homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

การแต่งสมดุลร่างกายด้วยธาตุ 4

ชีวิตที่สมดุล 
โดยปกติแล้วธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์ทุกประเภท วัตถุทุกอย่าง สรรพสิ่ง สรรพชีวิต และสรรพวัตถุทั้งหลายในโลกหล้า ในปฐพี และจักรวาล มีองค์ประกอบของธาตุสี่ทั้งนั้น อย่างเช่น เหล็กหนึ่งท่อนก็มีธาตุสี่ แต่ว่าธาตุอะไรมันนำหน้าธาตุอะไรเท่านั้นเอง ถ้าถามว่าเหล็กหนึ่งท่อนมีธาตุสี่ได้ยังไง ก็ลองเอาเหล็กไปวิเคราะห์แยกอณู แยกชั้นของก๊าซ ของความแข็ง ความหนา ของโมเลกุล ภายในเหล็ก เราจะเห็นว่าเนื้อเหล็กนั้นก็ยังมีความชื้น ยังมีความอบอุ่น ความร้อนอยู่ในตัว มีความแข็ง-กร้าวอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นธาตุทั้งสี่มันมีอยู่ทุกที่ พื้นที่ที่เรานั่งก็มีธาตุสี่ เว้นแต่ธาตุใดมันจะปรากฏเฉพาะหน้า คือยิ่งให_่ มีอำนาจเหนือกว่าธาตุทั้งปวงในขณะนั้นเวลานั้น

หรืออย่างแก้วน้ำจัดว่าเป็นธาตุดิน เพราะแข็ง แต่ว่าในแก้วน้ำมีธาตุน้ำไหม ก็ยังมีธาตุน้ำ แต่มีน้อยกว่าธาตุดิน มันจึงแข็งเราจึงจับต้องได้ น้ำเป็นสิ่งที่เอิบอาบ ลื่นไหล เราจะสัมผัสได้ด้วยความเย็น นุ่มนวล และก็ละเมียดละไม เพราะฉะนั้นกระบวนการของการมีธาตุสี่นี้มันมีไปทุกที่

ในกระบวนการแห่งองค์ประกอบในธาตุสี่หรือธรรมชาติในธาตุทั้งสี่นี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า มหาภูตรูปสี่

มหาภูตรูป คือ รูปอันยิ่งให_่ที่ครอบคลุมไปทุกอนันตจักรวาล มหาภูตรูปสี่มีอะไรบ้าง ก็คือมีดินเป็นรูป มีน้ำเป็นรูป มีลมเป็นรูป มีไฟเป็นรูป มันมีอยู่ทุกสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพชนิด สรรพวัตถุ และสรรพ-ชีวิตอย่างชนิดปฏิเสธมันไม่ได้

เรื่องการปรับสมดุลของธาตุสี่ทั้งภายในและภายนอก เราต้องเข้า-ใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารู้จักความหมายของคำว่า ธรรมชาติ หรือธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่อโดยความรู้สึกและสำนึกของความเป็นพุทธในพระองค์ว่า พระองค์ไม่ได้เอามาจากใคร แต่เอามาจากธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ

ธรรมะคือการทำหน้าที่ถูกต้อง ไม่บกพร่อง และธรรมชาติก็คือการรักษาสมดุลที่ถูกต้องไม่บกพร่อง รวมเรียกกันว่า คำสอนของพระพุทธะ แต่จริงๆแล้วมันมีอยู่ก่อนพระพุทธะ ไม่ใช่ว่าพระพุทธะเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นพระพุทธะทุกพระองค์นำเอาของดีที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเพื่ออบรม ถ่ายทอด และส่งมอบกันต่อๆมา เราก็มีหน้าที่ที่จะสืบทอด ทะนุบำรุง และก็ระวังรักษา และก็สร้าง ถ่ายทอดเจตนาและอุดมการณ์นั้นๆต่อๆไปในชั้นคนหลังๆ และลูกหลานต่อๆไป

ดังนั้น กระบวนการของธรรมะทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกพระธรรมขันธ์ ด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย ด้วยสำนึกและความรู้สึกที่อยากให้สรรพสัตว์และพลโลก ประชาชาติ และสัตว์โลก อยู่ด้วยตัวเองและอยู่ร่วมกันด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย คือพึ่งพิงอิงแอบอาศัยตัวเอง และก็พึ่งพิงอิงแอบอาศัยสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ และก็สรรพชีวิต ภายในและภายนอกกายตัวเอง

เราอาศัยสรรพสิ่ง สรรพสิ่งอาศัยเรา เราอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติอาศัยเรา ธรรมชาติเป็นบิดามารดาเกิดแห่งเรา เราก็ทะนุบำรุงบิดามารดาเกิดเหล่านั้น มันต้องเต็มพร้อมและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรและการุณย์ เหมือนดั่งสายลมและแสงแดด การุณย์ต่อเพื่อนมนุษย์ พืชพันธุ์ธั_ชาติ และสรรพสิ่งทั้งปวง สร้างไออุ่น ให้การปรุงอาหาร ทำให้เกิดกระบวนการสันดาบในวิถีแห่งการเคลื่อนไหว พลังงานในกายและรอบกาย ทำให้มีชีวิต วิ__าณในความรื่นเริง สดชื่น บันเทิง ไปต่อกระบวนการต่างๆ ของการดำรงชีวิตนั้นๆ

เมื่อสายลมแสงแดดเอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์และธั_ชาติ ธั_ชาติก็เอื้ออาทรต่อสายลมและแสงแดด รับเอาสิ่งดีๆ จากสายลมแสงแดดนั้นมาปรับเปลี่ยน ประยุกต์ใช้กับตนเอง ทำให้มีชีวิต อินทรีย์ ที่เจริ_รุ่งเรือง เติบโต งอกงาม ไพบูลย์ ผลิดอกออกใบ ให้หว่านพืชผลวงศ์วานให้เจริ_รุ่งเรืองในแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น ทำให้เกิดกลิ่นอายของความสดชื่นแจ่มใส ทำให้เกิดกระบวนการเจริ_งอกงาม ไพบูลย์ของสรรพสิ่ง สรรพวิ__าณ สรรพวัตถุรอบกายตน

ชีวิตมนุษย์ สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะขบวนการของกรรมนำเอาวิ__าณมาเกิด เมื่อมีการเกิดขึ้นก็มีลมหายใจ ลมหายใจเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีผู้ควบคุม ลมนี่ต้องถือว่ามีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกว่าพลังจิต-วิ__าณเป็นผู้ควบคุมความ รู้สึกนึกคิด วิ__าณที่ภาษาธรรมะมันแยกออกเป็นความรู้สึก ความรู้ ความรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นเมื่อความรู้สึกเราหมดไป ลมมันก็จะหาย

ความรู้สึกหมดมีอยู่สองชนิดคือ หมดลึกๆกับหมดข้างนอก หมดลึกๆคือหมดแล้วตายเลย แต่หมดข้างนอกนี้หมดแบบโดนไม้หน้าสามแล้วสลบ หมดความรู้สึก หมดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการควบคุมธาตุลม การหมดความรู้สึกลึกๆเรียกว่าตาย นั่นแหละธาตุลมมันจะหาย

