โทรศัพท์มือถือ อันตรายต่อระบบสมองจริงหรือ?



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้อ่านบทความ หรือได้รับการบอกต่อ ๆ กันมาว่า อย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัวนะ อย่าคุยโทรศัพท์มือถือนานนะ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือ จะส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้สมองเสื่อม เป็นมะเร็งสมองได้

          โอ้โห...ฟังแล้วดูน่ากลัวขึ้นมาทันที เพราะเราเองก็ใช้โทรศัพท์มือถือกันอยู่ทุกวัน ก็ย่อมอดกังวลไม่ได้ว่า  ความเชื่อทั้งหลายเกี่ยวกับการเตือนภัยโทรศัพท์มือถือนี้ จะจริงหรือไม่อย่างไรเพราะฉะนั้นวันนี้เราไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

          ก่อนหน้านี้เราคงเคยได้ยินข้อมูลที่ว่า คลื่นไมโครเวฟที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือนั้นจะส่งผลกระทบต่อสมอง และระบบประสาทได้จึงได้มีฟอร์เวิรด์เมล์บอกต่อ ๆ กัน ว่าไม่ควรเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัวโดยเฉพาะเวลานอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือ ถือเสีย

          ด้วยเหตุนี้จึงได้มีนักวิจัยจากหลายประเทศทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลนี้ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีงานวิจัยจากประเทศอังกฤษออกมาเปิดเผยว่า คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือก็มีผลต่อสมอง ในแง่ที่ทำให้สมองมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำถามแบบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ได้รวดเร็วขึ้น แต่ไม่มีผลต่อการทำงานของสมองในแง่อื่น ๆ และยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอันตรายต่อสมอง

          ทั้งนี้จริงอยู่ที่ว่า หากสิ่งมีชีวิตได้รับคลื่นรังสีในปริมาณมาก ๆ ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนทำให้เกิดอันตรายได้ แต่เนื่องจากความถี่ของคลื่นไมโครเวฟโทรศัพท์มือถือ กับเตาไมโครเวฟประกอบอาหารต่างกัน และกำลังส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือก็ต่ำมาก ส่วน สนามแม่เหล็กที่ส่งออกมาก็มีขนาดเล็กมาก เกินกว่าจะมีผลกระทบต่อเซลล์ในร่างกาย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องวิตกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะทำให้ภูมิคุ้มกันแย่ลง หรือส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท

          ส่วนที่เคยมีงานวิจัยจากสวีเดน และราชสมาคมในลอนดอนระบุไว้ว่า เด็กหรือวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 20 ปี ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง หรือเนื้องอกในสมองมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปถึง 5 เท่า เนื่องจากสมองและระบบประสาทยังไม่พัฒนาเต็มที่ และเด็กยังมีกะโหลกบางและเล็กกว่าผู้ใหญ่ ทำให้คลื่นพลังงานจากโทรศัพท์มือถือ สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองเด็กได้มากกว่า ขณะที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลังอายุ 20 ปี มีโอกาสเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรง เพียง 50% เท่านั้น แค่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมองแค่ 2 เท่า

          ข้อมูลนี้อาจจะดูน่ากลัวแต่ในความเป็นจริงแล้ว นักวิจัยเองก็ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะยืนยันว่า การใช้โทรศัพท์มือถือในระยะยาว เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งที่บริเวณสมอง เพราะการเกิดมะเร็งสมองได้ต้องใช้เวลานานหลายปี และอาจมีปัจจัยอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบด้วยจึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปอีก

          สอด คล้องกับรายงานของสถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ ภายใต้การดูแลขององค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ที่ระบุว่า จากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 13,000 คน ในระยะเวลา 10 ปี พบว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งสมองชนิดเนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง และเนื้องอกในระบบประสาทส่วนกลาง แม้จะคุยโทรศัพท์นานกว่า 30 นาที ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่า โทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุของการเกิดเนื้องอกในสมองได้โดยตรง พบแต่เพียงว่าผู้ที่คุยโทรศัพท์มือถือนานกว่า จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยครั้งแต่ระยะเวลาสั้น ๆ

          ทั้งนี้ ใช่ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะไม่มีผลต่อสมองผู้ของใช้เลยเสียทีเดียว เพราะในวงการแพทย์ได้ยืนยันถึงผลกระทบของโทรศัพท์มือถือกับสมองไว้เรื่อง หนึ่งว่า หากคุยโทรศัพท์มือถือนาน ๆ จะทำให้ผู้ใช้เกิดอาการปวดศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่น ความจำแย่ลงด้วย

