แพทย์เตือนกินน้ำมันหมูมากไประวังโรค

น้ำมันพืช


แพทย์เตือนกินน้ำมันหมูมากไประวังโรค (ไอเอ็นเอ็น)

          สสจ.พิจิตร ชี้น้ำมันพืชแพง ประชาชนหันมาใช้น้ำมันหมูแทน เตือนหากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

          นายประจักษ์ วัฒนกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร กล่าวถึงกรณีที่ผู้บริโภคที่หันไปใช้น้ำมันหมูประกอบอาหาร แทนการใช้น้ำมันพืช เนื่องจากราคาน้ำมันพืชพุ่งสูงขึ้นมาก ว่า อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ เนื่องจากน้ำมันทุกชนิดที่ใช้ปรุงอาหาร ถ้าบริโภคมากเกินไป ก็มีข้อเสียทำให้เกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ โดย เฉพาะน้ำมันหมู โอกาสสะสมในหลอดเลือดได้สูงกว่าน้ำมันพืช ดังนั้น วงการแพทย์จึงไม่แนะนำให้บริโภค ทั้งน้ำมันพืช หรือน้ำมันหมูมากเกินไป หากมีความจำเป็น หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรบริโภคแต่เพียงน้อย

          อีก ทั้ง ช่วงนี้ควรใช้วิกฤติเป็นโอกาสปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการรับประทานอาหารประเภทแกงป่า ต้มยำน้ำใส หรือแกงจืด รวมถึงอาหารประเภท ต้ม หรือ นึ่ง หรือ ทานผักน้ำพริก ซึ่งนอกจากจะช่วยในการรักษาสุขภาพแล้ว ยังทำให้ประหยัดเงิน และที่สำคัญ ควรมีเวลาให้กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจร่างกาย รวมถึง พบแพทย์เป็นประจำ ก็จะส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงได้


http://health.kapook.com/view20633.html

ทำไมจึงรู้สึกจั๊กจี้ฝ่าเท้า


เกร็ดสุขภาพ

ทำไมจึงรู้สึกจั๊กจี้ฝ่าเท้า (Lisa)

          ทำไมหนอเราจึงรู้สึกจั๊กจี้ หรือต้องยกเท้าหนี้เมื่อมีคนมาจั๊กจี้ที่ฝ่าเท้า

          หากใครมาจี้ฝ่าเท้าเรา ก็มักจั๊กจี้จนต้องยกเท้าหนี เหตุผลก็คือ การรู้สึกจั๊กจี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เพราะ อาจเป็นงูก็ได้ที่เท้าเราอาจเหยียบเจอ นั่นเพราะคนในสมัยโบราณเดินเปลือย เท้าเปล่า และที่เท้าเราก็มีเส้นประสาทมากมายจึงทำให้เท้าไวต่อความรู้สึก

          นอกจากเท้าที่จั๊กจี้แล้ว ก็ยังมีอวัยวะอื่น ๆ ที่ไวต่อความรู้สึก เช่น ท้อง รักแร้ และปลายนิ้ว และเราจะรู้สึกจั๊กจี้สุด ๆ เมื่อมันถูกสัมผัสโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราจี้เองกลับไม่รู้สึกจั๊กจี้นั่นเอง

http://health.kapook.com/view20568.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

8 ข่าวสุขภาพที่ไม่ควรลืมประจำปี 2010


health


8 ข่าวสุขภาพที่ไม่ควรลืมประจำปี 2010 (Lisa)

          ปี 2553 ที่่ผ่านมา มีเรื่องราวสุขภาพที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก มีข่าวอะไรเด่น ๆ ที่เราไม่ควรลืมกันบ้าง ไปติดตามกันเลยค่ะ

