homeowners insurance Claim home insurance Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim commercial insurance Claim cheap auto insurance Claim cheap health insurance Claim indemnity Claim car insurance companies Claim progressive quote Claim usaa car insurance Claim insurance near me Claim term life insurance Claim auto insurance near me Claim state farm car insurance Claim comprehensive insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim progressive renters insurance Claim state farm insurance quote Claim metlife auto insurance Claim best insurance companies Claim progressive auto insurance quote Claim cheap car insurance quotes Claim allstate car insurance Claim rental car insurance Claim car insurance online Claim liberty mutual car insurance Claim cheap car insurance near me Claim best auto insurance Claim home insurance companies Claim usaa home insurance Claim list of car insurance companies Claim full coverage insurance Claim allstate insurance near me Claim cheap insurance quotes Claim national insurance Claim progressive home insurance Claim house insurance Claim health insurance quotes Claim ameritas dental Claim state farm renters insurance Claim medicare supplement plans Claim progressive renters insurance Claim aetna providers Claim title insurance Claim sr22 insurance Claim medicare advantage plans Claim aetna health insurance Claim ambetter insurance Claim umr insurance Claim massmutual 401k Claim private health insurance Claim assurant renters insurance Claim assurant insurance Claim dental insurance plans Claim state farm insurance quote Claim health insurance plans Claim workers compensation insurance Claim geha dental Claim metlife auto insurance Claim boat insurance Claim aarp insurance Claim costco insurance Claim flood insurance Claim best insurance companies Claim cheap car insurance quotes Claim best travel insurance Claim insurance agents near me Claim car insurance Claim car insurance quotes Claim auto insurance Claim auto insurance quotes Claim long term care insurance Claim auto insurance companies Claim home insurance quotes Claim cheap car insurance quotes Claim affordable car insurance Claim professional liability insurance Claim cheap car insurance near me Claim small business insurance Claim vehicle insurance Claim best auto insurance Claim full coverage insurance Claim motorcycle insurance quote Claim homeowners insurance quote Claim errors and omissions insurance Claim general liability insurance Claim best renters insurance Claim cheap home insurance Claim cheap insurance near me Claim cheap full coverage insurance Claim cheap life insurance Claim

สูตรอาหาร : ขนมจีนน้ำยากะทิ

ขนมจีนน้ำยากะทิ
ส่วนผสม
  1. พริกแห้ง 50 กรัม
  2. มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
  3. กระเทียม 100 กรัม
  4. คั้นหัวกะทิ 2 ถ้วย หาง 8 ถ้วย
  5. ตะไคร้ 50 กรัม
  6. น้ำปลา 1/2 ถ้วยตวง
  7. ปลาช่อน 1 กิโลกรัม
  8. น้ำปลาร้าหรือ 1/2 ถ้วยตวง
  9. หัวหอม 100 กรัม
  10. ปลาอินทรีย์เค็ม 1/4 ถ้วยตวง
  11. ข่า 2 ช้อนโต๊ะ
  12. ขนมจีน 2 กิโลกรัม
  13. กระชาย 500 กรัม
  14. น้ำสำหรับต้มปลา 6 ถ้วยตวง
วิธีทำ
  1. เตรียมเครื่องน้ำพริกทั้งหมดลงต้มพร้อมน้ำเปล่า พอเดือดใส่ปลาที่ล้างสะอาดแล้วลงต้มให้สุก
  2. ตักเครื่องน้ำพริกและปลาขึ้น แกะก้างและหนัง โขลกเนื้อปลาให้ละเอียดพักไว้
  3. โขลกเครื่องน้ำพริกที่ตักขึ้นพักไว้ให้ละเอียด
  4. ใส่น้ำต้มปลาละลายเครื่องน้ำพริก กรองเอาแต่น้ำพริกข้น ๆ ไม่ใช้กาก ทำเช่นนี้ 2-3 ครั้งจนน้ำพริกสีจาง
  5. ใส่น้ำพริกผสมกับหัวกะทิตั้งไฟพอเดือด ใส่เนื้อปลา เติมหางกะทิ น้ำปลา น้ำปลาร้า เคี่ยวไฟอ่อน จนน้ำยาเริ่มข้น ชิมรส
  6. รับประทานกับผักเหมือด เช่น ถั่วงอก ผักกาดดอง ถั่วฝักยาว ผักกระเฉด พริกป่น ไข่ต้ม ฯลฯ
บทความจาก : เว็บไซท์อาจารย์ยิ่งศักดิ์