          สรุปก็คือ ณ วันนี้ นักวิจัยยังไม่ฟันธงว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือจะส่งผลอันตรายต่อระบบสมอง หรือประสาท อย่างที่ใคร ๆ กลัวกัน มีแต่เพียงคำเตือน ที่ว่า การใช้โทรศัพท์มือถืออาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสมองมากกว่าผู้ ไม่ได้ใช้เท่านั้น และต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไปอีกในอนาคต

          แต่ถ้าหากใครยังไม่แน่ใจ หรือเกรงว่าผลวิจัยในอนาคตจะออกมาตรงกันข้ามกับข้อมูล ณ วันนี้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เราก็ควรใช้โทรศัพท์มือถืออย่างระมัดระวังมากขึ้นโดย

     เปลี่ยนไปใช้สมอลล์ทอล์ก หรือ บลูทูธ เพื่อหลีกเลี่ยงการถือโทรศัพท์แนบกับศีรษะ

     ไม่ควรคุยโทรศัพท์นานเกินไป โดยเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือประมาณ 15 นาที

     ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ หากอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณต่ำ เพราะจะทำให้โทรศัพท์ปล่อยคลื่นความถี่สูงกว่าปกติ

     อย่าให้เด็กเล็กใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาด หากไม่จำเป็นจริง ๆ

          ทราบข้อมูลดี ๆ แบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมปฏิบัติตามนะคะ ป้องกันไว้ก่อนรับรองว่าดีที่สุดค่ะ

http://health.kapook.com/view21090.html

เช็คสุขภาพง่าย ๆ แค่ส่องกระจก


ตรวจสุขภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เชื่อหรือไม่ว่า ร่างกายของคุณสามารถสะท้อนปัญหาสุขภาพในตัวคุณได้อย่างไม่คาดคิด อย่างเช่น ดร.ฮอลลี ฟิลลิปส์ ที่ออกมาระบุว่า เราสามารถตรวจสุขภาพร่างกายของเราเองได้ง่าย ๆ ด้วยการส่องกระจกสังเกตใบหน้าของเรานั่นเอง แล้วอย่าลืมสังเกตอวัยวะดังต่อไปนี้ด้วย

ขนตา

          ถ้าสังเกตเห็นว่า "ขนตา" ตรงส่วนปลายร่วง หรือสั้นลง นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า เราอาจมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ต่ำกว่าปกติ

หนังตา

          ถ้าหากหนังตาเราบวม แล้วมีตุ่มเล็ก ๆ อยู่ที่มุมข้างในตา แสดงว่า คุณอาจมีคอเลสเตอรอลสูงเกินไป ต้องรีบลดด่วนแล้วล่ะ

ดวงตา

          ลองสังเกตดูว่า ดวงตาของคุณปูดโปนออกมาผิดปกติหรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก็ แสดงว่า คุณมีไทรอยด์ฮอร์โมนที่สูงกว่าปกติ และหากตาขาวเปลี่ยนเป็นสีออกเหลือง ๆ แสดงว่า ตับ หรือถุงน้ำดีของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว

ผม

          ผมที่แห้ง และเปราะง่าย อาจบ่งบอกว่า คุณกำลังมีปัญหาที่ต่อมไทรอยด์ นอกจากนี้ ยังเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณขาดธาตุเหล็กด้วย รวมทั้งหากคุณผมร่วงฉับพลัน แสดงว่า ตอนนี้คุณกำลังเครียดอย่างมากทีเดียว

ใบหูส่วนล่าง

          ข้อนี้อาจจะสังเกตยากหน่อย แต่ลองสังเกตดูว่า หากใบหูส่วนล่างมีรอยพับย่นเป็นเส้นทแยงมุม มันอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่า เลือดในร่างกายของคุณไหลเวียนไม่สะดวก ซึ่งทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายได้โดยไม่รู้ตัว

เล็บมือ

          หากเล็บมือแห้งเปราะ อาจหมายถึงว่า คุณกำลังป่วยด้วยโรคไทรอยด์ หรือขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 ถ้าเล็บมีเส้นขวางเป็นแนวนอน อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ หรือหัวใจล้มเหลว แต่หากเล็บเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล คุณอาจกำลังติดเชื้อบางอย่าง หรือมีอาการผิดปกติอย่างเรื้อรังของปอดก็เป็นได้

เต้านมผู้ชาย

          คุณผู้ชายส่วนใหญ่มักละเลยก้อนเล็ก ๆ ที่กดแล้วไม่เจ็บบริเวณหน้าอก หรือใต้รักแร้ แต่รู้ไหมว่า ก้อนนั้นอาจเป็นมะเร็งเต้านมก็เป็นได้ แม้ความเป็นจริงแล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพียงแค่ 2% แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี

          เอ้า...จำไว้แล้วไปสังเกตตัวเองกันหน่อยดีไหมคะ 

http://health.kapook.com/view21215.html

อย.เตือน ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่มีกลิ่นหอมยังมีอันตราย



อุปกรณ์ทำความสะอาด


อย.เตือนผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่มีกลิ่นหอมยังมีอันตราย (องค์การอาหารและยา)

          อย.แจงผู้บริโภคอย่าเข้าใจผิด ผลิตภัณฑ์ วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนที่มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นฉุน หรือมีกลิ่นอ่อน มีความอันตรายน้อย ซึ่งความจริงกลิ่นเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ความเป็นอันตรายของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายลดน้อยลง หากผู้บริโภคสูดดมเข้าไป อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ย้ำเตือนให้ผู้ผลิตอย่าโฆษณาผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายเกินจริง เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค

          ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อย. เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังมีผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย ที่ใช้ตามบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข อาทิ ผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดแมลงและสัตว์อื่น ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในเรื่องของความเป็นอันตรายของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายว่า ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นฉุน หรือมีกลิ่นอ่อนมีความเป็นอันตรายน้อย หรือไม่อันตราย เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่มีกลิ่นฉุนหรือกลิ่นแรง สาเหตุของความเข้าใจนี้ อาจเกิดจากรูปแบบของการโฆษณาผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายดังกล่าว ที่มีการเน้นย้ำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด และละเลยที่จะระมัดระวังความเป็นอันตราย โดยการแสดงท่าทางสูดดมพร้อมคำที่สื่อให้รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หอมน่าดม หรือการแสดงข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ทำจากธรรมชาติ

          แต่ ในความจริงแล้ว กลิ่นหอมเกิดจากการปรุงแต่งกลิ่นด้วยน้ำหอมสังเคราะห์ โดยอาจเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ เช่นดอกลาเวนเดอร์ ดอกลิลลี่ ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ เป็นต้น อาจมีบ้างที่ปรับปรุงกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยสกัดจากธรรมชาติ เช่น กลิ่นจาก d-limonene ที่สกัดจากเปลือกผลไม้ตระกูลส้ม กลิ่นหอมต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า ผลิตภัณฑ์ไม่ทำให้เกิดอันตราย เพราะมีกลิ่นหอมหรือเป็นกลิ่นของพืชจากธรรมชาติ แต่ที่จริง หากผู้บริโภคสูดดมกลิ่นของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายเข้าไป จะทำให้ปวดศีรษะ วิงเวียนคลื่นไส้ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยประโยชน์ที่แท้จริงของการแต่งกลิ่นของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายนั้น ก็เพื่อกลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของสารออกฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ หรือสารเคมีที่ใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อใช้เป็นตัวทำละลาย ตลอดจนคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งมักจะมีกลิ่นฉุนอย่างรุนแรง จึงต้องแต่งกลิ่น เพื่อช่วยลดความรุนแรงของกลิ่นในผลิตภัณฑ์ให้น้อยลง เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาเลือกบริโภคสินค้ามากยิ่งขึ้น

          รอง เลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า อย.ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แล้ว โดยที่ฉลากมีเครื่องหมาย อย.พร้อมด้วยเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นต้นด้วย วอส.ทับปีพ.ศ. เนื่องจาก อย.ได้ประเมินประสิทธิภาพในการใช้งานและความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว และขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้ และพึงระลึกอยู่เสมอว่า ผลิตภัณฑ์ที่กำลังใช้อยู่นั้นเป็นวัตถุอันตราย โดยควรศึกษาวิธีการใช้ให้เข้าใจก่อน และปฏิบัติตามวิธีการใช้และคำเตือนที่แสดงบนฉลากอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายอย่างปลอดภัย และต้องเก็บผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายไว้ในที่มิดชิด ไกลมือเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้


http://health.kapook.com/view21233.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
fda.moph.go.th

