนียวเคี้ยวอร่อย ส่วนเอ็นแก้วเคี้ยวกรุบ แถมเวลากินก็มาเพิ่มความจัดจ้านกันด้วยน้ำจิ้มที่เป็นน้ำส้มพริกดองสูตร พิเศษของทางร้าน รับรองว่าโดนใจคนชอบเนื้อแน่นอน
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น
       แต่ถ้าใครไม่นิยมกินเส้น ก็แนะนำ เกาเหลาหม้อไฟ (140 บาท) ที่เสิร์ฟมาในหม้อไฟอุ่นร้อน ใสเครื่องเครามาครบครันทั้งเนื้อตุ๋น เนื้อสด ลูกชิ้นเนื้อ และเอ็นแก้ว แล้วยังใส่เม็ดพริกไทยดำลงไปเพิ่มเติมให้ได้รสชาติความหอมเผ็ดร้อนมากขึ้น ตักน้ำซุปร้อนๆ มาซดแล้วคล่องคอ หอมยาจีนเป็นที่สุด และถ้าอยากเพิ่มหรือเปลี่ยนเป็นเนื้อส่วนอื่นๆ ทางร้านก็มีให้เลือกเป็นแบบจิ้มจุ่ม ที่สั่งแยกมาต่างหากก็ได้
เกาเหลาหม้อไฟ
       ข้าวซอยเนื้อ (80 บาท)เป็นอีกหนึ่งเมนูแนะนำของทางร้าน เน้นความเข้มข้นและหอมเครื่องแกงข้าวซอยที่ทางร้านทำเอง ใส่กะทิสด และเลือกใช้เนื้อน่องลายนำไปต้มกับน้ำแกงข้าวซอยนาน 3-4 ชั่วโมงจนเปื่อยและรสชาติเข้าเนื้อ ส่วนเส้นข้าวซอยก็สั่งตรงมาจากทางเหนือเช่นกัน ลองชิมก็ได้รสชาติเข้มข้น ได้ความหอมมันจากกะทิ เนื้อเปื่อยนุ่มอร่อยดี กินคู่กับเครื่องเคียงทั้งพริกผัด หอมแดงซอย และผักกาดดองก็ยิ่งอร่อยถูกใจ
ก๋วยเตี๋ยวหมูเส้นโซบะ
       ส่วนใครไม่กินเนื้อวัว เมนูหมูของร้านนี้ก็อร่อยไม่ใช่เล่น เราลองสั่ง ก๋วยเตี๋ยวหมูเส้นโซบะ (110 บาท) มาลองชิม เส้นโซบะญี่ปุ่นที่ทำจากแป้งโฮลวีทนั่นก็นุ่มอร่อย เข้ากับน้ำซุปหมูที่เคี่ยวกับเครื่องยาจีนเช่นกัน ทำให้หอมกลมกล่อม เครื่องอื่นๆ ก็ใส่ทั้งหมูสดเนื้อนุ่ม หมูขั้วตับนำมาตุ๋นจนเปื่อย ลูกชิ้นหมูอร่อยเด้ง และซี่โครงหมูอ่อนนำมาตุ๋นจนนุ่มเปื่อยละลายในปาก เรียกว่าอร่อยไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเลยทีเดียว
ข้าวแกงกะหรี่ซี่โครงหมู
       หรือจะเป็น ข้าวแกงกะหรี่ซี่โครงหมู (90 บาท) ที่เป็นสูตรแบบอินเดีย เน้นเครื่องเทศอินเดียและกะทิสด ตุ๋นกับซี่โครงหมูโดยสูตรเฉพาะของทางร้าน ได้มาเป็นแกงกะหรี่ซี่โครงหมูหอมๆ ราดมาบนข้าวหอมมะลิร้อนๆ หน้าตาน่ากิน รสชาติก็ไม่ธรรมดา เข้มข้นเข้าเนื้อ หอมมันเครื่องแกงกะหรี่
ข้าวซอยเนื้อ
       นอกจากเมนูก๋วยเตี๋ยวเนื้อ-หมูแล้ว ก็ยังมีเมนูอร่อยๆ ที่น่าลองชิมอีก อาทิ เกาเหลาหมู/เนื้อ (70 บาท) ข้าวซอยไก่ (80 บาท) แพะตุ๋นยาจีน (390 บาท) หรือจะเป็นเมนูกินเล่นอร่อยๆ อย่างเช่น ลูกชิ้นเนื้อ/หมู (จานเล็ก 30 บาท จานใหญ่ 50 บาท) ไส้กรอกหมูเยอรมัน (90 บาท) หอมคำ (80 บาท) เนื้อโคขุนย่าง (90 บาท) หมูย่างจักรเพ็ชร (90 บาท) เป็นต้น
      
       เนื้อตุ๋นรสเด็ดโดนใจแบบนี้ ถ้าใครอยากชิมก็แวะมาได้ที่ร้าน “เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ทั้งที่สาขาแรก ถ.ราชพฤกษ์ และที่สาขาสนามบินน้ำแห่งนี้
      
       *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *
      
       “เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ตั้ง อยู่ที่โครงการสนามบินน้ำ มาร์เก็ต พาร์ค ถ.สนามบินน้ำ อ.เมือง จ.นนทบุรี การเดินทางถ้ามาจาก ถ.งานวงศ์วาน ให้มุ่งหน้ามายัง ถ.รัตนาธิเบศร์ ผ่านแยกแคราย วิ่งตรงมาจนเห็นห้างเซ็นทรัลทางขวามือ ให้ไปกลับรถที่สะพานกลับรถ จากนั้นชิดซ้าย เลี้ยวเข้า ถ.เลี่ยงเมืองนนทบุรี วิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสามแยก จะเห็นโครงการสนามบินน้ำ มาร์เก็ต พาร์ค ทางขวามือ ให้เลี้ยวเข้าไป ร้าน “เนื้อตุ๋นจักรเพ็ชร” ตั้งอยู่ในโครงการ สามารถจอดรถได้บริเวณลานจอดรถ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.30 น. โทร. 0-2966-9934-5, 08-1372-2935 ส่วนที่สาขา ถ.ราชพฤกษ์ โทร. 0-2432-2241, 08-1372-2935