homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

13 เคล็ดลับที่ดีที่สุดในการเลือกครีมทาผิวสำหรับหน้าหนาว

13 เคล็ดลับที่ดีที่สุดในการเลือกครีมทาผิวสำหรับหน้าหนาว
ไม่ให้ผิวของคุณฝ่าวงล้อมค่อนข้างบ่อยเนื่องจากผิวมัน? หรือไม่ให้ผิวมีรอยแตกบ่อย ผิวลอกเป็นขุยและผื่นคันเนื่องจากเกินความแห้งกร้าน? คุณใช้โลชั่นบำรุงผิวที่เหมาะสมหรือครีมให้ความชุ่มชื้นที่เ
หมาะสมสำหรับผิวหน้าของคุณหรือไม่ หากคุณกำลังประสบใดหรือทั้งหมดของปัญหาเหล่านี้แล้วก็ถึงเวลาที่จะคิดอีกครั้ง!

ใช้โลชั่นบำรุงผิวและครีมบนผิวของคุณอาจจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่พวกเขาช่วยให้ความชุ่มชื้นบำรุงชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิว แต่ประเภทหนึ่งอาจหรือไม่อาจจะเหมาะกับประเภทผิวอื่น ๆ ดังนั้นการเก็บค่าของโลชั่นบำรุงผิวที่เหมาะสมและการเลือกครีมบำรุงผิวที่มีความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผิวโทนสีและชนิด

พิจารณาจุดเหล่านี้ขณะที่การเลือกโลชั่นหรือครีมสำหรับหน้าหนาวคุณ
1. เข้าใจผิวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวมัน หรือแห้งชนิด มีวิธีง่าย ๆ ที่จะบอก ใช้กระดาษทิชชู่บนผิวประมาณ 3 หรือ 4 ชั่วโมงหลังจากการอาบน้ำ ถ้าคุณเห็นน้ำมันมัน แล้วคุณมีผิวมัน แต่ ถ้าแห้งของคุณดูหมองคล้ำ และรอยร้าวเล็กน้อย แล้วคุณจะผิวแห้ง ถ้าคุณไม่แน่ใจ แน่ใจว่าคุณขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ผิวหนัง


2. หลีกเลี่ยงการซื้อไรเซอร์และครีมที่ประกอบด้วยสี เป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายที่อาจจะสามารถทำลายผิว ดังนั้นส่วนผสมในครีมดังกล่าวยังสามารถแพ้และปฏิกิริยาที่ไม่ดีในบางคน มันเป็นการทดสอบโปรแกรมก่อนการใช้

3. ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอยู่เสมอตัวเลือกที่ดี เพราะพวกเขาไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ พวกเขาใช้เวลาในการแสดงผล แต่ผลลัพธ์แน่นอนไม่ guarenteed

หากคุณมีปัญหาผิวมีรอยแตกหรือเซลลูไลท์ แล้วไปสำหรับผลิตภัณฑ์ที่คุณสมบัติโกโก้หรือบัตเป็นส่วนผสมหลัก

5. ถ้าผิวโดน แดดเผา เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยว่านหางจระเข้

6. ผิว และเนื้อครีมไม่เหมือนกัน ในขณะที่ร่างกายครีมยิ่งขึ้นในส่วนผสมของพวกเขาเพื่อให้ผิวของคุณได้ทันที โลชั่นไปได้ดีกับผิวแห้งในช่วงฤดูหนาว

7. กลิ่นหอมเช่นกุหลาบ รองเท้าฯลฯ จะช่วย hydrate ผิวขณะที่นำเสนอกลิ่นหอมรื่นรมย์

8. คืนครีมชุ่มชื้นของผิว และทำให้มันนุ่มในขณะที่คุณนอนหลับ

9. ให้แน่ใจว่าคุณอ่านเกี่ยวกับส่วนผสมทั้งหมดก่อนที่จะซื้อ

10. ก่อนที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ หาชุดเล็กส่งเสริมการขาย หรือรู้ว่า มันเหมาะกับผิวของคุณ

11. ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาและดารารับรอง

12. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำ และแบรนด์ที่ไม่รู้จักจะมีโอกาสมากขึ้นของการมีพาราเบนและสารเคมีที่เป็นอันตรายอื่น ๆ ที่อาจจะสามารถทำลายผิว

13. ในแง่ของซื้อครีมกันแดด ให้แน่ใจว่า SPF ที่แนะนำตามผิวและชนิดของคุณ

ตลาดเต็มตัวเลือก และคุณเลือกผลิตภัณฑ์เหมาะสมหลังจากการผ่านปรึกษากับแพทย์ผิวหนัง

คำแนะนำและดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้น

โชคดีมาก!!! มีความงาม...!!!


9 ครีมทาผิวหน้าหนาว ถูกและดี ที่หนาวนี้สาว ๆ ควรมี
10 เซรั่มวิตามินซีเพื่อผิวหน้าขาวออร่ากระจ่างใส


จักรวาลมีขนาดใหญ่เท่าไหร่

จักรวาลมีขนาดใหญ่เท่าไหร่
ขณะที่มีพัฒนาเทคโนโลยี นักดาราศาสตร์จะสามารถมองย้อนกลับไปในเวลาที่ช่วงเวลาหลังจากที่บิ๊ก นี้อาจดูเหมือนเป็นนัยว่า จักรวาลทั้งหมดที่อยู่ภายในมุมมองของเรา แต่ขนาดของจักรวาลขึ้นจากหลาย รวมทั้งรูปร่างและขยาย จักรวาลมีขนาดใหญ่เพียง ความจริงก็คือ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถใส่ตัวเลขมัน

เอกภพ

ใน 2013 ภารกิจขององค์การอวกาศยุโรปของพลังค์พื้นที่ออกแผนที่ที่แม่นยำ และละเอียดมากที่สุดเคยแผนที่แสงที่เก่าแก่ที่สุดของจักรวาล แผนที่เปิดเผยว่า จักรวาลเป็น 13.8 พันล้านปี พลังค์คำนวณอายุ โดยศึกษาพื้นหลังของจักรวาล

"แสงพื้นหลังของจักรวาลเป็นผู้เดินทางไกล และนานมาแล้ว Charles Lawrence นักวิทยาศาสตร์โครงการสหรัฐอเมริกาสำหรับภารกิจที่ห้องปฏิบัติการพ่นของนาซ่าในพาซาดีน่า แคลิฟอร์เนีย กล่าวในแถลงการณ์ "เมื่อมันมาถึง มันบอกเราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จักรวาลของเรา"
เนื่องจากการเชื่อมต่อระหว่างระยะทางและความเร็วของแสง ซึ่งหมายความว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาเขตพื้นที่ที่อยู่ light-years 13.8 ล้านห่างกัน เช่นการเดินเรือในมหาสมุทรว่างเปล่า นักดาราศาสตร์บนโลกสามารถเปิดของกล้องโทรทรรศน์ให้เพื่อน light-years 13.8 พันล้านในทุกทิศทาง ซึ่งทำให้โลกภายในของทรงกลมสังเกตได้มีรัศมี 13.8 พันล้าน light-years คำว่า "สังเกตได้" คือ คีย์ ทรงกลมจำกัดสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สามารถดูแต่ไม่มีอะไร

แต่ว่าทรงกลมปรากฏ เกือบ 28 พัน light-years เส้นผ่านศูนย์กลาง ใหญ่กว่า นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า จักรวาลกำลังขยาย ดังนั้น ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์อาจเห็นจุดที่วาง light-years 13.8 พันล้านจากโลกเวลาของบิ๊กแบง จักรวาลได้อย่างต่อเนื่องเพื่อขยายช่วงอายุการใช้งาน ถ้าอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในอัตราคงที่ตลอดชีวิตของจักรวาล จุดเดียวกันว่า light-years 46 ล้านห่างกันวันนี้ ทำเส้นผ่าศูนย์กลางของเอกภพทรงกลมประมาณ 92 ล้าน light-years [วิดีโอ: แสงที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวาล: วิธีการเดินทางกับเรา]

ศูนย์กลางทรงกลมบนตำแหน่งของโลกในพื้นที่อาจดูเหมือนจะ นำมนุษยชาติในศูนย์กลางของจักรวาล อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่เรือเดียวกันในมหาสมุทร เราไม่สามารถบอกที่เราอยู่ในช่วงขนาดใหญ่ของจักรวาล เพียง เพราะเรามองไม่เห็นที่ดินหมายความว่า เราอยู่ในใจกลางของมหาสมุทร เพียง เพราะเรามองไม่เห็นขอบของจักรวาล ไม่ได้หมายความ เราอยู่ในศูนย์กลางของจักรวาล
ยิ่งใหญ่

นักวิทยาศาสตร์วัดขนาดของจักรวาลในวิธีต่าง ๆ มากมาย พวกเขาสามารถวัดคลื่นจากจักรวาลต้น เรียกว่าแกว่งเสียงสสาร ที่เติมพื้นหลังของจักรวาล นอกจากนี้พวกเขายังสามารถใช้เทียนมาตรฐาน เช่นชนิด 1A ซูเปอร์โนวา เพื่อวัดระยะทาง อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้แตกต่างกันของการวัดระยะทางสามารถให้คำตอบ

วิธีการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินเฟ้อก็ลึกลับ ในขณะที่การประเมินของ light-years 92 พันล้านมาจากความคิดในอัตราคงที่ของอัตราเงินเฟ้อ นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า อัตราที่จะชะลอตัวลง ถ้าจักรวาลขยายความเร็วของแสงในช่วงเงินเฟ้อ ควร 10 ^ 23 หรือ 100 sextillion

แทนการวัดวิธีหนึ่ง ทีมนักวิทยาศาสตร์นำ โดย Mihran Vardanyan ที่มหาวิทยาลัย Oxford ได้ทำการวิเคราะห์ทางสถิติของผลลัพธ์ทั้งหมด โดยทฤษฎีแบบจำลองเฉลี่ย ซึ่งมุ่งเน้นรูปแบบว่าจะเป็นต้องให้ข้อมูล แทนที่ถามแบบว่าตัวเองเหมาะกับข้อมูล พวกเขาพบว่าน้อยครั้ง 250 ใหญ่กว่าเอกภพ หรืออย่างน้อย 7 ล้าน light-years ทั่วจักรวาล