ปกติธาตุลมทำหน้าที่ควบคุมธาตุไฟ มีลมที่ไหน ไฟลุกที่นั่น มีลมที่ไหน ไฟก็ดับได้ที่นั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลมเป็นเครื่องพยุงให้ไฟลุก เมื่อลมหายไฟก็ดับ ไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำซึ่งมีอยู่จำนวนมากในร่างกาย อย่างน้ำเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามร่างกายนี้ก็เป็นการแสดงออกของกิริยาของน้ำ อาการแห่งน้ำ และกระบวนการของน้ำที่แสดงออกมา น้ำดี น้ำ-เสลด น้ำลาย น้ำมูก น้ำปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ว่ากันว่ามีมากถึงประมาณ ๗๐ % ภายในกาย

น้ำในร่างกายทำหน้าที่อะไร เมื่อลมมีจิตวิ__าณควบคุม ลมคุมไฟ ไฟก็คุมน้ำ ไฟช่วยเผาผลา_ทำให้น้ำออกไป กลายเป็นน้ำเหงื่อ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำลาย ของเสีย ขับถ่ายทิ้งไป ส่วนให_่แล้วมันจะถูกควบคุมด้วยธาตุไฟภายในกายเรา เมื่อไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำก็ยังมีดินห่อหุ้มไว้อีก

เพราะฉะนั้น คนที่ตายแล้ว สัตว์ที่ตายแล้ว เราจะเห็นว่าไม่มีลม-หายใจ ก็เพราะว่าเขาไม่มีจิตวิ__าณ เมื่อไม่มีจิตวิ__าณก็ไม่มีลมหาย-ใจ พอไม่มีลมหายใจ ไฟก็ดับ พอไฟดับ น้ำไม่มีผู้ควบคุม มันก็จะเบ่งบาน เพราะไม่มีตัวไปกดทับมันไว้ มันก็ทำการละลายดิน สัตว์ที่ตายแล้วจึงขึ้นอืด เขียว พอง น้ำเหลืองไหลออกมาตามผิวหนังที่บอบบาง น้ำเหลืองเหล่านี้ก็คือธาตุน้ำ ผิวหนังที่บอบบางก็คือธาตุดิน ดินในส่วนของร่างกายที่บางที่สุด เป็นทำนบกั้นที่บางที่สุด มันก็จะโดนน้ำทำลายออกมา

องค์ประกอบของกายที่บอกว่ามีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น ในแต่ละดิน แต่ละน้ำ แต่ละลม แต่ละไฟ ก็ยังมีองค์ประกอบของเซลล์ต่างๆมากมายมหาศาล เป็นหมื่นเป็นล้านเป็นร้อยๆล้านชีวิต ที่มันเกาะกลุ่มและสะสมเป็นกระบวนการของชีวิต และรูปร่างที่เราสัมผัสจับต้องพิสูจน์ได้

องค์ประกอบเหล่านี้มันก็มีเสียบ้าง ดีบ้าง พร่องบ้าง สมบูรณ์บ้าง สมดุลบ้าง ขาดสมดุลบ้าง หน้าที่ของการมีชีวิตของพวกเราก็คือรักษามันให้คงไว้ซึ่งความดีและสมดุล รักษาไว้ซึ่งความไม่พร่องและถูกต้อง ไม่บกพร่องในหน้าที่

แล้วธาตุสี่นี้ล่ะตั้งอยู่ได้ด้วยอะไร ก็ด้วยอาหาร องค์ประกอบของธาตุสี่ ในอาหารเหล่านั้นก็มีองค์ประกอบของธาตุสี่เหมือนกัน มาสนับ-สนุนส่งเสริมทดแทนสิ่งที่เสีย ซ่อมแซมสิ่งที่บุบสลาย แล้วก็สร้างเสริมสิ่งที่กำลังจะเจริ_เติบโต

กระบวนการของธาตุสี่อย่างนี้เมื่อเราได้มันอย่างสมบูรณ์แล้วมันจะเกิด หลวงปู่ไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษเขาเรียกมันว่าอะไร แต่หลวงปู่เรียกว่า พลังงาน คือผลพลอยได้ คือการสันดาป เช่น เรากินอาหารเข้าไปอย่างถูกต้อง ดำรงไว้ซึ่งความสมดุลของธาตุทั้งสี่ มันจะเกิดกระบวนการพลังชนิดหนึ่งซึ่งคนจีนเขาเรียกว่าปราณ

คำว่าปราณตัวนี้ มันเกิดได้ด้วยสองชนิด ชนิดแรกคือเกิดจากสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่ ชนิดที่สองคือเกิดจากกระบวนการของสมดุลแห่งสภาวะจิตที่สงบ สมดุลแห่งจิตที่ไม่กระเพื่อม ทั้งสองชนิดนี้ถ้ามันปรากฎขึ้นมันจะเกิดพลังชนิดหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่าปราณ ปราณตัวนี้จะมีอำนาจและมีพลังที่ควบคุมและก็กำหนดการเกิด การตาย ของเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ หลวงปู่ไม่แน่ใจว่ามันจะถูกผิดตามหลักของแพทย์หรือไม่ แต่นี่คือความรู้จากประสบการณ์ทางวิ__าณที่ตัวเองค้นคว้า ค้นพบ และพิสูจน์สัมผัสได้

เมื่อปราณตัวนี้ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ ซึ่งภาษาแพทย์อาจจะเรียกว่าสารหรือมวลสารแห่งอาหารที่ร่างกายดูดซึมแล้วก็ ได้ แต่หลวงปู่หรือว่านักจิตศาสตร์เขาเรียกมันว่าปราณ แต่มันก็ยังไม่ถึงคำว่าพลังแห่งจิต รวมแล้วสมดุลแห่งกายนี้จะรักษาได้ประเภทที่หนึ่งคือพลังปราณ ต้องมีปราณและปราณนั้นเกิดได้จากการรักษาสมดุล ประเภทที่สองจิตไม่กระเพื่อม สองชนิดนี้เท่านั้นที่จะรักษาสมดุลย์แห่งธาตุทั้งสี่ หรือธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คงไว้ซึ่งสมดุล

สมมติว่าเซลล์ในกายเรา เช่น เซลล์ในเส้นผมมันมีชีวิตแค่ ๑ นาที แล้วเราไม่รักษาสมดุลของมัน ไฟมันมากไปมันก็เผาผลา_เซลล์ในเส้นผมหรือเส้นขนของเราให้มันมีชีวิตแค่ครึ่ง นาที ร่างกายนี้ก็จะต้องสร้างสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาเพื่อจะสร้างเซลล์ รักษาชีวิตเซลล์ขึ้นใหม่ เพื่อจะทดแทนสิ่งที่ตายไปเร็วขึ้น พลังงานของกายเราก็จะต้องใช้มากขึ้น แล้วเราก็จะต้องสู_เสียพลังชีวิตเยอะขึ้น ปราณก็จะหมดเร็วขึ้น อาหารก็ต้องทดแทน หาได้มากขึ้น เมื่อเราสู_เสียและเผาไหม้ไปกับกระบวนการที่ไร้สาระ กับการที่เราคอยระแวดระวังไม่ให้เซลล์เส้นผมหนึ่งเส้นมันตายก่อนจะถึงหนึ่ง นาที เราทำสมดุลของมันให้มีชีวิตยืนยาวจนครบหนึ่งนาที จนสิ้นอายุขัยมัน แล้วจึงจะเกิดเซลล์ใหม่