"EST.33" เบียร์เด็ด อาหารดี

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มกราคม 2553 09:43 น.
บรรยากาศภายในร้าน EST.33
       ถึงแม้จะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มาแล้ว แต่ห้วงอารมณ์แห่งการเฉลิมฉลองวันเวลาแห่งความสุขสันต์ยังคงอบอวลอยู่ ดังนั้น "ตระเวนกิน" จึงอยากจะขอชวนมิตรรักนักกินไปปาร์ตี้สังสรรค์สร้างความสุขกันต่อ แถมยังขอเอาใจสิงห์นักดื่มเครื่องดื่มสีอำพันที่มีพรายฟองนุ่มกันด้วย เพราะว่าเราจะชวนไปดื่มเบียร์รสเลิศ แถมยังได้เรียนรู้การผลิตเบียร์ไปในตัวด้วย และมาพร้อมกับอาหารเลิศรส ยังร้านอาหารน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน แต่ว่ามีกระแสมาแรงและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือร้าน "EST.33" ที่ตั้งอยู่ที่ CDC เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา
หม้อต้มเบียร์ทำจากคริสตัล
       "EST.33" ย่อมาจาก "Established in 1933" ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทบุญรอดเปิดทำการ ต้องบอกเลยว่าร้านEST.33นี้ เป็นร้านอาหารที่มีสไตล์เฉพาะตัว มีคอนเซ็ปต์ร้านที่ว่า Edutainment : Education + Entertainment คือนอกจากจะได้รื่นรมย์กับการจิบเบียร์เย็นๆ แล้วยังจะได้เรียนรู้เรื่องการผลิตเบียร์ด้วย เพราะว่าทางร้านได้ยกเอากระบวนการผลิตเบียร์ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอน สุดท้ายมาโชว์ไว้ในร้านให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงกลางร้าน ซึ่งมีหม้อต้มเบียร์ที่ทำจากคริสตัลชั้นดีนำเข้าจากเยอรมันแห่งแรกในเอเชีย และยังเป็นหม้อต้มเบียร์แก้วเปิดที่แรกของโลก พร้อมทั้งยังมี Brew Master ที่ผ่านการอบรมจากประเทศเยอรมันมาคอยตอบคำถามให้กับเหล่านักดื่มที่อยากรู้ เรื่องเกี่ยวกับเบียร์ได้อย่างละเอียด ทำให้มื้อแห่งการดื่ม-กินมีความเพลิดเพลินและเสริมสร้างอรรถรสมากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งมุมนั่งเก๋ๆ
       และด้วยความที่เป็นร้านอาหารที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ดังนั้นเบียร์ที่มีขายอยู่ที่ร้านจึงเป็นเบียร์ที่คิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ สำหรับร้านEST.33 โดยเฉพาะ เป็นเบียร์สดซึ่งมีอยู่ 3 สูตรใหม่และมีเสิร์ฟที่นี่ที่เดียว ซึ่งผสานสุดยอดของโลกตะวันตกและวันออกไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อม จากฝีมือของ Brew Master ชาวเยอรมันถิ่นต้นตำรับของเบียร์มารวมกับส่วนผสมดีมีคุณค่าจากเอเชีย ออกมาเป็นเบียร์ 3ชนิดที่ชวนดื่มเอามากๆ
      
       ขอนำเสนอเบียร์ชนิดแรกคือ Lager Beer เป็นเบียร์ยอดนิยมสีทองอ่อนๆ ผลิตจากวัตถุดิบคัดพิเศษ ด้วยข้าวบาร์เลย์มอลต์ชั้นดี เติมฮอปส์จากยุโรปที่ให้ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ แล้วหมักบ่มอีกราว 3 สัปดาห์จนได้เบียร์ลาเกอร์พรายฟองสีทอง น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เพราะรสชาตินั้นกลมกล่อมนุ่มคอ ไม่ขมมากเกินไป
เบียร์สด 3 ชนิดที่มีให้เลือกดื่ม
       ถัดมาคือCopper Beer เป็นเบียร์ที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีม Brew Master ของไทย เป็นการนำเอาข้าว GABA Rice หรือข้าวกล้องชั้นดีอุดมไปด้วยคุณค่าอาหาร เพื่อให้ได้สีและรสชาติที่ลงตัวผสมลงไปในเบียร์ด้วย และเติม Pearl Hop กลิ่นหอมอ่อนๆ จากถิ่น Hallertaur ในNiederbayern ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นแหล่งปลูกฮอบส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หมักบ่มราว 3 สัปดาห์ จนได้เบียร์สีทองแดงรสชาตินุ่มถูกคอกำลังดีไม่เหมือนใคร
      