คลายสายตาเมื่อยล้า จากการจ้องคอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์


ตาหวานฉ่ำ ด้วยท่าบริหารง่าย ๆ  (BE Magazine)
เรื่องโดย ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ

          พนักงาน ออฟฟิศอย่างเรา ๆ ใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แบบนั่งจ้องงานตรงหน้า เหมือนเล่นเกมจับผิดมิปาน สายตาก็ย่อมเหนื่อยล้าเหมือนขาที่วิ่งมาทั้งวัน บางทีอาจจะแสดงอาการปวดตา ปวดหัวเป็นระยะ ๆ หรือว่าอาจจะไม่เป็นอะไรเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ตาสวยของเราจะกลายเป็นตาแบบหมีแพนด้า หยุดเล่นเกมจับผิดสักครู่ แล้วมาเริ่มการบริหารสายตากันดีกว่าค่ะ

การบริหารลูกตา กล้ามเนื้อตา และสมองรับภาพ

          การบริหารทั้งสามส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถมองภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ วางมือจากแป้นคอมพิวเตอร์ หลบหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะดีที่สุด

1.การบริหารลูกตา

          หลับตาใช้อุ้งนิ้ว ย้ำว่า "อุ้งนิ้ว" นวดเบา ๆ วนรอบตาสัก 1 นาที หรือกะพริบตาถี่ ๆ ทุกการใช้สายตาครบ 1 ชั่วโมง เพราะการกะพริบตา จะช่วยขับฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบตาของเราให้แลดูวิ้ง ๆ ปิ๊ง ๆ ตลอดเวลานั่นเอ

2.การบริหารกล้ามเนื้อตา

          กล้ามตาของเรา เป็นส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่ต้องการ "การพักผ่อน" มากกว่ากล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่าเราต้องใช้กล้ามตาแทบตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนอน อยากรู้ก็ลองสังเกตตอนคนที่บ้านของคุณหลับดูสิ... ยามที่เขาหลับสนิท เปลือกตาของเขาจะขยุกขยิกไปมา นั่นคือ "ช่วงกลอกตาเร็ว" นั่นเอง เห็นหรือเปล่าว่า ใช้กล้ามตามากจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีการดูแลตาให้สุขภาพดี ด้วยสูตร "จักษุสปา" สไตล์อายุรวัฒน์มาแนะนำกันค่ะ

           สูตรจักษุสปา

          เริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนเลย ต่อจากนี้ตื่นมาแทนที่จะขยี้ตา เปลี่ยนเป็นเอาตาซุกลงไปกับฝ่ามือเบา ๆ ทิ้งไว้สัก 1 นาที เพื่อเป็นการปรับสายตาให้พร้อมกับการมองเห็นความจริงทุกประการ พอมาถึงที่ทำงาน ทำงานไปได้สักชั่วโมง ลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง กะพริบตาเพื่อให้ฟิล์มน้ำตาออกมาเคลือบลูกตา ก่อนพักเที่ยงก็กะพริบตาถี่ ๆ อีกสัก 10 วินาที

          ช่วงบ่าย สายตาเริ่มล้า ให้หลับตาปี๋ ๆ เลย แล้วเบิ่งตาโต ทำสลับกันครั้งละ 10 วินาที เป็นเวลาประมาณ 1 นาที หรือจะใช้อุ้งมือนุ่ม ๆ (รอบนี้อุ้งมือนะ!) ของเรากดตาไว้เบา ๆ สัก 1 นาทีก็พอ จะให้สดชื่นสายตาอีกสักหน่อยก็หาผ้าเย็นเช็ดหน้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเย็น ๆ มาประคบสายตาของเราไว้ประมาณ 10 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