"ที่เป็นใหญ่ แต่จริงอย่างใกล้ชิดยิ่งมีข้อจำกัดมากมายที่รุ่นอื่น ๆ ตามรีวิวเทคโนโลยี MIT แรกที่รายงานเรื่องราว 2011

รูปร่างของจักรวาล

ขนาดของจักรวาลอย่างมากขึ้นอยู่กับรูปร่างของ นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ความเป็นไปได้ที่ว่า จักรวาลอาจปิดเช่นทรงกลม อนันต์ และในเชิงลบเช่นอาน โค้ง หรือแบน และอนันต์

จักรวาลจำกัดมีขนาดจำกัดที่สามารถวัดได้ นี้จะเป็นกรณีที่ในจักรวาลทรงกลมปิด แต่จักรวาลอนันต์มีขนาดไม่คำ

ตามนาซ่า นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า เอกภพแบนมีเพียงประมาณร้อยละ 0.4 ขอบของข้อผิดพลาด (ณ 2556) และที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของจักรวาลมีขนาดใหญ่เพียง

"นี้แสดงให้เห็นว่า จักรวาลมีอนันต์ในขอบเขต "อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจักรวาลมีอายุแน่นอน เราสามารถสังเกตเห็นปริมาณมีจำกัดของจักรวาล เท่านั้นนาซ่ากล่าวว่า เว็บไซต์ของพวกเขา "ทั้งหมดที่เราสามารถสรุปได้อย่างแท้จริงคือว่า จักรวาลมีขนาดใหญ่กว่าเสียงที่เราสามารถสังเกตได้โดยตรง"

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

กำเนิดดวงอาทิตย์

กำเนิดเอกภพ

7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล

SPACE บนอวกาศอันไกลโพ้นยังมี ความจริงที่น่ารู้อีกแยะ!!!

สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ


10 ความจริงเกี่ยวกับอวกาศ

10 ความจริงเกี่ยวกับอวกาศ
1. น้ำแข็งบนดาวพลูโตแข็งกว่าโลหะ
ดาวพลูโตจัดอันดับในระบบสุริยะว่าเป็นดาวที่อยู่ไกลดวงอาทิตย์ มากที่สุดจะมีความหนาวเย็นมากกว่าดาวดวงอื่นๆ แต่ใครจะรู้ว่าน้ำแข็งที่อยู่บนดาวพลูโตที่อุณภูมิติดลบถึง 234.4 องศาเซลเซียสนั้นจะมีความแข็งแรงกว่าโลหะที่อยู่บนโลกของเราซะอีก

2. ดวงจันทร์เรืองแสงไม่ได้
นักบินอวกาศในโครงการอพอลโลได้รายงานว่าพบแสงสลัวส่องประกายออกมาจากดวงจันทร์ แต่เนื่องจากบนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศอย่างเช่นโลกของเราจึงคาดกันว่าแสงที่เห็นน่าจะเป็นแสงสะท้อน
จากอนุภาคเล็กที่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวดวงจันทร์มากกว่าการเรืองแสงด้วยตัวมันเอง

3. ดวงอาทิตย์หดตัวเรื่อยๆ
ทุกการปะทุของลมสุริยะที่ออกจากพื้นผิวของดวงอาทิตย์แต่ละครั้งจะทำให้ดวงอาทิตย์สูญเสียมวลรวมไปราว 2 ล้านกิโลกรัมต่อวินาที แต่ไม่ว่าบนดวงอาทิตย์จะเกิดลมสุริยะมาแล้วกี่ครั้ง ดวงอาทิตย์ก็
ยังสามารถให้แสงสว่างและความร้อนได้มาจนถึงปัจจุบัน

4. โลหะสามารถเชื่อมติดกันอัตโนมัติบนอวกาศ
สำหรับในอวกาศหากเราคิดจะเชื่อมโลหะให้ติดกันเราสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดช่วยเลย เพราะโลหะจะเชื่อมติดกันโดยอัตโนมัติด้วยวิธีที่เรียกว่า “เชื่อมแบบเย็น (Cold Welding)” ซึ่งนั่นทำให้ทางนาซาจำเป็นต้องเคลือบชิ้นส่วนของยานอวกาศทุกลำด้วยสารป้องกันการเกาะติดเพื่อไม่ให้
ชิ้นส่วนของยานอวกาศติดกัน

5. โลกอาจมีดวงจันทร์ดวงที่ 2
ในปีค.ศ.1986 ‘ดันแคน วอลดรอน’ นักวิทยาศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ได้ค้นพบวัตถุประหลาด ซึ่งต่อมาวัตถุนั้นมีแนวโน้มจะกลับมาโคจรรอบโลกจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นดวงจันทร์ดวงที่ 2 ของโลก อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันนี้ได้มีการค้นพบวัตถุในลักษณะเดียวกันนี้อีกถึง 3 ดวง แต่ถูกจัดให้อยู่ในฐานะดาวเคราะห์น้อยเท่านั้น

6. มนุษย์จะมีความสูงเพิ่มขึ้น 2 นิ้วบนอวกาศ
เชื่อหรือไม่... หากเราลองไปอยู่บนห้วงอวกาศแล้ว เราจะมีความสูงเพิ่มขึ้นมาอีก2 นิ้ว เนื่องเพราะว่าบนอวกาศไม่มีแรงดึงดูดจึงส่งผลให้กระดูกสันหลังของเรายืดตัวได้ยาวขึ้น แต่หลังจากที่กลับลงมาอยู่บนพื้นโลกความสูงก็จะกลับมาเท่าเดิมเหมือนก่อนที่จะขึ้นไปอวกาศ

7. ดวงจันทร์เคลื่อนตัวห่างจากโลกปีละ 3.8 ซม.
ในทุกปีดวงจันทร์จะเคลื่อนตัวห่างจากโลกออกไปราว 3.8 เซนติเมตรต่อปี เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองเร็วกว่ารอบโคจรของดวงจันทร์ นอกจากนี้ยังทำให้โลกโคจรรอบตัวเองช้าลง 0.002 วินาทีในทุกๆ 100 ปี แต่ถึงการเคลื่อนไหวตัวของดวงจันทร์จะห่างจากโลกไปทุกปีก็ไม่ได้ส่งผลใดๆให้กับโลกของเราเลยแม้แต่น้อย

8. ของเหลวจะกลมเมื่ออยู่บนอวกาศ
จากความรู้ในอดีตที่ว่ารูปร่างของ“ของเหลว” จะเปลี่ยนตามภาชนะที่บรรจุ แต่หากว่าของเหลวนั้นมาอยู่ภายใต้สภาวะไร้น้ำหนักบนห้วงอวกาศมันจะมีรูปร่างเป็นทรงกลมราวกับมีพลาสติกห่อหุ้มอยู่

9. ดาวเสาร์เบาจนลอยน้ำได้
ถ้าสามารถนำเอาดาวเสาร์มาวางลงบนผิวน้ำ ดาวเสาร์จะลอยบนผิวน้ำ โดยไม่มีทางจม เนื่องจากดาวเสาร์มีน้ำหนักเบาและมีความหนาแน่นเพียง 0.687 กรัม ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ในขณะที่ความหนาแน่นของน้ำอยู่ที่ 0.998 กรัม ต่อลูกบาศก์เซนติเมตรนั่นเอง

10. แสงลึกลับที่ขอบจักรวาล
ในอดีตมีการค้นพบแสงลึกลับที่ส่องลงมาจากเส้นขอบจักรวาล ในช่วงแรกๆ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร แต่หลังจากมีการสำรวจก็พบว่าน่าจะเป็นวัตถุที่มีแสงสว่างเจิดจ้าซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณร้อยล้านปีแสง ซึ่งมันสามารถปล่อยพลังงานได้มากกว่ากาแลกซี่ทางช้างเผือกถึง 1,000 เท่า โดยมีการตั้งให้แสงดังกล่าวนั้นชื่อว่า “เควซาร์”

ที่มา นิตยสาร FHM

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

"ดวงอาทิตย์ของเรามีคู่ปรับอันตรายที่จะทำให้ชีวิตบนโลกดับสูญหรือไม่" 

"เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง"

 
"เกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดตัวร้ายของสสาร ความคิดของนักฟิสิกส์ทั้งหลายตามหาคำอธิบายนั้นอยู่"


"น้ำบนดาวอังคารหายไปได้อย่างไร"

 
"อะไรมาก่อนบิ๊กแบง นี่คือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวิทยาศาสตร์ทั้งปวง"
 

คำถามสำคัญและวิทยาศาสตร์ล้ำยุค ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

1. อุกกาบาตชนโลกจนชีวิตดับสูญ
ในบรรดาปริศนาคำถามของจักรวาลนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรีบหาคำตอบเป็นพิเศษ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังอาศัยอยู่บนโลก ชาวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกมีกำหนดเวลาที่ต้องถูกล้างเผ่าพันธุ์ทุกๆ 26 ล้านปีหรือไม่ และหากใช่อะไรคือสาเหตุที่ก่อความเสียหายที่รุนแรงนั้น คุณจะเจอการระเบิดอย่างใหญ่หลวง ทุกสิ่งภายในรัศมี 1,000 ไมล์จะตายหมด เราจะต้องเจอแรงระเบิด คลื่นสึนามิ ความร้อนมหาศาล ไฟลุกขึ้นทั่วโลก จากนั้นก็มืดสนิท เป็นเวลาหลายล้านปีแล้วที่วัตถุขนาดใหญ่จากอวกาศได้พุ่งชนโลก จนสร้างความหายนะอย่างร้ายแรง การพุ่งชนครั้งหนึ่งที่นอกชายฝั่งแหลมยูคาทันเป็นสิ่งที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน แต่นี่ไม่ใช่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่บนโลก และมันก็น่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มีการสูญพันธุ์ที่ใหญ่กว่านั้นในยุคเฮอเมียส ทำให้สิ่งมีชีวิต 95% ในมหาสมุทรตายไป และราว 80% ของสัตว์บกด้วย ดังนั้นการสูญพันธุ์ที่รุนแรงได้เคยเกิดขึ้นแล้ว

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าช่วงจังหวะการสูญพันธุ์และการทำลายล้างนี้จะมาเป็นระยะที่แน่นอน นักดึกดำบรรพ์วิทยาพบรูปแบบที่แปลกมาก สิ่งที่พวกเขาพบคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ฆ่าไดโนเสาร์และครั้งอื่นๆ ด้วย มันไม่ได้เกิดแบบสุ่มๆ แต่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามกำหนด นั่นเป็นสิ่งแปลกมาก มันเกิดขึ้นทุกๆ 26 ล้านปี นั่นทำให้เราอยากรู้คำอธิบาย

นักแอสโตรฟิสิกส์ "ริชาร์ด มุลเลอร์" เชื่อว่าคำอธิบายของการทำลายล้างทุกๆ 26 ล้านปีนี้คือดาวแคระแดงสลัวที่ซ่อนอยู่ที่ขอบระบบสุริยะ ดาวฤกษ์ที่เขาเรียกได้อย่างเหมาะสมว่า "เนเมซิส" จากทฤษฏีของมุลเลอร์ เนเมซิสคือดาวคู่หูของดวงอาทิตย์ของเราที่ยังไม่ถูกค้นพบ มันเดินทางไปมาระหว่าง 1-3 ปีแสง จากศูนย์กลางของระบบสุริยะในวงโคจรทรงรียาว เมื่อเนเมซิสเคลื่อนมาใกล้กับดวงอาทิตย์ทุกๆ 26 ล้านปี วงโคจรของมันพามันผ่านกลุ่มเมฆออร์ต (Oort Cloud)ซึ่งเป็นกลุ่มดาวหางราวล้านๆ ดวงรอบๆ ระบบสุริยะของเรา นั่นคือตอนที่ระบบสุริยะเริ่มมีความปั่นป่วนเป็นพิเศษ

"เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เนเมซิสเริ่มเข้าใหล้ดาวหาง และรบกวนวงโคจรของพวกมัน" มุลเลอร์กล่าว
จากทฤษฎีของมุลเลอร์ การรบกวนแรงดึงดูดที่เกิดจากดาวฤกษ์ที่ดูไร้พิษภัยนี้ ทำให้ดาวหางที่ยาวและไม่ถูกดึงดูดไว้ หนีออกจากวงโคจรในกลุ่มเมฆออร์ต ถูกดึงเข้าสู่ดวงอาทิตย์โดยแรงดึงดูด ดาวหางนับพันล้านดวงถูกส่งให้มุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะวงใน บางดวงจะพุ่งมาสู่โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้เกิดแรงกระแทกและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ขึ้น ข้ออ้างที่ว่าดวงอาทิตย์ของเรามีดาวสหายที่ยังไม่ถูกค้นพบนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์เดี่ยวที่ไม่มีคู่ แต่ในจักรวาลนั้นดาวฤกษ์คู่หรือกลุ่มสามดวงที่อยู่ใกล้กันเพราะแรงดึงดูดเป็นเรื่องปกติ

"ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในกาแล็คซี่ของเราเป็นดาวฤกษ์คู่หรือแบบสามดวง และดังนั้นแนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์อาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นก็ไม่ได้สุดกู่นักจากมุมมองนั้น มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ" เอเดรียน คูล (Adrienne Cool) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หญิงกล่าว

แม้ว่าดวงอาทิตย์อาจจะมีสหายที่เป็นคู่กัน นักดาราศาสตร์ก็ไม่เคยเห็นดาวคู่ที่คู่ของมันอยู่ห่างกันอย่างที่มุลเลอร์อ้างว่าดวงอาทิตย์และเนเมซิสเป็นอยู่เลย มุลเลอร์ต้องการข้อพิสูจน์ว่าเนเมซิสมีจริง ในปี 1997 ภารกิจหนึ่งของนาซ่าเริ่มขึ้น ซึ่งจะมีโอกาสให้ความกระจ่างในปริศนานี้ กล้องทูไมครอนสกายเซอร์เวย์ (Two Micron Sky Survey) หรือทูแมส (2MASS) ใช้กล้องดูดาวอินฟราเรดคู่เพื่อส่องจักรวาลหาดาวฤกษ์ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ทูแมสเชี่ยวชาญการหาดาวหายาก ภายในและใกล้แกแล็คซี่ของเรา และถึงบัดนี้ได้ให้ภาพสองล้านภาพแล้ว หากมีเนเมซิสอยู่จริง ทูแมสควรจะมองเห็นมันแล้ว แต่กล้องนี้ยังไม่เคยตรวจจับสิ่งใดที่ตรงกับลักษณะดาวมรณะนี้ของมุลเลอร์เลย

"เราได้มองหาดาวมรณะนั้นอย่างมากแล้ว ดาวเนเมซิสนั่น และเราก็ไม่พบมันที่ไหนเลย" ดร.มิชิโอะ คากุ (Michio Kaku) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์กล่าว

แต่มุลเลอร์ไม่แปลกใจที่กล้องทูแมสไม่พบดาวเนเมซิสของเขา

"เหตุผลก็คือด้วยระยะทางราว 1 ปีแสงเป็นระยะทางที่ไกลพอที่จะต้องโคจรเป็นเวลา 26 ล้านปี ความเคลื่อนไหวของมันจึงน้อยนิดมาก และมันน่าจะถูกมองพลาดไปโดยการสำรวจมาตรฐานที่มองหาดาวฤกษ์ในระยะไกลๆ" มุลเลอร์กล่าว

ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือเนเมซิสอาจเป็นดาวแคระสีน้ำตาล ดาวฤกษ์ที่ใกล้ดับพวกนี้เล็กกว่าดาวแคระแดงมาก และด้วยวงโคจรที่หรี่มากๆ ดาวแคระน้ำตาลจะอยู่ห่างจากโลกเกือบตลอดเวลาและพ้นจากสายตาที่จ้องมองของนักดาราศาสตร์ หากเป็นเช่นนั้นจริงเนเมซิสก็น่าจะพ้นจากเรดาห์ของกล้องทูแมสได้ง่ายๆ

ริชาร์ดมุลเลอร์ปฏิญาณว่าจะมองหาต่อไปและวางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเนเมซิสจะต้องถูกพบ

"มีดาวฤกษ์อยู่มากมายบนนั้นมีเป็นล้านๆ ดวง แต่เมื่อคุณงมเข็มในมหาสมุทร คุณสามารถดูมันแล้วก็บอกได้ว่า โอ้ นั่นไม่ใช่เข็ม นี่ก็เช่นกัน เมื่อเราพบเนเมซิส เราก็จะวัดวงโคจรของมันและพิสูจน์ได้ว่ามันคือเนเมซิส" มุลเลอร์กล่าวทิ้งท้าย

2. การเดินทางข้ามกาลเวลา
ในบรรดาปริศนาไร้คำอธิบายทั้งหมดในจักรวาล บางทีสิ่งที่ยั่วเย้าและเป็นที่โต้เถียงมากที่สุดคือปริศนาที่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา เราสามารถเดินทางย้อนเวลาได้หรือไม่ เราจะเปลี่ยนแปลงชะตาของเราได้หรือไม่ มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง

ในปี 1955 รอน มาลเล็ต  มีอายุเพียงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาตายด้วยโรคหัวใจวาย ด้วยความโศกเศร้า หนูน้อยมาเล็นอยากหาวิธีที่จะพบพ่อของเขาอีกครั้ง และอาจจะช่วยชีวิตพ่อไว้

"ราวหนึ่งปีหลังจากเขาตาย ผมก็ได้เจอหนังสือ เดอะ ไทม์แมชชีน ของ H.G. WELLS และนั่นคือสิ่งที่ช่วยผม เพราะผมคิดว่าถ้าผมสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาอย่างที่ H.G. WELLS เขียนเรื่องนี้เอาไว้ได้ ผมก็สามารถกลับไปในอดีต ไปช่วยชีวิตพ่อผมเอาไว้และได้เห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจึงหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะพยายามสร้างไทม์แมชชีนขึ้น

เดอะ ไทม์แมชชีน เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น แต่มาลเล็ตค้นพบในไม่ช้าว่ามีเหตุผลที่สนับสนุนเรื่องการเดินทางข้ามเวลาที่ลึกลับนี้ และแหล่งนั้นไม่ใช่ใครนอกจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์เสนอทฤษฎีว่าอวกาศและเวลาเชื่อมโยงกัน ดังนั้นเราสามารถจินตนาการอวกาศเวลาว่าเป็นเหมือนเส้นใยหรือแผ่นหยัก ด้วยทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของเขา ไอน์สไตน์แสดงให้เห็นว่าวัตถุขนาดใหญ่ เช่นดาวเคาะห์หรือดาวฤกษ์หรือหลุมดำจะทำให้เส้นใยของอวกาศและเวลาโค้งงอ จริงๆ แล้วไอน์สไตน์เชื่อว่าแรงดึงดูด พลังที่ดึงเราไว้ติดกับโลกและทำให้โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผลของการโค้งงอนี้

สำหรับมาลเล็ต แนวคิดที่น่าปวดหัวระดับจักรวาลนี้มีความหมายที่กว้างไกล เพราะถ้าคุณสามารถสร้างแรงดึงดูดมากพอที่จะบิดเวลาจนเป็นวงได้ บางทีคุณก็อาจสร้างเส้นทางสำหรับเคลื่อนที่เดินหน้าหรือถอยหลังไปในเวลาได้ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ปลุกพลังให้รอน มาลเล็ตเรียนรู้หาวิธีที่จะสร้างไทม์แมชชีนของเขาเอง แต่การเดินทางข้ามเวลาไม่ใช่หัวข้อที่จะศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จริงจังได้อย่างเปิดเผย

"ว่ากันตามตรงแล้วผมใช้แนวคิดที่เข้ากันได้ในแบบของผม ผมศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำ เพราะหลุมดำทำให้ผมเข้าใจว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ส่งผลต่อเวลาและอื่นๆ อย่างไร มันเป็นแนวคิดบ้าๆ แต่มันถูกมองว่าบ้าแบบมีหลักการ ดังนั้นผมจึงโตาในสายงานในการศึกษาสิ่งเหล่านั้น" รอน มาลเล็ตกล่าว

หลุมดำบริเวณส่วนที่เหลือของดาวฤกษ์ ส่วนที่ยุบตัวขนาดใหญ่ยักษ์ มีแรงดึงดูดที่แทบไม่มีสิ่งใดเทียบได้ที่จะบิดเบือนอวกาศและเวลา ซึ่งก็คือสิ่งที่มาลเล็ตต้องการทำ แต่เขาจะสร้างอุปกรณ์ในห้องแล็บที่มีสสารมากพอที่จะทำให้อวกาศและเวลาโค้งได้อย่างไร เพื่อหาแรงดลใจ มาลเล็ตหันไปหาไอน์สไตน์อีกครั้ง และสมการที่โด่งดังที่สุด E = mc2 ซึ่งแสดงว่าสสารและพลังงานเป็นเพียงรูปแบบที่ต่างกันของสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ก็อาจที่จะสามารถทำให้อวกาศและเวลาโค้งงอได้ เหมือนกัยที่วัตถุขนาดใหญ่ทำได้

"เราคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าแรงดึงดูดเกิดขึ้นจากสสารจะกลับกลายเป็นว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ แสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ และนั่นคือแนวคิดที่งานของผมอิงอยู่ พูดอีกอย่างนึงคือหากแรงดึงดูดมีผลต่อเวลา และแสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ ดังนั้นแสงก็สามารถส่งผลต่อเวลาได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

มาลเล็ตได้สร้างเครื่องมืออย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อสาธิตแนวคิดของเขาว่าแสงเลเซอร์ที่เกิดวนไปมาสามารถสร้างอุโมงค์แสงที่บิดอวกาศและเวลาได้

"มันมีแสงเลเซอร์ที่ตัดกันสี่เส้น พื้นที่ภายในลำแสงนั้นจะเป็นพื้นที่ที่อวกาศกำลังถูกบิดตัวอยู่ และในที่สุดเวลาก็จะถูกบิดไปด้วยโดยลำแสงนี้ และนี่จะทำให้เราเดินทางย้อนไปในอดีตได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

สิ่งที่เดินทางข้ามเวลาได้อย่างแรกจะต้องเล็กกว่ามนุษย์มาก เช่น อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เช่น นิวตรอน

"สิ่งที่เราพยายามส่งไปไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมและข้อมูล และนั่นก็ถือเป็นก้าวใหญ่มากแล้ว เพราะนึกดูสิครับว่าถ้าเราสามารถส่งข้อมูลกลับไปในอดีตที่บอกถึงหายนะในอนาคตเพื่อที่จะสามารถป้องกันมันได้ เราสามารถเข้าใจว่าลำแสงที่วนเวียนสามารถบิดอวกาศและเวลาได้อย่างไรด้วยการเปรียบเทียบกับถ้วยกาแฟ ถ้าเราคิดว่ากาแฟในถ้วยเป็นอวกาศที่ว่างเปล่า และคิดถึงช้อนว่าเป็นลำแสงที่วนไปมา คุณก็จะเห็นว่าเกิดอะไรกับกาแฟในขณะที่ผมคนมัน กาแฟนั้นหมุนวน นี่คือสิ่งที่ลำแสงกระทำกับอวกาศที่ว่างเปล่า และเราสามารถเห็นผลเช่นนี้ในกรณีของกาแฟด้วยการใส่เมล็ดกาแฟแล้วคน เมล็ดกาแฟก็จะถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ในกรณีของเลเซอร์ขณะที่ลำแสงวนไปมา เราใส่อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เร็วกว่านิวตรอนลงไป และเมื่อเราคน อากาศรอบๆ นิวตรอนจะถูกทำให้หมุนวนเหมือนเมล็ดกาแฟ ทีนี้จำได้ไหมว่าในทฤษฎีของไอน์สไตน์นั้นอวกาศและเวลานั้นเชื่อมโยงกัน ดังนั้นการหมุนวนของอวกาศจะทำให้เส้นตรงของเวลาหมุนวนเป็นวงกลม และในห่วงของเวลานั้นเราสามารถเดินทางจากอดีตไปปัจจุบันไปอนาคตและกลับไปในอดีตก็ยังได้"  รอน มาลเล็ตกล่าว

ในนิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้ภาพไทม์แมชชีนว่า สามารถเดินทางไปข้างหน้าและย้อนเวลากลับได้อย่างไม่จำกัด แต่มาลเล็ตเตือนว่า นักเดินทางข้ามเวลา สามารถเดินทางกลับได้ไกลสุดเท่ากับตอนที่ไทม์แมชชีนเดินเครื่อง

รอน มาลเล็ต "พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าผมเปิดเครื่องวันนี้แล้วเปิดทิ้งไว้ร้อยปี และใครบางคนในอีกร้อยปีข้างหน้านั้นสามารถเดินทางกลับได้ถึงแค่ช่วงเวลาที่ผมเปิดเครื่องนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางย้อนไปกว่านั้นได้เพราะเครื่องนั้นยังไม่มีตัวตนขึ้นมา และเครื่องมือเป็นตัวทำให้เกิดผลนั้นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พวกเขาได้กลับมาหาหรือได้ปรากฏร่างขึ้น"

ข้อจำกัดนี้หมายถึงไทม์แมชชีนของมาลเล็ตไม่สามารถทำให้เขาเดินทางกลับไปปี ค.ศ. 1955 เพื่อช่วยชีวิตพ่อของเขาได้ การจะทำเช่นนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีที่มาจากนอกโลก ในทางทฤษฎี อารยะธรรมต่างดาวที่ล้ำยุค อาจมีไทม์แมชชีนที่เปิดทิ้งไว้เมื่อหลายพันปีก่อน

รอน มาลเล็ต "เราอาจสามารถใช้ไทม์แมชชีนของพวกเขาไปเยือนอดีตที่เก่าแก่ของเรา เพราะถ้าพวกเขาพัฒนาการเดินทางข้ามกาลเวลามาได้ เอาเป็นว่าหมื่นปีก่อนมันมีข้อจำกัดแบบเดียวกัน แต่ถ้าเราพบพวกเขา เราสามารถใช้มันได้ และบางทีในวันหนึ่ง เราสามารถไปเยือนอียิปต์ยุคโบราณหรือโรมยุคโบราณก็ได้"

สำหรับตอนนี้มาลเล็ตจดจ่ออยู่ที่การสร้างไทม์แมชชีนของเขา โครงการที่จะต้องใช้เงิน 250,000 เหรียญแค่ในการเริ่มต้นเท่านั้น เงินเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งที่นักฟิสิกส์ต้องเจอในการอาจหาญที่จะเดินทางข้ามเวลา และยังมีสิ่งขัดแย้งบางอย่างที่หลายคนเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้ เช่นความขัดแย้งเรื่องคุณปู่ที่มักกล่าวถึงกัน ลองนึกดูว่าถ้าคุณย้อนเวลากลับไปแล้วฆ่าปู่ของคุณก่อนที่เขาจะพบกับย่าของคุณ ดังนั้นคุณจะไม่มีทางได้เกิดมา และดังนั้นจึงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ตั้งแต่แรก แล้วเหตุการณ์จะถูกกำหนดว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นหรือไม่ได้เกิดขึ้น

แต่มาลเล็ตเชื่อว่าความก้าวหน้าล่าสุดในฟิสิกส์ ทฤษฎีบ่งชี้ว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่ปัญหาใดใดเลย นักฟิสิกส์หลายคนในขณะนี้เชื่อในแนวคิดสุดขั้วที่ว่าจักรวาลของเราเป็นหนึ่งในจักรวาลขนานหลายๆ แห่ง ดังนั้นเมื่อคุณย้อนเวลากลับคุณอาจเข้าไปในจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งคุณสามารถไปยังเหตุการณ์ต่างๆ โดยไม่ส่งผลต่อจักรวาลที่คุณจากมา

ดร.มิชิโอะ คากุ "เราเชื่อว่าแม่น้ำแห่งเวลาอาจมีการไหลวนได้ การไหลวนซึ่งคุณอาจใช้มันกลับไปเพื่อพบกับพ่อแม่คุณก่อนที่คุณจะเกิดมา หรืออาจจะแยกออกเป็นแม่น้ำสองสาย คุณสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อให้เป็นจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นทฤษฎีที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ ของฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้

มาลเล็ตเชื่อว่าเราอาจต้องรออีกเพียงร้อยปีที่จะได้เดินทางข้ามเวลาโดยมนุษย์ แต่ก็ยังสายไปสำหรับเขาที่จะได้เดินทางกลับไปช่วยพ่อของเขา แต่ความสูญเสียส่วนตัวของเขาได้เปิดประตูไปสู่โลกใหม่สำหรับคนรุ่นหลังๆ

3. ปริศนาของปฏิสสารคู่แฝดของสสาร
ขณะที่จักรวาลเริ่มก่อตัวช่วงแรกๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันประกอบไปด้วยสิ่งที่มากกว่าสสารปกติที่ประกอบเป็นทุกๆ สิ่งรอบตัวเรา พวกเขาเชื่อว่ามันมีปฏิสสารจำนวนเท่าๆ กัน คู่แฝดที่ร้ายกาจและหลบซ่อนอยู่ของสสาร

"หากคุณกลับไปยังจักรวาลช่วงแรกมากๆ ปรากฏว่ามันประกอบไปด้วยสสารและปฏิสสาร และปรากฏว่าอนุภาคทุกอันมีปฏิอนุภาคอยู่ และมันฟังดูค่อนข้างบ้าแต่มันจริงและดูเหมือนกับนิยายวิทยาศาสตร์เลย" เอเดรียน คูล กล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่อะไรคือปฏิสสารที่ลึกลับนี้และพวกมันทั้งหมดนั้นหายไปไหน

"ปฏิสสารนั้นเหมือนกับสสารทุกอย่าง ความแตกต่างระหว่างกันคือการที่มันมีประจุที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง"

สสารทั่วไปประกอบด้วยอะตอม และตัวมันก็จะประกอบไปด้วยอนุภาคที่เล็กลงไปอีก เช่นอิเล็กตรอนที่มีประจุลบกับโปรตอนที่มีประจุบวก ปฏิสสารจะตรงข้ามกับอนุภาคเหล่านี้ พวกมันมีมวลเท่ากันแต่มีประจุไฟฟ้าตรงข้าม

"โปรตอนเป็นอนุภาคประจุบวกซึ่งเป็นนิวเคลียสของอะตอม แอนตี้โปรตอนจะเป็นโปรตอนที่มีประจุลบซึ่งมีมวลเท่ากัน"

ในจักรวาลของเราสิ่งที่ตรงข้ามจะดึงดูดกัน อนุภาคและปฏิอนุภาคถูกดึงดูดเข้าหากัน เราคงคิดว่านี้คือความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างระหว่างฟากฟ้า แต่ทุกครั้งที่สสารมาสัมผัสกับปฏิสสาร ผลลัพธ์จะเหมือนเดิม มันทำลายล้างกันและกัน ลองจินตนาการถึงยานอวกาศสองลำพุ่งไปในอวกาศโดยมีเส้นทางประสานงากัน ลำหนึ่งประกอบด้วยสสารปกติ อีกลำเป็นแบบปฏิสสารสร้างโดยอารยธรรมต่างดาว การชนจะน่ายิ่ง และจะไม่มีซากเหลือให้นักสืบอวกาศได้ตรวจสอบเลย

"สสารและปฏิสสารอันตรธานไป พวกมันหายวับไปเลย แต่พลังงานไม่ได้หายไป พลังงานปรากฏขึ้นในรูปแบบของรังสีแกมม่าสองลำที่แรงมากอย่างโฟตอน และปริมาณพลังงานที่ถูกขังอยู่ในมวลขนาดเล็กจิ๋วนั้นมันน่าตะลึงทีเดียวค่ะ" เอเดรียน คูล กล่าว

"ถ้าคุณนำสสารและปฏิสสารมา แล้วนำมารวมกัน ตูมตามขึ้นมาเลยล่ะ และจริงๆ แล้วมันเป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างนึงในจักรวาล การชนกันของสสารและปฏิสสาร ดังนั้นถ้าผมเป็นคุณผมจะไม่นำปฏิสสารไว้ในกระเป๋า" ดร.มิชิโอะ คากุ ว่าไว้

แม้จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้เมื่อเจอกับปฏิสสาร แต่มันก็มีพลังงานมากมายซ่อนอยู่ ถ้าเรารู้วิธีตักตวงจากมัน

"ดังนั้นเพื่อให้พอรู้ว่ามีพลังงานอะไรซ่อนอยู่ในสสารและปฏิสสาร ลองสมมติกองทรายสองกองในมือ กองหนึ่งเป็นสสาร อีกกองเป็นปฏิสสาร และคุณปล่อยให้พวกมันมารวมกันและทำลายล้างกันและให้พลังงานออกมา มากแค่ไหนน่ะเหรอ ก็มากพอที่จะจ่ายไฟให้แคลิฟอร์เนียทั้งหมดหนึ่งอาทิตย์ได้เพียงแค่จากทรายสองกองนี้เท่านั้น" เอเดรียน คูลชี้แจง

ปริศนาใหญ่สุดเกี่ยวกับปฏิสสารคือเรื่องนี้ หากมีปริมาณของปฏิสสารและสสารเกือบเท่ากันในจักรวาลช่วงแรก แล้วปฏิสสารอยู่ไหนกันหมดตอนนี้

ดร.มิชิโอะ คากุ "หนึ่งในปริศนาข้อใหญ่ของจักรวาลก็คือเกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดที่ร้ายกาจของเราอย่างปฏิสสาร ทุกแห่งที่เรามองไปในฟากฟ้า เราเห็นแต่สสารปกติ เราไม่เห็นปฏิสสาร มีปฏิสสารเพียงน้อยนิดที่มาจากศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก"

คิม สแตนลีย์ โรบินสัน ""ทำไมจักรวาลนี้จึงดูเหมือนจะประกอบไปด้วยสสารล้วนๆ และไม่มีปฏิสสารให้เห็นกันมากนัก ถือเป็นปริศนาอยู่ และผมก็ไม่คิดว่ามันจะได้รับการอธิบายอยู่ดี แต่พวกเราเนี่ยแหละคิดหาคำอธิบายอยู่ตลอด"

ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ อาจมีเปอร์เซ็นต์ของสสารสูงกว่าปฏิสสารเล็กน้อยในจักรวาลช่วงต้นๆ ดังนั้นเมื่ออนุภาคเหล่านั้นชนกันเกิดเป็นสงครามทำลายล้าง สสารที่มีสูงกว่าน้อยนิดจึงเหลือมาจากช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นเหมือนทหารผ่านศึกของสงครามที่เก่าแก่ที่สุดของเรา

เอเดรียน คูล "สำหรับแอนดี้โปรตอนหนึ่งพันล้านอนุภาค คุณต้องการโปรตอนหนึ่งอนุภาค และแล้วทั้งหนึ่งพันล้านนั้นห้ำหั่นกันหมด เหลือมาเพียงหนึ่งโปรตอนเท่านั้น"

ดร.มิชิโอะ คากุ "และสิ่งที่เหลือคือพวกเรา เราคือเศษซาก เราคือสิ่งที่เหลือจากการระเบิดของพลังงานครั้งใหญ่ที่ปล่อยมาจากการชนของสสารและปฏิสสารในช่วงเริ่มที่มีเวลาเกิดขึ้น ทฤษฎีที่ก้าวหน้าที่สุดของเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีความไม่สมดุลระหว่างสสารและปฏิสสาร แต่ขอบคุณพระเจ้าที่มันเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่"

แต่แม้ว่าสสารจะเหลือมามากมาย จนประกอบเป็นทุกสิ่งที่เราเห็นรอบๆ ตัว จะมีกาแล็คซี่ที่ห่างไกลหรือพื้นที่อวกาศไหนที่ปฏิสสารยังครองความเป็นใหญ่อยู่หรือไม่

คิม สแตนลีย์ โรบินสัน "อาจจะมีกาแล็คซี่อันที่เป็นปฏิสสาร 99.99% เหมือนที่แกแล็คซี่นี้เป็นสสาร แล้วถ้ากาแล็คซี่ที่เป็นปฏิสสารชนเข้ากับกาแล็คซี่ที่เป็นสสาร มันจะทำลายล้างกันเกิดแสงและพลังงานจนสุดจะบรรยายกันเลยทีเดียว"

ถึงแม้จะแปลกประหลาด นักวิทยาศาสตร์ยังเรียนรู้วิธีที่จะสร้างปฏิสสารปริมาณน้อยนิดในเครื่องเร่งของห้องแล็บเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ได้ อนุภาคปฏิสสารจากสารกัมมันตภาพรังสีที่สลายตัวง่ายถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างภาพ PET SCAN (Positron-Emission Tomography) ของสมอง

หลายคนไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาไปที่โรงพยาบาลแล้วทำการ PET SCAN นั้นคือจริงๆ แล้วพวกเขาถูกฉีดด้วยแหล่งของปฏิสสาร ตัว P ใน PET มาจากคำว่า โพสิตรอน (Positron) โพสิตรอนนั้นเป็นตัวแอนตี้อิเล็คตรอน แล้วพอมันเข้าไปในบางส่วนของร่างกายที่พวกเขาพยายามดูว่ามันมีปัญหาอะไร เมื่อโพสิตรอนถูกส่งออกมามาเจออิเล็กตรอนอย่างรวดเร็ว เกิดการทำลายล้างกันเกิดเป็นรังสีแกมม่าในร่างกาย และถูกตรวจจับได้ มันจะถูกนำไปรวมในส่วนของสมองที่มีกิจกรรมด้านความคิด และดังนั้นเราสามารถตรวจจับการรับรังสีโพสิตรอนได้ ในการสแกนสมองก็จะให้ภาพที่สวยงามของสมองที่กำลังคิดซึ่งมันเกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานของปฏิสสาร

ในขณะที่ปฏิสสารช่วยไขความลับของสมองมนุษย์ สมองมนุษย์ยังไม่อาจไขความลับทั้งหมดของปฏิสสารได้

เอเดรียนคูล "เรายังไม่รู้ว่าทำไมจักรวาลจึงประกอบด้วยสสารในตอนนี้แต่เรากำลังคืบหน้าไปในการตอบคำถามนั้น แบบว่าไปทีละขั้นเล็กๆน่ะค่ะ"

4. น้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
เช่นเดียวกับปริศนาจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของเรา ความจริงเกี่ยวกับปฏิสสารอาจจะยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ในตอนนี้ ดาวอังคารและปริศนามักจะไปด้วยกันเสมอ แต่ปริศนาที่น่าสนใจของดาวเคราะห์สีแดงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้รุกรานจากต่างดาว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าดาวอังคารเคยเหมือนโลกมากกว่านี้ โดยมีองค์ประกอบสำคัญอย่างนึงที่จะเกื้อหนุนชีวิตได้ "น้ำ" นั่นเอง

"น้ำเคยมีอยู่มากมายบนดาวอังคาร เราพบหลักฐานการไหลเมื่อนานแล้ว เราเห็นไอน้ำบ้างนิดๆ ในบรรยากาศ" ปีเตอร์ สมิทธ์กล่าว

มีกระทั่งภูมิปรเทศบนดาวอังคารที่ดูเหมือนหุบเขาแม่น้ำเก่าและที่ราบน้ำท่วมถึง

"มันเคยเป็นดาวเคราะห์ที่เหมือนเขตร้อนที่มีมหาสมุทรและทะเล แต่น้ำทั้งหมดหายไปแล้ว" ดร.มิชิโอะ คากุ

น้ำทั้งหมดหายไปได้อย่างไรและทำไมมันจึงหายไป สิ่งเหล่านี้คือปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามค้นหาคำตอบ หลักฐานทางธรณีที่รวบรวมโดยยานมาร์สโรเวอร์์และออร์บิเตอร์บ่งชี้ว่าเมื่อ 3,500 ล้านปีก่อน พื้นผิวที่เป็นน้ำของดาวอังคารเปลี่ยนไปอย่างมาก ดาวเคราะห์ที่เคยเป็นที่ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นกลายเป็นพื้นที่เย็นและแห้งและน้ำอันตรธานหายไป แต่การหาคำตอบว่าเมื่อไหร่ที่น้ำหายไปไม่ได้บอกว่าน้ำหายไปไหนและทำไม

เหตุการณ์หลายอย่างบนดาวอังคารหายดูเหมือนจะเปลี่ยนภูมิประเทศที่เป็นน้ำไปอย่างมาก ดาวอังคารเจอกับช่วงที่เกิดภูเขาไฟอย่างรุนแรงและพ่นลาวาออกมาทั่วพื้นผิว เมื่อมันสิ้นสุดลงแกนเหล็กที่หลอมเหลวของมันก็แข็งตัว นี้อาจทำให้ดาวอังคารสูญเสียสนามแม่เหล็กและชั้นโอโซนป้องกันของมัน นี่ทำให้ชั้นบรรยากาศเปราะบางจากลมสุริยะของดวงอาทิตย์ซึ่งมีพลังมากทีเดียว ลมสุริยะพัดกระหน่ำดาวอังคารอยู่หลายล้านปี ทำให้บรรยากาศที่เหลืออยู่หมดไป บัดนี้ไอน้ำที่เคยตกลงมาเป็นหิมะหรือฝนได้หลุดไปจากแรงดึงดูดที่เหลือน้อยของมันไปแล้ว

ดังนั้นน้ำจึงถูกพาไปที่ชั้นบรรยากาศในรูปของไอน้ำและมันถูกกระหน่ำโดยรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต มันสามารถแยกน้ำซึ่งก็คือ H2O ไปเป็น ไฮโดรเจนและออกซิเจน ไฮโดรเจนซึ่งเป็นก๊าซที่เบาที่สุดที่เรารู้จักลอยไปที่ชั้นบนของบรรยากาศและถูกพัดไปโดยลมสุริยะ

อีกทฤษฎีหนึ่งของการเสียน้ำบนดาวอังคารเกี่ยวข้องกับภับคุกคามจากภายนอกดาว มีหลักฐานว่าในช่วงปีแรกๆ ของระบบสุริยะ ดาวอังคารอยู่ในตำแหน่งที่ถูกพุ่งชนอย่างหนัก มีกลุ่มก้อนอย่างหนึ่งเมื่อราว 3,600 ล้านปีก่อน ดาวอังคารถูกพุ่งชนหลายครั้งทำให้วัตถุที่อยู่บนดาวและบรรยากาศปลิวออกไปนอกดาวและออกจากสนามแรงดึงดูด

คำตอบอื่นๆ เรื่องน้ำที่หายไปจากดาวอังคารอาจซ่อนอยู่ลึกลงไปในดาวเคราะห์แดงนี้ น้ำบางส่วนรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์กลายเป็นน้ำแข็งที่ขั้วดาวหนาถึง 2 ไมล์ และเพอร์มาฟรอสต์ที่ครอบคลุมพื้นผิวส่วนใหญ่ แต่มีหลักฐานว่าภายใต้น้ำแข็งนั้น น้ำยังคงไหลอยู่ น้ำส่วนใหญ่บนดาวอังคารซึมลงไปใต้ดินและบางส่วนของมันได้หนีลงไปที่ความลึกซึ่งอบอุ่นพอที่มันจะอยู่ในสภาพของเหลวได้ และจากนั้นเมื่อมันเริ่มเย็นขึ้น มันจะแข็งตัวเป็นไครโอสเฟียร์ก็ว่าได้ ส่วนที่เป็นน้ำแข็งของใต้ผิวดาวและที่ใกล้ผิวจะแห้งไปเพราะน้ำสามารถเคลื่อนผ่านดินและเข้าสู่บรรยากาศได้

นักวิทยาศาสตร์มหาลัยอริโซน่า ปีเตอร์ สมิทธ์ อยากจะไขปริศนาน้ำที่หายไปของดาวอังคาร สมิทธ์เป็นผู้ควบคุมหลักของภารกิจบนดาวอังคารฟีนิกซ์ของนาซ่า มันคือยานหุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์ง่ายๆ อย่างเดียวคือลงจอดบนดาวอังคารและตามหาน้ำ เกิดอะไรขึ้นกับน้ำนั่น มันน่าจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งใต้ดิน หรือแม้แต่น้ำใต้ดินที่เป็นของเหลว นี่คือสิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่ทุกวันนี้ โดยใช้วิทยุและเรดาห์ส่องผ่านทะลุผิวเข้าไปและพยายามมองหาแหล่งน้ำพวกนี้ให้พบ

สมิทธ์เชื่อว่า วิลค๊อกซ์ พลายาของอริโซน่าจะคล้ายกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบ เมื่อยานฟีนิกซ์เริ่มตะกุยผิวดาวอังคารสีแดง แม้ว่าพื้นผิวที่อริโซน่าจะถูกเผาจนเป็นเกลือและแห้ง ลึกลงไปเพียง 6 นิ้วบนพื้นผิวนี้กลับกลายเป็นดินเหียวที่เปียกมากเหมือนที่เก็บน้ำและมีระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในดินที่เปียกพวกนี้ ในดินเหนียวนี้ เมื่อฝนตกมันจะขึ้นมาที่พื้นผิว แล้วคุณก็จะเห็นกุ้งน้ำเค็มในบ่อน้ำเล็กๆ ที่ติดอยู่ในดินพวกนี้ เราสงสัยว่าเราขุดในที่ๆ ถูกต้องบนดาวอังคารหรือไม่ และนั่นก็คือเขตที่เป็นเพอร์มาฟรอสต์ เราจะพบระบบนิเวศน์แบบเดียวกันที่น้ำแข็งละลายไปเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนซึ่งทำให้อยู่อาศัยได้สำหรับสิ่งมีชีวิตบางอย่างของดาวอังคารหรือไม่

บางคนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกมีที่มาจากดาวอังคารและการเปลี่ยนแปลงที่แปลกของมันทำนายถึงดวงชะตาของเรา หากนั่นเป็นจริง การพบน้ำบนดาวอังคารจะพาเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นในอวกาศของเราและนำไปสู่อนาคตด้วย

5. อะไรเกิดก่อน Big Bang
เมื่อพูดถึงจักรวาลแล้ว สิ่งที่เรารู้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เรายังไม่ได้เรียนรู้ และจากปริศนาที่ไร้คำอธิบายทั้งหลายนั้น คำถามหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือ มีอะไรมาก่อนบิ๊กแบงหรือไม่ หรือบิ๊กแบงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างจริงๆ และถ้าเป็นเช่นนั้นอะไรที่เป็นตัวจุดประกายมัน นี่คือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวง อะไรเป็นตัวเริ่มการสรรค์สร้างนั้น ทฤษฎีบิ๊กแบงยังมีช่องว่างที่หญ่มากอยู่ เราไม่รู้เลย เราไม่รู้ว่าอะไรทำให้เกิดบิ๊กแบงขึ้น

บิ๊กแบงคือแนวคิดของเราที่อธิบายการเกิดของจักรวาลเมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน ทุกอย่างในจักรวาลของเราสามารถหาที่มาได้ย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น ดูเหมือนจะมีจุดที่เป็นปริศนาในตอนเริ่มต้นแล้วเราเรียกมันว่าซิงกูลาริตี้ แม้ว่ามันจะดูลึกลับและมีคำถามที่ต้องตอบมากมายตามมา มันก็เป็นจุดเริ่มที่ดีในการเริ่มมีเวลาของเรา แต่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของเราไม่รับรู้และตายสนิทในช่วงก่อนบิ๊กแบง หากว่ามีช่วงเวลานั้นจริงๆ ซิงกูลาริตี้เป็นเหมือนเส้นขอบฟ้าที่เราไม่สามารถเดินทางเลยไปได้

เนื่องจากในการสรรค์สร้างนั้น เวลาถูกสร้างขึ้นพร้อมกับอวกาศและพร้อมสสารและบิ๊กแบงเป็นเหตุการณ์แบบนั้นเลย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนการสร้างจักรวาลขึ้นมา อย่างไรก็ตามความคาดหมายทางวิทยาศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนบิ๊กแบง ทำให้ผู้ปราดเปรื่องที่สุดหลายคนทางสาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์สนใจ

นักทฤษฎีบางคนเชื่อว่าจักรวาลของเราเกิดบิ๊กแบงขึ้นเป็นช่วงๆ แนวคิดที่เป็นวัฏจักรนี้เสนอว่า ทุกๆ ล้านล้านปีจะเกิดบิ๊กแบงขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจักรวาลจะขยยตัวออกไปก่อนที่จะยุบตัวลงมาอีกครั้ง ทำให้พร้อมที่จะเกิดบิ๊กแบงอีกครั้ง มีวิธีที่น่าสนใจที่จะเชื่อมโยงกับเรื่องราวของจักรวาลก่อนหน้านี้ได้ จุดจบของจักรวาลหนึ่งทำให้เกิดการเริ่มต้นของอีกจักรวาลหนึ่ง

บางทีมันอาจไม่เคยมีจุดเริ่มต้น มันอาจมีมาตั้งแต่นานแสนนานและไม่มีจุดกำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่เราอาจเข้าใกล้คำอธิบายเรื่องช่วงก่อนบิ๊กแบงมากกว่าที่เรารู้ คลื่นสะท้อนจะช่วยบิ๊กแบงที่ยังคงกระจายอยู่จนทั่วจักรวาล อาจมีคำตอบเรื่องช่วงเวลาก่อนซิงกูลาริตี้ก็ได้ กลับกลายเป็นว่าคลื่นที่ขยายออกนี้เป็นกุญแจสำคัญที่เราใช้เข้าใจจักรวาลทุกวันนี้ และพลังขยายมากระตุ้นจักรวาลครั้งใหญ่ในช่วงแรก

ดังนั้นเราจึงส่งดาวเทียมออกไป เราสังเกตรังสี คลื่นแนวตั้งที่ไม่สมมาตร เครื่องตรวจจับรุ่นใหม่ๆ มากมาย อย่างเครื่องตรวจจับคลื่นแรงดึงดูดจะถูกส่งเข้าไปในอวกาศในทศวรรษหน้าด้วยการเชื่อมกับลำแสงเลเซอร์ หากมีคลิ่นกระแทกในแห่งการถือกำเนิด มันจะทำให้ลำแสงเลเซอร์กระตุกและเราจะสามารถบันทึกแรงสะเทือนที่เหลือมาจากช่วงบิ๊กแบงนั้น นั่นคือเหตุที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเราสามารถหาคำตอบได้ทั้งเรื่องบิ๊กแบงและช่วงที่ก่อนเกิดบิ๊กแบงอีกด้วยเลเซอร์จะไปตรวจจับแหลังพลังงานที่อาจทำให้เกิดการขยายตัว และอาจบอกถึงกลไกที่ทำให้เกิดบิ๊กแบงได้

 ถ้าเราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไขปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราหวังที่จะเข้าใจจักรวาลอย่างแท้จริงได้อย่างไร เมื่อใดก็ตามที่คุณได้คำตอบของคำถามหนึ่ง มันจะนำไปสู่คำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาเสมอ คุณคืบหน้าไปและไขปริศนาจักรวาลได้หลายอย่าง แต่แล้วก็จะมีปริศนาออกมามากขึ้นเสมอ เราคือผลลัพธ์ของจักรวาลที่กำลังพยายามเข้าใจตัวมันเองอยู่ มันยากที่จะเข้าใจได้ แต่อย่างไรก็ตามสักวันมันก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะเข้าใจปริศนาเหล่านี้ จักรวาลนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่กฏของฟิสิกส์ที่มีการพิสูจน์แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่เปลี่ยน และนั่นให้ความหวังเราว่าจากความปั่นป่วนทั้งหลายนี้

เราจะสามารถอธิบายได้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ในตอนแรกได้อย่างไร ในจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของเรา ปริศนาที่ไร้คำอธิบายมากมายจะยังคงทำให้เราสงสัยต่อไป แต่เราเริ่มเข้าใกล้เข้าไปอีกสู่การไขความลับชั้นสุดยอด กุญแจสู่อดีตและเส้นทางไปยังอนาคตของเรา ขณะที่วิทยาศาสตร์อธิบายหลายๆ สิ่งได้ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังรอการค้นพบเกี่ยวกับจักรวาลที่ไพศาล มืดมิดและลึกลับของเรา

บทความแนะนำ

กำเนิดดวงอาทิตย์ กำเนิดเอกภพ 7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล สตีเฟ่น ฮอว์คิงกับคำถามของเอกภพ อนาคอนด้า งูยักษ์แห่งอเมซอน เห็ดมีพิษ 10 สุดยอดไม้มงคลที่คนไทยนิยมปลูก 12 ความจริงเกี่ยวกับน้ำ

ข้อมูลเกี่ยวกับดวงอาทิตย์

ข้อมูลเกี่ยวกับดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ที่ใจกลางของระบบสุริยะของเราเป็นดาวแคระสีเหลือง ลูกร้อนของก๊าซเรืองแสง ของแรงโน้มถ่วงถือระบบสุริยะด้วยกัน ทำให้ทุกอย่างจากดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดมีอณูที่เล็กที่สุดของเศษในวงโคจรของ กระแสไฟฟ้าที่สร้างสนามแม่เหล็กที่จะดำเนินการผ่านระบบสุริยะจากลมสุริยะ — กระแสชาร์จไฟฟ้าก๊าซพัดออกจากดวงอาทิตย์ทุกทิศทาง
การเชื่อมต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ขับฤดู กระแสน้ำในมหาสมุทร สภาพอากาศ ภูมิอากาศ เข็มขัดรังสี และ aurorae แม้ว่ามันจะพิเศษกับเรา มีพันล้านของดาวเช่นดวงอาทิตย์ของเรากระจายข้ามกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
ขนาดและระยะทาง

มีรัศมี 432,168.6 ไมล์ (695,508 กิโลเมตร), ดวงอาทิตย์ของเราไม่มีดาวขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง — หลายหลายครั้งใหญ่ — แต่ก็ยังคงยิ่งใหญ่กว่าดาวเคราะห์บ้านของเรา: 332,946 Earths ตรงกับมวลของดวงอาทิตย์ ปริมาตรของดวงอาทิตย์จะต้อง Earths 1.3 ล้านเพื่อเติม

ดวงอาทิตย์คือ 93 ล้านไมล์ (ประมาณ 150,000,000 กิโลเมตร) จากโลก ที่ใกล้ดาวฤกษ์เพื่อนบ้านเป็นระบบดาวทริปเปิลอัลฟาคนครึ่งม้า: Proxima คนครึ่งม้าคือ 2.24 ปีแสงห่างออกไป และอัลฟาคนครึ่งม้า และ B — สองดาวโคจรรอบกัน — 4.37 ปีแสงห่างออกไป ปีแสงเป็นระยะทางแสงเดินทางในหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับ 5,878,499,810,000 ไมล์หรือ 9,460,528,400,000 กิโลเมตร

วงโคจรของดวงอาทิตย์และการหมุน

ดวงอาทิตย์ และทุกอย่างที่ orbits ตั้งอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ในแขนก้นหอยที่เรียกว่ากระตุ้น Orion ที่ขยายออกจากแขนธนู จากที่นั่น อาทิตย์ orbits กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก นำดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุอื่น ๆ พร้อมกับมัน ระบบสุริยะของเรากำลังเคลื่อนที่ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 450,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (720,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แต่แม้ที่ความเร็วนี้ มันพาเราให้สมบูรณ์หนึ่งโคจรรอบทางช้างเผือกประมาณ 230 ล้านปี

ดวงอาทิตย์หมุน ตามมัน orbits ศูนย์กลางของทางช้างเผือก การเอียงของแกน 7.25 องศากับระนาบของวงโคจรของดาวเคราะห์หมุนได้ เนื่องจากดวงอาทิตย์ไม่ได้ร่างกายแข็ง ส่วนต่าง ๆ ของดวงอาทิตย์หมุน ด้วยอัตราที่แตกต่าง ที่เส้นศูนย์สูตร ดวงอาทิตย์หมุนรอบหนึ่งครั้งทุกวันที่ 25 แต่ที่เสา แสงอาทิตย์หมุนครั้งในแกนของมันทุกวันโลก 36

การก่อตัวของดวงอาทิตย์

ส่วนเหลือของระบบสุริยะและดวงอาทิตย์เกิดจากยักษ์ หมุนเมฆก๊าซและฝุ่นละอองที่เรียกว่าเนบิวลาที่มีแสงอาทิตย์ประมาณ 4.5 พันล้านปี เนบิวลาที่ยุบเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของมันครอบงำ มันปั่นได้เร็วขึ้น และ flattened ลงในดิสก์ ส่วนใหญ่ของวัสดุถูกดึงไปทางศูนย์กลางเพื่อสร้างดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่ง 99.8% ของมวลของระบบสุริยะทั้งหมด

เช่นดาวทั้งหมด ดวงอาทิตย์สักวันหนึ่งจะรันจากพลังงาน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มจะตาย มันจะบวมใหญ่มากมันจะ engulf ดาวพุธและดาวศุกร์ และบางทีแม้แต่โลก นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า ดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงกลางน้อยกว่าผ่านอายุการใช้งาน และจะสิ้นสุดอีก 6.5 พันล้านปีก่อนมันหดตัวลงเป็น ดาวแคระขาว

โครงสร้าง

ดวงอาทิตย์ เหมือนอื่น ๆ ดาว เป็นลูกของก๊าซ ในแง่ของจำนวนของอะตอม มันถูกสร้างจาก 91.0% 8.9% และไฮโดรเจนฮีเลียม โดยมวล ดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ 70.6% ไฮโดรเจนและฮีเลียม 27.4%
มวลมหาศาลของดวงอาทิตย์จะจัดขึ้นร่วมกัน โดยสถานที่แรงโน้มถ่วง แรงดันมหาศาลและอุณหภูมิเป็นหลัก ดวงอาทิตย์มีหกภูมิภาค: หลัก โซน radiative และโซนการพาในภายใน พื้นผิวมองเห็น เรียกว่าโฟโตสเฟียร์ โครโมสเฟียร์ และ ภูมิภาคด้านนอกสุด โคโรน่า

หลัก มีอุณหภูมิประมาณ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ (15 ล้านองศาเซลเซียส), ซึ่งเพียงพอที่จะรักษางานฟิวชั่น นี้เป็นกระบวนการที่อะตอมรวม กับฟอร์มใหญ่กว่าอะตอม และมีจำนวนส่ายปล่อยกระบวนการพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแกนของดวงอาทิตย์ อะตอมไฮโดรเจนฟิวส์ให้ฮีเลียม

พลังงานที่ผลิตในอำนาจหลักดวงอาทิตย์ และผลิตความร้อน และแสงแดดแสงสว่าง พลังงานจากแกนกลางจะดำเนินออกไปด้านนอก โดยการแผ่รังสี ซึ่งเด้งรอบโซน radiative การประมาณ 170,000 ปีจะได้รับจากหลักการด้านบนของโซนการพา อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 3.5 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ (2 ล้านองศาเซลเซียส) ในโซนการพา ที่ฟองใหญ่ของพลาสม่าร้อน (ซุปของอะตอมแตกตัวเป็นไอออน) เคลื่อนที่ขึ้นไป พื้นผิวของดวงอาทิตย์ — ส่วนเราสามารถมองเห็น — เป็นประมาณ 10,000 องศาฟาเรนไฮต์ (5,500 องศาเซลเซียส) ที่นี่เย็นมากกว่าหลักเห็นได้ชัด แต่ก็ยังร้อนพอที่จะทำให้คาร์บอน เช่นเพชรและแกรไฟต์ ละลายไม่เพียง แต่ต้ม
พื้นผิว

พื้นผิวของดวงอาทิตย์ โฟโตสเฟียร์ เป็นหนา 300 ไมล์ (500 กิโลเมตรหนา) ซึ่งส่วนใหญ่ของดวงอาทิตย์รังสีหนีออก ไม่มีพื้นผิวแข็งเช่นพื้นผิวของดาวเคราะห์ แทน อยู่ชั้นนอกของดาวตาล

เราเห็นรังสีจากโฟโตสเฟียร์ที่เป็นแสงแดดเมื่อมาถึงโลกประมาณ 8 นาทีหลังจากออกแดด อุณหภูมิของโฟโตสเฟียร์มีประมาณ 10,000 องศาฟาเรนไฮต์ (5,500 องศาเซลเซียส)

บรรยากาศของดวงอาทิตย์

เหนือโฟโตสเฟียร์นอนโครโมสเฟียร์ประกอบและโคโรน่า (มงกุฎ), ซึ่งทำให้บรรยากาศแสงอาทิตย์บาง นี่คือที่เราเห็นเช่นกระเนื้อและเปลวสุริยะ

แสงที่มองเห็นจากภูมิภาคเหล่านี้ด้านบนจะอ่อนเกินไปจะมองเห็นได้กับโฟโตสเฟียร์สว่าง แต่ในระหว่างรวมปรากฏการณ์แสงอาทิตย์ เมื่อดวงจันทร์โฟโตสเฟียร์ ครอบโครโมสเฟียร์ที่เหมือนเป็นริมแดงอาทิตย์ ในขณะที่โคโรน่าเป็นสีขาวสวยงาม พระมหากษัตริย์ ด้วยพลาธารตีบออก รูปร่างที่เหมือนกับกลีบดอกไม้

แปลก ๆ อุณหภูมิในบรรยากาศของดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นสูง สูงเป็น 3.5 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ (2 ล้านองศาเซลเซียส) ถึง แหล่งที่มาของหน้าร้อนที่แล้วลึกลับวิทยาศาสตร์มากกว่า 50 ปี

ศักยภาพชีวิต

ดวงอาทิตย์เองไม่ได้เป็นสถานที่ที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต มีความร้อน มีพลังผสมผสานของแก๊สและพลาสม่า แต่ดวงอาทิตย์ได้ทำให้ชีวิตบนโลกเป็นไปได้ ให้ความอบอุ่นเป็นพลังงานที่มีชีวิตเช่นพืชที่ใช้เพื่อเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหารมากมาย

ดวงจันทร์

ดวงไม่มีดวงจันทร์ใด ๆ แทน มันมีดาวเคราะห์และดวงจันทร์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุอื่น ๆ

แหวน

ดวงอาทิตย์ไม่มีแหวน

แม็กนีโตสเฟียร์

กระแสไฟฟ้าที่สร้างสนามแม่เหล็กซับซ้อนที่ขยายไปในพื้นที่เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กระหว่างดาวเคราะห์ ปริมาตรของพื้นที่ควบคุม โดยสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เรียกว่าเฮลิโอสเฟียร์

สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะดำเนินการผ่านระบบสุริยะ โดยลมสุริยะ — กระแสชาร์จไฟฟ้าก๊าซพัดออกจากดวงอาทิตย์ทุกทิศทาง เนื่องจากดวงอาทิตย์หมุน สนามแม่เหล็กหมุนออกเป็นเกลียวหมุนขนาดใหญ่ ที่รู้จักกันเป็นเกลียวปาร์คเกอร์

ดวงอาทิตย์ไม่ทำงานเหมือนตลอดเวลา มันไปผ่านขั้นตอนของวงจรแสงอาทิตย์ ประมาณทุก ๆ 11 ปี ขั้วของดวงอาทิตย์ทางภูมิศาสตร์เปลี่ยนขั้วของแม่เหล็ก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ โฟโตสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ โครโมสเฟียร์ และโคโรน่าได้รับการเปลี่ยนแปลงจากเงียบ และสงบเพื่อใช้งานอย่างรุนแรง ความสูงของกิจกรรมของดวงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์สูงสุด ที่รู้จักกันเป็นช่วงเวลาของพายุสุริยะ: sunspots เปลวสุริยะ และหน้ามวล ejections เหล่านี้มีสาเหตุจากความผิดปกติในสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ และสามารถปล่อยพลังงานและอนุภาค ที่ติดต่อเราได้ที่นี่บนโลกจำนวนมาก สภาพอากาศพื้นที่นี้สามารถทำลายดาวเทียม กัดกร่อนท่อ และส่งผลกระทบต่อพลังงาน

สำรวจ

จำนวนของวัฒนธรรมโบราณที่สร้างโครงสร้างหิน หรือแก้ไขหินจากธรรมชาติเพื่อการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ พวกเขาชาร์ตฤดู สร้างปฏิทิน และตรวจสอบปรากฏการณ์แสงอาทิตย์ และดวง

สำรวจและวิจัยทันสมัย heliophysics (การศึกษาของดวงอาทิตย์) มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจระบบซับซ้อนดวงอาทิตย์โลก ซึ่งรวมถึงดวงอาทิตย์และผลกระทบบนโลก และระบบสุริยะ ตลอดจนเงื่อนไขในพื้นที่ที่สำรวจในอนาคตจะพบ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมที่ Heliophysics ที่ผู้อำนวยการภารกิจการวิทยาศาสตร์นาซ่า

วันสำคัญ:
คริสตศักราช 150: กรีกนักวิชาการร่วมทอเลมีเขียน Almagest, formalizing แบบโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ แบบจำลองการยอมรับจนถึงศตวรรษที่ 16
1543: Nicolaus Copernicus เผยแพร่ในการปฏิวัติของทรงกลมฟ้าที่อธิบาย heliocentric (กลางแดด) แบบจำลองระบบสุริยะ
1610: สังเกตแรกของกระเนื้อผ่านกล้องทำได้อย่างอิสระ โดยกาลิเลโอ Galilei และ Thomas Harriot
1645-1715: กิจกรรมฉายปฏิเสธเพื่ออะไรเกือบ อาจก่อให้เกิดยุคน้ำแข็งเล็กน้อยที่ในโลก แม่น้ำที่อยู่ตามปกติ ice-free froze และเขตหิมะยังคงอยู่ตลอดทั้งปีที่ระดับความสูงต่ำ
1814: การค้นพบเส้นสเปกตรัมในสเปกตรัมของดวงอาทิตย์ เหล่านี้ได้ระบุว่าเป็นลายนิ้วมือขององค์ประกอบในปี 1859
1826-1843: รอบฉายแรกรับรู้
8 1842 ก.ค.: วัดอินฟราเรดแรกของโคโรนาแสงอาทิตย์ระหว่าง eclipse ทั้งหมดในมิลาน
1848: sunspots มีสาธิตเย็นกว่าโฟโตสเฟียร์โดยรอบ
1 กันยายน 1859: สังเกตแรกเปลวสุริยะและผล geomagnetic บนโลก
18 1860 ก.ค.: Eclipse ผู้สังเกตการณ์ดูถ่ายต่อเนื่องจากดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ — บันทึกแรกดีดมวลโคโรนา
1942: พบครั้งแรก ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุจากดวงอาทิตย์
1946: ก่อน จรวดสังเกตของดวงอาทิตย์ในรังสีอัลตราไวโอเลต)
7 1962 มี.ค.: นาซ่าเปิดตัวแรกโคจรพลังงานแสงอาทิตย์จุดชมวิว (อ่างอาบ-1)
1973-1974: นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศสกายแล็บใช้เมาท์กล้องโทรทรรศน์อพอลโลเพื่อดำเนินการศึกษาหลายสเปกตรัมของดวงอาทิตย์จากการโคจรของโลก
1994: สซีเป็นภารกิจแรกเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมพื้นที่ด้านบน และด้าน ล่างขั้วของดวงอาทิตย์ของเรา
26 1994 มิ.ย.-5 1994 พ.ย.: ยานอวกาศลำนี้สซีนานาชาติทำให้สังเกตแรกของเขตขั้วโลกของดวงอาทิตย์
8 กันยายน 2004: ยานอวกาศของนาซ่าปฐมกาลกลับตัวอย่างของลมสุริยะ — กระแสของอนุภาคจากดวงอาทิตย์ – โลกศึกษา ปฐมกาลรวบรวมตัวอย่างมากกว่าสองปีประมาณ 1 ล้านไมล์ (1.5 ล้านกิโลเมตร) จากโลก
23 2550 เม.ย.: ยานอวกาศของนาซ่าคู่อาทิตย์บกสัมพันธ์หอดูดาว (สเตอริโอ) ทำภาพสามมิติแรกของดวงอาทิตย์
2010 ก.พ.: เปิดตัวหอดูดาว Dynamics พลังงานแสงอาทิตย์การศึกษากิจกรรมแสงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้น และวิธีสภาพอากาศพื้นที่ผลจากการ ที่กิจกรรม โดยวัดด้านในของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ของแม่เหล็ก พลาสม่าร้อนของโคโรนาพลังงานแสงอาทิตย์ และ irradiance การที่ สร้าง ionospheres ของดาวเคราะห์
6 2554 ก.พ.: หัวสเตอริโอย้ายไปตำแหน่งบนด้านตรงข้ามของดวงอาทิตย์ ยิ้มแย้มแจ่มใสกลับทั้งหมดดาวด้านหน้า และด้านหลังภาพต่อเนื่อง ครั้งแรกที่เคย มนุษย์สามารถชมแสงอาทิตย์กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ทั้งหมด
วัฒนธรรมป๊อป

ดวงอาทิตย์มีแรงบันดาลใจจากเรื่องราวตำนานในวัฒนธรรมทั่วโลก รวมทั้งของชาวอียิปต์โบราณ แอซเท็กเม็กซิโก ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันของเหนือ และอเมริกาใต้ จีน และอื่น ๆ อีกมากมาย

ในครั้งล่าสุด อาทิตย์ประดับจากปกอัลบั้ม เช่นของประเสริฐสัญลักษณ์ 1992 เปิดตัวครั้งแรก การแพคเกจของเกด ในขณะที่มันมีผลต่อเรื่องราวในการ์ตูน ภาพยนตร์ละคร และทุกสิ่งในระหว่าง

ถ้าคุณซูเปอร์แมน (หรือเพื่อน Kryptonian), อำนาจของคุณจะทำเป็นเรืองแสงสีเหลืองของดวงอาทิตย์ของเรา และคุณสามารถแม้กระทั่งกำจัดอันตราย วัสดุเช่น Superboy ไม่ โดย hurling พวกเขาเข้าไปในดวงอาทิตย์ และในภาพยนตร์ 2007 ซันไชน์ ดวงอาทิตย์คือตาย ออกจากโลกในสถานะของตู้แช่ บันทึกมนุษยชาติ ยานอวกาศ crewed เป็นทางที่ดวงอาทิตย์ระเบิดนิวเคลียร์ ชนวนแต่สิ่งที่ไม่ไปค่อนข้างตามแผน

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

กำเนิดดวงอาทิตย์

กำเนิดเอกภพ

7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล

SPACE บนอวกาศอันไกลโพ้นยังมี ความจริงที่น่ารู้อีกแยะ!!!

สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