
แอสเบสตอส หรือ แร่ใยหิน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
พูดถึงคำว่า "แอสเบสตอส" หรือ "แร่ใยหิน" เราอาจจะรู้สึกสงสัยว่า สิ่งเหล่านี้เป็นภัยที่อยู่ใกล้ตัวเราด้วยหรือ เพราะเราก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับแวดวงอุตสาหกรรมเสียหน่อย แต่รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว "แอสเบสตอส" หรือ "แร่ใยหิน" อยู่ข้าง ๆ ตัวคุณอย่างคาดไม่ถึง ในรูปแบบของกระเบื้อง ฝ้าเพดาน ฯลฯ ที่คุณต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันทุกวันเลยนั่นเอง
แล้ว "แอสเบสตอส" มีอันตรายอย่างไรต่อเราล่ะ ไปติดตามกันเลยค่ะ
"แร่ใยหิน" หรือ "แอสเบสทอส" (Asbestos) เป็นแร่ธรรมชาติที่ปนอยู่ในเนื้อหิน ประกอบด้วยธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ซิลิเกต และธาตุอื่น ๆ มีลักษณะเป็นเส้นใยละเอียด แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.แอมฟิโบล ซึ่งแบ่งย่อยออกได้อีก 5 ชนิด คือ ครอซิโดไลท์, อะโมไซท์, ทรีโมไบท์, แอนโธฟิลไลท์ และแอคทิโนไลท์
2. เซอร์เพนไทน์ แบ่งออกได้อีก 2 ชนิด คือ ไครโซไทล์ และไวท์ แอสเบสทอส
คุณสมบัติของแร่ใยหิน
คุณสมบัติเด่นของ "แร่ใยหิน" ก็คือ ทนไฟ ทนความร้อนตั้งแต่ 700-1,000 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไม่นำความร้อนและไฟฟ้า ทนกรด ด่าง การทำลายของแมลง มีความแข็งเหนียว และยืดหยุ่น สามารถนำมาปั่นเป็นเส้นและทอเป็นผืนได้
ด้วย คุณสมบัติข้างต้น ทำให้คนนิยมนำ "แร่ใยหิน" มาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง (กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องแผ่นเรียบ ฝ้าเพดาน) ,อุตสาหกรรมการผลิตท่อน้ำซีเมนต์ ,กระเบื้องยางไวนิลปูพื้น ,ผ้าเบรก, ผ้าคลัตซ์, ฉนวนกันความร้อน ,อุตสาหกรรมกระดาษอัด และอุตสาหกรรมสิ่งทอ (เสื้อผจญเพลิง) เป็นต้น
แน่นอนว่า สำหรับเรา ๆ แล้ว ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างที่กล่าวมาล้วนอยู่ใกล้ตัวเราทั้งสิ้น โดยเฉพาะแผ่นใยกันความร้อนที่อยู่ใต้หลังคาบ้าน หรืออยู่ตามอาคารต่าง ๆ รวมทั้งกระเบื้องมุงหลังคา
แล้วแร่ใยหิน อันตรายอย่างไร?
แม้ว่า "แร่ใยหิน" จะมีคุณสมบัติทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดีขึ้น แต่ก็มีข้อเสียสำคัญ คือ "เส้นใยแอสเบสตอส" จะส่งผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์หากสูดเอา "เส้นใยแอสเบสตอส" เข้าไปในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากแร่ใยหินจะไม่อันตราย หากผลิตภัณฑ์นั้นอยู่สภาพดี
แต่หากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นถูกทำให้แตกหัก ไม่ว่าจะถูกตัด ขัด เลื่อย ฯลฯ "เส้นใยแอสเบสตอส" จะถูกปล่อยออกมาลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ซึ่งการฟุ้งกระจายของแร่ใยหินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะสามารถกระจายอยู่ได้ทุกที่ หากเราสูดดมเข้าไปสะสมจนสะสมในปริมาณที่มากและเป็นเวลานาน 15-30 ปี ก็จะทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับปอด ต่อไปนี้ได้
1.โรคปอดอักเสบจากแอสเบสตอส (Asbestosis)
เกิดจากการหายใจรับเส้นใยเข้าไป ทำให้ปอดแข็งเป็นพังผืด และเป็นแผล อาจลามไปที่กระบังลมและเยื่อบุช่องท้อง เมื่อปอดแข็งเป็นพังผืดจะทำให้เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย น้ำหนักลด หายใจลำบาก มีอาการเจ็บหน้าอกและตัวเขียว เนื่องจากขาดออกซิเจน
2.โรคมะเร็งปอด (Lung cancer)
ผู้ที่สัมผัสกับแอสเบสตอสมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ ซึ่งเกิดจากเส้นใยแอสเบสตอส เข้าไปทำลายเซลล์ปอด และเกิดเป็นพังผืดอยู่เป็นเวลานานเป็น 10 ปี จนพัฒนาการเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด และหากใครสูบบุหรี่จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งปอดมากขึ้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก มีเสมหะเป็นเลือด
3. โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด หรือ เมโสธีลิโอมา (Mesothelioma)
เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อหุ้มปอด และเยื่อบุช่องท้อง มักจะเกิดกับผู้ที่สัมผัสแอสเบสตอสชนิดครอซิโดไลท์ และอะโมไซท์ โดยมะเร็งชนิดนี้อาจลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ เช่น กระเพาะอาหาร คอหอย และรังไข่ได้ด้วย โดยผู้ที่ป่วยเป็นเมโสธีลิโอมาบริเวณเยื่อหุ้มปอด จะมีอาการหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก หากเป็นบริเวณเยื่อบุช่องท้อง จะมีอาการปวดท้อง โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายใน 1-2 ปี
ทั้ง นี้ กลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากแร่ใยหินมากที่สุด ก็คือ กลุ่มคนที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและโรงงานที่มีการใช้แร่ใยหิน รวมถึงผู้ที่ทำงานก่อสร้างและรื้ออาคาร ซึ่งมีโอกาสที่จะสูดดมฝุ่นละอองของแร่ใยหินที่ฟุ้งกระจาย หากไม่มีการป้องกันที่ดี โดยมีรายงานว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยอย่างน้อย 90,000 คนทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน และยังมีผู้ป่วยอีกหลายพันคนที่ไม่ได้สัมผัสแร่ใยหินโดยตรง แต่กลับป่วยด้วยโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน
ประเทศไทยกับอุตสาหกรรมแร่ใยหิน
ความ น่ากลัวของ "เส้นใยแอสเบสตอส" ทำให้หลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ประกาศห้ามนำเข้า และยกเลิกการใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แล้ว ส่วนประเทศไทยเอง ยังมีการนำเข้าไครโซไทล์ และอะไมไซท์ เพื่อใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมอยู่ โดยจัดเป็นวัตถุอันตรายที่ 3 คือห้ามผลิต ส่งออก หากมีไว้ในครอบครองต้องแจ้งและขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อน และต้องมีองค์กรของรัฐเข้ามาควบคุมดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
ส่วนแร่ใยหินชนิดครอซิโดไลท์ ถือเป็นแร่ใยหินที่อันตรายมาก ในประเทศไทยจัดแร่ใยหินชนิดครอซิโดไลท์ เป็นวัตถุอันตรายที่ 4 คือห้ามนำเข้า ห้ามผลิต ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเด็ดขาด
ขณะ เดียวกัน ในประเทศไทยก็ได้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินเป็นส่วนผสมของท่อซีเมนต์ ที่ใช้ส่งน้ำไปยังตามบ้านเรือนต่าง ๆ แล้ว โดยหันมาใช้ท่อพีวีซี หรือ พีบี แทน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายตามมา นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นผลิตสาร PVA ขึ้นมาใช้ทดแทนแร่ใยหิน แต่ในประเทศไทยยังมีใช้น้อยอยู่ เนื่องจากราคาแพง และการสั่งนำเข้าต้องเสียภาษี ต่างจากแร่ใยหินที่ไม่ต้องเสียภาษี
หลีกเลี่ยงและป้องกัน "แร่ใยหิน" อย่างไรดี
แนวทางที่จะหลีกเลี่ยงและป้องกัน "แร่ใยหิน" ที่ดีที่สุดก็คือ การไม่ใช้แร่ใยหิน แต่ดูจะเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถทำได้ในขณะนี้ ดัง นั้นหนทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ เร่งผลักดันให้มีการติดป้ายฉลากบอกว่า สินค้าประเภทใดมีส่วนผสมของแร่ใยหิน เพื่อให้คนทั่วไปรู้ พร้อมกับให้ความรู้เรื่องอันตรายของแร่ใยหินกับประชาชนทั่วไปด้วย
สำหรับ ในโรงงานอุตสาหกรรม ควรจัดระบบระบายอากาศภายในโรงงานให้มีอากาศถ่ายเทที่ดี พนักงานใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ และควรจัดให้มีการตรวจสุขภาพของคนงานทุกปี โดยเฉพาะให้มีการเอกซเรย์ปอด นอกจากนี้ ควรมีวิธีการป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย หากมีการรื้อถอนอาคารในเขตเมือง เพราะจะทำให้ "เส้นใยแอสเบสตอส" ฟุ้งกระจายไปในอากาศ แล้วผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของคนทั่วไปได้
http://health.kapook.com/view17442.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ดาห์ ที่แล้วผมได้พาเพื่อน ๆ ไปกินอาหารเช้าที่จังหวัดนครสวรรค์มา 2 ร้านแล้วนะครับ สัปดาห์นี้ผมก็จะพาไปที่จังหวัดนครสวรรค์อีก เพราะยังไม่จบครับ ยังมีอีกร้านหนึ่งที่ผมอยากเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เพราะวันนั้นผมไปกินอาหารเช้าประมาณ 4-5 ร้านเลยครับ ทำให้ยังมีร้านอาหารในจังหวัดนครสวรรค์มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังต่ออีก
อาทิตย์นี้ผมจะเขียนถึงร้านต้มเลือดหมูที่จังหวัดนครสวรรค์ครับ โดยมีเฮียฮ้อเจ้าเก่าเป็นคนพาผมไปกินชื่อว่า ร้านซุ้ยเครื่องในหมู เป็นร้านที่มีชื่อเสียงในตัวเมืองนครสวรรค์เลยนะครับ เป็นร้าน 2 คูหาใหญ่ ๆ คนแน่นตลอดเวลาเลย ร้านไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ต้องเดินเข้าไปในซอยเล็กน้อยแล้วก็จะเจอร้านนี้ซึ่งอยู่ติดกับตลาดเลยครับ