          ก่อนเลิกงาน หลังจากปิดคอมพิวเตอร์แล้ว ให้นั่งหลับตา หาที่มืดนั่งเงียบ ๆ สักพัก เพื่อเป็นการพักลูกตา และสมองส่วนรับภาพ เมื่อถึงบ้านแล้ว ดูทีวีได้ตามปกติ แต่ไม่ควรปิดไฟทั้งห้องจนมืด เพราะแสงจากทีวีจะจ้ามาก เป็นผลเสียต่อจอตาของเรา ที่สำคัญควรปิดสวิตช์ตาไม่เกิน 5 ทุ่ม นอนพักได้แล้ว

          ก่อนเข้านอน ให้ทำการขอบคุณสายตาที่ถูกใช้งานมาทั้งวัน ด้วยการพนมมือทั้งสองขึ้นมา เอานิ้วจรดกัน แล้วเอาอุ้งนิ้วทั้งสองมาประทับกับเปลือกตาที่หลับลง นวดวนเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกาสัก 1 นาที หากคนที่ตาแห้งก็เพิ่มเป็น 2 นาที พอตื่นนอนก็วนทำแบบครั้งแรก รับรองงานนี้ "ตาหวานฉ่ำ" แน่ ๆ

3.บริหารสมองรับภาพ

          ง่าย ๆ เพียงแค่ "กลอกตา" ไปมา แบบซ้ำ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวตาลาย ให้กลอกจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง ทำท่าแบบนี้เป็นการฝึกสมองไปในตัวด้วยค่ะ


ปวดตา


ดูแลสุขภาพตาด้วย "จักษุโภชนา"

          จำเป็นต้องกินผัก "เขียวจัด" อย่างคะน้า เพราะจะมีวิตามินเอเยอะ และ "เหลืองแจ๊ด" จำพวก ข้าวโพด ฟักทอง แครอท ซึ่งจะมีธาตุที่ชื่อ "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน" เป็นธาตุที่บำรุงสายตาโดยเฉพาะ  

          ระวังเรื่องของการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรืออยู่ใกล้กระจกสะท้อน เพราะอาจเป็น "ต้อ" ได้ ให้ตรวจสอบว่า โต๊ะคอมพิวเตอร์ของเรา ตำแหน่งที่นั่งดีหรือยัง ตรวจสอบการสะท้อนของแสงที่เข้าตาของเรา ด้วยการปิดคอมพิวเตอร์แล้วเปิดไฟห้อง ดูว่าหน้าจอมีแสงไฟสะท้อนเข้าตาหรือเปล่า ถ้ามี ก็ต้องปรับตำแหน่งคอมพิวเตอร์จนกว่าจะไม่มีแสงสะท้อน

          สาย ตาเป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้เลย อย่าบอกว่า ขี้เกียจทำการบริหาร หรือไม่ว่างจากงานตรงหน้า หากวันหนึ่งสายตาของคุณแย่แล้ว คุณจะเอาสายตาดี ๆ ของคุณมาทำงานต่อได้อย่างไร จริงหรือเปล่าคะ



http://health.kapook.com/view17611.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สูบบุหรี่... เดี๋ยว ฝี ผุดที่หน้าอกนะ!


ฝี

สูบบุหรี่... เดี๋ยว ฝี ผุดที่หน้าอกนะ! (Lisa)

          ถ้าไม่อยากให้ฝีขึ้นที่หน้าอกจนหมดสวย ก็ต้องวางบุหรี่กันตั้งแต่ตอนนี้ และจงเก็บหัวนมไว้ดี ๆ อย่าเอาไปเจาะ!

          โดยการศึกษาจาก University of Iowa เปิดเผยในวารสาร American College of Surgeon เขาเปิดเผยว่า คนที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเป็นฝีที่หน้าอกมากกว่าคนปกติ 40-50% แน่ะ และพอเป็นแล้วก็มีโอกาสเป็นอีกถึง 15 เท่า ถ้าเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่เลย

          ส่วนคนที่เจาะหัวนมก็อาจมีฝีได้ภายใน 7 ปี หลังจากที่เจาะมาแล้ว เราขอเตือนไว้ก่อนเลย อย่าคิดว่าฝีไม่อันตรายนะ เพราะฝีบริเวณหน้าอกนั้นจะอักเสบ ทำให้หน้าอกเป็นแผล เจ็บมาก ๆ และก็รักษายากอีกด้วย


      
http://health.kapook.com/view17560.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.lisaguru.com/healthdiet/สูบบุหรี่-เดี๋ยว-ฝี-ผุดที่หน้าอกนะ