1.สาวไทยมากกว่าครึ่ง ไม่เข้าใจโรคเอดส์

          ข่าวดีก็คือผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ของประเทศเรา ลดลงจาก 17,600 คนในปี 2550 เหลือเพียงแค่ 2,400 คนในปีนี้ ส่วนข่าวร้ายก็คือ หากความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์ยังเป็นอย่างปัจจุบันนี้ ก็เป็นไปได้ว่า โรคเอดส์จะกลับมาระบาดหนักอีกรอบ โดยเฉพาะมีผู้หญิง อายุ 15-59 ปี เพียงร้อยละ 36.4 เท่านั้น ที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเอดส์

          และที่น่ากลัวขึ้นไปกว่านั้นก็คือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงาน เพื่อหาทาลัสซีเมียหรือโรคเอดส์ ก็มีแนวโน้มลดลงเหลือร้อยละ 21.7 จึงกล่าวได้ว่า สถานการณ์โรคเอดส์ในบ้านเรายังไม่สามารถวางใจได้ หากผู้หญิงเรายังไม่ระมัดระวังตัวแบบนี้

2.วิธีใหม่ ตรวจวัณโรคเจ๋งกว่าเดิม

          ในปี 2010 ทั่วโลกมีผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านเคส ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ความจริงวัณโรคนั้น สามารถรักษาได้หากได้รับการวินิจฉัยทันท่วงที และพื้นที่จำนวนมากในโลก อย่างเช่น จีน แอฟริกา หรืออินเดีย ใช้การตรวจเลือดซึ่งเชื่อถือไม่ค่อยได้ แถมใช้เวลานานด้วย

          แต่ เมื่อต้นเดือนธันวาคม องค์กรอนามัยโลกออกมากล่าวถึงวิธีใหม่ ที่ตรวจสอบได้ถึงระดับโมเลกุลและมีความแม่นยำ ถึง 99% และรู้ผลภายใน 2 ชั่วโมง หากวิธีนี้เป็นที่แพร่หลาย นั่นแปลว่า ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป เราจะสามารถช่วยชีวิตคนนับล้านจากวัณโรคได้รวมถึงคนไทยด้วย นี่จึงเป็นข่าวดีที่สุดส่งท้ายปีเก่าค่ะ

  3.สิ่งประดิษฐ์สุดแจ่ม "กลีบเขมือบ" กันข่มขืน

          ข่าวดีประจำปีสำหรับสาว ๆ ที่ในที่สุดเรา ก็มีเครื่องมือที่ช่วยให้การกลับบ้านดึก ๆ ปลอดภัยขึ้นมาอีกนิด ได้แก่ "Rape-axe" ห่วงอนามัย ซึ่งในแอฟริกาใต้มีสถิติว่าทุก ๆ 17 วินาที จะมีการข่มขืนเหยื่อหนึ่งราย และมีเพียง 8% เท่านั้นที่สามารถเอาผิดคนร้ายได้

          พญ. ซอนเน็ต เอห์เลอร์ ผู้รักษาเหยื่อที่ถูกข่มขืนบ่อย ๆ จึงได้คิดค้นห่วงดังกล่าวขึ้นมาให้ผู้หญิงใส่ หากคนร้ายพยายามจะสอดใส่ให้ได้ เงี่ยงบนห่วงจะเกาะกับองคชาต จนทำให้เจ็บปวดเหมือนกับเวลาผู้ชายรูดซิปติด และจะเอาออกไม่ได้หากไม่ใช่แพทย์ แน่นอนว่าเมื่อมาหาแพทย์ก็ต้องอับอาย และถูกจับตามระเบียบ สะใจดีมั้ยล่ะคะ!

4.ทวิตเตอร์ บ่อนทำลายสุขภาพคุณได้

          ไม่ใช่เฉพาะทิวตเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลทุกอย่างที่เราได้จากอินเทอร์เน็ต และ โดยเฉพาะฟอร์เวิร์ดเมล์ ซึ่งการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเปิดเผยว่า ทุก ๆ ครึ่งเดือนจะมีข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพถึง 700 ทวีต เช่น คำแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะ เพื่อสู้กับไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทั้งที่ยาปฏิชีวนะจะมีผลกับแบคทีเรียเท่านั้น จึงทำให้เชื้อไวรัสดื้อยา แถมยังไม่ช่วยให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หายเร็วขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น ก่อนจะเชื่อตามคำแนะนำที่ได้จากเน็ต อย่าลืมหาข้อมูล และสอบถามผู้เชี่ยวชาญให้เรียบร้อยนะ