ถ้าเราฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์คุณแห่งธาตุสี่ได้ ฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์ประกอบของสมดุลแห่งธาตุได้ และก็ฝึกตัวเองจนกำหนดอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ คือควบคุมอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ นั่นก็คือที่มาของสูตรสำเร็จของการได้มีชีวิตอย่างมีสาระ การสร้างชีวิตให้ได้สาระ หรือได้ชีวิตจากการสร้างสาระ และก็นำเอาชีวิตที่มีและดีอยู่นี้ ไปทำให้เกิดประโยชน์สุข นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือธรรมชาตินอกกายและในกายที่จะสร้างสัมพันธภาพต่อกันในโอกาสต่อไป

ธรรมชาติภายในกายกับธรรมชาตินอกกาย ต้องสมดุลกัน ต้องสื่อ-สัมพันธ์ ทำให้เกิดกระบวนการมีสัมพันธภาพอันดีต่อกัน ทีนี้เราก็จะรู้ได้ทันทีว่า ยาทุกชนิด น้ำทุกหยด ข้าวทุกเมล็ด อาหารทุกจาน เกลือทุกก้อน อากาศทุกครั้งที่เราสูดเข้าไป มันเหมาะสมพอดีกับเรามากน้อยอย่างไร แค่ไหน อย่างเช่น ถ้าหากว่าธรรมชาติภายในกายร้อน แล้วธรรมชาติภายนอกกายไม่ได้แก้ความร้อน สิ่งที่ต้องทำเวลานี้ก็คือโบกมือพัด แล้วธรรมชาตินอกกายคืออะไร ก็คือลมที่อยู่รอบกาย ส่วนธรรมชาติในกายคืออะไร ก็ไฟที่ทำให้ร้อน ดังนั้นจึงต้องเอาลมเข้าไปกำราบ ทำให้มันลดน้อยถดถอยลง นี่คือกระ-บวนการของการมีชีวิต

มันก็เหมือนกับการที่เราบรรจงเลี้ยงลูกด้วยความรัก ด้วยความทะนุ-ถนอม เราก็จะคอยเฝ้าสังเกต ระวังรักษา กิริยาอาการของลูกเราว่าเขาร้อนไปไหม หนาวไปไหม หิวหรือไม่ แล้วเป็นสุขหรือเปล่า ถ้าร้อนไปก็ลดความร้อน เติมเย็น หนาวไปก็เติมความอุ่น หิวก็เติมอาหาร ถ้ายังเป็นทุกข์ก็หาวิธีผ่อนคลาย

การสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน จึงเป็นที่มาของคำว่า หลวงปู่พูดเมื่อครู่นี้ว่า ผู้ที่สามารถจะเอาธาตุภายในกายไปควบคุมสัมพันธภาพต่อธาตุภายนอกน่ะ ตรงนี้สำคั_ ตรงนี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก หาได้ลำบาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี ที่มันยากลำบาก ก็เพราะไม่มีใครคิดจะทำมัน เพราะมันทำยาก ลำบาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ยาก ไม่ลำบาก ถ้าเราเป็นคนจริง ทำมันจริงๆ ศึกษามันจริงๆ ค้นคว้ามันจริงๆ แจ่มแจ้งมันจริงๆ

สมัยก่อนหลวงปู่อยู่ธิเบต เคยรู้จักพระลามะผู้เฒ่าหลายท่าน เขาฝึกโกลัมปะ คือสมาธิขั้นสูง ในถ้ำที่มีน้ำแข็ง วิธีของเขาคือ การเอาผ้าที่ทอด้วยขนจามรี ชุบน้ำให้เปียกแล้วใช้หุ้มห่อตัวแทนการใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้วก็จุดธูปไว้ ๑ ก้าน ทำอย่างไรให้ภายใน ๑ ชั่วธูป ต้องทำให้ผ้านั้นแห้ง คนที่ทำได้ ก็ถือว่าสำเร็จวิชา

นี่เรียกว่าธรรมชาติในกายคุมสัมพันธภาพต่อธรรมชาตินอกกาย ทำให้เกิดกระบวนการที่เขากับมันอยู่ร่วมกันได้โดยสันติสุข นั่นคือกระบวนการความมีสัมพันธภาพระหว่างธรรมชาติของธาตุภายในและภายนอก

อาหารที่เรากิน น้ำที่เราดื่ม ที่ที่เราอยู่ ยาที่เรากิน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เราใช้ ที่นอนที่เรานอน สถานที่ที่เราไป บุคคลที่เราไปพบปะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะรู้ว่าอะไรมันเหมาะกับเรา แล้วอะไรไม่เหมาะกับเรา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะบอกเรา และเราก็จะบอกมันได้ว่า มันควรจะอยู่กับเราหรือไม่ควรจะอยู่กับเรา มันควรจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูต่อเรา

แม้แต่กระบวนการของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง อยาก โง่ ขี้เกียจ ขยัน ฉลาด สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติภายในกาย ซึ่งเราต้องควบคุมและรักษาสมดุลของมันให้ได้ อย่าให้มันเป็นนายเรา แล้วเมื่อนั้นเราก็สามารถจะไปมีสัมพันธภาพหรือสร้างสัมพันธภาพกับธรรมชาติ รอบกายหรือภายนอกกายเราได้

การมีชีวิตที่จะเรียนรู้จักธรรมชาติภายในและภายนอกกาย มันก็คือการรักษาสมดุลของธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องเป็นสมดุลอยู่ดี เพราะถ้าเรารู้จักว่า เออ..อันนี้น้ำน้อยไปนะ เติมน้ำให้เต็ม ไฟเยอะไปนะ หรี่ไฟลงหน่อย อันนี้ลมมากไปนะ ลดลมลงนิด อันนี้ดินหนาไป ทำให้บางลงหน่อย อะไรอย่างนี้ ชีวิตเราจะดูดี

หลวงปู่พูดแค่ว่าดูดี เอาแค่ดูดีในสายตาของเราพอแล้ว อย่าไปทำดีเพื่อให้คนอื่นเขาดู แต่จงทำดีเพื่อให้ตัวเราดู และเราดูว่ามันดี เมื่อเราดูว่ามันดีแล้ว มันใช้ได้ต่อกระบวนการ คนอื่นเขาหัวเราะ เราหัวเราะด้วย คนอื่นร้องไห้ เรายิ้ม คนอื่นเศร้าโศกเสียใจ เรามีเสรีภาพอิสระ คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน เรามีความสุขสมบูรณ์ คนอื่นขัดสนอดอยาก อนาถา เราพอดี พอมี พอกิน

ธรรมชาติสองสิ่งนี้จึงถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัทหรือ ผู้คนทั้งหลายที่เกิดและอุบัติในโลกนี้ ที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกระบวนการบริหารและการจัดการที่เราปฏิเสธมัน ไม่ใส่ใจมัน หนีห่างจากมัน แล้วเราก็ไปหาสิ่งอื่นๆ เรื่องอื่น และก็สรรพสิ่งอื่น สรรพวิ__าณอื่น สรรพวัตถุอื่นที่จะเรียนรู้มัน จะเข้าใจมัน แล้วก็ไปบริหารมัน แต่เราละทิ้งหลีกหนีการบริหารธรรมชาติทั้งในและก็นอกกายตน และคิดว่ามันไม่สำคั_ ดังนั้น ถ้าเราจะมานั่งรอคิดหาฤกษ์ยาม ที่จะมาจัดการกับธรรมชาติภายในกาย เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพกับธรรมชาตินอกกายอย่างนี้ละก็ หลวงปู่คิดว่าที่ผ่านมาชีวิตเราขาดทุน

ฉะนั้นการมีชีวิตเพื่อมาบริหารธาตุสี่ของเราให้มีศักยภาพ ให้มีคุณ-ภาพ และรักษาประสิทธิภาพ ทำให้เกิดประสิทธิผลในการได้ใช้มัน ศักยภาพ คุณภาพ ประสิทธิภาพ และก็ประสิทธิผลเหล่านี้นั้น เกิดขึ้นได้ก็ต้องมีกระบวนการรู้จริง รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้จำ รู้จริงรู้แจ้งคือต้องรู้จักตัวเราเอง ที่หลวงปู่บอกว่าขอเพียงเรารู้จักตัวเองแท้ๆเถอะ ครูผู้ใจอารีที่หลับนิ่ง นอนเนื่องอยู่ในกมลสัน-ดานและจิตวิ__าณ ก็จะตื่นขึ้นมาและถ่ายทอดสรรพวิทยาทั้งปวงให้แก่เราได้รับรู้ บอกให้เรารู้ว่าเวลานี้เป็นเวลากลางวัน ธาตุอะไรมันจะนำหน้า เราต้องใช้ธาตุอะไรดับธาตุนี้ เพื่อความอยู่สบาย เวลานี้เป็นเวลาเช้าธาตุอะไรจะนำหน้า เราจะไม่สบาย ก็ต้องใช้ธาตุนี้ดับธาตุนี้สำหรับความอยู่สบาย

อย่างวิชาแพทย์แผนโบราณ เวลาเขาจะวางยา เขาจะต้องทำการตรวจสอบว่า ป่วยเป็นอะไร สมุฏฐานของโรคเกิดจากอะไร โดยเฉพาะแพย์จีนนี่ เขามีอยู่ ๔ ประการเท่านั้น มาวิเคราะห์ว่า ธาตุนี้มันหาย ธาตุนั้นมันบกพร่อง ธาตุนั้นมันหลุดไป ก็ต้องหาอาหาร หายา หรือหาเครื่องที่จะทำให้เกิดธาตุนี้ทดแทนขึ้นมา

ดังนั้น กระบวนการรักษาและการให้ยาของหมอโบราณส่วนให_่จะเน้นไปที่การเสริมสร้าง สมดุลของธาตุภายในกาย ยาทั้งหลายที่หมอโบราณคิดค้น หรือทดลอง ทดสอบ พิสูจน์ สัมผัสทราบ เพื่อนำมาใช้ ไม่ได้ถือว่าเป็นทฤษฎี เพราะบางครั้งยาชนิดนี้ใช้กับคนคนนี้หาย อีกคนหนึ่งเป็นโรคเดียวกันก็ใช้ยาชนิดนี้หาย แต่อีกคนหนึ่งก็เป็นโรคนี้เหมือนกันแต่ใช้ยาชนิดนี้ไม่ได้ หรืออีกคนหนึ่งใช้ยาชนิดนี้แล้วตายก็มี หตุผลก็เพราะว่า หมอที่วางยาไม่รู้จริง แล้วก็รู้ไม่แจ่มแจ้ง ไม่เข้าใจลึกซึ้งว่า กระบวนการปรับสมดุลของธาตุในแต่ละคนนั้นมันไม่เท่ากัน

มีคนสงสัยว่า มหาประธานอิทธิบาทสี่ ยังให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายมีอายุยืนยาวอยู่ได้เป็นร้อยเป็นพันปีใช่ไหม ในมหาประธานอิทธิบาทสี่นั้นใจความสำคั_ก็คือว่า มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คือ พอใจ รักใคร่ เอาใจจดจ่อ ความขยันหมั่นเพียร และใช้ปั__าใคร่ครว_ในการที่จะรักษาสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่นี้ให้คงรูป คงลักษณ์ อยู่ถาวร ถึงมันจะไม่ตลอดกาล ตลอดสมัย แต่ก็ให้มันใช้สมรรถนะ สมรรถภาพ ของมันจนครบอายุขัยแห่งเซลล์ทั้งหลายในกายนี้ ตามสภาพ สภาวะ ในภาษาธรรมะเรียกว่าสภาวะธรรม แค่นี้แหละ อายุขัยเราก็จะยืนยาวได้ ชีวิตเรา จิตวิ__าณเรา ร่างกายเรา ผิวหนังก็จะสด-ใส แช่มชื่นได้ สดชื่นได้

จึงสรุปได้ว่า การที่ท่านทั้งหลายจะเพียรพยายามรักษาสมดุลของธาตุสี่ หรือรักษาสัมพันธภาพระหว่างธาตุภายในกายและภายนอกกายให้ได้นั้น ก็ต้องเริ่มต้นมาจากการเป็นคนรู้จริง ไม่ใช่รู้จำ และก็จริงจัง ตั้งใจ จดจ่อ และจับจ้องในการที่จะเรียนรู้ ทำความรู้จักตัวเอง ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด เรื่องทั้งหลายในชีวิตต้องผ่านการใคร่ครว_ กลั่นกรอง พินิจ พิจารณา ที่เราเรียกกันว่าต้องมีสติ

เมื่อเรามีสติในการใคร่ครว_ พิจารณา กลั่นกรอง และวิเคราะห์ พินิจ พิจารณา เราก็จะรู้ได้ว่า เวลานี้ร่างกายเราขาดธาตุอะไร เราต้องการเสริมธาตุอะไร เพื่อให้ร่างกายต้องการครบสมบูรณ์องค์ประกอบ เวลานี้ร่างกายเรามากไปด้วยธาตุอะไร เกินไปด้วยธาตุอะไร เราต้องใช้ธาตุอะไรมาทำลายมัน เพื่อให้คงไว้ซึ่งสมดุลของมัน การมีชีวิตอย่างนี้หลวงปู่เรียกมันว่าศิลปะ ถือว่ามันเป็นศิลปะในการดำรงชีวิต

มันไม่มีคัมภีร์เล่มใด ตำราเล่มใด หรือครูบาอาจารย์ เรื่องห้องเรียนห้องไหนเขาสอนกัน นอกจากการที่เราต้องไปสำเหนียก พิสูจน์ทราบ และสร้างสำนึกต่อความรับผิดชอบในการมีชีวิตของเราว่า เราเกิดมาแล้ว เราต้องรับผิดชอบมัน บริหารมัน จัดการมัน พัฒนามัน แล้วก็ให้ประโยชน์ต่อมัน ได้ประโยชน์กับมัน และท้ายที่สุด อย่ายึดติดในมัน

ที่หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้ว่า

"ลูกรัก...ใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับสมมติ ได้ประโยชน์จากสมมติ ให้ประโยชน์กับสมมติ และสุดท้ายอย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ เพราะเราก็เป็นเพียงแค่ธาตุทั้งสี่ เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเมาทั้งหลาย ความตะกละทั้งหลาย ความตะกรามทั้งหลาย ความขาดตกบกพร่อง ความตกหลุมตกร่อง ความไม่ถูกต้องทั้งปวง มันจะลดน้อย ถดถอย และหดหายลงไป

กระบวนการทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เราจะรู้ซึ้งถึงการมีชีวิตว่า ชีวิตนี้ช่างเป็นทุกข์เดือดร้อน การบริหารกายนี้ช่างเป็นภาระอย่างยิ่ง การมีชีวิตอยู่ในกายนี้ช่างมีความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แล้วเราก็จะไม่มัวเมา ไม่หลงใหล ไม่งมงาย ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ หรือสรรพ-วัตถุ สรรพรูป สรรพรส สรรพเสียง สรรพกลิ่นใดๆ ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นความพอดี ความสมดุล