       ชนิดสุดท้ายคือBlack Beer เป็นเบียร์สีดำ มีกลิ่นหอมล ถูกพัฒนาปรับแต่งจากสูตรต้นตำรับของแคว้นบาวาเรียนในประเทศเยอรมัน โดยนำมอลต์ที่ผ่านการคั่วจนได้สีและมีกลิ่นหอมกาแฟอ่อนๆ ผสมผสานกับข้าวเหนียวดำพันธุ์ดีของไทยที่ให้รสหวานกลมกล่อมเหมือนคาราเมล เติมฮอปส์ชั้นดีแล้วหมักบ่มอีก 3 สัปดาห์จนได้เบียร์สีดำที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสชาติหวานนุ่มนวล ออกรสเข้มถูกปาก ซึ่งเบียร์ทั้งสามรูปชนิดนี้จะขายในปริมาณ0.3ลิตร(120 บาท) และ0.5ลิตร(160 บาท)
EST.33 Sampler
       และการจะดื่มเบียร์ให้ได้รสชาติเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็ควรที่จะมีอาหารเลิศรสให้ลิ้มรสควบคู่ไปกับการดื่มเบียร์ด้วย ซึ่งที่ร้าน EST.33 นี้ก็มีอาหารจากร้าน Minibar Royale ที่นำเสนอปรุงแต่งอาหารขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับการดื่มเบียร์ โดยรังสรรค์เมนูอาหารไทยและอาหารอินเตอร์เนชั่นแนลสไตล์โฮมเมด ที่ได้นำเอาเบียร์มาเป็นส่วนผสมในอาหารด้วย ซึ่งมีอาหารให้เลือกลิ้มรสอยู่หลายเมนู และแต่ละเมนูก็ล้วนแล้วแต่น่าลองลิ้มทั้งนั้นเลย
      
       อย่างเมนูเด็ดที่ชวนกินก็มี EST.33 Sampler (320บาท+) ความพิเศษของเมนูนี้จะเสิร์ฟพร้อมเบียร์ 3แก้ว3รสและมีอาหาร3อย่างมีทั้ง หอมทอดที่จะใช้เบียร์เป็นส่วนผสมในแป้งเพื่อเอามาชุบกับหอมใหญ่ให้กรอบเมื่อ ทานแล้วจะรู้สึกได้กลิ่นหอมของแป้งและหอมใหญ่ออกรสหวานเข้ากันดี ถัดมาเป็นmeat ballที่ทางร้านจะใช้เนื้อไม่ติดมันเอามาปรุงรสปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วอบ โรยหน้าด้วยพาเมซานชีส และสุดท้ายกับปีกไก่ที่ใช้ปีกบนมาหมักกับเครื่องเทศและนำไปทอด ได้รสชาติของไก่เนื้อนุ่มออกรสหวานลิ้น
Home Smoked Salmon with Spicy Dressing
       เมนูต่อมชื่อว่าHome Smoked Salmon with Spicy Dressing (240 บาท+) เมนูถือว่าอาใจคนที่ชอบอาหารออกรสจัดจ้านแบบไทยๆ เป็นปลาแซลมอนที่ทางร้านนำมารมควันเองสไลด์มาเป็นชิ้นๆ ราดด้วยน้ำสลัดสไตล์เหมือนน้ำยำซีฟู๊ด และโรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ต กระเทียม และเม็ดทับทิม ทันที่ที่ได้ลองลิ้มจะได้กลิ่นหอมของปลาแซลมอนรมควันเนื้อนุ่มหวาน เข้ากันได้ดีกับน้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้านถูกปากโดนใจ
Chili Dog with Fries
       จากนั้นมากินเมนูนี้ Chili Dog with Fries (190 บาท+) เป็นฮอทด๊อกที่ใช้ไส้กรอกหมูที่นำมาต้มกับเบียร์เพื่อให้เนื้อนุ่ม นำมาย่าง และราดด้วยซอสมะเขือเทศกับเนื้อบดใส่พริกนิดหน่อยเพื่อให้รสชาติออกมาเผ็ด เล็กน้อย เมนูนี้เสิร์ฟมากับมันฝรั่งทอดเอาไว้กินเคียงกัน กินฮอดด๊อกไส้กรอกหมูเนื้อแน่นนุ่มปากผสานกับรสชาติซอสมะเขือเทศและเนื้อสับ ที่ลงตัวกลมกล่อมเข้ากันดี
Beer Marinated Baby Back Ribs
       อีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดสั่งมาชิมก็คือ Beer Marinated Baby Back Ribs (320 บาท+) เป็นซี่โครงหมูทั้งชิ้นใหญ่ๆ นำมาหมักกับเบียร์และซอสสูตรเด็ดของทางร้าน แล้วจึงนำมาย่างและราดด้วยซอสบาร์บีคิวอีกที เมนูนี้โดดเด่นตรงที่เนื้อซี่โครงหมูนั้นร่อนออกมาจากกระดูกอย่างง่ายดายและ เนื้อหมูก็นุ่มเคี้ยวง่ายบวกกับได้รสชาติของซอสบาร์บีคิวที่เข้มข้นถูกปาก จริงๆ
EST.33 Parfait
       แล้วใช่ว่าจะมีแต่อาหารคาว อาหารหวานของที่นี่ก็ชวนกินไม่แพ้กัน นั่นคือ EST.33 Parfait (120 บาท+) เป็นเจลาโต้รสวนิลา ใส่ชีสเค้ก และผลไม้อย่างลิ้นจี่ กีวี่ ส้มซันควิส ครีมและคอนเฟล็ก เมนูนี้กินแล้วจะรู้สึกสดชื่น เพราะว่าความหวานหอมนุ่มของเจลาโต้ และครีมชีสเข้ากันได้ดี ได้รสชาติที่หวานและตัดความเลี่ยนด้วยผลไม้รสเปรี้ยว
โต๊ะนั่งด้านนอกรับลม
       และนอกเหนือจากเมนูเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีเมนูแนะนำอื่นๆ ที่ชวนลิ้มลองอีก อาทิ Baked Potato Skins with Sour Cream & Bacon (190 บาท+), German Sausages Boiled in Beer Then Grilled (350 บาท+), Legendary Bo Burger with Egg and Fries (240 บาท+), Smothered Pork Chop with Mashed Potato (240 บาท+) รวมถึงยังมีเบียร์ค็อกเทลให้ได้ลองลิ้มรสชาติแปลกใหม่ อาทิ Melon Bomb (180 บาท), Uber Bomb(180 บาท) Monaco (120 บาท) เรียกว่าหากใครกำลังมองหาสถานที่สังสรรค์กับเพื่อนฝูงตามสไตล์คอนักดื่มและนักกินด้วยกัน ร้าน “EST.33” นับว่าเป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าชวนกันมาแฮงค์เอาท์
ร้าน "EST.33" ตั้งอยู่ที่ CDC คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (Crystal Design Center) อาคาร E เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากพระราม 9 วิ่งเข้าเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ตรงมาเรื่อยๆ ผ่านเทสโก้โลตัส และคริสตัลพาร์ท ให้กลับรถแล้ววิ่งชิดซ้ายไว้จะเจอ CDC อยู่ทางซ้ายมือ ให้เข้าตรงทางเข้าที่ 2 แล้วตรงเข้ามาด้านในจะเห็นร้าน EST.33 ตั้งอยู่ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-24.00 น. โทร. 0-2102-2096
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000007898

"BARLEY BISTRO & BAR" ปาร์ตี้ชวนอร่อย

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2553 09:58 น.
บรรยากาศนั่งสบายๆ ภายในร้าน BARLEY BISTRO & BAR
       ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานอันหนักอึ้ง ครั้นพอถึงเย็นวันศุกร์ทีไร เชื่อแน่ว่าใครๆ ต่างก็ต้องคิดอยากจะหาสถานที่ผ่อนคลายลดความเครียด และความเมื่อยล้าจากการทำงานกันเป็นแน่ ซึ่งหากได้ออกมาปาร์ตี้สังสรรค์กับผองเพื่อน มานั่งกินนั่งดื่มกันให้สำราญใจ คงจะเป็นอะไรที่พิเศษสุดว่าไหม??
      
       หากว่าใครพยักหน้าเห็นด้วยกับ "ตระเวนกิน" แล้วล่ะก็ ขอให้ตามเรามาได้เลย เพราะว่าในมื้อนี้เราจะขอพามิตรรักนักกินทุกคนไปปาร์ตี้แฮงเอ้าท์กันแบบอิ่ม เอมทั้งกายและใจ ยังร้านอาหารน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน กับร้านที่มีชื่อว่า "BARLEY BISTRO & BAR" (บาร์เล่ย์ บิสโทร แอนด์ บาร์) เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีสไตล์การตกแต่งเป็นของตัวเอง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แนวโมเดิร์นสมัยใหม่ และดูเก๋ไก๋ออกแนวอาร์ตแบบมีสไตล์ ซึ่งภายในร้านที่มีถึง 2 ชั้น คือชั้น 3 และชั้น 4 บนอาคารฟู้ดแชนนอล ได้ถูกจัดตกแต่งให้มีบรรยากาศของร้านที่ชวนนั่ง และมีให้เลือกนั่งถึง 3 โซนด้วยกัน
โต๊ะนั่งโซนบาร์ที่ชั้น 4
       อย่างถ้าหากมากับเพื่อนๆ หลายคนแล้วต้องการมานั่งกินอาหารแบบสบายๆ พูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน แนะนำว่ามาที่ชั้น 3 ที่จัดให้มีโต๊ะนั่งกินอาหารแบบสบายๆ สไตล์โมเดิร์น และแฝงไว้ด้วยงานศิลปะและภาพวาดอันกิ๊บเก๋ แต่ถ้าอยากรื่นรมย์กับการนั่งดื่ม พร้อมกับสนุกสนานไปกับเสียงเพลง และออกแนวมันส์ๆ นิดๆ ต้องขั้นมาที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโซนบาร์ ภายในมีเคาน์เตอร์บาร์ที่คอยบริการเครื่องดื่มแบบครบครัน ส่วนเรื่องของเสียงเพลงนั้น ทางร้านจะเปิดเพลงเพราะๆ ให้ฟังสไตล์แจ๊ซ บอสซ่า และถ้ามาในวันพุธ, ศุกร์, เสาร์ เวลา 21.00-23.00 น. จะมีนักดนตรีมาเล่นดนตรีสดๆ สไตล์ป๊อปแจ๊สใฟ้ฟังกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
      
       และถ้าอยากนั่งแบบชิลล์ ชิลล์ สัมผัสสายลมเย็นๆ และมองเห็นดวงดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน แนะนำว่าต้องเป็นโซน out door ที่ถือว่าเป็นโซนยอดฮิตของทางร้าน เป็นลานกว้างที่ถูกตกแต่งให้โปร่งโล่ง มีโต๊ะนั่งแบบหลากหลายให้เลือกนั่งตามใจชอบแบบสบายๆ มีทั้งโซฟานุ่มๆ เก้าอี้ตัวใหญ่ และที่นั่งแบบ Daybed ให้ได้เลือกนั่งเอกเขนกแบบผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
ปอเปี๊ยะเห็ดชีส
       นี่เป็นแค่ส่วนของบรรยากาศร้านที่ชวนให้มานั่งกัน ส่วนเรื่องอาหารการกินของที่ร้านนี้ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยหน้ากัน เพราะว่าอาหารที่ทางร้านนำเสนอนั้น เป็นอาหารสไตล์ฟิวชั่น ที่ทางร้านคิดค้นปรุงแต่งขึ้นมาเอง โดยนำเอาอาหารไทยมาผสมผสานกับอาหารชาติอื่นๆ ออกมาเป็นเมนูพิเศษเฉพาะของทางร้านที่ล้วนแล้วแต่ชวนกินทั้งนั้นเลย แถมทางร้านยังมีการคิดค้นเมนูใหม่ๆ ออกมาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ได้เลือกอิ่มอร่อยกัน
      
       สำหรับมื้อนี้เราก็ขอนำเสนอเมนูที่น่าลองลิ้มที่ถือว่าเป็นเมนูเด่น ประจำร้านมาให้ชิมก็แล้วกัน เริ่มจากจานแรกเป็นเมนูกินเล่นรองท้องกันก่อนด้วย ปอเปี๊ยะเห็ดชีส (95 บาท+) เป็นแป้งปอเปี๊ยะที่ข้างในห่อด้วยไส้เห็ดหอม และเห็ดฟาง ที่นำมาผัดปรุงรสชาติแล้วม้วนห่อด้วยชีสอีกที และทอดมาแบบเหลืองกรอบ กินแล้วโดนใจแป้งปอเปี๊ยะกรอบนอกนุ่มในด้วยไส้เห็ดรสดี แถมมีชีสหอมๆ นุ่มยืดอยู่ข้างใน และทางร้านยังมีน้ำจิ้มมายองเนสสูตรพิเศษมาให้จิ้มกินเพิ่มรสชาติอีกด้วย
แพนเค้กเม็กซิกัน
       จานต่อมามีชื่อว่า แพนเค้กเม็กซิกัน (110 บาท+) เป็นแป้งทอร์ทิลย่าสไตล์อาหารเม็กซิกัน นำมาสอดไส้ด้วยผักหลายชนิด และใส่ชีสมาด้วย แล้วนำมากริลล์ในกระทะจนแป้งสุกกรอบ กินตอนที่เสิร์ฟมาร้อนๆ สัมผัสได้ถึงแป้งที่บางกรอบนุ่มหนืดชีสและไส้ผักที่เข้ากันดี แล้วก็ยังมีซอสมายองเนสที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษให้จิ้มกินเพิ่มรสชาติ
สลัดปูนิ่มรสจัด
       เมนูต่อมาเป็นเมนูใหม่ที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ คือ สลัดปูนิ่มรสจัด (200 บาท+) ทางร้านนำเอาปูนิ่มทั้งตัวมาชุบแป้งทอดกรอบ มาพร้อมกับผักสลัดที่เลือกใช้แต่ผักออร์แกนิก แล้วราดด้วยน้ำสลัดสูตรเด็ดที่นำเอามายองเนสมาตีผสมกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ชิมสลัดปูนิ่มแล้วถูกปากตรงที่ผัดสลัดสดกรอบ ปูนิ่มกรอบนอกนุ่มใน ชุ่มน้ำสลัดรสจัดจ้านสมชื่อแบบไม่เลี่ยน
เพนเน่ฉูฉี่แซลมอน
       เพนเน่ฉูฉี่แซลมอน (180 บาท+) เมนูนี้เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารไทยและอาหารอิตาเลียน คือเอาเส้นเพนเน่มาผัดกับน้ำฉูฉี่ที่ทางร้านปรุงขึ้นมาเองตามสูตรเด็ด และใส่เนื้อปลาแซลมอนสดๆ ชิมรสชาติแล้วขอบอกว่าเส้นเพนเน่นุ่มๆ ชุ่มด้วยน้ำฉูฉี่รสจัดจ้านแบบไทยๆ ออกเผ็ดลิ้นนิดหน่อย เนื้อปลาแซลมอนก็นุ่มโดนใจ ขอบอกว่าไม่ลองไม่ได้เมนูนี้
สปาเก็ตตี้กิมจิ
       ส่วนอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ สปาเก็ตตี้กิมจิ (140 บาท+) เป็นการนำเอาเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดกับซอสกิมจิที่ทางร้านปรุงขึ้นมาตามสูตร เด็ดของทางร้านเอง แถมยังใส่ผักดองและหมูย่างที่ทางร้านทำเองเช่นกัน ลองลิ้มแล้วโดนใจจริงๆ ตรงที่เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มได้รสชาติซอสกิมจิรสดีแถมมีกลิ่นหอม ส่วนหมูย่างเคี้ยวนุ่มถูกปาก
Green tea Creme brulee
       และปิดท้ายขอนำเสนอเมนูของหวานที่น่าลิ้มรสอย่าง Green tea Creme brulee (140 บาท+) เป็นของหวานที่ข้างบนเป็นแผ่นน้ำตาลหวานๆ ส่วนข้างในเป็นคัสตาร์ดครีมรสชาเขียวเนื้อเนียนนุ่มหอมหวานเป็นที่สุด
ค็อกเทลที่ชวนดื่ม
       ที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นเมนูจานเด่นที่ถ้ามาแล้วต้องไม่พลาดลองลิ้ม แต่ถ้าหากขอเมนูมาเลือกดูเพิ่มเติมก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่น่ากินอีกมากมาย อาทิ ยำผักบุ้งกรอบ (120 บาท+) แซลมอนแซบ (180 บาท+) ซีซ่าสลัดไก่ย่าง (160 บาท+) มูสตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง (160 บาท+) สเต็กแซลมอนราดซอสกระเพรา (250 บาท+)
      
       รวมถึงที่นี่ยังมีเครื่องดื่มบริการอีกมากหลาย อย่างถ้าใครชอบดื่มเบียร์ก็มีเบียร์จากเบลเยี่ยมรสดีที่ชวนให้ดื่มกัน ใครเป็นคอไวน์ก็มีไวน์ให้ได้ดื่มเช่นกัน และถ้าใครชอบดื่มค็อกเทลก็มีมาแนะนำ อาทิ Barley bombs (300 บาท+) และ Midori sour (200 บาท+) ถึงตรงนี้แล้วหากใครอยากมาแฮงเอ้าท์ ปาร์ตี้แบบฮาเฮและอิ่มหนำ ก็ขอเชิญมากันได้ที่ร้าน “BARLEY BISTRO & BAR” แห่งนี้ ซึ่งทางร้านยินดีต้อนรับทุกคนอยู่
โซนนั่งout door แบบผ่อนคลาย
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       

       
ร้าน “BARLEY BISTRO & BAR” (บาร์เล่ย์ บิสโทร แอนด์ บาร์) ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 และชั้น 4 อาคาร Food Channel ถ.สีลม ระหว่างสีลมซอย 5 และซอย 7 บางรัก กทม. สามารถนำรถไปจอดได้ที่ธ.ทหารไทย เปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. แต่วันพุธ, ศุกร์, เสาร์ จะปิดตี1 แนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อนจะดี โทร. 08-7033-3919 พิเศษในวันวาเลนไทน์สามารถร่วมสนุกกับทางร้าน โดยเข้าไปที่เว็บไซด์ www.barleybistro.com และแอดเป็นแฟนในเฟสบุ๊ค แล้วส่งรูปถ่ายคู่ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัวเข้ามาประกวด หากรูปไหนถูกใจทางร้าน จะได้รับดินเนอร์คอร์สฟรีในวันวาเลนไทน์ 2 ท่าน (1 รูป) http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000015432