สาว ๆ ระวังกระเป๋า-รองเท้าทำพิษ


ผู้หญิง

คุณและโทษของเครื่องประดับกาย (Twenty-four Seven)

          ความสวยงามอาจไม่ได้มีแต่ด้านดีเสมอไป โดยเฉพาะการแต่งเติมเสริมใส่เครื่องประดับตามเทรนด์แฟชั่นต่าง ๆ บ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านี้ได้สะสมภัยสุขภาพมาช้านาน แถมเมื่อเกิดความเจ็บป่วย ก็มักสันนิษฐานว่ามาจากสาเหตุอื่น ทั้งที่ความจริง กระเป๋าสะพาย รองเท้าส้นสูงที่ใช้มานานเป็นเดือนนี่แหละคือสาเหตุสำคัญ

          และนี่คือเกร็ดสารพันสุขภาพที่คุณไม่เคยรู้

ปวดเมื่อยหน้าคอมพ์ อาจมาจากกระเป๋าสะพาย

          การสะพายกระเป๋าที่หนักเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ บ่าไหล่ต้องทำงานตลอดเวลา เพื่อให้ศีรษะตรง และหันไปมาตามต้องการ และถ้าเมื่อไหร่ที่กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวมากเกินความยืดหยุ่น หรือขาดความยืดหยุ่น และไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้มีอาการปวดต้อคอ บ่า และไหล่ ซึ่งโดยมากจะคิดกันว่ามีสาเหตุมาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ

          ท่าประจำที่ไม่ควรทำ

          ท่าของผู้หญิงที่แบกของหนัก โดยเอาของทูนไว้บนศีรษะ เอาตะกร้าทูนไว้บนศีรษะ หรือผูกของไว้ที่หลัง หรือการสะพายกระเป๋าหนัก ๆ ไว้ที่ไหล่เพียงข้างเดียวนั้น เป็นท่าที่ทำให้เกิดอันตรายต่อคอ หัวไหล่และหลัง ก็เป็นอีกตัวการที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ควรเปลี่ยนการสะพายกระเป๋าสลับข้างซ้ายและขวา เมื่อไหล่เริ่มล้า ให้เปลี่ยนมาคล้องแขนแทน ควรสะพายกระเป๋าสายคล้องชิดกับคอ มากกว่าจะสะพายห่างออกจากหัวไหล่ และควรหมั่นบริหารกล้ามเนื้อต้นคอ บ่า และไหล่ เป็นประจำ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

          หนักหน่อยสะพายเพลิน

          ตัวแปรสำคัญของความเจ็บปวด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดแต่คือน้ำหนักของกระเป๋า ยิ่งชอบสะพายกระเป๋าหนัก ๆ อย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพ ตั้งแต่อาการกล้ามเนื้ออักเสบ ไปจนถึงอาการปวดไหล่ ปวดหลัง เรื่อยไปจนถึงปวดคอ แม้จะไม่เลวร้ายถึงขั้นทำให้เป็นอัมพาต แต่อาการเหล่านี้ก็รบกวนการทำงานในชีวิตประจำวัน และทำให้เสียบุคลิก

          น้ำหนักของกระเป๋าที่แนะนำและไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อกล้ามเนื้อ ควรสะพายกระเป๋าหนักน้อยกว่า 10% ของน้ำหนักตัว และหากจำเป็นต้องใช้กระเป๋าหนักเกินพิกัด ควรเลือกใช้สายคล้องที่ใหญ่นุ่ม และไม่ยาวเกินไป เพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก

รองเท้าส้นสูง


ส้นสูง...ยิ่งสวมยิ่งซาบซ่าน

          แพทย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยเวโรนาแห่งอิตาลี ได้ศึกษาและค้นพบว่า การสวมรองเท้าส้นสูงที่มีส้นสูงขนาดปานกลาง สามารถช่วยให้ร่างกายเกิดความกลมกลืน ปรับสภาพกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มคุณภาพในการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่รัก และยังช่วยนวดเฟ้นกล้ามเนื้อเชิงกรานให้คลายความปวดเมื่อย และบำรุงสุขภาพ โดยขนาดความสูงที่แนะนำคือ 7 เซนติเมตร หรือประมาณ 2 นิ้วครึ่ง

          รูปแบบของส้น...กลไกของภัยร้าย

          แม้จะมีประโยชน์ แต่ทางเลือกที่ดีควรเลือกส้นที่มีฐานหนา เพื่อรองรับน้ำหนักเท้าได้สมดุล ในเทรนด์ปัจจุบันนิยมรองเท้าส้นกริช ที่มีรูปร่างแหลมเพรียว การใส่แบบนี้เป็นประจำอาจให้โทษมากกว่าประโยชน์ และคุณจะสามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้สิ่งแรกคือ เกิดอาการปวดเท้า เจ็บเท้า และถ้ารูปของรองเท้าส้นสูงเป็นแบบหน้าแคบ หัวแหลม จะทำให้บีบหน้าเท้า ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวด และอาจเกิดเท้าผิดรูปตามมา เช่น นิ้วหัวแม่เท้าเก นิ้วเท้างอ

          ผลกระทบของการใส่ไม่เปลี่ยน

          การใส่รองเท้าส้นสูง แบบที่ทำให้น้ำหนักฝ่าเท้ากดลงบนพื้นไม่สมดุลเป็นประจำ วันละหลายชั่วโมง จะทำให้น้ำหนักลงบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้ามากกว่าส้นเท้า ทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้า อาจมีหนังด้านแข็ง หรือการอับเสบของเอ็นที่เท้าตามมาด้วย ยิ่งใส่เดินทั้งวันยิ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดน่องในเวลากลางคืน และบางคนถึงกับเป็นตะคริวเพราะการยืนเขย่งบนรองเท้าส้นสูงนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อน่องต้องทำงานหนักจนเกร็งเป็นลูก อาจทำให้ปวดเข่า เข่าเสื่อมก่อนวัย เนื่องจากการเดินบนรองเท้าส้นสูง จะมีแรงกระแทกมาที่ข้อเข่ามากกว่าการใส่รองเท้าส้นเตี้ย

          เลือกส้นสูงแบบไหน ปลอดภัยกว่า

          ควรเลือกที่มีความสูงไม่เกิน 2 นิ้วครึ่ง เลือกรองเท้าที่มีความกว้างของหน้ารองเท้าพอ ๆ กับหน้าเท้าเรา เลี่ยงรองเท้าหัวแคบ หัวแหลม ถ้าต้องการเพิ่มความสูงให้กับตนเองมากๆ ควรเลือกรองเท้าส้นตึกที่มีส้นทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง เพราะความสูงจริง ๆ จะไม่มาก ไม่ต้องเขย่งเท้ามาก แต่ถ้าเลือกรองเท้าส้นตึกสูง ๆ แนะนำรองเท้าที่มีสายรัดทางด้านหลังหรือรองเท้ารัดส้น เปลือยส้นเพราะช่วยให้รองเท้ากระชับกับเท้า จะได้ไม่ต้องเกร็งเท้ามากขณะก้าวเดิน แนะนำที่ทำส้นรองจากยางดีกว่าไม้แข็ง ๆ เพราะช่วยดูดซับแรงกระแทกได้

          สวมอินเทรนด์ ไม่เป็นปัญหา

          ข้อแนะนำดี ๆ ในการใช้รองเท้าส้นสูง คือควรใส่เฉพาะเวลาจำเป็น และมีรองเท้าส้นเตี้ยสำหรับเปลี่ยนในรถหรือที่ทำงาน

          หลังจากใส่รองเท้านาน ๆ ถ้ามีอาการปวดเท้า ควรแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้า และถ้าน่องตึงควรบริหารน่อง วิธี การบริหารเริ่มจากยืนหันหน้าเข้ากำแพง และใช้แขนทั้งสองข้างยันไว้กับกำแพง ถ้าต้องการบริหารเท้าข้างไหนก็ก้าวเท้านั้นถอยออกไปนิดนึง ให้ส้นเท้าแตะพื้นและปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า จากนั้นโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเป็นการยืดเส้น ค้างไว้อย่าขย่ม นับ 1-10 จากนั้นก็สลับข้างและทำเหมือนกันจะช่วยให้ไม่ปวดน่อง


ผู้หญิง

เงิน-ทอง เสริมธาตุสุขภาพ

          ร่างกายของเรามีธาตุน้ำและธาตุไฟอยู่ในตัว ซึ่งถ้าธาตุทำงานเป็นปกติร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าธาตุทำงานติดขัด เราก็จะไม่สบาย ดังนั้นเวลาที่สวมใส่เครื่องประดับที่เหมาะสมก็จะเสริมสมดุลธาตุ และนี่คือหลักการง่าย ๆ

          ทอง

          ความร้อนของทองจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น แนะนำให้คนที่เป็นโรคความดันต่ำ หน้าซีด หน้ามืด ตาลายบ่อย สวมสร้อยคอ ต่างหูทอง ถ้ามีอาการท้องเสียสลับท้องผูก อาหารไม่ย่อย ปวดเอว ปวดหลังมีไขมันสะสมที่บริเวณท้อง สะโพก ต้นขา มือเท้าเย็นละก็ ควรที่จะหันมาดื่มน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น และควรใส่เข็มขัดหัวทองหรือทองเหลือง เพราะจะช่วยปรับสมดุลให้ธาตุไฟบริเวณท้องทำงานได้ดีขึ้น


เครื่องประดับเงิน

          เงิน

          ความเย็นของเงินจะช่วยลดความร้อนในตัวได้ ใครที่มีอาการร้อนใน คอบวม เจ็บคอบ่อยมีไขมันสะสมง่าย ควรที่จะใส่สร้อยคอ หรือต่างหูเงินส่วนใครที่มีอาการหิวบ่อย เพราะระบบเผาผลาญทำงานดีจนผิดปกติ ลำไส้หลั่งน้ำย่อยออกมามากเกินความจำเป็น ทำให้เป็นคนที่กินเยอะเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่อาการแบบนี้ก็เสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ คอเลสเตอรอลสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด แนะนำให้ใส่หัวเข็มขัดเงินเพื่อเพิ่มความเย็นให้ช่องท้อง และทำให้ระบบเผาผลาญทำงานเหมือนคนปกติ


http://health.kapook.com/view17602.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อ่อนเพลียอย่างนี้ไม่มีโรค


อ่อนเพลีย

อ่อนเพลียอย่างนี้ไม่มีโรค (หมอชาวบ้าน)

          มี ผู้ป่วยหลายคนมาพบแพทย์ด้วยเรื่องอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงทำงาน บางคนบอกว่ารู้สึกเหนื่อยง่าย บ้างก็ว่าร่างกายอ่อนล้าผิดปกติ ที่สำคัญคือกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง

          โดยมากเมื่อคนเราเจ็บป่วย มักจะมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วยเสมอ ดังนั้น ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย จึงมักจะนึกถึงโรคต่าง ๆ แต่สำหรับคนที่รู้สึกอ่อนเพลีย แต่ไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ที่เห็นได้ชัด จะเกิดความวิตกกังวล ครั้นไปพบแพทย์ก็อาจตรวจไม่พบความผิดปกติใด ๆ แพทย์เองก็วินิจฉัยไม่ถูก

          บาง คนก็บอกว่าเกิดจากความเครียด หรือวิตกกังวล และแพทย์เองก็ไม่รู้จะให้ยาอะไร นอกจากยาคลายเครียด วิตามิน หรือน้ำเกลือ ก็แล้วแต่วิธีการรักษาของแต่ละคน และกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาคลายเครียดด้วย ก็จะยิ่งทำให้ง่วงซึมและอ่อนเพลียมากขึ้นไปอีก

          อาการอ่อนเพลียเป็นอาการทางร่างกายและจิตใจที่พบได้บ่อย ๆ ซึ่งมีทั้งที่เกิดจากโรคและที่ไม่ใช่โรค เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ตรากตรำทำงานหนัก อากาศที่ร้อนจัด วิตกกังวล เครียด ขาดสารอาหาร หรืออาจเกิดจากโรค เช่น โรคติดเชื้อ หรือเจ็บป่วยอื่น ๆ

          สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น มักจะพยายามบอกให้ผู้ป่วยรู้จักพึ่งพาตัวเองในระดับหนึ่ง โดยใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์อาการต่าง ๆ เมื่อรู้สึกไม่สบาย ว่าจำเป็นต้องใช้ยาหรือไม่ มีสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือไม่
กรณีอ่อนเพลียที่ไม่ พบอาการผิดปกติอื่นใดและพอจะหาสาเหตุได้ เช่น นอนน้อยเกินไป มีภาวะเครียดการจำกัดอาหาร อย่างนี้ก็ให้แก้ไขที่สาเหตุ ปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิตใหม่ พยายามผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยที่ยังไม่ต้องไปพึ่งน้ำเกลือหรือยาบำรุงใด ๆ เพราะ "อาการบางอย่างไม่ใช่โรค" และ "โรคบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา"

          อาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า บางครั้งก็เกี่ยวข้องกับอาหารที่กินด้วย เมื่อร่างกายขาดสารอาหารบางอย่างก็ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เซื่องซึม หรือเหนื่อยล้าได้ เช่น ขาดพลังงาน ขาดโปรตีน ขาดวิตามินบี หรือธาตุเหล็ก เป็นต้น

          ดังนั้น คนที่จำกัดการกินอาหารหรือพยายามลดน้ำหนัก จะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องกินอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ร่างกายจะ เกิดสมดุล กล้ามเนื้อแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดีขึ้น นอกจากนี้ควรกินปริมาณพอดี ไม่มากไปหรือน้อยไป งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอาหารพวกไขมันแปรรูป ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8 แก้ว เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อ่อนเพลียได้เช่นกัน

          ไม่ต้องพึ่งน้ำเกลือหรือยาบำรุง เพราะอาการบางอย่างไม่ใช่โรค และโรคบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้ยา

          นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอทำใจให้สบาย หลีกเลี่ยงความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อและระบบเผาผลาญทำงานดี

          ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง แพทย์จะต้องซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยส่วนใหญ่ถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย และจะสังเกตได้ไม่ยาก แต่ที่แพทย์มักจะถามอยู่เสมอคือ มีไข้ไหม น้ำหนักลดหรือผอมลงหรือไม่ปัสสาวะมากและกระหายน้ำบ่อย ๆ หรือไม่ เป็นต้น เพื่อที่จะวินิจฉัยแยกโรคว่าเกิดจากความเจ็บป่วยหรือเกิดจากสาเหตุอื่นกัน แน่

          สำหรับอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าแบบเรื้อรัง ชนิดที่ว่าไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ พักผ่อนหรือปรับปรุงวิถีชีวิตแล้วก็ยังไม่หาย จัดเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง วินิจฉัยค่อนข้างยาก ตามตำราจะเรียกอาการแบบนี้ว่า โครนิกฟาทีกซินโดรม (chronic fatigue syndrome-CFS) ซึ่ง มักจะอ่อนเพลียมานาน ส่วนใหญ่จะมากกว่า 6 เดือน และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ เจ็บคอ มีไข้ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า เป็นต้น

          โรคนี้พบได้ไม่บ่อย สาเหตุนั้นยังไม่แน่ชัด โดยอาจเป็นผลมาจากโรคติดเชื้อเรื้อรัง ขาดสารอาหารขาดฮอร์โมนบางอย่าง หรือเกิดจากภาวะเครียดเรื้อรัง เป็นต้น การรักษานั้นต้องใช้ทั้งยา โภชนบำบัด และปรับวิถีชีวิตให้สมดุล

          แต่ สำหรับอาการอ่อนเพลียที่พบอยู่บ่อย ๆ นั้น มักจะไม่ใช่เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วย ส่วนใหญ่เกิดจากการมีวิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น พักผ่อนน้อย ตรากตรำทำงาน กินอาหารไม่เพียงพอ ความเครียด เป็นต้น ดังนั้นวิธีการรักษาจึงอยู่ที่การแก้ไขสาเหตุ มากกว่าการพึ่งพายาหรือน้ำเกลือเพื่อบำรุงกำลัง


http://health.kapook.com/view17548.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก