เครื่องดื่มยามเช้าที่ดีต่อสุขภาพ

ขอบคุณ : Never-age
ตื่นเช้ามาเริ่มวันใหม่ให้สดใสกว่าเดิม คงจะดีไม่น้อยถ้าเริ่มต้นด้วยเครื่องดื่มดีๆ สักแก้วเพื่อสุขภาพที่ดี



นมถั่วเหลือง

ปัจจุบันนมถั่วเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่งดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจาก เนื้อสัตว์



กาแฟ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลา นาน



น้ำมะนาว

ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย



น้ำผักหรือน้ำผลไม้

เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น



น้ำหวาน

คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี



น้ำขิง

สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้ว เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล (Gigerol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้



เริ่มด้วยสิ่งดีๆ ต่อสุขภาพของคุณ สดชื่นไปได้ทั้งวันเลย




ขอบคุณ : Never-age

'5 อุปสรรค' ทำผู้หญิงไม่อยากมีเซ็กซ์

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
เมื่อ
ชายคนรักต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือมีเซ็กซ์กับหญิงอันเป็นที่รัก
แต่ทว่าฝ่ายหญิงไม่มีอารมณ์ใคร่อยากที่ตรงกัน
และขอเลื่อนนัดขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปคราวหน้า!!!

เรื่องผู้หญิงไม่มีอารมณ์ทำนองนี้ เคยมีการสำรวจในผู้หญิงมะกัน โดย
ร้อยละ 33 ระบุว่า ระดับความใคร่อยากเสพสมเซ็กซ์นั้นมีจำกัด
และยังเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้พวกเธอมากกว่าการมีเซ็กซ์แล้วไม่ถึง
จุดสุดยอด อีกทั้งผู้หญิงบางคนถึงขั้นคิดไม่ตก กลัวความสัมพันธ์กับคนรักจะลดน้อยถอยลงไป

ความต้องการทางเพศที่ลดลงจนทำให้ไม่อยากมีเซ็กซ์ในบางครั้ง สำหรับผู้หญิงมีสาเหตุมาจาก 5 ข้อ คือ 'ความเครียด'
แม้เพียงแค่เรื่องเครียดทั่วๆ ไป หรือปัญหาใหญ่ๆ
ก็กระทบมาถึงความต้องการทางเพศได้เช่นกัน แม้ฝ่ายชายจะเล้าโลมเพียงใด
เธอก็ไม่สุขสมร่วมอารมณ์ด้วยง่ายๆ

ต่อมา 'ความเจ็บป่วย' หากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงสมบูรณ์เพียงพอ ก็ส่งผลให้ไม่อยากมีเซ็กซ์ ซึ่งใกล้เคียงกับสาเหตุที่สาม 'ช่วงวัย' โดย
เฉพาะผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทองบางราย
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งให้เกิดอาการบางอย่าง เช่น หงุดหงิดง่าย
ร้อนวูบวาบ จึงปฏิเสธที่จะมีเซ็กซ์ได้ไม่ยาก
ยิ่งถ้าฝ่ายชายเข้าหาจังหวะไม่ดี อาจถูกเธอเหวี่ยงใส่เป็นของแถม

นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลที่สำคัญ อย่าง 'น้ำหนักตัว' โดยผู้หญิงที่น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบเร็วเกินไป ทำให้ความต้องการทางเพศลดลงตามไปด้วย และสุดท้าย 'ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป' ข้อ
นี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ หากความสัมพันธ์ของฝ่ายหญิงเปลี่ยนไป รักน้อยลง
หรือไม่ต้องการเน้นปริมาณความถี่ของการมีเซ็กซ์เท่าเดิม
ความต้องการทางเพศของเธอย่อมจะลดลง

อย่างไรก็ตาม การที่หญิง-ชาย ไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากมีเซ็กซ์ในเวลาเดียวกันนั้นเกิดขึ้นได้ แต่ถ้า
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยากมีเซ็กซ์ทุกครั้งที่อีกฝ่ายต้องการจะฟีทเทอริ่ง
เป็นอย่างนี้อยู่นานเกินเดือน คงต้องเปิดอกคุยกันให้เคลียร์
หรือลองปรึกษาแพทย์ดู.