เมื่อพวกผมเดินเข้าไปแล้ว บรรยากาศเหมือนร้านอาหารจีนมีผู้คนเดินเข้าเดินออก พูดส่งเสียงสั่งอาหารกัน เป็นร้านอาหารที่คนกินข้าวเช้ากันแบบสบาย ๆ โดยมีต้มเลือดหมูเป็นเอกลักษณ์ของร้าน การที่เราจะรู้ว่าต้มเลือดหมูของเขาอร่อยหรือไม่อร่อยนั้น อยู่ที่วิธีการทำเครื่องและทำน้ำซุปให้มีรสชาติกลมกล่อมและอร่อย รวมทั้งมีวิธีการเตรียมวัตถุดิบได้ดีหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ต้มเลือดหมูที่อร่อย ต้องมีน้ำซุปที่ดี ลูกชิ้นหรือหมูบะฉ่อที่ดี ไม่แห้งผาดในลักษณะที่ว่าเด้งในปากยังได้เลยนะครับ แบบนั้นถือว่าวัตถุดิบไม่ดีครับ ส่วนเครื่องใน ต้องเป็นเครื่องในที่ลวกได้พอดี และสะอาดไม่มีกลิ่นคาว หรือมีกลิ่นเหม็น
ฉะนั้น ต้มเลือดหมูไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ นะครับ นอกเหนือจากส่วนประกอบที่ผมกล่าวมาแล้วนั้น ยังมีเรื่องผักและอะไรต่าง ๆ ที่ใส่ในน้ำซุป เพื่อทำให้น้ำซุปหอมและเข้ากับตัวเลือดหมู เครื่องในหมู ที่จะใส่เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงอยากบอกเพื่อน ๆ ว่า การทำต้มเลือดหมูที่ถูกต้องจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ คนทำต้องรู้และเข้าใจ รวมทั้งต้องทำเป็นจริง ๆ ด้วยครับ
เมื่อผมได้ชิม ปรากฏว่า ต้มเลือดหมูก็มีหลายแบบด้วยกันครับ สามารถเลือกกินได้ครับ ผมเลือกสั่ง ต้มเลือดหมูใส่หมูบะฉ่ออย่างเดียว ซึ่งหมูบะฉ่อของเขาจะคล้าย ๆ ลูกชิ้นหมูเลยครับ ที่นี่เขาทำเก่งมากเลยครับ เพราะว่าหมูบะฉ่อของเขาเป็นก้อน ๆ มาเลยครับ
เมื่อสมัยก่อน เวลาจะทำหมูบะฉ่อ เขาจะเอาตวักมาวางแล้วเอาหมูบดมาผสมกับเครื่องเทศ ซีอิ๊ว และมีมันหมูติดอยู่ในนั้นด้วย แล้วก็เอาไปป้ายข้างในขอบ ๆ ของตวัก แล้วเอาไปลวกในน้ำโดยจะสับ ๆ หมูบะฉ่อให้ละเอียดแล้วเอาไปใส่ในชามก๋วยเตี๋ยว ตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคนยืนรอกันเป็นจำนวนมาก ก็เลยต้องเอาหมูทำเป็นก้อน ๆ เลย แต่ว่าถ้าทำเป็นก้อนไม่ดี แล้วใช้แต่เนื้อหมู ไม่มีมันหมูที่ดีใส่เข้าไปด้วยก็จะทำให้หมูบะฉ่อนั้นกระด้างและแห้งผาด แต่ที่ร้านนี้เขาใส่มันหมูเข้าไปในหมูบดเพียงพอที่จะทำให้มีความหอม ความมัน ความอร่อยและลื่นปาก ไม่ทำให้แห้งผาดเหมือนกับเนื้อที่เอาไปรวนและไม่อร่อยเลย
แต่ที่นี่อร่อยมาก และทำเป็นก้อน ๆ และเอาไปลวกช้า ๆ มีหม้อน้ำซุปที่ลวกหม้อหนึ่งเลย และมีหม้อน้ำซุปอีกหม้อหนึ่งที่เขาใช้เป็นน้ำซุปที่ทำจากกระดูกหมู เวลาเอาหมูบะฉ่อไปลวกหรือเอาลูกชิ้นไปลวกในหม้อมันจะเพิ่มความเข้มข้นและรส ชาติที่กลมกล่อมให้มากขึ้น
ฉะนั้น ไปกินสาย ๆ จะยิ่งดีนะครับ น้ำซุปของเขาจะเข้มข้นขึ้น สำหรับเลือดของเขาก็ดีนะครับ แต่ที่ผมจะพูดถึงก็คือ เครื่องใน เพราะเครื่องในเขาทำเป็น และทำความสะอาดเครื่องในได้ดีมาก โดยเขาจะแยกลวกเครื่องในแต่ละอย่างไว้ หมายความว่า หมูสด ไส้หมู ปอด ตับ ทุกสิ่งทุกอย่างจะลวกอีกกระทะหนึ่งแล้วถึงจะเอาไปใส่ในชาม เวลาที่มีคนสั่ง เพราะคนสั่งบางคนก็จะไม่เอาโน่น ไม่เอานี่ จะได้เลือกใส่ลงในชามได้ถูกอย่างไรครับ
สำหรับผม ใส่ทุกอย่างครับ และก็จะมีผักใส่ด้วย รสชาติอาจจะขม ๆ นิด ๆ แต่ช่วยตัดความเลี่ยนได้ดีนะครับ ในน้ำซุปของเขามีตังฉ่ายและกระเทียมเจียวด้วย ถึงได้มีกลิ่นหอม และใส่พริกไทยขาวลงไปในแต่ละชามก่อนเสิร์ฟด้วยครับ อยากบอกว่า ร้านนี้เขาทำได้สุดยอดจริง ๆ ครับ
ใครที่ชอบกินแบบมีน้ำจิ้ม ที่นี่เขาก็มีน้ำจิ้มให้จิ้มกินกับข้าวด้วย บางครั้งผมก็เอาข้าวเทลงไปในชามต้มเลือดหมูกลายเป็นข้าวต้มเลือดหมูเลย ถ้าใครอยากจะกินแบบเกาเหลาและจิ้มน้ำจิ้มกินเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ก็มีให้เลือกกินนะครับ
ส่วนทุกสิ่งทุกอย่างที่ร้านเป็นการกินแบบสบาย ๆ เรียบง่าย มีเครื่องดื่มเป็น โอเลี้ยง ชาดำเย็น ใส่แก้วมา ใหญ่พอสมควรครับ รสชาติดี
กินแล้วชื่นใจดีครับ บรรยากาศก็ดี เป็นกันเอง ทุกคนก็หันมามองพวกผมว่ามากินที่นี่ได้อย่างไร มีอะไรอร่อย ผมอยากบอกว่าผมก็กินที่นั่นได้เหมือนกันครับถึงจะเป็นร้านเพื่อขายคนใน จังหวัดแต่คนต่างถิ่นอย่างผมก็อยากมาชิมบ้างว่าอร่อยแค่ไหน และที่สำคัญเหมาะสำหรับครอบครัวมากครับ มานั่งกินข้าวพร้อม ๆ กัน
ร้านนี้เขาทำมานาน ตั้งแต่สมัยพ่อของพ่อแล้ว ตอนนี้ครอบครัวของเขาก็มาช่วยกันทำ ผมคิดว่าถ้าใครอยากมากินต้องไปแต่เช้านะครับ พอสาย ๆ บ่าย ๆ ก็จะหมดแล้ว
โดยส่วนตัว ผมชอบบรรยากาศแบบนั้น ซึ่งตอนนี้ที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว เพราะทุกคนรีบเร่งจะไปโน่นไปนี่กัน ไม่มีเวลามานั่งกินข้าวเช้ากัน แม้ร้านนี้จะไม่มีห้องแอร์แต่น่านั่งครับ บรรยากาศโดยรวมทำให้รู้สึกว่าร้านนี้น่ากิน เลยทำให้ผมคิดว่าเจ้าของร้านจะต้องเป็นคนโบราณแน่ ๆ เพราะไม่ชอบอะไรที่วุ่นวาย ไม่มีการตกแต่งจัดร้านแบบเดิม ๆ ติดดินดีครับ ทำให้อาหารยิ่งอร่อยใหญ่เลยครับ เพราะไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย
เพราะฉะนั้นใครที่ไปร้านซุ้ยเครื่องในหมู ต้องไปชิมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดถึงนะครับ เพราะว่ารสชาติของเขาเข้มข้น น้ำซุปใสไม่มีความคาวเลย และเขารู้วิธีการจัดการเครื่องในหมูนะครับ.การชิมต้มเลือดหมู
อาทิตย์นี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องการชิม ต้มเลือดหมู ครับ การที่เราจะไปชิมต้มเลือดหมูนั้น เราต้องรู้ว่าเราอยากจะชิมอะไรและองค์ประกอบของต้มเลือดหมูนั้นประกอบด้วย อะไรบ้าง
ความจริงแล้ว ต้มเลือดหมูประกอบด้วย น้ำซุปที่เข้มข้น ต้องไม่ข้น สีน้ำจะใส ๆ แต่รสกลมกล่อมแล้วก็มีกลิ่นของกระดูกหมู กลิ่นของเนื้อหมู กลิ่นของตังฉ่าย กลิ่นของผักต่าง ๆ และมีหอมเจียว
ต่อมา คือ ต้องถามตัวเองว่า องค์ประกอบ คือ ลูกชิ้นหมูบะฉ่อ หรือเครื่องในลวกได้ดีหรือไม่ อย่าง ตับ ลวกมาเมื่อกินเข้าไปแล้วมีรสขมหรือไม่ ถ้าตับขมและแข็ง นั้นหมายความว่า เขาลวกตับหมูไม่เป็น การลวกตับที่ดีและถูกต้อง คือ ต้องลวกให้ตับยังไม่สุกดีนักถึงจะได้ตับที่กรอบและหวานครับ แล้วก็จะทำให้ตับไม่มีรสชาติขม
ในส่วนของไส้หมูก็ต้องสังเกตดูว่า เมื่อกินเข้าไปแล้วมีกลิ่นเหม็นหรือไม่ ถ้ามีกลิ่นเหม็น นั้นแสดงว่าเขาทำไม่เป็นอีกเช่นกัน เพราะไส้หมูที่ดีจะต้องล้างให้สะอาด โดยจะต้องล้างหลาย ๆ น้ำ เพื่อให้ความคาวและกลิ่นต่าง ๆ หมดไป เมื่อเอามาลวกใส่ในต้มเลือดหมูก็จะได้ไส้หมูที่ดีและสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น ซึ่งที่ร้านนี้ทำได้ดีครับ เครื่องในแต่ละชนิดสะอาดและผ่านการลวกที่ดีถึงได้ต้มเลือดหมูที่อร่อย นั่นเป็นเพราะว่าเขาทำเป็นและเขาก็รู้จักวิธีการจัดการเครื่องในของหมูได้ เป็นอย่างดีนั่นเองครับ.
ผัดเปรี้ยวหวานแบบจีน
เครื่องปรุงหมักหมู
- ซี่โครงหมูย่าง 300 กรัม
- ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
- นํ้ามันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
- นํ้ามันงา 1 ช้อนชา
- แป้งชุบทอด 30 กรัม
- นํ้าเย็น 1 ถ้วยตวง
- นํ้ามันพืช 1,000 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1. ในชามผสม ใส่ซี่โครงหมูอ่อน ขิงสับ น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว แป้งมัน น้ำมันงา ลงไปผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือค้างคืนก็ได้
2. นำหมูที่หมักแล้วลงไปคลุกกับแป้งชุบทอด และนำลงไปชุบแป้งที่ผสมน้ำแล้ว นำลงทอดให้สุกเหลือง
3. ตักออกพักไว้
เครื่องปรุงผัดเปรี้ยวหวาน
- นํ้ามันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมหัวใหญ่หั่นเสี้ยว 1/2 ลูก
- พริกตุ้มสามสีหั่นเต๋า 1/2 ลูก
อย่างละ
- สับปะรดหั่นเต๋า 1/2 ถ้วยตวง
- ซอสเปรี้ยวหวาน 70 กรัม
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
- น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
- ซอสมะเขือเทศ 4 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
- ซี่โครงหมูทอดแล้ว 300 กรัม
วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันลงไป พอร้อนใส่กระเทียมสับ ผัดให้หอม
2. ใส่หอมหัวใหญ่หั่นเสี้ยว พริกตุ้มสามสีหั่นเต๋า สับปะรดหั่นเต๋า ลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่ซอสเปรี้ยวหวาน และซี่โครงหมูทอดลงไปผัดให้เข้ากัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายแดง น้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ และซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน
4. ตักใส่จานเสิร์ฟร้อน ๆ หมึกแดง www.mcdangguide.com
หลาย เดือนมาแล้วนะครับที่ผมไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนนั้นผมไปงานฟู้ดแฟร์ครับ และได้มีโอกาสไปอีกเพราะเป็นวันเกิดคุณแม่สุดา เพื่อน ๆ ผมที่เป็นมุสลิมเคยบอกว่า จะชวนผมไปกินข้าวเช้าซึ่งเป็นร้านอาหารมุสลิมที่อยู่ใกล้กับจวนผู้ว่าฯ อยู่ติดกับแม่น้ำตาปีเลยครับ
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบกินอาหารมุสลิมครับ สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารเช้าที่เป็นอาหารมุสลิมของภาคใต้นั้น ผมอยากจะบอกว่า ลักษณะอาหารก็เหมือนกับอาหารไทย โดยจะเป็นข้าวและก็มีกับข้าวต่าง ๆ ให้กิน แต่ข้าวแกงของเขาจะแตกต่างกับข้าวแกงของไทย เพราะว่าจะไม่มีอาหารใดเลยที่ใส่หมูครับ ส่วนความเผ็ดและความเข้มข้นก็ไม่เท่าไหร่ครับ
ข้าวแกงของเขาก็เหมือนกับข้าวราดแกงล่ะครับ จะกินแบบราดบนข้าวเลยหรือว่าจะสั่งกับข้าวเป็นจาน ๆ แล้วมีข้าวต่างหากก็ได้ ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่คนมุสลิมเขากินกัน เท่าที่เห็นก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับที่คนทั่วไปเขากินกันครับ แต่กับข้าวส่วนใหญ่แล้วจะมีไก่กับเนื้อครับ
ที่ผมเห็นคือ เขาเอาไก่มาทำแกงกะหรี่ไก่ หรือทำคล้าย ๆ มัสมั่นไก่ รสชาติก็ใช้ได้ครับ แต่ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่นัก ส่วนไข่ เขาจะนำมาทำเป็น ไข่ลูกเขย และ ไข่พะโล้ไก่ อร่อยดี ทั้งสองอย่างครับ ยังมีไข่เค็มที่ยังไม่ได้ต้มแต่นำมาทอดเป็น ไข่ดาวไข่เค็ม ด้วยนะครับ ซึ่งผมชอบมากเลย
ที่ร้านยังมี แกงเหลืองไข่ปลา รสชาติอร่อยดีครับ ผมก้มหน้าก้มตากินไข่ปลาอย่างเดียวเลยครับ มี แกงเผ็ดเนื้อ ด้วยนะครับ ผมชิมแล้วก็พอใช้ได้ครับ เนื้อไม่เหนียวเกินไป มี แกงกะหรี่เนื้อ ด้วย เนื้อสัตว์ในอาหารของคนมุสลิมส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นไก่กับเนื้อนะครับ
เมื่อพูดถึงเนื้อไก่ พูดถึงเนื้อวัวกันแล้ว ก็ต้องพูดถึงการเอาเครื่องในมาทำอาหารกันบ้าง โดยถ้าเป็นเครื่องในไก่ก็ต้องเอาตับกับกึ๋นมาผัดกับพริก เป็นเครื่องในไก่ผัดพริก โดยผัดให้เผ็ด ๆ จะได้หอม ๆ ครับ ส่วนตับวัวก็เอามาผัดพริก หรือจะเอามาผัดกับดอกกุยช่ายก็ได้ ซึ่งอาหารที่พูดมานั้นผมกินมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ
ยังมีของทอดด้วยนะครับ ผมมองไปมองมา มี ปลากระบอกทอดขมิ้น และยังมีปลาอื่น ๆ ตัวเล็ก ๆ เอามาหมักกับขมิ้นที่ทางใต้เขาเรียกว่า ขี้มิ่น แล้วก็เอามาหมักและทอด กินกับเครื่องเคียง ผมชอบมากเลยครับ
สำหรับสิ่งที่ต้องกินกับอาหารถ้าไปที่ร้านนี้ คือ น้ำชา หรือ กาแฟ โดยชาของเขาจะมีลักษณะแบบอินโดนะครับ คือ ชาจะใส่นมร้อน ๆ ไม่กินเย็นนะครับ
และที่ขาดไม่ได้เมื่อมาร้านนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โรตี ครับ เพราะผมสั่งแกงมาไม่ได้กินกับข้าวนะครับ แต่ผมกินกับโรตี โดยผมจะฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วจิ้มกินกับน้ำแกง โดยมากแล้วก็จะกินกับแกงเผ็ด เช่น แกงกะหรี่เนื้อ และแกงมัสมั่นไก่ อร่อยมากเลยครับ
ในส่วนของการทำโรตี ซึ่งทำจากแป้งสาลี นอกเหนือจากการทำโรตีแล้ว คุณตาก็จะนำมาทำ มะตะบะ ด้วยครับ คือจะใส่ไส้เข้าไป ซึ่งโดยมากจะ
เป็นไส้ไก่หรือไม่ก็ไส้เนื้อครับ คล้าย ๆ กับแพนเค้กที่ห่อ หรือไม่ก็เหมือนกับไข่ยัดไส้แต่ทำจากแป้ง เมื่อทอดได้ที่แล้ว
ก็ยกขึ้นนำมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เสิร์ฟกับอาจาด
ในส่วนของวิธีการกินนั้น คือจะต้องเอาอาจาดมากินกับมะตะบะ เพราะมะตะบะทำให้สุกโดยการทอดและยังมีแป้งเคลือบด้วยไข่อีกต่างหาก ซึ่งเป็นอาหารที่มันและเลี่ยนครับ เพราะฉะนั้นเราต้องกินอะไรที่มันเปรี้ยว ๆ เพื่อให้ปากเราสะอาดและช่วยในการย่อย เพราะฉะนั้น อาจาดซึ่งเป็นสิ่งที่มีทั้งความกรอบ ทั้งความเปรี้ยว และออกรสหวาน ๆ เล็กน้อย เวลากินเข้าไปจะช่วยสร้างความกลมกล่อมในปากของเราครับ
ไปกินข้าวที่ร้านนี้ ผมรู้สึกติดใจ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากไปกินอีกเรื่อย ๆ เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมวังใต้ที่ผมพักมากเท่าไหร่นัก ทำให้บางทีเมื่อผมไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็จะไปกินที่ร้านนี้ เมื่อกินเสร็จก็ต้องเดินกลับ เพื่อเป็นการย่อยอาหารไปในตัวครับ แต่ถ้าใครจะขึ้นรถกลับก็ได้ แต่ผมคิดว่า เดินจะดีกว่านะครับ
ที่ร้านนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง รสชาติจะไม่จัดจ้านจนเกินไปนัก แต่ว่าความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มีคนแวะเวียนเดินเข้ามาที่ร้านอย่างต่อเนื่อง การได้นั่งกินข้าวที่ร้านนี้ทำให้ผมมองว่าวัฒนธรรมการกินของพี่น้องชาวไทย ที่เป็นมุสลิมนั้นช่างทำให้ผมได้อารมณ์ในการกินเหลือเกินครับ ทำให้ผมอร่อยทุกครั้งที่ได้ไปกินอาหารมุสลิมร้านนี้
ถ้าใครมีโอกาสได้ไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ลองมาชิมอาหารมุสลิมที่ร้านนี้ดูนะครับ ซึ่งนอกจากร้านนี้แล้ว ยังมีอีกหลายร้านนะครับ วันหน้าผมจะเขียนให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันอีก แต่ลองแวะไปที่ร้านนี้กันก่อนนะครับ นั่งแถวริมถนนเลยครับแล้วนั่งชมแม่น้ำสะแกกรังซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับจวนผู้ว่าฯ ไปด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ ครับ.
รีซอตโต
เครื่องปรุงนํ้าซุปเห็ด
- นํ้ามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมหัวใหญ่สับ 100 กรัม
- แครอทสับ 50 กรัม
- เซเลอรี่หรือตั้งโอ๋สับ 50 กรัม
- หอยเชลล์แห้ง (แช่นํ้าแล้ว) 100 กรัม
- เห็ดหอมแห้ง (แช่นํ้าแล้ว) 4 ดอก
- นํ้าซุปไก่ 1 ลิตร
วิธีทำ
1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปพอร้อน ใส่หอมหัวใหญ่สับ แครอทสับ เซเลอรี่หรือตั้งโอ๋สับ ผัดพอให้สลด
2. ใส่หอยเชลล์แห้ง และเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำแล้วลงไปทั้งหมดพร้อมน้ำแช่
3. เติมนํ้าซุปไก่ลงไป ต้มให้เดือด และลดไฟลง เคี่ยวให้งวด
4. กรองแยกระหว่างน้ำกับเนื้อออกจากกัน เก็บนํ้า และเนื้อหอยเชลล์กับเห็ดหอมพักไว้ (เนื้อหอยเชลล์และเห็ดหอมต้องแช่อยู่ในน้ำที่เคี่ยวไว้นิดหน่อย
เพื่อให้มีความชุ่มชื่น)
เครื่องปรุงรีซอตโต
- เนยจืด 50 กรัม
- หอยเชลล์สด 50 กรัม
- หอมหัวใหญ่สับ 50 กรัม
- ข้าวอาร์โบริโอ 397 กรัม
- ไวน์ขาว 1 ถ้วยตวง
- นํ้าซุปเห็ด 1 ลิตร
- เกลือป่น พอประมาณ
- พริกไทยป่น พอประมาณ
- เห็ดหอมแห้งตุ๋น ตามต้องการ
- หอยเชลล์แห้งตุ๋น ตามต้องการ
- ทรัฟเฟิล ออยล์ ตามต้องการ
วิธีทำ
1. นำกระทะใส่เนยจืดตั้งเตาให้ร้อน
2. นำหอยเชลล์สด ลงไปนาบให้พอเหลืองทั้งสองด้าน ตักออกใส่จานพักไว้
3. ใส่หอมหัวใหญ่สับ ผัดให้หอม ใส่ข้าวรีซอตโต ลงไป ผัดให้เป็นไต ใส่ไวน์ขาวลงไป ผัดให้เข้ากัน
4. ค่อย ๆ เติมนํ้าซุปเห็ดลงไป คนให้เข้ากัน ต้มให้เดือด แล้วลดไฟลง คนต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งน้ำซุปเกือบแห้ง จึงเติมน้ำซุปลงไปอีกจนหมด คนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งข้าวสุกเป็นไต
5. ปรุงรสด้วย เกลือป่น พริกไทยป่น คนให้เข้ากัน ข้าวจะเป็นลักษณะแฉะมาก ๆ
6. ใส่เห็ดหอมแห้ง และหอยเชลล์แห้งที่แช่ไว้ในนํ้า ลงไปผัดให้เข้ากัน และใส่หอยเชลล์สดที่นาบไว้ลงไปในส่วนผสมของข้าว คนให้ส่วนผสมพอเข้ากัน ปิดไฟ
7. ตักข้าวรีซอตโตใส่จาน แต่งหน้าด้วยหอยเชลล์สด ราดด้วยน้ำซอสหอยเชลล์และเห็ดหอมแห้งตุ๋นที่เตรียมไว้ ราดด้วยทรัฟเฟิล ออยล์ เสิร์ฟทันที
เครื่องปรุงหอยเชลล์และเห็ดหอมแห้งตุ๋น
- นํ้าซุปเห็ดหอมและหอยเชลล์แห้ง 2 ถ้วยตวง
- เกลือป่น พอประมาณ
- พริกไทยดำบดสด พอประมาณ
วิธีทำ
ในภาชนะสำหรับเข้าไมโครเวฟ ใส่นํ้าซุปเห็ดหอมและหอยเชลล์แห้ง เกลือป่น ปิดพลาสติกแรป นำเข้าอบในเตาไมโครเวฟ ประมาณ 10 นาที เพื่อให้ซอสข้นขึ้น.
การชิมอาหารมุสลิม
อาทิตย์นี้ผมจะขอพูดถึงการชิมอาหารมุสลิม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่แตกต่างจากคนไทยในเชื้อสายอื่นโดยปริยาย เพราะว่าเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อหมู คือ จะไม่มีเนื้อหมูอยู่ในอาหารเลย และได้รับอิทธิพลของแขกเข้ามาผสมผสานด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งแขกขาวและแขกอินเดีย
โดยคนมุสลิมหรือคนอิสลามนั้น เขาจะมีอาหารประจำศาสนาหรือประจำชาติ รวมทั้งคนที่เป็นเชื้อสายนี้ คือ อาหารจำพวกโรตีหรือมะตะบะ ซึ่งอาหารทั้งสองอย่างนี้ คือเสน่ห์ของอาหารมุสลิม โดยจะต้องกินให้เป็นด้วยนะครับ เพราะเท่าที่ผมเห็นนั้นในส่วนของโรตี คนไทยจะเอามาใส่น้ำตาล ใส่นมข้น แล้วเอาไปม้วน การทำในลักษณะเช่นนี้ก็เป็นการกินอีกแบบหนึ่งนะครับ ที่คนไทยนิยมกินกัน
สำหรับ โรตีที่ดีนั้น เมื่อทอดเสร็จแล้วจะต้องฟู โดยคนทอดจะต้องทอดให้เป็น และโรตีที่ดีนั้นจะต้องหอมเนยซึ่งสมัยนี้เนยมีราคาแพง เขาจึงใช้มาการีนแทนกัน ซึ่งรสชาติและกลิ่นอาจจะสู้เนยไม่ได้แต่ก็สามารถนำมาใช้แทนเนยได้ กินได้เหมือนกัน
การกินโรตีที่ถูกต้องและได้รสชาติที่อร่อย จะต้องกินให้เป็นนะครับ คือ เมื่อได้โรตีที่เพิ่งทอดมาสด ๆ ใหม่ ๆ แล้วจะต้องฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วใช้นิ้วมือหยิบเพื่อนำชิ้นโรตีไปจิ้มกับน้ำแกงกิน หรือไม่ก็เอาโรตีไปช่วยหยิบชิ้นเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่นำมาทำเป็นกะหรี่ โดยจะกินโรตี
แทนข้าวครับ
ส่วนวัฒนธรรมการกินมะตะบะผมได้บรรยายไว้ด้านบนแล้วว่าทำไมต้องกินมะตะบะกับ อาจาด เพราะจะได้ช่วยล้างปากและช่วยเราย่อยด้วยครับ ซึ่งที่ผมกล่าวมานั้น คือ หัวใจการกินของอาหารอิสลามในบางอย่างครับ. หมึกแดงwww.mcdangguide.com
เมื่อ สองเดือนที่แล้วผมขึ้นไปพักผ่อนและไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่มาครับ โดยมากแล้วเมื่อผมไปก็จะพักที่บ้านแสนดอยซึ่งเป็นโรงแรมของพี่สาวผม และเมื่อไปจังหวัดเชียงใหม่ทีไรพี่สาวของผมก็จะพาไปทานอาหารที่อร่อย ๆ หรือไม่ก็เป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะตอนนี้ผมพยายามที่จะลดน้ำหนักครับ ผมลดลงมาได้ 7-8 กิโลกรัมแล้ว และผมก็มีความรู้สึกว่า เมื่อน้ำหนักลดลงแล้วผมมีความคล่องแคล่วขึ้นพี่สาวผมก็เลยพาผมไปกินอาหารที่ ร้านที่มีชื่อว่า เดอะ สลัด คอนเซปต์ เรสเตอรองต์ ที่ถนนนิมมานเหมินท์ครับ
ร้านนี้ตอนเปิดแรกๆเป็นร้านเล็กๆครับ แต่หลังจากที่มีผู้คนเข้ามากินกันเป็นจำนวนมาก ก็เลยขยายร้านออกไปเนื่องจากเป็นที่ของตัวเองอยู่แล้ว โดยมีบ้านที่พักอาศัยอยู่ด้านหลัง
ร้านอาหารร้านนี้ เป็นร้านสลัดโดยเฉพาะเลยนะครับ แต่ความจริงแล้วก็ยังมีของกินอย่างอื่นให้กินด้วย แต่ว่า สลัด และน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ รวมทั้งสินค้าที่เป็นของบำรุงสุขภาพจะเป็นสินค้าหลักของที่ร้านนี้เลยครับ
ที่นี่มีเมนูให้เลือกหลายอย่างด้วยกันครับ เมื่อเข้าไปในร้านแล้วจะเห็น สลัดบาร์ ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสลัดบาร์ที่เอาผักทุกชนิดมาเตรียมไว้เพื่อรองรับความต้องการของ ลูกค้าว่าจะใส่อะไรบ้าง จะใส่ผักหรือใส่ถั่วก็สามารถเลือกได้ตามความชอบครับ
โดยผักสลัดส่วนมากจะมาจากโครงการหลวง และเป็นผักออร์แกนิกด้วยนะครับ ซึ่งความจริงแล้วผักสลัดไม่ใช่ของที่ถูกนะครับ ยิ่งหน้าฝนหรือหน้าร้อน ผักสลัดจะปลูกยากและราคาสูงพอสมควร แต่สำหรับร้านนี้ราคาไม่แพงอะไรมากนักนะครับ
ใครต้องการอะไรจะมีบอร์ดให้ดูเลยนะครับว่า เมนูที่ร้านมีอะไรบ้าง หรือจะอ่านเมนูที่โต๊ะก็ได้ สำหรับผมเดินไปอ่านเมนูในกระดานครับ เขียนไว้สวยงามเลยครับ ผมชอบบรรยากาศร้านนี้มาก เป็นร้านที่นั่งสบาย ๆ เป็นกันเองดีครับ
ที่ร้านมีหนุ่มๆสาวๆนักศึกษาที่รักสุขภาพมานั่งทานอาหารที่ร้านนี้กันหลาย โต๊ะครับ ที่ผมเห็น พวกเด็กๆ จะชอบสั่ง น้ำปั่น มากินกัน น้ำปั่นที่นี่มีอยู่หลายชนิดด้วยกันครับ มีน้ำปั่นที่ใส่พืชผักอะไรต่าง ๆ ด้วยนะครับ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครับ เช่น น้ำบีทรูทปั่น และยังมีน้ำปั่นอีกหลายอย่างครับ ผมคงพูดได้ไม่หมด ต้องลองไปชิมกันดูและไปถามเขาเองนะครับว่ามีอะไรให้ลองชิมบ้าง
มาพูดถึงอาหารกันบ้าง อาหารส่วนใหญ่จะเป็นสลัดครับ มีทั้ง สลัดไก่ และสลัดต่าง ๆ โดยสลัดของที่นี่จะเป็นอาหารจานหลักได้เลยนะครับ ที่ผมสั่งมาทานเป็นสลัดแต่ก็มีเนื้อสัตว์นิดหน่อย เป็นสลัดเนื้อย่าง เสิร์ฟแบบเย็นๆ มาเลยนะครับ ที่นี่เขาเลือกน้ำสลัดได้ด้วยนะครับ มีทั้งน้ำสลัดญี่ปุ่น หรือจะเป็นน้ำสลัดครีม ที่จริงผมไม่ชอบน้ำสลัดครีมเท่าไหร่ อย่าง น้ำสลัดเธาซันไอส์แลนด์ เพราะว่าทำจากไข่และตีให้เป็นครีมขึ้นมา ซึ่งมีทั้งไขมันและน้ำมันอยู่มาก แต่ที่ผมชอบ คือ น้ำสลัดญี่ปุ่น
อาหารที่ร้านนี้ ยังมีเมนูประจำวันด้วยนะครับ ซึ่งวันที่ผมไปนั้น เป็นปลาชุบแป้งทอดเสิร์ฟกับสลัดมัน และต้องบอกเพื่อนๆ ว่าราคาไม่แพงครับ และเป็นอาหารที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกายของเราด้วยนะครับ เพราะมีผักเป็นส่วนประกอบของอาหารเกือบทั้งจานเลยก็ว่าได้ ผมก็เลยโผเข้าหาเลยครับ
ส่วนของหวาน ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะว่าเขามีขนมหลายชนิด แต่ขนมเขาไม่ได้ทำเองนะครับ รับมาจากที่อื่น มี แอปเปิ้ล ครัมเบิ้ล เค้กช็อกโกแลต และอะไรต่างๆ อีกหลายอย่างครับ เมื่อผมเห็นแล้วต้องพยายามยับยั้งตัวเองให้ได้ครับ แต่ผมก็ได้ลองชิมเค้กช็อกโกแลต ไปนิดหนึ่ง อร่อยใช้ได้ครับ
การทานสลัดเพื่อรักษาสุขภาพเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ร้านนี้จึงเป็นอีกร้านหนึ่ง ถ้าเพื่อนๆ ไปจังหวัดเชียงใหม่ ก็ลองแวะไปชิมกันดู อาหารเขาสดใหม่และสะอาดดีครับ ต้องลองไปชิมดู
ผมขอเล่าถึงร้านนี้ให้ฟังเล็กน้อยว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นของร้านนี้ คือลูกๆ ของเจ้าของร้าน รวมทั้งตัวเจ้าของร้านเองด้วย ซึ่งท่านเป็นคนไม่ค่อยสบาย มีโรคประจำตัว เลยเปลี่ยนวิธีการกินหันมาบริโภคสลัดและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายไม่มีสารพิษ ปรากฏว่าท่านก็หายจากโรคที่เป็น และตอนนี้สบายดี ร่างกายแข็งแรงขึ้น จึงทำให้ลูกๆ มีแนวคิดในการทำร้านอาหารขึ้น จึงเปิดร้านนี้ขึ้นมาและก็ประสบความสำเร็จพอสมควรครับ มีผู้คนให้ความสนใจเข้ามาทานกัน และราคาก็ไม่แพง ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เพราะเป็นที่ของตัวเอง
เพราะฉะนั้นอย่าลืมแวะไปลองชิมกันดูนะครับ.
.............................................................................
เข้าครัวกับหมึกแดง:สตูหมูเปรี้ยวหวานกะหล่ำมะม่วง
เครื่องปรุง
-นํ้ามันมะกอก 1/4 ถ้วยตวง
-ไหล่หมูหั่นเต๋าใหญ่ 300 กรัม
-เบคอนซอย 100 กรัม
-หอมหัวใหญ่สับ 2 ช้อนโต๊ะ
-กะหล่ำม่วงซอย 200 กรัม
-นํ้าส้มจากไวน์แดง 1/4 ถ้วยตวง
-แยมผิวส้ม 1/4 ถ้วยตวง
-นํ้าตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น พอประมาณ
-พริกไทยดำบดสด พอประมาณ
-ใบกระวาน 2–3 ใบ
-มันฝรั่งสไลซ์บาง ๆ 3 หัว
-เกลือป่น พอประมาณ
-เนยละลายแล้ว 1/4 ถ้วยตวง
-เกล็ดขนมปังป่น 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งเตาให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกลงไปพอร้อน
2. ใส่ไหล่หมูหั่นเต๋าใหญ่ลงไปนาบให้ข้างนอกเหลือง ตักออกพักไว้
3. ในกระทะเดียวกัน ใส่เบคอนซอยลงไปผัดพอหอม ใส่หอมหัวใหญ่สับ ผัดให้เข้ากัน
4. ใส่กะหลํ่าม่วงซอยลงไปครึ่งหนึ่ง (กะหล่ำม่วงที่คลุกในชามผสมกับน้ำส้มจากไวน์แดงจะได้ไม่ดำ) ผัดพอผักสลด แล้วเติมกะหล่ำม่วงส่วนที่เหลือลงไป ผัดให้เข้ากัน
5. ปรุงรสด้วย แยมผิวส้ม นํ้าส้มจากไวน์แดง น้ำตาลทรายแดง เกลือป่น พริกไทยดำบดสด ผัดให้เข้ากัน
6. เทหมูที่นาบกระทะไว้ลงไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ใบกระวาน ตั้งไฟให้เดือด
7. เทส่วนผสมที่ได้ลงในถาดอบ แล้วเรียงมันฝรั่งสไลซ์บางๆ ไว้ลงบนหน้า สตู โรยหน้าด้วยเกลือป่น พริกไทย ให้ทั่วและทาด้วยเนย
8. อุ่นเตาอบไว้อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
9. ปิดหน้าด้วยกระดาษฟอยล์ นำเข้าเตาอบ ใช้เวลาอบประมาณ 45 นาที จึงเปิดฟอยล์ออก แล้วโรยหน้าอีกครั้งด้วยเกล็ดขนมปังป่น และเนยละลายแล้ว
10. นำถาดอบเข้าอบอีกครั้งให้หน้าเหลือง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือจนกระทั่งสุก
11. ตักสตูหมูเปรี้ยวหวานใส่จานเสิร์ฟร้อน ๆ หรือให้เสิร์ฟกันเองจากถาด.
............................................................................................
ชิมให้เป็น:วัฒนธรรมการชิมสลัด
วัฒนธรรมการชิมสลัดนั้น เป็นวัฒนธรรมการกินของฝรั่งเขานะครับ คนไทย เรียกสลัดว่า ยำ ซึ่งโดยมากแล้ว ยำของเรานั้นจะเสิร์ฟในอุณหภูมิของห้อง หรืออาจจะเป็นอาหารที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาบ้าง อย่าง ลาบ จะต้องเสิร์ฟร้อนเล็กน้อย
ในส่วนของความแตกต่างระหว่างสลัดฝรั่งกับยำของไทยก็คือ ผักสลัดต้องเย็นและวัตถุดิบต้องกรอบ ในขณะที่น้ำสลัดของเขานั้นมี 2 แบบ คือ น้ำสลัด ที่เป็นครีม กับแบบน้ำสลัดใสแต่จะเห็นได้ว่าแตกต่างกับน้ำสลัดของไทยโดยปริยายเลยครับ เพราะว่าน้ำสลัดของไทยไม่มีน้ำมัน แต่น้ำสลัดของฝรั่งจะมีน้ำมันทุกชนิดเลยครับ
ซึ่งตรงนี้ เป็นหลักการและกฎเกณฑ์ของการทำน้ำสลัดของฝรั่งเขาครับ และวิธีการกินก็เช่นเดียวกันนะครับ จะเสิร์ฟแบบเย็นๆ ทุกอย่างเย็นหมดเลยครับ น้ำสลัดก็เย็น และที่ประหลาดที่สุด คือ ถ้าเราจะกินเราต้องใส่น้ำสลัดไม่อย่างนั้นผักสลัดจะเซ็ง ไม่กรอบ และไม่อร่อยครับเช่นเดียวกับอาหารไทยครับ เวลายำแล้ว ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องกินเดี๋ยวนั้นเลย ไม่อย่างนั้น ไม่อร่อยครับ ฉะนั้นเราต้องเข้าใจวิธีการกินของฝรั่งและน้ำสลัดของฝรั่งด้วยว่า น้ำสลัดของฝรั่งจะไม่หวาน แต่จะมีเปรี้ยว มีรสเค็ม ตามหลักแล้วรสชาติสลัดของฝรั่งจะต้องมีรสเปรี้ยวนำมาก่อนเลยครับ ตามด้วยรสเค็ม ส่วนความหอมนั้น แล้วแต่คนทำครับ เพราะฉะนั้นชิมให้เป็นต้องรู้ว่าสลัดและน้ำสลัดต้องเย็นเสมอไป ถึงจะอร่อยและกรอบในปากครับ.
หมึกแดง
www.mcdangguide.com http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=486&contentID=149563