สิ่งที่พูดคุยให้ฟังนี้ มันเป็นการจัดการกับชีวิตที่ต้องมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดประสิทธิผล ชีวิตที่แท้จริงไม่ได้มาจากการขวนขวาย ไขว่คว้า ทะเยอทะยาน และต้องการตะกละแต่กับสิ่งนอกกาย ชีวิตที่แท้จริงมันก็คือการเรียนรู้ การศึกษา การสะสม การส่งเสริม และการสร้างสรรค์

หลวงปู่อยากบอกไว้ท้ายนี้ว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เอื้ออาทรและเกื้อกูลกันดั่งนี้ เราเป็นผู้อาศัยสิ่งต่างๆ แต่กลับมาจ้องทำร้าย ทำลายล้างสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดด้วยความเข้าใจ ด้วยวิถีคิด วิถีเข้าใจ แบบวิถีซาตาน คือเข้าข้างตัวเอง แล้วปฏิเสธคนอื่น เข้าข้างสิ่งที่ถูกแล้วปฏิเสธสิ่งที่ผิด

หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า

ลูกรัก... สำหรับคนฉลาด และมีปั__า น้ำครำหนึ่งแก้ว ก็เอามากลั่นเป็นน้ำดีได้ตั้งหลายหยด

นั่นคือคนฉลาด คนมีปั__า คนที่มีวิถีคิดอย่างนี้ คนที่มีวิถีชีวิตอย่างนี้ต่างหาก จึงควรจะเป็นคนที่เห็นวิถีนิพพาน วิถีนิพพาน คือความดับและเย็น คนดีก็ตาย คนชั่วก็ตาย ต่างคนต่างตาย และวิถีนิพพานมันเป็นเครื่องแสดงออก บอกให้เรารู้ว่า สัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะโง่ก็ตาม ฉลาดก็ตาม จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม จะได้ก็ตาม จะเสียก็ตาม จะอยู่ก็ตาม จะตายก็ตาม ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ ดี ชั่ว เลว หยาบ เขาเข้าใจถูกก็ตาม เข้าใจผิดก็ตาม มันเป็นอำนาจแห่งกรรม

วิถีของคนที่รู้เห็นพระนิพพาน เขาจะมองว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เขาจะบอกว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกระบวนการแห่งการกระทำ และพฤติกรรม ที่ตัวเองนำเสนอออกมา และก็จะมองสัตว์โลกด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้อภัย เห็นอกเห็นใจ ใครที่ทำผิดก็ให้อภัย เมตตา การุณย์ และช่วยเหลือเจือจุน ให้มีวิถีคิด วิถีชีวิต วิถีงาน วิถีจิต ที่เป็นวิถีของความแก้ไขได้ ก็คิดจะต้องช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไข เหล่านี้ต่างหากคือคนที่เห็นหนทางแห่งพระนิพพาน เหล่านี้ต่างหากคือวิถีของคนที่เห็นนิพพาน

หมายเหตุ*** ถอดความจากเทปชุด "การแต่งสมดุลธาตุ ๔ ในร่างกาย"

credit palungjit.com

ภาชนะเมลามีนใส่เวฟแล้วอันตราย

อย.เพิ่งมาเตือนภาชนะเมลามีนใส่เวฟอันตราย
ใช้กันมาตั้งนาน อย.เพิ่งเตือน ภาชนะใส่อาหารจาก "เมลามีน" มีอันตรายหากยัดเข้า "เวฟ" อุ่นอาหาร เพราะแค่ร้อนเกิน 60 องศา สารฟอร์มาลดีไฮด์จะหลุดออกมาปนเปื้อน หรือแค่ 3 นาทีก็เห็นผล แถมยังห้ามใส่เนื้อสัตว์ที่ทอดร้อนจัด รับรองได้กินสารพิษแน่ โดยเฉพาะพวกทำไม่ได้มาตรฐาน มอก. ประชาชนควรระวัง เลยเร่งประสาน สคบ.ให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ จัดการติดคำเตือนไว้ทุกชิ้น ชี้โทษมหันหากสะสมมากเกินไป มะเร็งระบบทางเดินหายใจ และปอดถามหาแน่ แถมอาจท้องเสียรุนแรงถึงขั้นชีวิต

ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค. น.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ เลขาธิการ อย. แถลงข่าวว่า ภาชนะเมลามีนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในการนำมาใส่อาหารอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความสวยงาม ทนทาน และน้ำหนักเบา ซึ่งจากการศึกษาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเก็บตัวอย่าง ภาชนะเมลามีนที่จำหน่ายในตลาด และห้างสรรพสินค้าจำนวน 15 ตัวอย่าง มาทดสอบพบว่า ภาชนะเมลามีนถ้านำมาใส่อาหารที่มีความร้อนสูงเกิน 100 องศาเซลเซียส จะมีสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมา จึงขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนไม่สมควรนำภาชนะเมลามีนมาใช้กับไมโครเวฟ เพราะความร้อนจากไมโครเวฟจะทำให้มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ปนเปื้อนเกินมาตรฐานที่ กำหนด และไม่ควรนำภาชนะเมลามีนใส่อาหารที่ร้อนจัด เช่น ใส่น้ำขณะที่เดือดจัด หรือของทอดที่ร้อนจัดมีอุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียส

น.พ.ศุภชัย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการใช้ภาชนะเมลามีนใส่อาหารปกติ เช่น ก๋วยเตี๋ยว หรือแกงที่ยกออกจากเตาไว้สักระยะจะไม่เป็นอันตราย เพราะอาหารดังกล่าวจากการตรวจสอบพบว่ามีอุณหภูมิไม่เกิน 100 องศาเซลเซียส ประชาชนไม่ควรนำน้ำที่เดือดจัดหรืออาหารทอดร้อน ๆ ใส่ในภาชนะเมลามีนทันที ขณะเดียวกันภาชนะเมลามีนที่ใช้ในท้องตลาดมาจากแหล่งผลิตหลายที่ ถ้าเป็นภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ก็จะทำให้มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมามากกว่าปกติ ซึ่ง อย.ได้ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อให้มีการปรับคำเตือนติดภาชนะ เมลามีนทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล

เลขาฯ อย. ยังกล่าวด้วยว่า จากการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า หากนำภาชนะเมลามีนอุ่นหรือปรุงอาหารในไมโครเวฟเกิน 3 นาที มีโอกาสที่จะได้รับสารฟอร์มาลดีไฮด์เกินกว่ามาตรฐาน 2 มิลลิกรัม/ลิตร ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 111 พ.ศ.2531 และหากใช้อุ่นอาหารเกินกว่า 4-5 นาที จะได้รับสารฟอร์มาลดีไฮด์ถึงประมาณ 10 มิลลิกรัม/ลิตร ในขณะที่หากนำน้ำเดือดเกิน 100 องศาเซลเซียส มาใส่ในภาชนะเมลามีนจะได้รับสารฟอร์มาลดีไฮด์ประมาณ 3-4 มิลลิกรัม/ลิตร และในบางยี่ห้อที่ไม่ได้มาตรฐานมีถึง 10 มิลลิกรัม/ลิตร

"อย.ต้องการเตือนคนไทยที่ขณะนี้ส่วนให_่นิยมใช้ภาชนะเมลามีนกันมาก บางรายเพียงแค่ต้มน้ำชงกาแฟก็ใช้ภาชนะเมลามีนเข้าไปต้มในไมโครเวฟ นอกจากนี้ยังมีการทำความสะอาดไม่ถูกต้องโดยการนำสก็อตไบรท์ หรือฝอยโลหะไปขัดทั้งที่ในการทำความสะอาดภาชนะเมลานีนระบุไว้ว่าให้ใช้ ฟองน้ำในการทำความสะอาด ซึ่งการนำสก็อตไบรท์ หรือฝอยโลหะไปขูดหรือขัดจะยิ่งทำให้สารที่กันการซึมของภาชนะเมลามีนหลุดลอก ได้เร็วยิ่งขึ้น"

ด้าน น.พ.สถาพร วงษ์เจริ_ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า สำหรับโทษของสารฟอร์มาลดีไฮด์ หากมีการสะสมจำนวนมากในร่างกายจะทำให้เซลล์ของร่างกายเปลี่ยนแปลง เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร หากสะสมในปริมาณมากอาจทำให้เป็นมะเร็งในระยะยาว เนื่องจากสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง และก่อให้เกิดมะเร็งต่ออวัยวะในระบบทางเดินหายใจและปอด มีความเป็นพิษได้เมื่อสูดดม ได้รับผ่านทางเดินอาหารและจากการสัมผัส การบริโภคสารละลายเข้มข้นโดยตรงจะทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียน เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร และกระเพาะอาหารส่วนบน หมดสติ และตายในที่สุด.

ที่มา : Dailynews
http://www.dailynews.co.th/social/each.asp?newsid=8147

หมายเหตุ : รู้ได้ไงว่าเป็นภาชนะเมลามีน ให้พลิกดูใต้ภาชนะโดยปกติจะมีพิมพ์ตัวอักษรว่า MELAMINE อยู่ด้วย

กินผักตามฤดู 12 เดือน

กินผักตามฤดู 12 เดือน (Momypedia)

กินผักตามฤดู 12 เดือน (Momypedia)

อย่าง ที่รู้ ๆ กันอยู่นะคะว่า ผักสีเขียว ๆ จะช่วยให้เราผิวพรรณผ่องใส และระบบการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ยิ่งถ้าเราได้รับประทานผักสด ๆ ด้วยแล้ว จะยิ่งได้วิตามินซีตามไปด้วย นอกจากนั้นผักทุกประเภทยังอุดมไปด้วยสารโพแทสเซียม ซึ่งช่วยให้เกิดภาวะสมดุลในร่างกายของเรา

เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของผักอย่างนี้แล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยข้อมูลจาก รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มาเล่าสู่กันฟังแล้วล่ะค่ะว่า ถ้าจะเลือกผักตามฤดูกาลเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษ ในแต่ละเดือนเราควรเลือกผักประเภทไหนที่เหมาะสม



เดือนมกราคม

แครอต กระหล่ำดอก ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี และปวยเล้ง

คุณค่าทางสารอาหาร : ผัก กาดเขียวและปวยเล้งจะมีแคลเซียมสูง และมีเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา และเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ส่วนแครอตจะให้สารเบต้าแคโรทีน กรรมวิธีการปรุงเราสามารถหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาผัดหรือใส่ลงในซุปได้



เดือนกุมภาพันธ์

มะเขือเทศ ผักโขม แตงกวา

คุณค่าทางสารอาหาร : เม็ด แตงกวาและเปลือกจะให้ใยอาหาร ผักโขมมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนมะเขือเทศจะให้สารแคโรตินอยด์ ที่ช่วยต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือต้านอนุมูลอิสระ (ภาวะชะลอความเสื่อมของร่างกาย) เราสามารถนำมาซอยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อใส่ในน้ำซุป หรือผัดลงในข้าว หรือในไข่เจียวก็ได้ทั้งนั้น



เดือนมีนาคม

ผักกวางตุ้ง เห็ดฟาง ถั่วฝักยาว หอมใหญ่ คะน้า

คุณค่าทางสารอาหาร : ผัก คะน้าจะมีแคลเซียมสูง แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าขม ดังนั้น ถ้าเราหั่นใบเป็นชิ้นฝอย ๆ และลอกก้านคะน้าให้เหลือเพียงสีขาวใส ๆ แล้วนำมาผัดโดยเพิ่มแครอตผสมเข้าไปในข้าว จะทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยถูกปากยิ่งขึ้นค่ะ นอกจากนั้นคะน้ายังอุดมไปด้วยสารอาหารเบต้าแคโรทีนด้วย ส่วนถั่วฝักยาวควรล้างให้สะอาด ๆ แล้วรับประทานสด ๆ เพื่อจะได้ปริมาณวิตามินซีอย่างเต็มที่



เดือนเมษายน

หอมใหญ่ ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง

คุณค่าทางสารอาหาร : หอม ใหญ่มีสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย เราสามารถซอยหอมใหญ่แล้วนำมาผัดกับข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดนั้นมีรสชาติหวานขึ้น ส่วนเห็ดฟางก็นำมาใส่ลงในแกงจืดเปลี่ยนรสชาติของอาหาร ทำให้ไม่น่าเบื่อ



เดือนพฤษภาคม

ถั่วพู หอมใหญ่ มะละกอดิบ

คุณค่าทางสารอาหาร : มะละกอ ดิบเอามาทำส้มตำ เท่ากับได้รับประทานผักสด ๆ ซึ่งจะได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นนะคะ สำหรับถั่วพู นำมาหั่นฝอยผสมไก่หรือหมูสับทอด เป็นทางเลือกที่หลากหลายในการเพิ่มแร่ธาตุแคลเซียมและใยอาหาร



เดือนมิถุนายน

ดอกกุยฉ่าย คะน้า เห็ด

คุณค่าทางสารอาหาร : ดอก กุยช่ายจะอุดมไปด้วยโฟเลต ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้างสารพันธุกรรม และช่วยไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางชนิดหนึ่ง ส่วนเห็ดจะให้โปรตีน และคะน้าจะมีแคลเซียมสูง



เดือนกรกฎาคม

ยอดตำลึง ผักบุ้งไทย

คุณค่าทางสารอาหาร : ผัก บุ้งหรือผักที่มีสีเขียวเข้มจะให้สารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนผักตำลึงจะให้สารเบต้าแคโรทีนเช่นกัน มีเมนูที่ทำง่าย ๆ ได้คุณค่า เช่น ใส่ลงไปในไข่เจียว หรือต้มจืดรับประทานก็ได้ค่ะ



เดือนสิงหาคม

ผักกระเฉด หัวปลี ข้าวโพด

คุณค่าทางสารอาหาร : หัว ปลีจะมีใยอาหารค่อนข้างมาก ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ส่วนข้าวโพดซึ่งจัดเป็นธัญพืชจะมีเบต้าแคโรทีนสูง ผักกระเฉดจะช่วยเรื่องขับถ่าย และเป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน แต่ระวังในการเลือกซื้อด้วยนะคะ เพราะเดี๋ยวนี้มีการใส่สารที่เป็นอันตรายทำให้ผักดูสดใหม่อยู่เสมอ



เดือนกันยายน

ผักกระเฉด กวางตุ้ง บวบ

คุณค่าทางสารอาหาร : กวางตุ้งอุดมไปด้วยแคลเซียม และเบต้าแคโรทีน ส่วนบวบจะให้ใยอาหารค่อนข้างสูง



เดือนตุลาคม

มะระ ถั่วพู สายบัว ผักกระเฉด

คุณค่าทางสารอาหาร : มะระ เป็นผักสมุนไพรที่ให้วิตามินซีสูง (ถ้ารับประทานดิบ ๆ) เราสามารถทำเป็นเมนูแกงจืดหรือตุ๋นก็ได้ โดยคว้านไส้ในออกแล้วสอดหมูบดลงไป ส่วนผักกระเฉดและสายบัวควรล้างให้สะอาด ๆ ก่อนนำไปบริโภค



เดือนพฤศจิกายน

ผักกาดขาว สายบัว

คุณค่าทางสารอาหาร : ผักกาดขาวมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนสายบัวให้ใยอาหารช่วยในเรื่องขับถ่าย


เดือนธันวาคม

ถั่วแขก ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี

คุณค่าทางสารอาหาร : กะหล่ำ ปลีหรือกะหล่ำดอกสดเป็นแหล่งของวิตามินซีอย่างดี เราสามารถนำมาผัด หรือต้มโดยใส่หมู หรือรับประทานสด ๆ ก็ได้ ส่วนถั่วลันเตาเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง และมีใยอาหารสูง

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับผักตามฤดูกาลต่าง ๆ ที่แนะนำ คราวหน้าคุณๆ คงจะมีโอกาสได้เลือกผักเขียวๆ ตามใจชอบ แถมยังปลอดสารพิษด้วย ทีนี้ครอบครัวของคุณก็จะก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายสุขภาพกันแล้วล่ะค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อาหารเพื่อสุขภาพ กินผักตามฤดูกาล 12 เดือน KAPOOK

ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด (สุขกายสบายใจ)


Fruitful Tips เรื่อง : สุธารัชฏ์ รัตนารามิก


ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด (สุขกายสบายใจ)

Fruitful Tips เรื่อง : สุธารัชฏ์ รัตนารามิก

ใครที่เน้นกินผลไม้เพื่อลดน้ำหนักมาทั้งอาทิตย์ และให้รางวัลตัวเองด้วยการกินอะไรก็ได้ตามใจหนึ่งวัน ทำให้สุดท้ายแผนไดเอ็ทล่ม พยายามเท่าไหร่ไม่สำเร็จเสียที สุขกายสบายใจฉบับนี้เราขอเน้นเรื่องกินผลไม้เพื่อควบคุมน้ำหนัก ที่แม้ว่าจะหยิบมากินเล่นยามว่างให้เคี้ยวเพลินแบบ "Ready-to-eat" แคลอรีก็ไม่มีเกินอย่างแน่นอน


วิธีคำนวณแคลอรี


เพื่อชั่งตวงให้ได้ปริมาณพอเหมาะ ดังนี้ ผลไม้สดหั่นชิ้น 1 ถ้วยตวง (8 ออนซ์ / 40 กรัม) เทียบได้กับผลไม้อบแห้ง ¼ ถ้วยตวง (8 ออนซ์ / 40 กรัม) ข้อควรระวังคือ แม้ว่าอัตราส่วนบริโภคที่เท่ากัน แต่แคลอรีที่ได้มากน้อยขึ้นอยู่กับน้ำตาลที่เพิ่มรสชาติ อีกทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ ยังไม่เท่ากันด้วย


ผลไม้สดเพิ่มพลัง ผลไม้อบแห้งลดรอบเอว

ในการลดน้ำหนัก ผลไม้สดมีประโยชน์มากกว่าผลไม้อบแห้ง โดยอันที่จริงแล้วทั้งผลไม้สดและผลไม้อบแห้งล้วนมีประโยชน์ แต่แตกต่างกันตรงปริมาณน้ำตาล และแคลอรีที่ได้รับในหนึ่งหน่วยบริโภค และที่ผลไม้สดมีประโยชน์เพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบให้ประโยชน์ต่อร่างกายด้วย วิตามินเอ และซี

แต่ผลไม้อบแห้ง คือผลไม้สดที่ผ่านกระบวนการรีดน้ำออกด้วยความร้อนสูง จึงทำให้สูญเสียวิตามินซีและเอ มีการแต่งรสชาติด้วยน้ำตาล ทำให้ปริมาณน้ำตาลสูง แคลอรีสูง แต่กลับอุดมด้วย "ใยอาหาร" หรือ ไฟเบอร์ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี และปราศจากไขมันสะสมในร่างกาย


4 คุณค่าดี ๆ ที่ได้จากผลไม้อบแห้ง

1.เป็นแหล่งไฟเบอร์ชั้นดีกระตุ้นการขับถ่าย

2.มีโพแทสเซียมช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ ป้องกันอาการกล้ามเนื้อชักกระตุก อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และคลายความกังวล

3.สร้างออกซิเจนให้ร่างกายด้วยธาตุเหล็กบำรุงเลือด ป้องกันภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย

4.เป็นแหล่งแคลเซียม แมงกานีส วิตามินเอ วิตามบีคอมเพล็กซ์ และวิตามินซี ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงผิวพรรณ และระบบการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ


ผลไม้ 4 ชนิดยอดนิยมที่ทำเป็นผลไม้อบแห้ง แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ






1.แอปริคอตสด VS แอปริคอตแห้ง

แอปริคอตสด : ถือเป็น "ยาบำรุง" ช่วยให้ฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้เร็ว อีกทั้งยังสามารถนำไปทำเป็นส่วนผสมในสบู่ และผงพอกหน้าได้อีกด้วย เพราะสารเบต้าแคโรทีน มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดผิวและบำรุงได้ทุกสภาพผิว หรือหากรับประทานสดยังช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย

แอปริคอตอบแห้ง : มี ลักษณะเหนียวซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงฟัน อาจมีสีน้ำตาล หรือสีส้มแล้วแต่ชนิด แต่สีน้ำตาลจะมีคุณค่ามากกว่าสีส้ม ช่วยในการย่อยอาหาร ต้านโรคหวัด ภาวะโลหิตจาง และมีวิตามินบี 17 ต้านมะเร็งอีกด้วย

เปรียบเทียบ :

- แอปริคอตสด 1 ผล เท่ากับ 17 แคลอรี บริโภคแบบหั่นเป็นชิ้น 1 ถ้วยตวงเท่ากับ 79 แคลอรี
- แอปริคอตอบแห้ง 1 ชิ้นเท่ากับ 8 แคลอรี บริโภค ¼ ถ้วยตวง เท่ากับ 78 แคลอรี ฉะนั้น แอปริคอตอบแห้งดีกว่า



2.อินทผลัมสด VS อินทผลัมแห้ง

อินทผลัมสด: เป็นผลไม้ที่ชาวมุลสลิมนิยมซื้อเก็บไว้รับประทานในเดือนรอมฏอน (เดือนถือศีลอด) มีความหวานมากเป็นพิเศษ เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูงซึ่งร่างกายสามารถดึงไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ดั้งเดิมมีที่มาจากฝั่งอเมริกาเหนือ และอ่าวเปอร์เซีย แต่ปัจจุบันมีปลูกแพร่หลายในประเทศอียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย และอิหร่าน มีประโยชน์สำหรับสำหรับเด็ก ๆ และผู้หญิงเพราะมีแคลเซียมสูง อินทผลัมสด 3-4 ชิ้น เท่ากับแคลเซียมในนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม)

อินทผลัมอบแห้ง : มี ลักษณะพื้นผิวย่นสีน้ำตาล ขนาดใหญ่กว่าลูกเกด สามารถเก็บได้ในอุณหภูมิห้องได้นานเป็นเดือน มีปริมาณคอเลสเตอรอลต่ำ ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ คลายกล้ามเนื้อตึงจากความเครียด และเหมาะสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเพราะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

เปรียบเทียบ :

- อินทผลัมสด 1 ผลเท่ากับ 23 แคลอรี บริโภคหั่นชิ้น 1 ถ้วยตวง เท่ากับ 502 แคลอรี
- อินทผลัมอบแห้ง 1 ผลเท่ากับ 22 แคลอรี บริโภค ¼ ถ้วยตวง เท่ากับ 135 แคลอรี อินทผลัมอบแห้ง ดีกว่า



3.องุ่น VS ลูกเกด

องุ่น : ดั้ง เดิมเป็นผลไม้ที่ปลูกในแถบประเทศอียิปต์ แต่บรรดานักวิชาการกลับเชื่อว่าองุ่นเริ่มปลูกในยุคกรีกโบราณ และแพร่หลายไปยังกรุงโรม ซึ่งทั้งสองชนชาติเป็นผู้จุดประกายวัฒนธรรมการหมักไวน์ ต่อมาได้แพร่หลายไปยังประเทศแถบยุโรป และประเทศในแถบอเมริกา

ลูกเกด : ลูก เกด (องุ่นอบแห้ง) ในประเทศอินเดียวนิยมนำไปใช้ในการทำขนมต่าง ๆ เช่น คุ้กกี้ เค้ก และนิยมนำไปปรุงในแกงกะหรี่ หรือบริยานี (ข้าวหมก) เมื่อบริโภคเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินดี ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

เปรียบเทียบ :

- ผลองุ่นสดไร้เมล็ด 1 ลูก เท่ากับ 3 แคลอรี บริโภค 1 ถ้วยตวง เท่ากับ 110 แคลอรี
- ลูกเกดไร้เมล็ด 1 เม็ด เท่ากับ 2 แคลอรี หากบริโภค ¼ ถ้วยตวง เท่ากับ 108 แคลอรี ดีกว่า
- ผลองุ่นสดมีเมล็ด 1 ลูก เท่ากับ 4 แคลอรี บริโภค 1 ถ้วยตวง เท่ากับ 106 แคลอรี ดีกว่า
- ลูกเกดมีเมล็ด 1 เม็ด เท่ากับ 1.6 แคลอรี บริโภค 1 ถ้วยตวง เท่ากับ 122 แคลอรี



4.พลัม VS พรุน

พลัม : ลูก พลัม หรือบ๊วยเป็นที่นิยมอย่างมากในวัฒนธรรมของจีน และได้ส่งอิทธิพลแพร่ไปยังประเทศญี่ปุ่นด้วยคือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ถือเป็นเดือนแห่งเทศกาลดอกบ๊วย "Ume Matsuri" หรือ "อุเมะเฟสติวัล" โดยทั่วทั้งถนนจะมีดอกบ๊วยบานสะพรั่ง และในขณะเดียวกันที่ประเทศแถบอเมริกาก็มีวันพุดดิ้งพลัม "National Plum Pudding Day" หรือ "Christmas pudding" คือวันที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นวันอาหารแห่งชาติวันหนึ่ง ซึ่งจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองด้วยพุดดิ้งลูกพลัม

พรุน : ลูกพรุนมีไฟเบอร์สูงจึงขึ้นชื่อว่าเป็น "ราชาไฟเบอร์" เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ควรเพิ่มลูกพรุนในซีเรียลประมาณ 3 ลูกต่อวันเพื่อช่วยเพิ่มกากใยให้กับมื้ออาหาร

เปรียบเทียบ :

ลูกพลัมสด 1 ผลเท่ากับ 30 แคลอรี บริโภคหั่นชิ้น 1 ถ้วย เท่ากับ 46 แคลอรี ดีกว่า
ลูกพรุนอบแห้ง 1 ผลเท่ากับ 20 แคลอรี บริโภค ¼ ถ้วยตวง เท่ากับ 110 แคลอรี

สัดส่วนของแคลอรีระหว่างผลไม้สดกับผลไม้อบแห้งอาจเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณ น้ำตาลที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเลือกให้แคลอรีน้อยที่สุดเป็นหลัก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักให้ได้อย่างจริงจังนั้น สุขกายสบายใจขอแนะนำว่า ให้เน้นปริมาณไฟเบอร์

และ สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด หรือผลไม้แห้ง ก็ควรจะบริโภคให้อยู่ปริมาณที่พอดีด้วย มิเช่นนั้นการทานผลไม้อาจกลายเป็นโทษแทนคุณต่อร่างกายได้นะคะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

บำบัดความรู้สึกด้วยสีสันแห่งธรรมชาติ

บำบัดความรู้สึกด้วยสีสันแห่งธรรมชาติ (Woman's Story)



บำบัดความรู้สึกด้วยสีสันแห่งธรรมชาติ (Woman's Story)


สีสัน มีผลต่ออารมณ์ จิตใจ และความรู้สึกของคนเรา ใครที่กำลังเครียด เศร้าสร้อย หม่นหมอง ลองมาใช้สีสันบำบัดอารมณ์ของคุณดูสิคะ

สยวามเครียดด้วยสีฟ้าและสีเขียว
สีทั้งสองนี้สามารถช่วยให้เกิดความรู้สึกสมดุล สงบ และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เหมือนนั่งอยู่ในสวนสาธารณะเลยทีเดียว มองแล้วทำให้สบายตา จนทำให้ลืมความเครียดไปเลย

ใช้สีส้ชวยสะบัดความเศร้าซึมออกไป

เพื่อเรียกพลังความกระตือรือร้นให้กลับคืนมา สีส้มเป็นสีที่คุณควรมองหามากที่สุด เพราะพลังของสีส้มจะทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเริงมีพลัง มีชีวิตชีวาได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว นอกจากนี้สีส้มยังเป็นสีแห่งความสุข เพราะคนที่ชอบสีนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ขี้เล่น เข้าสังคมง่าย และน่าคบหาเป็นอย่างยิ่ง


ไอเดียบรรเจิดด้วยแรงบันดาลใจจาสีม่วง
จากการวิจัยพบว่า สีม่วงเปรียบเสมือนสารเร่งกระตุ้นทำให้เกิดความคิดหรือไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขึ้นได้ รวมถึงเมื่อต้องการแก้ปัญหาที่ไม่สามารถหาทางออกได้ เพราะสีม่วงนั้นเป็นสีที่มีพลังทางสารเคมีมากที่สุด นักวิจัยทั้งหลาย จึงยกให้สีม่วงเป็นสีแห่งความรู้และการตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกัน สีม่วงก็แฝงความเศร้าไว้ในตัวเอง จึงควรหลีกเลี่ยงจากสีม่วงเมื่อคุณรู้สึกหดหู่
สร้างความมั่นใจด้วยพลังของสีแดง
สัญลักษณ์สากลแห่งความรัก อันเป็นสีแห่งพลังความเร่าร้อนความมั่นใจ ความกล้าแสดงออก ความตื่นเต้น และความรัก เนื่องจากสีแดงเป็นสีโทนร้อนที่ส่งผลต่ออารมณ์สูง สามารถสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองได้เป็นอย่างดีค่ะ

ใครที่กำลังตกอยู่ภวังค์ หรืออารมณ์ไหน อยากจะแก้ไขก็ลองเปลี่ยนสีห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานดูนะคะ รับรองว่าได้ผลแน่นอน