มหัศจรรย์เกลือ สีชมพู...บำบัดโรคได้จริงหรือ?

มหัศจรรย์เกลือ สีชมพู...บำบัดโรคได้จริงหรือ?


มหัศจรรย์เกลือ สีชมพู...บำบัดโรคได้จริงหรือ?



“เกลือ” ยิ่งเค็มยิ่งดี และรักษาโรคได้ จริงหรือ? คนรุ่นใหม่มักจะคิดว่าการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มนั้นส่งผลร้ายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา ทว่าในทางกลับกัน ยังมีความเชื่อที่ขัดแย้งต่อข้อห้ามข้างต้น ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เกลือสามารถรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ได้ โดยเฉพาะ เกลือ “สีชมพู”

ภัยที่มาจากการดำเนินชีวิต

อ. ศุภชัย จารุสมบัติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาและบำบัดทางธรรมชาติ ให้ข้อมูลว่า ปัญหาของคนในยุคปัจจุบันซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่กับคลื่นรังสีที่คอยรบกวนคลื่น สมองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ไอที โทรศัพท์มือถือ เรียกว่าทุกสิ่งรอบตัวล้วนทำร้ายร่างกายของคนเราโดยไม่รู้ตัวแทบทั้งสิ้น

“วันหนึ่งแค่คุณใช้โทรศัพท์นานๆ หรือการวางโทรศัพท์ไว้บนที่นอน ก็จะส่งผลให้คลื่นรังสีที่ส่งผ่านโทรศัพท หรือคอมพิวเตอร์มาทำร้ายร่างกาย ทำลายระบบประสาท ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมาคุณรู้สึกไม่สดชื่น เพราะสาเหตุเกิดจากรังสีจากอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ ที่คอยรบกวนคุณโดยไม่รู้ตัว”

อาการที่เกิดจากสาเหตุเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการภูมิแพ้ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ทั้ง อาการนอนไม่หลับ หายใจติดขัด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคซึมเศร้า และส่งผลก่อนให้เกิดอาการที่น่าเป็นห่วงตามมา

ต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่เกิดอาการของโรคซึมเศร้านั้น เกิดจากค่าที่มีอยู่ในสมอง ที่เกิดภาวะบกพร่อง ภาวะอาการเช่นนี้เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำในเรื่องเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา

การ ทำงานของสมองคนเราก็จะมีอยู่สองระบบ คือระบบตื่นตัว และระบบผ่อนคลาย ซึ่งการทำงานของคลื่นที่ส่งออกมาไม่เหมือนกัน ถ้าสมองมีการย้ำคิดย้ำทำ จะไม่เกิดการกระตุ้น สมองจะนิ่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่นิ่ง ความคิดของคนก็จะเกิดภาวะคิดอยากฆ่าตัวตาย

“ผมว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษายากมาก เพราะคนไข้คิดอยากจะตายเพียงอย่างเดียว โรคซึมเศร้าจะเห็นในคนวัยทำงานมากที่สุด และเป็นโรคที่อันตรายมากที่สุด มากกว่าโรคมะเร็งเสียอีก

บางคนไปหาแพทย์ปัจจุบัน ก็บอกได้เพียวแค่ว่าเป็นโรคเครียดซึ่งรักษาให้เพียวแค่การให้ยาคลายเครียดมา ซึ่งมันไม่ใช่การรักษาที่แท้จริง เพราะโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษายากมาก”

เพราะชีวิตประจำวันคุณใช้ชีวิตอยู่กับคลื่นแม่เหล็ก ทั้ง โทรศัพท์ ไดร์ทเป่าผม แอร์การ์ด หรือแม้กระทั่งรถไฟฟ้า ซึ่งส่งคลื่นรังสีที่รบกวนระบบประสาทของคุณ ส่งผลให้คุณรู้สึก ปวดเมื่อยบริเวณ บ่า ไหล่ ต้นคอ เกิดโรคไมเกรน

อีกหนึ่งทางเลือกที่ จะสามารถทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ด้วยอานุภาพของความเค็มจากธรรมชาติ จึงทำให้เกิดความนิยมที่นำเอาเกลือมาช่วยในการรักษา บำบัด ด้วยวิธีการสปา เพิ่มมากขึ้น

ทั้งการนำเอาเกลือสินเธาว์มาช่วยในการบำบัด ซึ่งอาจจะมีข้อห้ามในการบำบัดซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคความดัน โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งส่งผลอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก แต่ปัจจุบันได้มีการนำเอาเกลือ โซเล มาช่วยในการบำบัด ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายของผู้ได้รับการบำบัดมากกว่าเกลือสินเธาว์

เกลือ โซเล เป็นน้ำเกลือเข้มข้น ที่อิ่มตัว มีเกลือ 22 ส่วนและน้ำ 78 ส่วน เต็มไปด้วยแร่ธาตุมากกว่า 84 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งในเกลือมีค่าประจุบวกของโซเดียม ที่รอบล้อมประจุลบของโมเลกุลของน้ำ ที่จะเข้าไปสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของสมองที่ถูกทำลายจากคลื่นรังสีที่ ร่างกายได้ถูกทำร้ายจากการใช้ชีวิตในประจำวัน

อาจารย์ ศุภชัย ได้กล่าวว่า การที่ร่างกายมนุษย์ถูกทำร้าย เพราะการได้รับคลื่นมากเกินไป รับวิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุทีไม่ครบ ซึ่งปัจจุบันคุณไม่มีทางได้ทราบว่าเกลือ ที่คุณรับประทานเข้าไปเป็นเกลือที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเกลือสินเธาว์ แร่ธาติถูกทำลายตั้งแต่การระเหยน้ำให้กลายเป็นเกลือไปแล้ว

“เกลือถูกดูดแร่ธาตุหายไปหมด เครื่องปรุงที่ใช้ในการปรุงอาหารในปัจจุบันก็ไม่ได้มีแร่ธาตุอะไรเลย เพราะความเค็มที่ได้เกิดจากการนำเอาเกลือสินเธาว์ไปเติมให้มีความเค็ม แต่เดี๋ยวนี้ก็มีการนำเอาสารไอโอดีนเติมเข้า ร่างกายจึงได้รับอย่างเต็มที่

เด็กเดี๋ยวนี้โง่ก็เพราะว่าสัญญาณสมองถูกทำลายด้วยโซเดียมคลอไรด์ ก็จะมีอาการ เครียดง่าย ซึมเศร้า มือไม้อ่อนแรง เพราะไม่มีตัวนำไปสู่คลื่นสมอง สมองสั่งการก็จะช้าลง

เด็กรุ่นใหม่ มีปัญหาเพราะได้รับแร่ธาตุไม่เพียงพอ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน คนจีนก็จะรู้ว่า ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็จะดื่มน้ำเปล่าผสมเกลือลงไปนิดนึง ซึ่งเป็นเกลือโซเล ทุกคนก็นั่งดื่ม แล้วมันก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าวิตามินของคนโบราณ

คน ก็จะไม่ท้องผูก เกลือสมัยก่อนจะเป็นพระเอก แต่กลับกันเดี๋ยวนี้หมอสั่ง เป็นโรคไตห้ามกินเค็ม เป็นโรคหัวใจห้ามกินเค็ม กลายเป็นว่าเกลือทำร้ายสุขภาพทุกคน ซึ่งไม่ใช่

สมัยก่อน โรคความดันเป็นยังไง คนยังไม่รู้จักเลย ซึ่งตอนนี้โรคที่เกิดมากที่สุด คือโรคทางประสาท แค่ขับรถปาดหน้ากัน ไม่พอใจก็ยิงกัน ประสาทขาดการระงับอารมณ์ เวลาโมโห มันสั่งระงับอาการไม่ได้ ซึ่งแท้จริงมันเกิดจากอาหารการกิน หมอโรคจิตเดี๋ยวนี้ขายดี เพราะคนไทยเป็นโรคนี้กันเยอะมาก ”

มหัศจรรย์ ถ้ำเกลือสีชมพู

เกลือสีชมพู เกริ่นเพียงเท่านี้อาจจะตกใจ เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก และไม่เคยเห็น เกลือผลึกสีชมพู ที่เป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งเกลือนี้มีอยู่เพียงแห่งเดียวคือประเทศปากีสถาน

โดยมีการค้นพบ ว่า ผลึกเกลือสีชมพูแตกต่างจากเกลือตามท้องตลาดที่มีความเค็ม ซึ่งมีประโยชน์ต่อรต่างกายมนุษย์อย่างมาก ไม่ว่าจะช่วยในการปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างและแรงดันในร่างกายของคนเราได้

ช่วย ละลายและขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย ปรับความสมดุลของน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน กระตุ้นการทำงานของกระแสไฟฟ้าภายในเซลล์ในร่างกาย ช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้น

“เกลือนี้ผมเข้าไปศึกษาอย่างจริงจัง คือสมัยก่อนคนไม่รู้จัก ผมต้องไปคนเดียว หาคนไปด้วยไม่ได้ ก็คือเรื่องเกลือมีในตำราการแพทย์ ซึ่งสามารถทำประโยชน์ได้ 50 กว่าอย่าง

คนที่ปวดหัวเข่า เพียงแค่คุณนำเอาเกลือมาถูลงบนเข่า ก็จะหายปวด มีคนไข้ที่ผมแนะนำแล้วไปทำสามารถหายได้จริง หรือคนที่เป็นเต้านมเป็นมะเร็ง ที่เป็นหนอง ก็นำเอาลูกประคบเกลือประคบ แผลก็แห้ง หรือใครนอนไม่หลับ ก็มีหมอนเกลือก็สามารถทำให้หลับสนิทได้

เกลือ 1 กิโล กับน้ำหนึ่งอ่าง ไปแช่ตัวในวันพระจันทร์เต็มดวง จะทำให้รู้สึกสบายมาก ซึ่งพระจันทร์มีผลต่อผู้หญิงมาก ซึ่งคนก็มักจะลืมเรื่องนี้ไป คนโบราณก็ไปแช่ตัวในอ่าง ก็จะทำให้รอบเดือนผู้หญิงมาเป็นปกติ

หรือ ผู้ชายที่เป็นต่อมลูกหมาก ก็จะมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งธรรมชาติจะคอยดูแลคน เกลือสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแต่คนกลับลืมเลือนมันไป ”

ซึ่งเกลือสีชมพูต่างจากเกลือสินเธาว์ ทางด้านคุณสมบัติในการรักษาโรค เกลือสินเธาว์จะมีความเค็มที่ส่งผลอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งหากใครอยากจะเข้าไปสูดอากาศบริสุทธ์ของเกลือสีชมพู ที่ AKA Holistic Wellness ได้นำเอาเกลือหิมาลายันสีชมพู ที่มีประโยชน์ในการบำบัดโรค มาให้คุณได้เข้าไปสัมผัส

เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินชีวิตที่ส่งผลให้นอนไม่หลับ ภาวะซึมเศร้า เครียด และโรคภัยต่างๆ ถือเป็นการบำบัดร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ เพียงแค่ใช้เวลา 45 นาที ด้วยการเข้าไปนั่งในทำเกลืออย่างสงบ อาการของโรคต่างๆ ของคุณก็จะดีขึ้น

“ทุกวันนี้คนลืมไปว่ามนุษย์มีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ทุกคนละเลยการทำตามเวลาของร่างกาย จึงทำให้เกิดความเจ็บปวดมากมาย เพียงแค่คุณดูแลนาฬิกาชีวิตของคุณให้ดี คุณก็จะมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ร่างกายจะทำงานของมันได้ดี

ซึ่ง คนที่ทำงานกลางคืนและนอนกลางวัน ค่าการทำงานของร่างกายจะเป็นไป เพราะว่าตารางเวลาในร่างกายของคน การนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น รับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นซึ่งที่จำเป็น อย่างมาก การขับถ่ายต้องขับถ่ายก่อน 7 โมง ซึ่งคุณควรจะดูแลตารางเวลาร่างกายของคุณให้ดี ” อ. ศุภชัย ให้คำแนะนำในการดูแลสุภาพ


ประโยชน์ของเกลือ สีชมพู

ใช้เกลือหมัก ล้างเมือก ล้างคาวปลา หรือเนื้อสัตว์ได้ โดยคงรสชาติเดิมและไม่ส่งกลิ่นเน่าอีกด้วย
ใช้เกลือเป็นลูกประคบแก้ปวดท้อง
ใช้แปรงฟัน และบ้วนปาก ป้องกันโรคเหงือก
บำบัดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจโดยการสูดไอเกลือเข้าสู่ร่างกาย
เกลือสามารถล้างพลังเสียออกจากอัญมณี
สามารถนำไปผสมในเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า เพื่อเพิ่มสารไอโอดีนและป้องกันโรคท้องผูกได้อย่างดี

ประวัติ

ชื่อ อาจารย์ ศุภชัย จารุสมบัติ
ประวัติการศึกษาทางด้านแพทย์ทางเลือก
หลักสูตร ซี่กง มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน เซี่ยงไฮ้
หลักสูตรดนตรีบำบัด มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน หนานกิง
หลักสูตร มนตราบำบัด วัดโจคัง ธิเบต
หลักสูตรคัมภีร์ ผลัดเปลี่ยนเส้นเอ็น วัดเส้าหลิน ฝ่ายเหนือ รุ่นที่ 29


ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

กินผักผลไม้ให้ได้ประโยชน์

ที่มา
ผักผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่าย เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ ช่วยป้องกันและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แถมยังช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ผักผลไม้นั้นมีมากมายหลายชนิด ตลอดจนมีการแปรรูปออกมาในหลากหลายรูปแบบ หลายคนคงสงสัยว่า คุณประโยชน์ต่างๆ ของผักผลไม้แต่ละชนิด แต่ละรูปแบบ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร


ผักผลไม้สีต่างๆ มีประโยชน์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
สีสันในผักผลไม้มาจากสารเคมีตามธรรมชาติที่แตกต่างกันไป เช่น

ผักผลไม้สีส้ม สีเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง และผักใบเขียวเข้ม เช่น ตำลึง คะน้า ผักบุ้ง บร็อกโคลี จะมีเบต้าแคโรทีนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ

ผักผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม มะละกอสุก จะมีไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้อีกด้วย

ผักผลไม้สีเหลือง และผักใบเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ผักโขม จะมีลูทีนและซีแซนทินซึ่งช่วยบำรุงสายตาและป้องกันความเสื่อมของดวงตา

ผักผลไม้สีม่วง เช่น ดอกอัญชัน กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง เบอร์รีชนิดต่างๆ จะมีแอนโทไซยานินซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด และช่วยต้านการอักเสบ

ผักผลไม้ชนิดใดดีที่สุด?
สาร สำคัญในผักผลไม้ชนิดต่างๆ ทำงานออกฤทธิ์ส่งเสริมเกื้อหนุนกัน จึงไม่มีชนิดใดดีที่สุด การรับประทานให้หลากหลาย สลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน อย่าให้ซ้ำซากจำเจจะดีที่สุด

ผักดิบกับผักสุก มีประโยชน์เหมือนกันหรือไม่?
ผัก สุกอาจจะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ซึ่งสลายตัวได้ง่ายเมื่อผ่านความร้อน แต่บางคนอาจประสบปัญหาท้องอืดจากการกินผักดิบ หรือท้องเสียเพราะล้างไม่สะอาด

ผักบางชนิดรับประทานสุกจะมี ประโยชน์กว่า เช่น มะเขือเทศที่ผ่านการปรุงสุกหรือผ่านกระบวนการ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ร่างกายจะนำไลโคปีนไปใช้ได้ดีกว่าผลสด

น้ำผักผลไม้ มีประโยชน์เหมือนผักผลไม้สดหรือไม่?
น้ำ ผักผลไม้ไม่มีกากใยเหมือนกับผักผลไม้สดๆ กากใยช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม ช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคอ้วน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดีต่อระบบการขับถ่าย ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร และลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

แต่ สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้สด ก็อาจจะดื่มน้ำผักผลไม้เสริม โดยควรจะคั้นเอง ดีกว่าซื้อน้ำผักผลไม้สำเร็จรูปซึ่งจะมีปริมาณน้ำตาลสูง น้ำผักผลไม้ที่คั้นเองยังสะอาดปลอดภัยกว่าซื้อนอกบ้านอีกด้วย

ผักผลไม้แห้ง ดีหรือไม่?
ผักผลไม้แห้งที่ใส่น้ำตาลจะให้พลังงานสูงกว่าผักผลไม้สดประมาณ 1 เท่าตัว ควรรับประทานแต่น้อย ไม่เช่นนั้นอาจจะอ้วนได้

ส่วนผักผลไม้แห้งที่เติมเกลือ เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ก็มีผลต่อโรคความดันโลหิตสูง ควรรับประทานแต่น้อยเช่นกัน

ผักผลไม้แช่แข็งหรือบรรจุกระป๋อง ยังมีประโยชน์หรือไม่?

กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสามารถรักษาคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้ อาจสูญเสียวิตามินบางชนิดไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับเสื่อมคุณภาพ

อย่าง ไรก็ตาม ผักผลไม้แช่แข็งต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้น ส่วนผักผลไม้กระป๋อง ควรเลือกชนิดที่ไม่เติมเกลือและน้ำตาล หรือแต่งเติมสิ่งต่างๆ ให้น้อยที่สุด

สารสกัดจากผักผลไม้ ทดแทนผักผลไม้สดได้หรือไม่?
ผัก ผลไม้สดมีทั้งกากใย วิตามิน เกลือแร่ มากมายหลายชนิด ที่ทำงานประสานส่งเสริมกัน ซึ่งผักผลไม้ที่แปรรูปเป็นอาหารเสริมหรือสารสกัดไม่สามารถทดแทนได้


ควรรับประทานผักผลไม้ให้ได้ทุกมื้อทุกวัน
เทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยไม่ให้การรับประทานผักเป็นเรื่องจืดชืดจำเจ
คือการสร้างสรรค์เมนูผักตามใจชอบ
ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก ต้มแกง ผักจิ้มน้ำพริก
เครื่องเคียงในอาหารยำ สลัดผักผลไม้
โดยเลือกผักผลไม้ชนิดต่างๆ ให้หลากหลาย
ผู้ที่ชื่นชอบผักผลไม้เป็นพิเศษ
อาจจะหั่นผสมลงไปในข้าว กับข้าว หรือเครื่องดื่ม
รับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนมขบเคี้ยว
ดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้คั้นเองสักวันละแก้ว
หรือแม้แต่หันมากินข้าวกล้องแทนข้าวขาว
ก็เพิ่มคุณค่าให้กับมื้ออาหารได้ไม่น้อย



ขอให้เพื่อนๆมีสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ

You are what you eat

นี่แหละ 7 พฤติกรรมทำคุณน้ำหนักขึ้น

ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ไม่ ต้องแปลกใจ ถ้าวันหนึ่งยีนส์ตัวโปรดของคุณจะคับติ้วจนใส่ไม่ได้ ลองสำรวจพฤติกรรมตัวเองดูก่อนว่า ทุก ๆ วันนี้ คุณมีนิสัยอะไรแบบนี้หรือเปล่า

1.ดื่มกาแฟ

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ทุก ๆ เช้า ต้องสั่งกาแฟจากร้านกาแฟระหว่างเดินทางมาทำงานมาดื่ม แถมกาแฟนั้นยังตกแต่งด้วยวิปครีมที่ดูอลังการน่าดื่มสุด ๆ แต่วิปครีมนั่นแหละคือแคลอรีที่คุณจะได้รับมากเกินขนาด ทำให้กาแฟหนึ่งแก้วของคุณทุกเช้ามีปริมาณแคลอรีมากถึง 370 แคลอรีเข้าไปแล้ว แถมยังมีไขมันจากนมอีกด้วย

        

เพราะ ฉะนั้นแล้ว หากไม่ปรารถนาแคลอรีจากกาแฟแก้วสวย เลือกทานกาแฟแบบธรรมดาที่ไม่เติมครีม หรือน้ำตาลลงไปดีกว่า เพราะครีม 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานถึง 24 แคลอรี และไขมันอีก 3 กรัม ส่วนน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ก็ให้พลังงานถึง 16 แคลอรี แต่ถ้าคุณเลือกทานกาแฟธรรมดา ๆ แทน ภายใน 1 ปี จะลดพลังงานส่วนเกินลงได้ถึง 17,160 แคลอรี ซึ่งเท่ากับลดน้ำหนักได้ถึง 5 ปอนด์เลยนะนั่น

2.เดินไปหม่ำไป หรือ หม่ำขณะขับรถ

          บางทีเพราะความรีบเร่งก็ทำให้หลายคนมีพฤติกรรมเดินไปด้วยกินไปด้วย เพื่อประหยัดเวลา แต่การกินระหว่างทางนี่แหละทำให้คุณกินเร็วเกินไป และนาน ๆ เข้าคุณก็จะติดนิสัยกินเร็วไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่ อาหารมื้อหนึ่งเราควรใช้เวลาทานอย่างน้อย 20 นาที

          ทางแก้ก็คือ นั่งลงค่อย ๆ ทานจะดีกว่า (ไม่รวมการรับประทานอาหารขณะขับรถนะ เพราะนั่นก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากการเดินไปกินไปอยู่ดี) เพราะ หากคุณรีบเคี้ยวรีบกินมากเกินไป เมื่อถึงอาหารคำสุดท้าย คุณจะไม่รู้สึกอิ่มเลย และอยากหาอะไรใส่ปากอีก แล้วทีนี้คุณก็จะเผลอทานอาหารมากเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าคุณใจจดใจจ่อกับการรับประทานอาหารตรงหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป คุณจะรู้ว่าทานอะไรไปบ้าง แล้วก็จะรู้สึกอิ่มได้โดยไม่ทานอาหารมากเกินไป

3.สวาปามอย่างลืมตัวในช่วงสุดสัปดาห์

          ความพยายามไดเอทที่ทำมาตลอดวันจันทร์-ศุกร์ อาจพังครืน หากวันหยุดสุดสัปดาห์คุณเผลอไปปาร์ตี้จนลืมตัว แถมคนส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ด้วย โดยนักวิจัยเปิดเผยว่า คนมักจะไม่ค่อยคำนึงถึงปริมาณอาหารการกินในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะวันเสาร์ ทำให้คนเรามีแนวโน้มที่จะบริโภคไขมันเข้าไปมากกว่าวันปกติ และทำให้แคลอรีพุ่งปรี๊ด

          เพื่อไม่ให้วันเสาร์และวันอาทิตย์กลายเป็นวันน้ำหนักพุ่ง ขอให้คุณใส่ใจกับปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปด้วย รวมทั้งชั่งน้ำหนักตัวเองทุกวัน และระมัดระวังเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะให้แคลอรีกับคุณได้เหมือนกัน

4.ขนาดของจานก็สำคัญ

          สังเกตไหมว่าสมัยนี้ร้านอาหารมักจะจัดจานขนาดใหญ่ให้ลูกค้า กับข้อเสนอเพิ่มไซส์บิ๊กได้ในราคาที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย ซึ่งก็ทำให้คุณอยากจะเลือกทานขนาดจานไซส์บิ๊กนั่นแหละ เพื่อความคุ้ม จนลืมตัวไปว่า ยิ่งทานมาก น้ำหนักก็ยิ่งมากนะจ๊ะ

          เพื่อไม่ให้น้ำหนักขึ้นไปมากกว่านี้ เลือกทานอาหารในจานเล็ก ๆ จะดีกว่า เพราะจะทำให้เรารู้จักควบคุมพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเอง รวมทั้งเวลาไปสั่งอาหารก็อย่าเผลอไผลไปเลือกไซส์บิ๊กล่ะ แม้ราคาจะคุ้มกว่า แต่ก็แลกกับน้ำหนักที่พุ่งขึ้นแบบไม่คุ้มเลยนะ

5. ไดเอทแบบฉับพลัน

          การตั้งหน้าตั้งตาไดเอทแบบอดอาหารฉับพลัน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยา "โยโย่" ตามมาได้ เพราะเมื่อคุณลดปริมาณอาหารอย่างกะทันหัน จะทำให้ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานช้าลง เนื่องจากร่างกายมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด จึงพยายามสำรองพลังงานไว้ในร่างกายให้มากที่สุด นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมคนที่อดอาหารอย่างฉับพลันมักจะอยากทานขนมหวาน จำพวกช็อกโกแลต ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง และในที่สุดแล้ว คุณก็อาจอดใจไม่ไหวรับประทานเข้าไป ทีนี้น้ำหนักที่ลดลงไปก็จะกลับมาพุ่งพรวดอีกแน่นอน ดังนั้นแล้ว หากปรารถนาจะลดน้ำหนักจริง ๆ ก็ไม่ควรถึงกับอด แค่ลดปริมาณลดนิดหน่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า

6.พลาดอาหารมื้อสำคัญ

          เคยได้ยินแต่ยิ่งกินยิ่งอ้วน แต่นี่ยิ่งไม่กินก็ยิ่งอ้วนได้นะ เพราะการไม่รับประทานอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งอาจส่งผลลบต่อระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณ ทำให้มันเผาผลาญได้ช้าลง เพราะเห็นว่าไม่มีอาหารเข้าสู่ระบบแล้วไง วิธีแก้ก็ง่าย ๆ แค่ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ เช้า กลางวัน เย็น อย่าอดมื้อใดมื้อหนึ่งเด็ดขาด เพื่อรักษาระบบเผาผลาญพลังงานให้มีประสิทธิภาพ

7.เบื่อการออกกำลังกาย

          ใคร ๆ ก็รู้ว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพแค่ไหน รวมทั้งช่วยเรื่องลดน้ำหนักด้วย แต่คนก็ไม่ค่อยทำกัน บางทีออกกำลังกายได้สามวันก็เบื่อซะแล้ว งานนี้ เทรนเนอร์จากฮอลลีวู้ดจึงแนะนำว่า ใครที่เบื่อการออกกำลังกายให้วางแผนซะใหม่ เลือกออกกำลังกายในแบบต่าง ๆ กันในแต่ละวัน หรือแต่ละวันให้เลือกว่าจะออกกำลังเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษก็ได้ เพื่อจะได้ไม่เบื่อ และยังทำให้ร่างกายแข็งแรงทุกส่วนด้วยล่ะ