5.กินแคลเซียมไม่ถูกวิธีเสี่ยงโรคหัวใจ

          ทั้ง ๆ ที่มักจะมีคำแนะนำให้ผู้หญิงวัยทองขึ้นไปกินแคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูก แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดาร์ธเมาท์เปิดเผยในวารสาร BMU ว่า การกินแคลเซียมเสริมมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่มีวิตามินดีร่วมด้วยนั้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ถึง 30% อย่างไรก็ตาม คนที่กินแคลเซียมเสริมเป็นประจำที่ไม่ควรจะหยุด หากยังไม่ได้ปรึกษาแพทย์เสียก่อน...ทราบแล้วเปลี่ยน!

6.นอนตุนไว้ล่วงหน้า มีประโยชน์จริง ๆ

          คุณทราบรึเปล่าคะว่า คนเราสามารถสะสมชั่วโมงการนอน เพื่อเตรียมการอดนอนไว้ก่อนได้ โดยการเปิดเผยในวารสาร Sleep บอกว่า หากวันสองวันข้างหน้าจะต้องอดตาหลับขับตานอนแน่ ๆ คุณก็สามารถออมชั่วโมงนอนเก็บไว้ได้ และการศึกษาดังกล่าวยังชี้ว่า คนที่นอนตุนไว้หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะอดนอนในสัปดาห์ต่อมานั้น จะมีสติและกระตือรือร้นมากกว่าคนที่ไม่ได้นอนเก็บไว้เลย ถามว่าข่าวนี้ดีอย่างไร ก็เป็นข้ออ้างเอาไว้ตื่นสายโด่งวันเสาร์-อาทิตย์ยังไงล่ะคะ!

7.การจราจรติดขัดเครียดกว่าที่คิด

          คนที่อยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ย่อมรู้ดีถึงสภาพการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน และปีที่ผ่านมา การศึกษาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Lund ในสวีเดนก็เปิดเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายในระหว่าง ที่รถติดนั้นน่ากลัวมาก เสียงเครื่องยนต์สามารถทำให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดเพิ่ม โอกาสที่จะมีภาวะความดันโลหิตสูงถึง 45% แต่คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการนั่งรถประจำทาง เดิน หรือปั่นจักรยานไปทำงานแทน พร้อม ๆ กับกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลา ธัญพืช ผัก และผลไม้ ที่สำคัญคือ อย่าลืมออกกำลังเป็นประจำด้วย

8.เด็กไทยเป็นโรคอ้วน เสี่ยงเบาหวานเพิ่ม 10 เท่า

          สถานการณ์เบาหวาของคนไทยกำลังจะเข้าชั้นวิกฤตแน่ ๆ แล้ว โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ศ.พญ. วรรณี นิธิยานันท์ อุปนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ชี้ว่าโรคเบาหวานเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการเจ็บป่วย และการตายอันดับต้น ๆ ของคนไทย ซึ่งสอดคล้องพอดีกับที่เรามีภาวะอ้วนลงพุงสูงมาก

          โดยประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจะมีภาวะความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 21.4 และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เรามีอัตราผู้ป่วยวัยรุ่นเป็นเบาหวานเพิ่มมากขึ้น และปัจจุบันพบว่าเด็กมักป่วย เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งปกติจะพบในผู้ใหญ่มากกว่า เนื่องจากเราให้เด็กกินมากแต่ออกแรงน้อย เด็กจึงเป็นโรคอ้วนโดยตรงอย่างนี้นี่เองค่ะ

แปลกที่สุดของปี : เครื่องรางของขลังมีผลจริง ๆ

          เราไม่ทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเราอยู่หรือเปล่า แต่การศึกษาในปีที่ผ่านมาจากมหาวิทยาลัยแห่งโคโลญจน์ ชี้ว่า คนที่มีเครื่องรางของขลังไว้กับตัวจะรู้สึกมั่นใจ และมีผลการทดสอบความจำกับความคล่องแคล่วดีกว่า ตอนที่ไม่ได้พกเครื่องราง ดังนั้น การจะมีถุงเท้านำโชคสักคู่ เอาไว้ใส่สมัครงาน ก็ดูจะไม่ไร้สาระนัก...เนอะ?


http://health.kapook.com/view20623.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

“เมียงกา” ร้านนี้มีชื่อเสียง อาหารเกาหลีรสต้นตำรับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2554 16:01 น.
บรรยากาศโต๊ะนั่งชั้นล่างร้านเมียงกา
       “มา ชิส ซอ โย” เป็นภาษาเกาหลี แปลว่า “อร่อย”
      
       “ตระเวนกิน” ต้องขอเอ่ยปากชมเป็นภาษาเกาหลี ก็เพราะว่าในมื้อนี้เราได้มาอิ่มอร่อยกับอาหารเกาหลีรสชาติดีอันถูกปากยังร้านที่มีชื่อว่า “เมียงกา” (Myeong Ga) เป็นภาษาเกาหลี แปลว่า “ร้านที่มีชื่อเสียง” ซึ่งตั้งอยู่ตรงโคเรียนทาวน์ (สุขุมวิทพลาซ่า) ซ.สุขุมวิท 12
ห้องส่วนตัวตกแต่งสไตล์เกาหลี
       “เมียงกา” เป็นร้านอาหารเกาหลีขนานแท้จริงๆ ที่เปิดให้บริการความอร่อยมานานกว่า 5 ปีแล้ว มีเจ้าของเป็นคนเกาหลีชื่อคุณ Dae-Sook Yoon เป็น ผู้หญิงที่น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส บริการลูกค้าด้วยมิตรไมตรี และเธอก็ยังเป็นแม่ครัวฝีมือเอกที่ลงมือปรุงอาหารเกาหลีหลากหลายเมนูที่มี ขายอยู่ที่ร้านด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสูตรแบบต้นตำรับเกาหลีขนานแท้ อีกทั้งวัตถุดิบส่วนใหญ่ก็ต้องส่งตรงมาจากประเทศเกาหลี และเลือกสรรคัดแต่วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพเพื่อนำมาปรุงเป็นเมนูเกาหลีที่ชวนลิ้มรสมากมาย
พันชัง
       อย่างถ้ามาถึงร้านเมียงกาแล้วก็มีเมนูเกาหลีหลายอย่างที่อยากแนะนำ ให้ได้ลองลิ้มรสกัน โดยก่อนอื่นที่เราจะได้สั่งเมนูจานเด็ดมาชิมกันนั้น ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันเลยก็ว่าได้ ที่ว่าเมื่อเราเข้านั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วทางร้านก็จะเสิร์ฟเครื่องเคียง หรือที่เรียกว่า พันชัง ให้ทุกโต๊ะก่อนเลย ซึ่งเครื่องเคียงที่ว่านี้ก็คืออาหารจานเล็กๆ ที่ทางร้านจะนำมาเสิร์ฟประมาณ 8 อย่าง โดยจะมีเมนูหลากหลายหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน อาทิ กิมจิหัวไชเท้า แตงกวาดอง เห็ดนางฟ้าปรุงรสน้ำมันงา ไข่ตุ๋น ถั่วลิสงต้มน้ำตาล ผักขม ยำมะเขือยาว ซูกินีกับมันฝรั่งชุบแป้งทอด ซึ่งเครื่องเคียงพวกนี้สามารถเติมได้ด้วย
กิมชีจิแข่
       เอาล่ะจากนั้นก็สั่งอาหารเกาหลีจานหลักมากินกันดีกว่า มีเมนูจานเด่นที่ชวนลิ้มรสอยู่หลายอย่าง อย่างแรกที่อยากแนะนำ คือ กิมชีจิแข่ (Kim Chi Chi Gae) (200 บาท) เป็นซุปผักดองแบบเกาหลี ปรุงรสด้วยหมู 3 ชั้น เต้าหู้ขาว หัวหอมใหญ่ เสิร์ฟมาในหม้อร้อนๆ พร้อมกับข้าวหอมมะลิ กินซุปกิมจิหอมๆ ซดน้ำร้อนๆ ชุ่มชื่นโล่งคอ และออกรสเข้มข้นกลมกล่อมมากๆ กินคู่กับข้าวสวยเม็ดนุ่ม อร่อยได้ใจจริงๆ
โดลซดบีบิมบับ
       เมนูต่อมา คือ โดลซดบีบิมบับ (Dol Sot Bi Bim Bab) (220 บาท) ที่ยกเสิร์ฟกันมาแบบเป็นชามหินร้อนๆ ข้างในมีข้าวสวยคลุกกับน้ำมันงา และมีสารพัดเครื่องใส่โรยหน้ามามีทั้ง ถั่วงอกยำ เห็ดหอมผัด กิมจิผัด หมูผัดปรุงรส ผักขมยำ มะละกอ ไข่ขาว และไข่แดงดิบ และมีโคชูจัง (น้ำพริกเกาหลี) มาให้ด้วย เวลากินให้เอาโคชูจังใส่ลงไปในชามและคลุกเคล้าเครื่องทุกอย่างให้เข้ากัน ลิ้มรสข้าวเม็ดนุ่มเคี้ยวนิ่มเข้ากับเครื่องทุกอย่างที่ใส่มาได้รสชาติโคชู จังที่เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
พาจ็อน
       ตามมาติดๆ ด้วยเมนูนี้ พาจ็อน (Pa Jun) (280 บาท) หรือที่เรียกว่าพิซซ่าเกาหลี เพราะมีลักษณะกลมๆ เหมือนพิซซ่า แต่ว่าเป็นแป้งหมักสูตรพิเศษ ใส่กุ้ง หมึก และใส่ต้นหอมเยอะมากๆ ชิมแล้วก็ถูกปากดีกับแป้งนุ่มๆ ได้รสชาติกุ้ง หมึก และต้นหอมที่ลงตัวเข้ากัน และจิ้มกินกับน้ำจิ้มซอสถั่วเหลืองที่ผสมกับน้ำส้มสายชูนิดหน่อย เพิ่มรสชาติไปอีกแบบ
แดจิคัลบี
       หลังจากได้กินเมนูจานเดียวกันแล้ว คราวนี้มากินเมนูสไตล์ปิ้งย่างแบบเกาหลีกันบ้าง ซึ่งที่นี่มีเนื้อให้เลือกสั่งมาย่างอยู่หลายแบบ อย่างที่อยากนำเสนอก็มี แดจิคัลบี (Green tea Gal-bi) (300 บาท) เป็นเนื้อหมูส่วนซี่โครงหมักกับเครื่องเทศและโคชูจังนานกว่า 1 วัน ก่อนจะนำมาให้ย่างบนเตาถ่านร้อนๆ และยังมีผักสดมาให้ห่อกิน มีพริกกับกระเทียมมาให้ย่างกินด้วย และมาพร้อมกับน้ำจิ้มที่ให้เลือกกินถึง 3 แบบ คือ มีน้ำจิ้มน้ำมันงาผสมกับเกลือและพริกไทย มีน้ำจิ้มซอสถั่วเหลือง และน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวที่ทางร้านปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ
      
       ย่างหมูบนเตาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมๆ พอหมูสุกกำลังพอดี คีบชิ้นเนื้อหมูส่งเข้าปากเคี้ยวนุ่มได้รสชาติเครื่องหมักถูกปากดี หรือจะจิ้มกินกับน้ำจิ้มตามรสที่ชอบ และห่อกินกับผักยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่
ยังเนียมคัลบี
       ยังมีเนื้อที่น่าสั่งมาย่างอีก คือ ยังเนียมคัลบี (Yang-nyum Gal Bi) (450 บาท) เป็นเนื้อวัวส่วนซี่โครงที่ทางร้านนำมาหมักกับเครื่องปรุง เครื่องเทศเกาหลี และผักตามสูตรเด็ดของทางร้าน หมักนานกว่า 1 วัน เนื้อจะถูกเสิร์ฟมาแบบม้วนห่อมาเป็นก้อน เวลาย่างก็คลี่เนื้อออกมาย่างบนเตา ย่างจนสุกได้ที่ทางร้านจะมีกรรไกรไว้ให้ตัดเนื้อออกเป็นชิ้นๆ พอดีคำ ลิ้มรสเนื้อเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปาก ได้รสชาติเครื่องหมักกลมกล่อมถูกใจคนกินเนื้อจริงๆ
แอลเอคัลบี
       และก็มีเนื้อวัวอีกอย่างที่น่ากิน คือ แอลเอคัลบี (L.A Gal-bi) (450 บาท) เป็นเนื้อวัวส่วนติดซี่โครง ที่แล่มาเป็นชิ้นยาวๆ และหมักกับเครื่องเทศเครื่องปรุงเหมือนเนื้อตัวอื่นๆ ซึ่งหมักนานถึง 1 วันเช่นกัน กินเนื้อแล้วก็ต้องบอกว่าเนื้อนุ่มลิ้นมากๆ ไม่เหนียวเลย
เต็มอิ่มกับเมนูปิ้งย่าง
       ในมื้อนี้เราก็ได้เลือกอิ่มกับอาหารเกาหลีไปหลายเมนูแล้ว แต่ก็ยังเห็นว่าในเมนูอาหารมีอาหารจานอื่นอีกหลายอย่างที่น่าลองลิ้ม อาทิ Sam Gae Tang (ซุปไก่) (300 บาท) Dak Bul Go Gi (ไก่หมึกย่างสไตล์เกาหลี) (280 บาท) Jab-Chae (ผัดวุ้นเส้นเกาหลี) (350 บาท) Ddok Bok ki (ด็อกโบคกิ) (200 บาท) และอีกสารพัดอาหารเกาหลีที่ล้วนแล้วแต่น่าลองลิ้มทั้งนั้นเลย
ย่างเนื้อร้อนๆ บนเตาถ่าน
       เรียกว่าหากใครที่เป็นสาวกเกาหลี และชื่นชอบอาหารเกาหลี ก็อยากจะเชิญชวนให้มาที่ร้าน “เมียงกา” แห่งนี้กันดูเพราะจะได้ลิ้มรสชาติอาหารเกาหลีแบบต้นตำรับขนาดแท้ที่ถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน
บรรยากาศโต๊ะนั่งชั้น 2
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “เมียงกา” (Myeong Ga) ตั้งอยู่ที่ 212/16 ชั้น 1 สุขุมวิทพลาซ่า ซ.สุขุมวิท 12 ถ. สุขุมวิท คลองเตย คลองเตย กทม. การเดินทางจากถ.สุขุมวิท มุ่งหน้ามาที่ซ.สุขุมวิท 12 สุขุมวิทพลาซ่า (โคเรียนทาวน์) และตรงเข้ามาในสุขุมวิทพลาซ่าบริเวณชั้น 1 จะเห็นร้านเมียงกาตั้งอยู่มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน จอดรถได้ที่บริเวณลานจอดรถของสุขุมวิทพลาซ่า ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. แต่ทุกวันจันทร์เปิด 16.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อนจะดี และทางร้านรับจัดงานเลี้ยงด้วยโทร. 0-2229-4658, 08-1630-0532
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000093483

เชื้อโรคร้าย ที่มาจากเครื่องใช้ IT

คอมพิวเตอร์


เชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT (Modern Mom)
โดย: ผศ.นสพ.ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณ ภาควิชาสัตว์แพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          การใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรานั้นมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ IT อาทิ โน้ตบุ๊ก แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนประกอบของอุปกรณ์ทั้งคีย์บอร์ด และเม้าส์ ล้วนสัมผัสโดยตรงกับตัวผู้ใช้ แล้วอุปกรณ์เหล่านี้นี่เองที่เป็นประตูของเชื้อโรคสู่ร่างกาย

          หมอซุปเชื่อครับว่า ตั้งแต่เริ่มใช้อุปกรณ์เหล่านี้ คงนับคนได้เลยที่จะมีการทำความสะอาด หรือฆ่าเชื้อโรคหน้าสัมผัสของอุปกรณ์เหล่านี้ และจนถึงวาระสุดท้ายของเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะล้าสมัย หรือเสียหายคามือ ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสความสะอาดเลย

          ประเด็นที่หมอซุปอยากจะกระตุ้นเตือนบรรดาผู้ใช้งานคือ ให้ระมัดระวังเรื่องความสะอาด รวมไปถึงการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งการใช้มือ นิ้วมือแตะสัมผัสกับคีย์บอร์ด กุมเม้าส์ เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์นั้นย่อมได้รับเชื้อโรค สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานส่วนบุคคลก็อาจจะพอควบคุมความสะอาดได้บ้าง แต่อุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างสาธารณะ โดยเฉพาะร้านอินเทอร์เน็ต จุดบริการอินเทอร์เน็ตที่สนามบิน โรงพยาบาล โรงแรม ฯลฯ ที่ไม่มีการจำกัดผู้ใช้งานต้องระมัดระวังครับ

เชื้อโรคแฝงจาก IT

          เชื้อโรคที่ควรให้ความระมัดระวัง ก็คงหนีไม่พ้น 2 กลุ่มใหญ่ คือ แบคทีเรียและไวรัส ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยก็ว่าได้

          แบคทีเรีย ที่ปนเปื้อนมักจะทำให้เกิดอาการ ไข้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางกรณีอาจจะรุนแรงกระทั่งถ่ายเป็นมูกเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วอาการโรคอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียบางชนิด อาจจะทำให้เกิดอาการไตวายในเด็กได้ด้วย

          ไวรัส ที่ก่อโรค อาจจะแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร เหมือนแบคทีเรีย ซึ่งพบว่าก่อโรคได้ทุกเพศ ทุกวัย และกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ อย่างที่หมอซุปเคยเล่าให้ฟังกรณีของการปนเปื้อนน้ำทะเลครับ

          ข้อ แนะนำ: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคในสถานการณ์ต่าง ๆ คือ การทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคที่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดและเม้าส์อย่างสม่ำเสมอ ก่อนการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ควรมีการล้างทำความสะอาดมือและนิ้วมือด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะมาจากทางเดินอาหาร และปนเปื้อนไปสู่หน้าสัมผัสของอุปกรณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการวางยา (เชื้อโรคที่ปนเปื้อน) ไปสู่ผู้ใช้งานคนถัด ๆ ไป (หมายความว่า อาจจะมีเหยื่อมากกว่า 1 ราย)

          แม้ว่าเชื้อโรคส่วนมากจะไม่สามารถเจริญเติบโตบนผิวสัมผัสเหล่านี้ได้ แต่เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่อาจจะยังไม่ตาย เพียงแต่รอเวลาให้ผู้โชคร้ายรายต่อไป รับเอาเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินอาหาร แล้วก่อให้เกิดโรคต่อไป

          นอกจากนี้ให้อนุมานว่า อุปกรณ์ IT สาธารณะไม่สะอาด ดังนั้น ระหว่างการใช้งาน ไม่ควรใช้มือหรือนิ้วมือ นำอาหารเข้าปากเป็นอย่างยิ่ง และที่ลืมไม่ได้ คือ การล้างมือทำความสะอาดหลังการใช้งานอุปกรณ์ ITสาธารณะทุกชนิด ในทุกสถานที่ด้วยครับ



http://health.kapook.com/view20892.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก